วิกฤตอัตลักษณ์เกิดขึ้นเมื่อเราอายุมากขึ้น วิกฤตอัตลักษณ์และการสำแดงออกมาในวัยรุ่น

11. Tsapenko I.P. ICT และการเคลื่อนย้ายแรงงานทั่วโลก // สมาคมสารสนเทศ - 2554. - ฉบับที่ 2. - หน้า 18-28.

12. Shreider Yu. A. ด้านสังคมวัฒนธรรมและเทคนิคและเศรษฐกิจของการพัฒนาสภาพแวดล้อมข้อมูล // สารสนเทศและวัฒนธรรม - โนโวซีบีสค์, 2533. - หน้า 50-51.

13. Yaremenko I. A. เงื่อนไขการก่อตัวขององค์กรและการสอน กิจกรรมทางสังคมบุคลิกในสื่อ: dis. ...แคนด์ เท้า. วิทยาศาสตร์ - แมกนิโตกอร์สค์, 2000. - 190 น.

1. บาซาลาเยฟ ยู.เอ็ม. และ Basalaeva O.G. Formirovanie infoimacionnoy kartiny mira kak metodologicheskogo sredstva izucheniya informatsionnoy real "nosti. Mezhdunarodnihyy zhurnal eksperiment"nogo obrazovaniya, 2014, no 5 (2), pp. 90-92. (ในรัส.)

2. บาซาลาเอวา โอ.จี. ข้อมูลnyy obraz mira: funktsional"nyy podkhod. Vestnik Kemerovskogo gosudarstvennogo universiteta kul"tury i iskusstv, 2013, no. 274-280. (ในรัส.)

3. บาซาลาเอวา โอ.จี. ฟังก์ซียา โปนิมานิยา vs แชสต์โนนอัชนอย การ์ทีน มิรา Vestnik Kemerovskogo gosudarstvennogo universiteta kul "tury i iskusstv, 2012, no 1, หน้า 215-220 (ใน Russ.)

4. คากัน M.S., Etkind A.M. บุคคล "nost" kak ob"ektivnaya i sub"ektivnaya real"nost" . Voprosypsikhologii, 1989, ลำดับที่ 4, หน้า 4-15. (ในรัส.)

5. Kan R. Robert Kan: eksklyuzivnoe interv"yu zhurnalu "Informatsionnoe obshchestvo" Informacionnoe obshchestvo, 2009, no. 4-5, หน้า 68-75 (ใน Russ.)

6. Kapterev A.I. Informatizatsiya sotsiokul "turnogo. มอสโก, 2547. 512 หน้า (ใน Russ.)

7. โคแกน วี.ซี. ข้อมูล Teoriyanogo vzaimodeystviya Filosofsko-sotsiologicheskie ocherki. โนโวซีบีสค์ 2534 320 หน้า (ในรัส.)

8. โคแกน วี.ซี. ข้อมูล Chelovek และ potoke โนโวซีบีสค์ 2524 177 หน้า (ในรัส.)

9. Noveyshiy filosofskiy slovar" มินสค์ 2546 1280 หน้า (ในรัสเซีย)

10. ทูโรนก เอส.จี. อินเทอร์เน็ตและการเมือง Obshchestvenyye nauki i sovremennost", 2001, no 6, หน้า 51-63 (ใน Russ.)

11. คาเพนโก ไอ.พี. IKT i global"naya mobil"nost"truda. ข้อมูล obshchestvo, 2011, no 2, pp. 18-28. (ใน Russ.)

12. ชเรย์เดอร์ ยู.เอ. Sotsiokul"turnye i tekhniko-ekonomicheskie aspekty razvitiya informatsionnoy sredy. Informatika i kul"tura. โนโวซีบีร์สค์ 1990 หน้า 50-51. (ในรัส.)

13. ยาเรเมนโก ไอ.เอ. Organizatsionno-pedagogicheskie usloviya formirovaniya sotsial"noy aktivnosti lichnosti sredstva-mi Massovoy informatsii. Diss. kand. ped. nauk. . Magnitogorsk, 2000. 190 p. (ใน Russ.)

ยูดีซี 316.16: 141.7

วิกฤตอัตลักษณ์เป็นบรรทัดฐานที่สร้างบุคลิกภาพ

Zhukova Olga Ivanovna แพทย์ วิทยาศาสตร์เชิงปรัชญาศาสตราจารย์ภาควิชาปรัชญา Kemerovo State University (Kemerovo สหพันธรัฐรัสเซีย) อีเมล: [ป้องกันอีเมล]

Zhukov Vladimir Dmitrievich ผู้สมัครสาขาวิชาปรัชญา รองศาสตราจารย์ หัวหน้าภาควิชาปรัชญา Kemerovo State Medical Academy (Kemerovo สหพันธรัฐรัสเซีย) อีเมล: [ป้องกันอีเมล]

บทความนี้ตรวจสอบปัญหาอัตลักษณ์ว่าเป็นสิ่งที่วางตำแหน่งบุคคลให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเป็นสิ่งที่ทำให้เธอสามารถสร้าง "ฉัน" ของเธอเองได้ มันถูกเน้นย้ำ

เมื่อโลกของสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น อัตลักษณ์ก็จะมีคุณลักษณะที่หลากหลาย ผู้เขียนมองว่าวิกฤตอัตลักษณ์เป็นความขัดแย้งระหว่างโครงสร้างที่มั่นคงที่จัดตั้งขึ้นของอัตลักษณ์ของแต่ละบุคคล และวิธีการที่เหมาะสมในการปรับให้เข้ากับอัตลักษณ์นั้น ความเป็นจริงโดยรอบ- ผู้เขียนได้ข้อสรุปว่าวิกฤตอัตลักษณ์เป็นขั้นตอนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และสมเหตุสมผลบนเส้นทางการพัฒนาบุคลิกภาพและการค้นหาตัวเองว่าเป็นองค์รวมที่กลมกลืนกัน

คำหลัก: บุคลิกภาพ ตัวตน อัตลักษณ์ วิกฤติอัตลักษณ์

วิกฤตอัตลักษณ์เป็นรูปแบบการกำหนดบรรทัดฐานของบุคลิกภาพ

Zhukova Olga Ivanovna แพทย์ศาสตร์ปรัชญา ศาสตราจารย์ประธานคณะปรัชญา Kemerovo มหาวิทยาลัยของรัฐ(เคเมโรโว สหพันธรัฐรัสเซีย) อีเมล: [ป้องกันอีเมล]

Zhucov Vladimir Dmitrievich ผู้สมัครสาขาปรัชญาศาสตร์ อาจารย์ ประธานสาขาวิชาปรัชญา Kemerovo State Medical Academy (Kemerovo สหพันธรัฐรัสเซีย) อีเมล: [ป้องกันอีเมล]

บทความนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาอัตลักษณ์ที่ถือว่าบุคลิกภาพเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลและปล่อยให้มันสร้างอัตตาของตัวเองขึ้นมา อัตลักษณ์มีลักษณะที่หลากหลายเมื่อสังคมโลกมีความซับซ้อนมากขึ้น ผู้เขียนพิจารณาว่าวิกฤตอัตลักษณ์เป็นความขัดแย้งระหว่างโครงสร้างที่มั่นคงที่จัดตั้งขึ้นของอัตลักษณ์ส่วนบุคคล และวิธีที่เหมาะสมในการจารึกไว้ในความเป็นจริงโดยรอบ ผู้เขียนสรุปว่าวิกฤตอัตลักษณ์เป็นขั้นตอนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และสมเหตุสมผลของการพัฒนาส่วนบุคคลและพบว่าตัวเองมีความกลมกลืนกัน

คำสำคัญ: บุคลิกภาพ ตัวตน อัตลักษณ์ วิกฤติอัตลักษณ์

ทุกวันนี้ เราสามารถพูดได้อย่างถูกต้องว่าสังคมยุคใหม่ได้สูญเสียชุมชนทางสังคมที่มั่นคงซึ่งถักทอโครงสร้างทางสังคมเพียงรูปแบบเดียว ส่งผลให้ตนเองได้รับระบบพิกัดทางสังคมที่แท้จริง การหมุนไปตามความเป็นจริงที่แตกต่างกันตามลำดับโดยดึงประสบการณ์บางอย่างสำหรับตัวเขาเองออกมา แต่บุคคลนั้นไม่ได้ระบุตัวเองกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตำแหน่งที่ไม่มั่นคงของบุคคลและภาพลักษณ์ของเขาทั้งในสายตาของเขาเองและในสายตาของผู้อื่นได้กลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและเป็นเรื่องธรรมดาด้วยซ้ำ

ประเด็นไม่ใช่เพียงแต่ว่าบุคคลได้สูญเสียหลักประกันบางประการเกี่ยวกับความมั่นคงนี้ในความเป็นจริงทางสังคมวัฒนธรรมแล้ว มีช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่รับรู้และอธิบายว่าเป็นหายนะ สลายตัว และทำลายล้างมาโดยตลอด แต่พวกเขาไม่ได้เข้าใจหรือวิเคราะห์ว่าเป็น "วิกฤตด้านอัตลักษณ์" แน่นอนว่าปรากฏการณ์นี้มีเหตุผลวัตถุประสงค์ของตัวเองซึ่งความคิดทางทฤษฎีดึงดูดความสนใจและที่ซึ่งความพยายามที่จะเข้าใจแนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นในโครงการวิจัยต่างๆ

ปัญหาอัตลักษณ์เป็นปัญหาหนึ่งที่แพร่หลายในความรู้ด้านมนุษยธรรมสมัยใหม่

นิ คำนี้ได้รับการยอมรับอย่างมั่นคงในแนวทางปฏิบัติวาทกรรมของชุมชนปัญญาชน นักปรัชญาและนักจิตวิทยาได้ผสมผสานแนวคิดเรื่องการตระหนักรู้ในตนเองและอัตลักษณ์เข้าด้วยกัน นักวัฒนธรรมวิทยาพิจารณาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและวัฒนธรรมย่อย นักวิทยาศาสตร์ทางการเมือง - พหุวัฒนธรรมนิยม และอัตลักษณ์ประจำชาติ แนวคิดเรื่อง “อัตลักษณ์” ถูกนำไปใช้กับบุคคล วัฒนธรรม วัฒนธรรมย่อย กลุ่มชาติพันธุ์ และประเทศต่างๆ มีการจำแนกประเภทและการจำแนกอัตลักษณ์ในวรรณคดีค่อนข้างมาก พวกเขาแบ่งออกเป็น "บุคคล" และ "กลุ่ม", "บวก" และ "เชิงลบ", "ท้องถิ่น" และ "เหนือท้องถิ่น", "พื้นฐาน" และ "ญาติ" พื้นฐานที่สุดคืออัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ชาติ และอารยธรรม ที่เกี่ยวข้องกับความแตกต่างทางมานุษยวิทยา ภาษา วัฒนธรรม และศาสนาของแต่ละบุคคล ความกว้างและความถี่ในการใช้งานดังกล่าว แนวคิดนี้แน่นอนว่าไม่ใช่การสุ่ม แต่แสดงถึงกระบวนการที่มีอยู่อย่างเป็นกลางซึ่งเกิดขึ้นในความเป็นจริงทางสังคมวัฒนธรรม แม้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าในวรรณคดีจะมีความเข้าใจค่อนข้างหลากหลายเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับลักษณะสหวิทยาการของการศึกษา

และแตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับหัวข้อการวิจัย ในปัจจุบันความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับอัตลักษณ์ได้เกิดขึ้นซึ่งทำให้เราสามารถบันทึกลักษณะสำคัญของมันได้

คำว่าตัวตน (จากรากศัพท์ภาษาละติน - เหมือนกัน) หมายถึงสิ่งแรกสุด (ซึ่งโดยปกติจะบันทึกไว้ในพจนานุกรม) โครงสร้างของสิ่งต่าง ๆ ที่ยังคงเหมือนเดิม โดยคงแก่นแท้ของสิ่งต่าง ๆ ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ที่นี่มีความจำเป็นต้องคำนึงว่าเราไม่สนใจวิสัยทัศน์ที่หลากหลายของปรากฏการณ์นี้ ซึ่งเรากำลังพูดถึงการสร้างเอกลักษณ์ของการติดต่อสื่อสารแบบหนึ่งต่อหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวัตถุต่าง ๆ แต่ในการประยุกต์ใช้สิ่งนี้ การโต้ตอบที่เกี่ยวข้องกับบุคคล ดังนั้น ในบริบทของการศึกษา เราจะพิจารณาปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเป็นสิ่งที่ทำให้เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้

ตัวตนของบุคคลไม่ได้หมายถึงตัวตนของเขากับผู้อื่น ก่อนอื่น เรากำลังพูดถึงอัตลักษณ์ ตัวตนของบุคคลที่สัมพันธ์กับตัวเขาเอง และนี่คือการกำหนดที่เรียบง่าย แต่เห็นได้ชัดว่าความเรียบง่ายนี้เป็นการหลอกลวงมาก เนื่องจาก "อัตลักษณ์ของบุคลิกภาพกับตัวมันเอง" เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเจ็บปวดที่สุดประการหนึ่งของการพัฒนา โดยที่พารามิเตอร์และพิกัดของอัตลักษณ์นี้ไม่ได้รับการกำหนดให้ไม่เปลี่ยนรูปและไม่คลุมเครือ อัตลักษณ์นี้ถูกค้นหาและปรับเปลี่ยนอยู่เสมอผ่านปริซึมของประสบการณ์ที่เธอเติบโตและกลายเป็นตัวตนที่เป็นผู้ใหญ่และองค์รวม ซึ่งความสามารถทางจิตวิญญาณของเธอมีบทบาทสำคัญ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือความสามารถในการเปิดกว้างอย่างต่อเนื่องในการทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่ๆ

อัตลักษณ์นี้สามารถเชื่อมโยงกับสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอัตลักษณ์ได้ โดยสามารถระบุจุดติดต่อระหว่างแนวคิดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ที่ขัดแย้งกันสองประการได้ ในด้านหนึ่ง ดังที่ P. Ricoeur แสดงให้เห็น อัตลักษณ์ปรากฏเป็นอัตลักษณ์ (idem ภาษาละติน) ในทางกลับกัน แสดงออกว่าเป็นตัวตน (lat. ipse) ในกรณีแรก (idem) เรากำลังพูดถึงความเหมือนกัน อัตลักษณ์ตนเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นในพันธุกรรม พื้นฐานทางชีววิทยาส่วนบุคคลที่เป็นตัวเป็นตนในลักษณะของเขา ในกรณีที่สอง (ipse) เรากำลังพูดถึงตัวตนและการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลง

เกิดขึ้นกับสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง ในเรื่องนี้เราสามารถพูดได้ว่าบุคลิกภาพคือความสามัคคีของความมั่นคงและความแปรปรวน แม้แต่การตรึงความแตกต่างระหว่างอัตลักษณ์ทั้งสองเวอร์ชันนี้ไว้อย่างชัดเจนก็ยังแสดงออกมาในรูปแบบที่เป็นทั้งเชิงพรรณนาและเชิงสัญลักษณ์: ลักษณะนิสัยและความนิ่งเฉย โดยตัวอักษรในที่นี้เราหมายถึง "ความสมบูรณ์" คุณสมบัติที่โดดเด่นทำให้บุคคลสามารถระบุตัวตนของมนุษย์อีกครั้งได้ว่ามีตัวตนเหมือนกัน ด้วยคุณสมบัติเชิงพรรณนา ตัวละครจึงสามารถซึมซับเอกลักษณ์เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ความคงที่อย่างต่อเนื่อง ความคงที่เมื่อเวลาผ่านไป นี่คือวิธีที่มันเป็นสัญลักษณ์ของตัวตนของแต่ละบุคคลในลักษณะที่เป็นสัญลักษณ์”

ความจริงก็คือโดยตัวละครซึ่งหมายถึงการรวมกันของความโน้มเอียงในระยะยาวคุณสามารถจดจำบุคคลได้ บวกกับแนวคิดเรื่องความโน้มเอียงเป็นแนวคิดเรื่องนิสัยทั้งที่มีอยู่และได้มา นิสัยแต่ละอย่างก่อให้เกิดลักษณะบุคลิกภาพบางอย่าง ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยที่ได้รับการยอมรับ ดังนั้นอุปนิสัยจึงกลายเป็นความสมบูรณ์ของเครื่องหมายที่โดดเด่นเหล่านี้ นอกจากนี้แนวคิดของความโน้มเอียงยังเกี่ยวข้องกับการระบุตัวตนที่ได้รับด้วยความช่วยเหลือซึ่งมีการนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในองค์ประกอบของสิ่งเดียวกัน โดยทั่วไปแล้ว อัตลักษณ์ของบุคคลถูกสร้างขึ้นโดยการระบุตัวตน เช่น ค่านิยม บรรทัดฐาน อุดมคติ วีรบุรุษ ในนั้นบุคคลจะจดจำตัวเองและใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อกำหนดลำดับความสำคัญของการดำรงอยู่ของเขา ต้องขอบคุณนิสัยและการระบุตัวตนที่ได้มานั่นคือความโน้มเอียง ตัวละครพัฒนาทั้งเอกลักษณ์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ความคงที่ของการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่สิ้นสุด ความคงตัวเมื่อเวลาผ่านไปซึ่งกำหนดเอกลักษณ์ของมัน ในลักษณะอุปนิสัย idem และ ipse มีแนวโน้มที่จะป้องกันความแตกต่าง ดังนั้นจึงค่อนข้างสมเหตุสมผลที่จะแยกแยะระหว่างอัตลักษณ์ของตนเองและอัตลักษณ์ของสิ่งเดียวกัน เพื่อหันไปใช้รูปแบบความคงตัวของเวลาที่แตกต่างไปจากลักษณะนิสัย ซึ่งเป็นแบบจำลองของคำที่สงวนไว้ .

มันคือความจงรักภักดีต่อคำที่เก็บไว้ซึ่งบ่งบอกถึงการแสดงออกถึงตัวตนของรูปแบบตัวละครที่ตรงกันข้าม คำสงวนหมายถึงการรักษาบุคลิกภาพไว้ การรักษาคำพูดคำสัญญาบุคคลนั้นเป็นสัญลักษณ์

ก่อให้เกิดความท้าทายบางประการ ดังนั้นจึงปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าความชอบ ความปรารถนา ความผูกพัน ความโน้มเอียงจะเปลี่ยนไปอย่างไร เขาก็รักษาตัวเองไว้ ถ้อยคำที่ยับยั้งชั่งใจทำให้เขามั่นคงเช่นนั้น

สิ่งที่สำคัญที่สุดในที่นี้คือบุคคลก็คือบุคคลหากเขาถูกรวมไว้ในระดับจริยธรรมของการดำรงอยู่ของเขา พารามิเตอร์ทางจริยธรรม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แสดงออกมาในคำว่า "ความรับผิดชอบ") หมายความว่าบุคคลนั้นมีอยู่เพื่อให้ผู้อื่นสามารถไว้วางใจเธอได้ และการนับหมายถึงการถือคำตอบ ซึ่งเป็นคำที่ใช้แสดงการกระทำของตนต่ออีกคนหนึ่ง

ดังนั้น แนวคิดของ "อัตลักษณ์ส่วนบุคคล" หมายถึงภาพลักษณ์ของตนเองที่สอดคล้องกันและเป็นที่ยอมรับในขอบเขตทั้งหมดของความสัมพันธ์ที่หลากหลายที่สุดกับความเป็นจริงโดยรอบ ซึ่งบุคลิกภาพนั้นสนับสนุนและเปิดเผยตัวเองผ่านวิภาษวิธีของความเป็นอิสระและการพึ่งพามากมาย ประการแรก เอกลักษณ์ส่วนบุคคลคือความแปรปรวนและความมั่นคงคงที่ อัตลักษณ์ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในขั้นต้น แต่เป็นบางสิ่งที่ก่อตัวขึ้น รวบรวมไว้ หรือในทางกลับกัน เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนรูปในกระบวนการความสัมพันธ์กับความเป็นจริงโดยรอบ

ปัญหาอัตลักษณ์ได้รับความเกี่ยวข้องกับการกำเนิดของ ยุคสมัยใหม่- ก่อนหน้านี้ ในสังคม (ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าเป็นแบบดั้งเดิมหรือก่อนยุคอุตสาหกรรม) อัตลักษณ์ของบุคคลถูกกำหนดโดยการอยู่ในชั้นทางสังคมบางอย่าง ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความประสงค์ของเขา ดังนั้นปัญหาอัตลักษณ์ของตนเองโดยหลักการแล้วจึงไม่อาจเกิดขึ้นเป็นพื้นฐานในความเป็นจริงทางสังคมนี้ได้

ใน สังคมดั้งเดิมตัวตนปรากฏอย่างมีชื่อเสียง นั่นคือ เป็นตัวแทนอย่างเต็มที่ ความเป็นจริงตามวัตถุประสงค์ซึ่งเธอเป็นอยู่ ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนคือคนที่เขาถูกมองว่าเป็น P. Berger และ N. Luckman เขียนไว้ว่า “ในสังคมเช่นนี้ อัตลักษณ์สามารถจดจำได้ง่าย ทั้งในทางเป็นกลางและทางอัตวิสัย ทุกคนรู้เกี่ยวกับทุกคนว่าอีกฝ่ายและตัวเขาเองเป็นใคร อัศวินก็คืออัศวิน และชาวนาก็คือชาวนา

ทั้งเพื่อผู้อื่นและเพื่อตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ที่นี่ คำถาม "ฉันเป็นใคร" - ไม่น่าจะเกิดขึ้นในจิตสำนึก เนื่องจากคำตอบที่กำหนดไว้ล่วงหน้าทางสังคมนั้นเป็นจริงตามอัตวิสัยอย่างหนาแน่น และได้รับการยืนยันอย่างต่อเนื่องจากปฏิสัมพันธ์ที่สำคัญทางสังคมทั้งหมด สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นพอใจกับอัตลักษณ์ดังกล่าว การเป็นชาวนานั้นไม่ค่อยน่าพอใจนัก มันเกี่ยวข้องกับปัญหาเชิงอัตวิสัยและเร่งด่วนทุกประเภท ซึ่งไม่มีความสุขเลย แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่รวมถึงปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ คุณสามารถเป็นขอทานหรือแม้แต่ชาวนาที่กบฏได้ แต่เขาเป็นเพียงชาวนา บุคลิกภาพที่เกิดขึ้นในสภาวะเช่นนี้ไม่น่าจะเข้าใจตนเองในแง่ของ "ส่วนลึกที่ซ่อนอยู่" “ตัวตนที่ผิวเผิน” และตัวตนที่เบื้องลึกนั้นมีความแตกต่างกันเฉพาะในระดับของความเป็นจริงเชิงอัตวิสัย ซึ่งจะแสดงออกมาในจิตสำนึก ณ เวลาใดก็ตาม แต่ไม่ใช่ในแง่ของความแตกต่างอย่างถาวรของ “ชั้น” ของตัวตน ดังนั้น ในสังคมดั้งเดิม จิตสำนึกของผู้คนมองว่าโลกมีระเบียบแบบลำดับชั้นอย่างเคร่งครัด ในโลกนี้ ทุกสิ่งมีที่ของมัน ทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกัน กลมกลืนกัน แต่ละคนเป็นนักแสดงที่แน่นอน ฟังก์ชั่นทางสังคมซึ่งได้แสดงต่อหน้าพระองค์ และบุคคลอื่นภายหลังพระองค์ก็จะทรงแสดงด้วย

ในสังคมยุคใหม่ ความสัมพันธ์ดังกล่าวกำลังเปลี่ยนแปลงโดยพื้นฐาน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นอิสระจากความสัมพันธ์ทางเครือญาติและจากคำจำกัดความของกลุ่มแบบดั้งเดิม บุคลิกภาพเกิดขึ้นโดยพยายามมองว่าตัวเองเป็นความสมบูรณ์ของชีวิตแต่ละบุคคล สำหรับเธอ ปัญหาหลักคือปัญหาในการตัดสินใจและอัตลักษณ์ตนเอง อัตลักษณ์ตนเองนี้มีแนวความคิดในแง่ของอัตชีวประวัติ ในเรื่องนี้ เราสามารถพูดได้ว่าอัตชีวประวัติเป็นแกนหลักในการวางโครงสร้างอัตลักษณ์ตนเอง การมีอยู่ของมันบ่งบอกถึงความสามารถของแต่ละบุคคลในการสร้างตรรกะแบบองค์รวมและการวางแผนของโครงการชีวิตของเขา โครงการดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จหากเธอไม่พิจารณาว่าเป็นไปได้โดยธรรมชาติในการเลือกตัวเลือกเส้นทางชีวิตหลายทาง การรับรู้ถึงความแปรปรวนนี้หมายความว่าบุคคลนั้นจะต้องตัดสินใจเลือกอย่างมีสติ โปรแกรมชีวิต“การเลือก” ซึ่งในที่สุดเธอก็ได้

บัญชี รูปแบบตัวเอง ตัวตนด้วย กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง,ไลฟ์สไตล์,ความจำเป็นอันทรงคุณค่า

เมื่อโลกของสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น - สังคมเข้าสู่ขั้นตอนของการพัฒนาหลังอุตสาหกรรม - (และที่นี่ไม่สำคัญว่าสังคมนี้จะถูกกำหนดอย่างไร: "หลังอุตสาหกรรม", "ข้อมูล", "สังคมที่มีความเสี่ยง", "หลังสมัยใหม่" สังคม” ฯลฯ ) ตัวตนเริ่มมีอักขระพหูพจน์ ทั้งหมดนี้นำไปสู่ ปัญหาที่ซับซ้อนที่เธอได้พบเจอ แต่ละคนเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นกลุ่มของบทบาทที่แตกต่างกันมากที่เขาต้องปฏิบัติและมีเพียงส่วนน้อยที่สุดของความซื่อสัตย์ของเขาเท่านั้น. นอกจากนี้เขาต้องควบคุมปฏิสัมพันธ์ระหว่างบทบาทเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของกันและกัน เนื่องจากแต่ละบทบาทมีบริบทของตัวเองและอาจไม่เหมาะสมโดยสิ้นเชิงและยอมรับไม่ได้ในอีกด้านหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกเป็นของแท้อย่างสมบูรณ์ในทุกที่ เขาไม่มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนของตัวเองที่จะปรากฏต่อเขาอย่างเป็นธรรมชาติและชัดเจน การมีอยู่ของอัตลักษณ์ที่หลากหลายทำให้บุคคลเกิดความสับสน ซึ่งเรียกว่าวิกฤตอัตลักษณ์

หากเราดำเนินการจากรากฐานทางสังคมและอภิปรัชญาของวิกฤตอัตลักษณ์ สิ่งเหล่านั้นก็ประกอบด้วยการพังทลายของคุณลักษณะที่คุ้นเคยและมั่นคงซึ่งมีอยู่ในสังคมคลาสสิกแห่งความทันสมัย หน่วยงานทางสังคม,ความคล่องตัว โครงสร้างทางสังคม สังคมหลังอุตสาหกรรม- ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ความเป็นหลังสมัยใหม่ถูกกำหนดให้เป็น "ของเหลว", "นุ่มนวล", "กำมะหยี่" ซึ่งชนชั้นและชั้นทางสังคมที่มั่นคง (รวมกันโดยผลประโยชน์ทางสังคมที่เหมือนกัน) ให้ทางไปสู่การเชื่อมโยงแบบสุ่มที่เป็นไปได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการซึ่งจัดขึ้นร่วมกันเท่านั้น ตามแบบแผนของสัญลักษณ์ทางสังคม

การเกิดขึ้นของคำว่า “นีโอเร่ร่อน” และ “อัตลักษณ์เร่ร่อน” ซึ่งเปรียบเทียบชีวิตคนสมัยใหม่กับวิถีชีวิตของคนเร่ร่อน สะท้อนการพังทลายของโครงสร้างทางสังคมที่มั่นคงได้อย่างแม่นยำ เมื่อ A. Toffler พูดถึงเรื่องเร่ร่อนครั้งหนึ่ง เขาหมายถึงการรับรู้ตนเองของผู้คนที่ถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐาน เปลี่ยนที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง

ความสูญเสียและความหดหู่ที่พวกเขาประสบ ทุกวันนี้นีโอเร่ร่อนค่อนข้างแสดงออกถึงสถานการณ์ชีวิตที่ยากลำบาก แต่ตรงกันข้ามกับความปกติของมัน มันสะท้อนถึงภาพลักษณ์ปกติของหลาย ๆ คนโดยที่พวกเขามองว่าเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์ Nomadization มีลักษณะเป็นสถานการณ์ที่บุคคลไม่สามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้ อย่างน้อยก็ในแง่ทั่วไป และในเรื่องนี้ชีวิตของเขาก็ไม่เกี่ยวพันกับชีวิตเหมือนคนเร่ร่อน โปรแกรมระยะยาวและเป้าหมายที่มีสติ ทั้งหมดนี้นำไปสู่ความจริงที่ว่าในอีกด้านหนึ่งบุคคลจะคุ้นเคยกับการพึ่งพาตนเองเท่านั้นและดำเนินการจากการพึ่งพาตนเองและการตระหนักรู้ในตนเอง (ด้วยเหตุนี้การเติบโตของความเป็นปัจเจกบุคคล) ในทางกลับกันเขามีการเพิ่มขึ้นของ ความรู้สึกไม่สอดคล้องกันภายใน, การกระจายตัวของ "ฉัน" ของเขาเอง, การสูญเสียตัวตน

จริงๆ แล้ว แนวคิดเรื่อง "อัตลักษณ์" และ "วิกฤตอัตลักษณ์" ได้เข้ามาอยู่ในพจนานุกรมปรัชญา จิตวิทยา และสังคมวิทยาอย่างมั่นคงตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 และได้รับลักษณะแบบสหวิทยาการหลังจากการตีพิมพ์ผลงานของ E. Erikson ควรสังเกตว่านักจิตวิทยาอัตตาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้บุกเบิกและได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกหลักของตำแหน่งนี้ James, S. Freud, A. Freud เป็นต้น แน่นอนว่าที่นี่มีความจำเป็นต้องคำนึงว่าแม้ว่าก่อนหน้านี้ คำเหล่านี้ของ Erikson ไม่ได้ใช้โดยเฉพาะในการกำหนดแนวความคิด การไม่มีคำเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการอภิปรายประเด็นที่เกี่ยวข้องใน แนวคิดทางทฤษฎี- โดยทั่วไปแล้ว เจมส์พูดโดยเฉพาะเกี่ยวกับอัตลักษณ์ (โดยใช้คำว่า "ลักษณะนิสัย" เป็นหลัก) ซึ่งหมายถึงความรู้สึกส่วนตัวของความสอดคล้องกับตัวเขาเอง ใน Z. Freud อัตลักษณ์ถูกเข้าใจว่าเป็นโลกภายในที่เป็นส่วนตัวของบุคคล ซึ่งเป็นการก่อตัวของสิ่งนั้น บทบาทใหญ่มีกระบวนการทางชีววิทยาและสังคม S. Freud จ่ายเป็นหลัก ความสนใจอย่างมากปรากฏการณ์การระบุตัวตน การระบุตัวตนเป็นปัจจัยในการสร้างกลุ่มที่ช่วยให้บุคคลสามารถสร้างตนเองโดยคำนึงถึงรูปแบบและรูปแบบพฤติกรรมของผู้อื่นมากมายและระบุตัวตนใน ในระดับที่มากขึ้นกับบางคนโดยไม่รู้ตัว กระบวนการระบุตัวตนทำหน้าที่สำคัญ: การปรับตัว (การป้องกัน) และการเข้าสังคม ในกรณีนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทางชีววิทยา

ทางจิตวิทยา มันคือการรักษาฟังก์ชั่นนี้ซึ่งกลายเป็นสิ่งสำคัญและเด็ดขาดที่สุดสำหรับบุคคล

มีข้อเสียเปรียบบางประการในตำแหน่งของลัทธิฟรอยด์: การขาดความสนใจเนื่องจากปัจจัยของความเป็นจริงโดยรอบ โลกสังคม ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงต่อ โลกภายในบุคลิกภาพ. ในทางตรงกันข้าม จิตวิเคราะห์คลาสสิกบนพื้นฐานของการต่อต้านระหว่างมนุษย์กับสังคม ในที่นี้ ตามอีริคสัน เราควรเน้นย้ำถึงการมีอยู่ของธรรมชาติที่ปรับตัวได้ของพฤติกรรมมนุษย์ โดยที่คุณลักษณะต่างๆ ที่ปรากฏในฐานะอัตลักษณ์จะถูกรวบรวมและสะสม ดังนั้น อัตลักษณ์จึงถูกเข้าใจว่าเป็นสภาวะของอัตลักษณ์ตนเองอย่างถาวร ความนับถือตนเอง บนพื้นฐานการยอมรับภาพลักษณ์องค์รวมของตนเองด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกับการเชื่อมโยงทางสังคมหลายมิติ ดังนั้นความมั่นคงและความสม่ำเสมอของการระบุตัวตนเกิดขึ้นเมื่อบุคคลเข้าถึง ความสัมพันธ์ที่กลมกลืนระหว่างความคิดเกี่ยวกับตนเองกับความคิดของผู้อื่นเกี่ยวกับเธอ กระบวนการนี้อยู่ใน การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลง การสร้างความแตกต่างอย่างต่อเนื่อง การเติมเต็มด้วยเนื้อหาที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่นเดียวกับเนื้อหาอื่นๆ ที่มีความสำคัญต่อการขยายตัวของแต่ละบุคคล ไม่ว่าในกรณีใด บุคคลมักจะพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งความซื่อสัตย์ของตนเอง ซึ่งอาจถูกละเมิดอันเป็นผลมาจาก "วิกฤตอัตลักษณ์"

คำว่า "วิกฤตอัตลักษณ์" ถูกใช้ครั้งแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อปฏิบัติต่อทหารผ่านศึก นักจิตวิทยาที่ทำงานร่วมกับพวกเขาพบว่าหลายคนผ่านเหตุการณ์สุดโต่งมาแล้ว เงื่อนไขที่ยากลำบากสงคราม สูญเสียอัตลักษณ์ของตนเองและความรู้สึกถึงความต่อเนื่อง ความเชื่อมโยงระหว่างเวลา ต่อมา มีการบันทึกการละเมิดที่คล้ายกันในคนหนุ่มสาวที่ถูกแยกออกจากกันโดยความขัดแย้งที่ฝังลึกภายใน แต่ปฏิกิริยาต่อวิกฤติดังกล่าวในคนหนุ่มสาวซึ่งแสดงออกในสภาวะก้าวร้าวหรือภาวะซึมเศร้านั้นเกิดขึ้นชั่วคราวและไม่ก่อให้เกิดกระบวนการทำลายล้างที่ไม่สามารถกลับคืนสภาพเดิมได้ในการพัฒนาตนเอง ทั้งหมดนี้ทำให้สามารถแยก "วิกฤตอัตลักษณ์" ทางพยาธิวิทยาออกจากกันได้ วิกฤตอายุเป็นคุณลักษณะสำคัญของชีวิตของบุคคลใด ๆ ดังนั้นทัศนคติต่อการทำความเข้าใจคำว่า "วิกฤต" เองจึงเปลี่ยนไป เขาเลิกคบกัน

เพื่อจัดการกับภัยพิบัติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้การทำลายล้าง แต่เริ่มเข้าใจว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญหลังจากนั้นการพัฒนาจะหันไปในทิศทางเดียวหรืออีกทางหนึ่ง - ไปสู่การเติบโตหรือการเสื่อมโทรมนั่นเอง

วิกฤตอัตลักษณ์คือความขัดแย้งระหว่างโครงสร้างที่มั่นคงที่จัดตั้งขึ้นของอัตลักษณ์ของบุคคล และวิธีการที่เหมาะสมในการปรับให้เข้ากับความเป็นจริงโดยรอบ วิกฤตสามารถแสดงออกได้ในสภาวะต่างๆ เช่น ความใกล้ชิด มุมมองเวลาที่ไม่ชัดเจน การเลือกอัตลักษณ์เชิงลบ การทับซ้อนกัน และความสับสนของบทบาท ในบริบทนี้ อัตลักษณ์เชิงลบดูเหมือนจะมีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับการทำความเข้าใจกระบวนการที่เกิดขึ้นกับแต่ละบุคคล ซึ่งถูกกำหนดโดยความจำเป็นในการค้นหากลุ่มเฉพาะของตนเองและปกป้องตนเองจากความต้องการที่สูงเกินไปจากหน่วยงานระดับสูงที่ได้รับการปรับปรุง การเลือกอัตลักษณ์เชิงลบดังกล่าวแสดงถึงความพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์เพื่อที่จะประนีประนอมในลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ องค์ประกอบต่างๆ ของอัตลักษณ์ที่ปราบปรามซึ่งกันและกัน อัตลักษณ์เชิงลบมาจากการระบุตัวตนและบทบาทที่นำเสนอและมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์หรืออันตรายที่สุดในช่วงวิกฤตของการพัฒนา แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่เป็นจริงที่สุด

ตามกฎแล้ววิกฤตที่แต่ละบุคคลประสบจะนำไปสู่ความคับข้องใจความหดหู่ความก้าวร้าวและความขัดแย้งภายในมากมาย แต่ถึงกระนั้นก็ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นขั้นตอนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และสมเหตุสมผลบนเส้นทางของการพัฒนาส่วนบุคคลไปสู่การก่อตัวและการได้มาซึ่ง ตนเองเป็นอัตลักษณ์องค์รวม ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญคือวิกฤตการณ์ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนการเคารพตนเองด้วยความเกลียดชังตนเอง ในบริบทนี้ V. Hösle เป็นผู้พิจารณาวิกฤติด้านอัตลักษณ์ ซึ่งมีแนวคิดอยู่ใกล้เราในการทำความเข้าใจปัญหาที่แต่ละบุคคลต้องเผชิญ

Hösle มองว่าวิกฤตอัตลักษณ์เป็นการปฏิเสธตัวตนในส่วนของ “ฉัน” จำเป็นต้องชี้แจงทันทีว่านักคิดเข้าใจอะไรด้วยตนเองและ "ฉัน" ในแนวคิดของเขา แนวคิดเหล่านี้ไม่สอดคล้องกัน แม้ว่าจะมีสัมพัทธภาพของความแตกต่างระหว่างตัวตนและ "ฉัน" ก็ตาม “ฉัน” เป็นหลักในการสังเกต ตัวตนเป็นผู้สังเกต (ในกรณีนี้เราเห็นตามจุดยืนดั้งเดิมของปรัชญาโดยพิจารณาจาก

การกำหนดตนเองว่าเป็นศูนย์กลาง "นิวเคลียร์" ที่มั่นคงของบุคคล) “ฉัน” ของบุคคลสังเกตตนเอง และตีตัวออกห่างจากสิ่งนั้น แต่ “ฉัน” สามารถสังเกตการสังเกตของตนเองได้ และในกรณีนี้ “ฉัน” จะกลายเป็นตัวตน ดังนั้น "ฉัน" จึงสามารถระบุตัวตนได้ด้วย ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวตนในตอนแรกจะกลายเป็น "ฉัน" ไม่ว่าในกรณีใด ปัญหาของอัตลักษณ์ก็คือปัญหาของการระบุตัวตน การระบุตัวตนของ "ฉัน" และตัวตน

วิกฤติด้านอัตลักษณ์ ซึ่ง “ฉัน” ปฏิเสธความเป็นตัวตน ไม่สามารถชัดเจน เปิดเผย และชัดเจนได้อย่างสมบูรณ์ ผู้ไม่รัก ดูหมิ่นตนเอง ย่อมหาทางหลอกลวง หลีกหนีจากตนเอง นี่เป็นเพราะความทุกข์ทรมานที่แสนสาหัสและเจ็บปวดที่เขาต้องเผชิญและสามารถเอาชนะได้ด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ในที่นี้เราสามารถบอกเหตุผลต่างๆ ของการสำแดงวิกฤตด้านอัตลักษณ์ได้ (ตั้งแต่ทางจิตจนถึงสังคม) ตัวอย่างเช่น หนึ่งในนั้นอาจเป็นเหตุผลที่ฝังรากอยู่ในการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของร่างกาย และไม่เต็มใจที่จะทนต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ อีกประการหนึ่งอาจเกิดจากการสูญเสียความทรงจำ เนื่องจากบุคลิกภาพส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นจากอดีต และบางช่วงเวลาในอดีต "ฉัน" ต้องการที่จะลืมนั่นคือลืมตัวเอง อย่างหลังนำไปสู่วิกฤตอัตลักษณ์ นอกจากนี้ต้นตอของวิกฤตอาจเป็นการไม่ยอมรับความชั่วคราวความหายวับไปของตัวตนซึ่งอาจส่งผลให้ ความกลัวตื่นตระหนกแห่งความตาย ภาพที่ไม่ถูกต้องและบิดเบี้ยวเกี่ยวกับตัวตนของตนเอง (การพูดเกินจริงในข้อดีของตนเอง หรือในทางกลับกัน การดูถูกดูแคลนตนเอง) นำไปสู่วิกฤตด้านอัตลักษณ์ แต่วิกฤตอัตลักษณ์ที่ร้ายแรงและสิ้นหวังที่สุดมีสาเหตุหลักมาจากความเชื่อมั่นว่าไม่มี มาตรฐานทางศีลธรรม- ความสิ้นหวังของวิกฤตครั้งนี้ก็คือ แทบจะไม่มีทางหลุดพ้นไปได้ เนื่องจากแนวคิดเรื่อง “วิกฤต” มีความหมายแฝงเชิงบรรทัดฐานที่บุคคลปฏิเสธ ในกรณีนี้ การปฏิเสธ การปฏิเสธความแตกต่างระหว่างสิ่งถูกและผิด ข้อผิดพลาดและความจริง ช่วยขจัดการกำหนดคำถามของวิกฤต ซึ่งก่อให้เกิดความสิ้นหวัง สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของวิกฤตด้านอัตลักษณ์ ได้แก่ ความไม่สมดุลระหว่างตัวตนที่แท้จริงกับตัวตนที่ปรากฎการณ์ (ทางสังคม)

สะพาน. และในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าทึ่งเป็นพิเศษคือความรวดเร็วของบุคคลโดยปราศจากการต่อต้านใด ๆ ยอมรับที่สูงเกินจริงหรือในทางตรงกันข้าม ประณามการประเมินของผู้อื่นเกี่ยวกับตัวเขาเอง โดยไม่มีหลักศีลธรรมที่น่าเชื่อ นอกจากนี้ วิกฤติยังทำให้ตัวเองรู้สึกได้เมื่อมีการปะทะกับผู้มีอำนาจและครอบงำมากที่สุด บุคลิกภาพที่แข็งแกร่งภายใต้แรงกดดันที่เราต้องเป็นหรือมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่มีความสามารถพิเศษอันเป็นผลมาจากการประเมินความเป็นปัจเจกของตนเองเกิดความคลาดเคลื่อนอย่างมากทำให้เกิดความรู้สึกไร้ค่าและไร้ประโยชน์โดยทั่วไป อัตลักษณ์ถูก “สั่นคลอน” เมื่อเราต้องพบกับพฤติกรรมที่น่าผิดหวังของผู้เป็นที่รัก โดยเฉพาะการทรยศหักหลัง ซึ่งมีราคาแพงอนันต์และ ที่รักส่งผลให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถเพียงพอในการรับรู้และประเมินผู้อื่นอย่างเป็นกลาง

ความสำคัญในการศึกษาแนวคิดของ Hösli อยู่ที่ข้อเท็จจริงที่ว่านักคิดเน้นย้ำแนวคิดต่อไปนี้ (และตามที่เราเห็น ยุติธรรม) แม้ว่าจะมีอันตรายร้ายแรงมากจากวิกฤตอัตลักษณ์ทุกครั้งก็ตาม อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถประเมินได้เพียงอย่างเดียว ในแง่ลบ ความจำเป็นของวิกฤตอยู่ที่ความจริงที่ว่าต้องขอบคุณการพัฒนามนุษย์ที่เกิดขึ้นและ สถาบันทางสังคม(เมื่อถึงวิกฤติอัตลักษณ์ส่วนรวม) อันเป็นผลมาจากวิกฤต การปฏิเสธบางส่วนต่ออัตลักษณ์เดิมของคนๆ หนึ่งเกิดขึ้น และตัวตนใหม่เริ่มก่อตัวขึ้น ซึ่งได้รับเนื้อหาที่ซับซ้อนมากขึ้น เพื่อสิ่งนี้ ตามคำกล่าวของเฮสล์ จึงมีความจำเป็น เงื่อนไขต่อไปนี้การฟื้นฟูอัตลักษณ์อย่างชาญฉลาด: “ประการแรก สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ “ฉัน” ตระหนักว่าตัวตนที่ตนปฏิเสธนั้นไม่ได้เป็นไปในทางลบทั้งหมด เหตุผลที่ตนเองดูหมิ่นตนเองอย่างมาก กล่าวคือ ตัวตนของพวกเขา ชี้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง การยอมรับข้อบกพร่องของตนเองโดย "ฉัน" ควรถูกมองในแง่บวก เนื่องจากการรับรู้นี้ควรถือเป็นความสำเร็จเชิงบวกของ "ฉัน" ที่เกี่ยวข้องกับตัวตนนี้ สิ่งหลังจึงไม่สามารถแก้ไขไม่ได้อย่างสมบูรณ์และเลวร้ายอย่างสิ้นหวัง วี มิฉะนั้น"ฉัน" ไม่สามารถ-

ฉันจะรู้สึกรังเกียจเธอ ความรังเกียจที่ "ฉัน" ประสบนั้นถือเป็นเชื้อสายของอัตลักษณ์ใหม่ และเป็นเพราะความเข้าใจที่ว่าความรังเกียจนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าจะสมเหตุสมผลก็ตาม เพราะเมื่อสมเหตุสมผลแล้ว มันแสดงถึงบางสิ่งที่เป็นบวก”

กุญแจสำคัญสู่เส้นทางปรัชญาในการหาทางออกที่เหมาะสมจากวิกฤตอัตลักษณ์คือความมีเหตุผลของอัตลักษณ์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการปฏิเสธความเป็นตัวตนของตัวเองต่อ "ฉัน" จึงไม่สามารถมีลักษณะทั้งหมดได้ เนื่องจากสิ่งนี้ขัดแย้งกับหลักการของเหตุผล ความสมเหตุสมผลในบริบทนี้ทำหน้าที่เป็นหลักการเชิงบรรทัดฐานของอัตลักษณ์ของมนุษย์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิเสธความเป็นตนเอง ในความจริงที่ว่าความสัมพันธ์ที่สมเหตุสมผลและสม่ำเสมอของ "ฉัน" กับความเป็นตัวเองนั้นจำเป็นต้องได้รับการยอมรับถึงสิ่งที่ถูกปฏิเสธ ค่าบวกเพราะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกับผู้ถูกปฏิเสธ ความสมเหตุสมผลปรากฏให้เห็นในความจริงที่ว่าในการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ บุคคลควรหลีกเลี่ยงการประเมินตัวตนในอดีตของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ว่าเป็นเท็จและเชิงลบโดยสิ้นเชิง ข้อผิดพลาดของพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าวนั้นอยู่ที่การพึ่งพาประสบการณ์เชิงลบมากเกินไป ซึ่งรั้งเขาไว้ ครอบงำเขา และไม่อนุญาตให้เขาประเมินเส้นทางการพัฒนาของเขาอย่างเพียงพอและเป็นกลาง ที่นี่เป็นสิ่งสำคัญขั้นพื้นฐานสำหรับบุคคลที่จะเข้าใจหลักการกำเนิดของการพัฒนาความเป็นปัจเจกบุคคลของเขาเองบนพื้นฐานของการรับรู้ความหมายบางอย่างสำหรับ

ความสม่ำเสมอ (แม้ว่าจะอยู่ในเวอร์ชันที่ซ่อนอยู่) ของประสบการณ์ในอดีต ซึ่งช่วยให้คุณสามารถประสานอดีตกับปัจจุบันได้

ดังนั้น วิกฤตอัตลักษณ์ แม้จะมีเรื่องราวดราม่ามากมาย แต่ก็ทำหน้าที่เป็นบรรทัดฐานสำหรับการสร้างบุคลิกภาพ และควรเข้าใจว่าเป็นความปรารถนาของเธอที่จะตระหนักว่าตัวเองเป็นความสมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียว เป็นความสามารถในการเอาชนะการกระจัดกระจายและความไม่สอดคล้องกันของภาพของเธอ และเชื่อมโยงพวกเขาอย่างกลมกลืน ตามที่ระบุไว้โดย O. I. Zhukovsky ในบทความเรื่อง "ปัญหาบุคลิกภาพวิกฤตในสังคมหลังสมัยใหม่" "วิกฤตอัตลักษณ์ทำให้บุคคลเข้าใจหลักการของการก่อตัวของตนเอง สาระสำคัญของมันอยู่ที่ความสามารถในการรับรู้ถึงรูปแบบที่ซ่อนอยู่ แต่ยังคงเป็นตรรกะของอดีตของตัวเอง ยอมรับตัวเองในระบบพิกัดกาลอวกาศของอดีตนี้ และดังนั้นจึงต้องตกลงกับมันแม้ว่าจะถูกปฏิเสธเนื่องจาก เปลี่ยน หลักเกณฑ์ด้านคุณค่า- แม้แต่การตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นถึงการกระทำที่ผิดพลาดซึ่งบุคคลไม่ควรกระทำนั้นไม่ได้สันนิษฐานว่าการรับรู้ของพวกเขาเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้โดยสิ้นเชิง แต่เป็นเงื่อนไขสำหรับความก้าวหน้าส่วนบุคคลที่เป็นไปได้ ในบริบทนี้ ความก้าวหน้าคงเป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงเลยหากบุคคลหนึ่งได้ครอบครองมันแล้วตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางของชีวิต การวิเคราะห์เหตุผลเชิงลึกของตนเอง ความถูกต้องของตนเอง และนี่คือความเป็นผู้ใหญ่และความพอเพียงของเธอที่แสดงออกในความสามารถในการเข้าใจความหมายของการดำรงอยู่ที่แท้จริงของเธอ

วรรณกรรม

1. Berger P., Lukman T. การสร้างความเป็นจริงทางสังคม - ม.: ปานกลาง, 2538. - 323 น.

2. Zhukova O.I. ปัญหาวิกฤตบุคลิกภาพในสังคมหลังสมัยใหม่ // ปรัชญาการศึกษา -2008. - หมายเลข 1 (22) - หน้า 176-183.

3. Riker P. Ya - ตัวเขาเองเหมือนอีกคน - อ.: สำนักพิมพ์คณะมนุษยศาสตร์. สว่าง., 2551. - 419 น.

4. เอริกสัน อี. อัตลักษณ์: เยาวชนและวิกฤติ - อ.: ฟลินตา 2549 - 356 หน้า

5. Hesle V. วิกฤตการณ์ส่วนบุคคลและอัตลักษณ์ส่วนรวม // ประเด็น ปรัชญา. - 2537. - ลำดับที่ 10. -ส. 112-123.

1. Berger P., Lukman T. Sotsial"noe konstruirovanie real"nosti. มอสโก, สื่อกลาง, 2538. 323 น. (ในรัส.)

2. Zhukova O.I. ปัญหา krizisa lichnosti กับ usloviyakh obshchestva หลังสมัยใหม่ Filosofiya obrazovaniya, 2008, ฉบับที่ 1 (22), หน้า. 176-183. (ในรัส.)

3.ริกเกอร์ ป.ยา-สามัคคีดดอย. มอสโก, วรรณกรรมมนุษย์, 2551. 419 น. (ในรัส.)

4. Erikson E. Identichnost": yunost" และ krizis. มอสโก, Progress Publicl., 2549. 234 น. (ในรัส.)

5. Khesle V. Krizis บุคคล "noy i kollektivnoy identichnosti. Voprosy filosofii, 1994, no. 10, pp. 112-123. (ใน Russ.)

ปัญหาการปฏิรูปสังคมสมัยใหม่มีสองประเด็น ประการแรกคือการปฏิรูปสังคมให้เป็นระบบองค์กร ในกรณีนี้ เราควรพูดถึงหลักการของการเปลี่ยนแปลงที่เหมือนกันกับความหลากหลายเฉพาะของวัฒนธรรม - เกี่ยวกับกลยุทธ์การปฏิรูป ประการที่สองคือการปฏิรูปสังคมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม จากนั้นเราควรพูดถึงกลยุทธ์ส่วนบุคคลและกลยุทธ์พิเศษ และภารกิจในการเปลี่ยนแปลง

ในฐานะ "ระบบองค์กร" สังคมรัสเซียสามารถจำแนกได้ว่าเป็นระบบราชการประเภททั่วไปที่มีวิวัฒนาการแบบช้าๆ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า "จังหวะการพัฒนาระบบราชการ"

พื้นฐานของกลยุทธ์ในการปฏิรูปสังคมที่จัดตั้งขึ้นด้วยการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรมในระดับที่ค่อนข้างสูงนั้นนำเสนอในโครงการ "การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์" ของระบบราชการโดย M. Crozier ทฤษฎีการระบุ "โหนดปิดล้อม" และ "จุดที่ละเอียดอ่อน" ที่เข้มงวดของระบบซึ่งนวัตกรรมเป็นไปได้ ก่อให้เกิด “วิกฤตการณ์เชิงสร้างสรรค์” ขึ้น ถูกเวลาและในสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อสร้างกระบวนการพัฒนาในประเทศ - การดำเนินการเหล่านี้ใช้กับทุกองค์กรรวมถึง และต่อสังคมรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นปัญหาขององค์กรยังคงเป็นทฤษฎีที่บริสุทธิ์โดยปราศจากความรู้เกี่ยวกับบริบททางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งในความเป็นจริง จำเป็นต้องระบุจุด "สำคัญ" ของระบบ และทำให้ "หลักและ เดิมพันรอง” ในเกมโซเชียล รัสเซียอยู่ในตำแหน่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในเรื่องนี้ ปัญหาสังคมและวัฒนธรรมหลักอยู่ที่ความรู้ของตัวเองที่ไม่น่าพอใจอย่างยิ่ง ในปัจจุบันขาดการระบุตัวตนทางสังคมวัฒนธรรมและการระบุตัวตนของชาติ ยิ่งไปกว่านั้น ความเฉพาะเจาะจง ความเจ็บปวดของการพัฒนา และปัญหามากมายในประเทศของเรานั้นเกิดจากการที่ความตระหนักรู้ในตนเองอย่างเข้มแข็งและแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน รวมถึงก่อนปี 1917 ซึ่งปัจจุบันถือเป็นจุดเปลี่ยน

หลังการปฏิวัติ ความเข้าใจในแก่นแท้ของลักษณะและจิตวิญญาณประจำชาติของรัสเซียเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น และจากนั้นก็เกิดขึ้นในหมู่ผู้อพยพทางปัญญาของรัสเซีย ทุกวันนี้ เมื่อเรากำลังประสบกับ "วิกฤตด้านอัตลักษณ์" อีกครั้งหนึ่ง และวิกฤติที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ความจำเป็นในการพัฒนาความเข้าใจตนเองแบบองค์รวมและยั่งยืนก็กลายมาเป็นภารกิจที่มีความสำคัญสูงสุด มีเพียงการทำความเข้าใจว่า "เราเป็นใคร เราเป็นใคร และเรากำลังจะไปที่ไหน" เท่านั้น เราจึงจะสามารถระบุ "โหนด" หลักของการปฏิรูประบบสังคมของเรา ขอบเขตหลักของอิทธิพล จุดแข็งและจุดอ่อนของเรา โครงสร้างที่เข้มงวดซึ่ง ทนต่ออิทธิพลและจุด "สนับสนุน" "จุดยึด" ที่สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง

แต่ก่อนอื่น ควรพูดอะไรสักสองสามคำเกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง “วิกฤตอัตลักษณ์” เพราะนี่คือปรากฏการณ์ที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในความเป็นจริงทางสังคม ผู้คนจำนวนมากประสบกับสภาวะนี้ ดังนั้นจึงมีช่วงเวลาที่ "เหมือนกัน" สำหรับทุกประเทศ และความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทำให้ง่ายต่อการเข้าใจ สัมผัส และเอาชนะวิกฤติดังกล่าวในรัสเซีย

“วิกฤตอัตลักษณ์” เป็นแนวคิดที่สื่อถึงการสูญเสียแนวปฏิบัติทางสังคม จิตวิทยา และศีลธรรมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ การสูญเสียความสมดุลทางจิตใจทั้งโดยบุคคลและชุมชนระดับชาติขนาดใหญ่

มีปัญหาในการระบุตัวบุคคลกับครอบครัว สังคม กลุ่มชาติพันธุ์ ศาสนา การเมือง และชุมชนระดับชาติ ควรเน้นย้ำว่าในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติ การศึกษาการก่อตัวและพัฒนาการทางการเมืองและโดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตลักษณ์ของชาติถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นพิเศษ โดยที่ไม่ละทิ้งความสำคัญของสิ่งแรกแต่อย่างใด

ในตัวมาก ปริทัศน์อัตลักษณ์ประจำชาติถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของลักษณะประจำชาติ วัฒนธรรมทางการเมือง รูปแบบของการขัดเกลาทางสังคม การเลี้ยงดู และการศึกษาที่เป็นที่ยอมรับในสังคมที่กำหนด ปัจจัยทั้งหมดนี้มีทั้งส่วนประกอบถาวรและชิ้นส่วนที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว คุณลักษณะเหล่านี้ถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวโดยโครงการของรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมซึ่งอยู่ในรูปแบบของอุดมการณ์สาธารณะหรือโลกทัศน์ทางสังคมที่แสดงออกถึงเป้าหมายและวิธีการเคลื่อนไหวของสังคมที่กำหนด

รากฐานทางทฤษฎีสำหรับการพัฒนาปัญหาอัตลักษณ์ถูกวางโดย Erik Erikson ผู้เกิดในเดนมาร์ก ผู้ซึ่งนำคำว่า "วิกฤตอัตลักษณ์" มาใช้ในวงการรัฐศาสตร์ ในแนวคิดของเขา "วิกฤตอัตลักษณ์" เป็นเงื่อนไขที่มีเงื่อนไขทางสังคมเป็นหลัก และมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของสังคมในช่วงเปลี่ยนผ่านของประวัติศาสตร์ เช่น การปฏิวัติ สงคราม ฯลฯ เหตุการณ์ต่างๆ

ในแนวคิดเรื่อง "อัตลักษณ์" เอริคสันได้แยกความแตกต่างสองแง่มุมที่สัมพันธ์กัน - "อัตลักษณ์ส่วนบุคคล" (ความปรารถนาของบุคคลที่จะรักษาอัตลักษณ์ตนเองทางจิตวิทยา) และ "อัตลักษณ์ของชุมชน" (การรวมการดำรงอยู่ของปัจเจกบุคคลในชุมชนมนุษย์บางแห่งและแบ่งปันด้วย ค่านิยมทางสังคมมีความโดดเด่นในช่วงหนึ่ง ประวัติศาสตร์สังคม) (171).

ผ่านการไตร่ตรองและการสังเกตผ่านกระบวนการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นและผู้อื่นกับตัวเองบนพื้นฐานของคุณค่าที่ถูกต้องโดยทั่วไป กระบวนการสร้างตัวตนของอัตลักษณ์ส่วนบุคคลและชุมชนเกิดขึ้นซึ่งจบลงด้วยการก่อตัวของอัตลักษณ์ทางจิตสังคมหรือจิตประวัติศาสตร์เป็น สัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์ของบุคคล (172) ซึ่งหมายความว่าในสภาวะปกติบุคคลจะสัมผัสกับความรู้สึกอินทรีย์ที่เป็นของยุคประวัติศาสตร์ของเขาและประเภทของลักษณะปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในยุคนี้ซึ่งสอดคล้องกับความคิดและการกระทำโดยธรรมชาติของมันกับที่โดดเด่น ยุคนี้ภาพทางสังคมและจิตวิทยาของบุคคล กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีการยอมรับการดำรงอยู่ทางสังคมว่าเป็น "ของตัวเอง" (173)

ณ จุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ เมื่อระเบียบโลกหนึ่งถูกแทนที่ด้วยอีกระเบียบหนึ่งด้วยคุณค่าใหม่ที่สำคัญระดับสากลและ ทัศนคติทางสังคมความสามัคคีดังกล่าวพังทลายลง และไม่เพียงแต่บุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชุมชนทั้งหมดพบว่าตัวเองตกอยู่ในภาวะวิกฤติ เมื่อระบบการจัดการประสบการณ์ทางสังคมก่อนหน้านี้พังทลายและค่านิยมล้าสมัย ชุมชนสังคมเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน - "สูญญากาศอัตลักษณ์" เกิดขึ้นซึ่งเกิดขึ้นจากช่วงเวลาที่ชุมชนส่วนใหญ่ประสบกับความรู้สึกหมดสติ "การบีบอัด" ของ "ภาพลักษณ์ของโลก" ที่คุ้นเคยและชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นลางสังหรณ์ที่คลุมเครือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและแนวคิดทางสังคมที่กำลังจะเกิดขึ้น (174) ความรู้สึกเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่เราคุ้นเคย

การเอาชนะวิกฤตินั้นเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของสังคมของบุคคลในประวัติศาสตร์ที่สร้างสรรค์ ซึ่งต้องขอบคุณความอ่อนไหวและความสามารถในการดูดซับที่เพิ่มขึ้น จึงปรากฏเป็นโฆษกของปัญหาร่วมกันสำหรับทุกคน ในช่วงเวลาดังกล่าว สังคมเองก็ต้องการผู้นำทางการเมืองที่เปลี่ยนประสบการณ์ส่วนตัวที่สั่งสมมาจนกลายเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับแนวความคิดในยุคนั้น และรวมเอาองค์ประกอบต่าง ๆ ของมันให้เป็นกระบวนทัศน์ทางอุดมการณ์ใหม่ แนวคิดเหล่านี้ถูกสวมใส่ในรูปแบบที่มีวิสัยทัศน์ของคำสอนทางศาสนาหรือทางโลกใหม่ๆ หรือในโครงการทางการเมือง และผู้คนมองว่าเป็นสูตรอาหารที่ช่วยประหยัด เอริกสันอุทิศการศึกษาพิเศษให้กับบุคคลเหล่านี้ซึ่งกลายมาเป็นผู้นำของการเคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่เพื่อมุ่งสู่อัตลักษณ์ใหม่ - เอ็ม. ลูเธอร์, ที. เจฟเฟอร์สัน, เอ็ม. คานธี บุคคลดังกล่าวสร้างองค์ประกอบของการรวมตัวกันและเป็นเอกฉันท์ในจิตสำนึกสาธารณะ แต่ในขณะเดียวกัน ในตอนแรกเขามีวิสัยทัศน์เชิงมโนทัศน์เกี่ยวกับปัญหา โดยตระหนักถึงธรรมชาติที่ซับซ้อนและซับซ้อนของมัน

นี่คือความเป็นผู้นำของมาร์ติน ลูเทอร์ ผู้ซึ่งเริ่มกิจกรรมสาธารณะของเขาด้วยสุนทรพจน์ในวิตเทนเบิร์กด้วยวิทยานิพนธ์ 95 ข้อ ซึ่งปฏิเสธหลักคำสอนหลักของนิกายโรมันคาทอลิกและกำหนดหลักคำสอนหลักของนิกายโปรเตสแตนต์ นี่คือบุคคลสำคัญทางการเมืองของมหาตมะ คานธี ซึ่งการกระทำทางสังคมมีพื้นฐานอยู่บนคำสอนทางจริยธรรมของเขาเกี่ยวกับการไม่ใช้ความรุนแรงและยุทธวิธีในการต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง - สัตยากราหะ - ซึ่งกลายเป็นโครงการของขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติในอินเดีย บทบาททางประวัติศาสตร์ของบุคลิกภาพของ V.I. เลนินที่คล้ายกันคือซึ่งกิจกรรมทางการเมืองนำหน้าด้วยการอธิบายแนวคิดของคำสอนของ K. Marx และกลยุทธ์เชิงปฏิบัติและยุทธวิธีในการดำเนินการซึ่งสะท้อนให้เห็นในงาน“ จะทำอย่างไร? ”, “รัฐและการปฏิวัติ” และอื่น ๆ

เราพบการยืนยันเรื่องนี้ในประวัติศาสตร์ล่าสุดของเรา ซึ่งเป็นครั้งแรกโดย M. Gorbachev ทำหน้าที่ของความสามัคคีและการดำเนินการที่เป็นนวัตกรรม และในปี 1991 โดย B. Yeltsin เมื่อเขาได้รับการสนับสนุนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม ในปีต่อๆ มา แนวคิดเกี่ยวกับช่วงเปลี่ยนผ่านยังไม่ได้รับการพัฒนา และสุญญากาศทางอุดมการณ์ยังคงอยู่

ตามแนวคิดของอีริคสัน ผู้นำทางการเมืองไม่สามารถเป็นบุคคลสุ่มได้ เป็นผลจากกระบวนการพัฒนาประวัติศาสตร์และปัจจัยส่วนบุคคลที่พึ่งพาซึ่งกันและกัน การดูความทันสมัยของรัสเซียในแง่ของประวัติศาสตร์จิตช่วยให้เราเข้าใจว่ามันจะแปลกแค่ไหนเช่นการเรียกร้อง "แนวคิด" ของ "เปเรสทรอยกา" จาก M. Gorbachev ที่เขาประกาศเนื่องจากตัวเขาเองและโลกทัศน์ของเขาเป็นภาพสะท้อนของ ช่วงเวลาแห่งวิวัฒนาการของเรานั้นเมื่อการละทิ้งหลักคำสอนเก่านั้นสุกงอมและมีคุณค่า แต่แนวโน้มและเป้าหมายของการพัฒนายังไม่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่าขณะนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาแนวปฏิบัติทางอุดมการณ์ที่ได้รับการออกแบบและสามารถเติมเต็ม “สุญญากาศทางอุดมการณ์” ได้ จะต้องมีการกำหนดคุณค่าทางอุดมการณ์ใหม่อย่างชัดเจนและเปิดเผย เนื่องจากหากไม่มีพวกเขา มันเป็นไปไม่ได้ไม่เพียงแต่สำหรับประเทศชาติเท่านั้น แต่ยังสำหรับแต่ละคนที่จะกำหนด "มุมมองชีวิต" ของพวกเขาด้วย ความจริงก็คือ แม้ว่า “วิกฤตด้านอัตลักษณ์” จะเป็นกระบวนการทางธรรมชาติในการพัฒนาสังคมและปัจเจกบุคคลในทางใดทางหนึ่ง แต่ก็ต้องเอาชนะให้ได้อย่างมีจุดมุ่งหมาย

“วิกฤตอัตลักษณ์” ได้รับการแก้ไขโดยการประเมินบรรทัดฐานและแนวคิดก่อนหน้านี้อีกครั้ง รวมถึงผ่านการทดลองบทบาท โดยสมมติว่ามีบทบาททางสังคมในอนาคต ขั้นตอนนี้เหมาะเรียกว่า "การพักชำระหนี้ทางจิตสังคม" นี่คือสภาพที่สังคมของเราอยู่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ความล่าช้าในกระบวนการกำหนดอุดมการณ์ส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยและความมั่นคงของพื้นที่อยู่อาศัยของแต่ละบุคคลและสังคมทั้งหมด เนื่องจากทั้งบุคคลและสังคมไม่สามารถอยู่ในสภาวะสับสนได้เป็นเวลานาน แนวทางต่างๆ ดังที่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อแต่ละประเทศและประชาคมโลกเสมอไป

อันตรายโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์โดยรวมคือการก่อตัวและการเสริมสร้าง "อัตลักษณ์เชิงลบ" ของบุคคล กลุ่มทั้งหมด และส่วนต่างๆ ของสังคม ในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ที่ยืดเยื้อ บุคคลอาจหมดหวังที่จะหาโอกาสในการเปลี่ยนองค์ประกอบของอัตลักษณ์เชิงลบให้กลายเป็นอัตลักษณ์เชิงบวก จากนั้นพลังงานเชิงลบที่ถูกระงับนี้จะพบทางออกในการสนับสนุนของผู้คนต่อผู้นำโรคจิต ซึ่งเป็นพื้นฐานทางสังคมของการดำรงอยู่ของตัวตนที่เป็นเชิงลบอย่างแม่นยำ

นักปรัชญาชาวสเปน Ortega y Gasset ได้ผลลัพธ์ที่คล้ายกัน แต่บนพื้นฐานแนวคิดที่แตกต่างกันเล็กน้อยในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ในหนังสือของเขาเรื่อง The Revolt of the Masses ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1930 ซึ่งอย่างไรก็ตาม ถูกอ่านแตกต่างออกไปหลังจากนั้น ที่จะเข้ามามีอำนาจเหนือพวกนาซีในเยอรมนี Ortega y Gasset อธิบายสถานะของมวลชนในช่วงวิกฤตพิเศษช่วงเปลี่ยนผ่านของการพัฒนายุโรปซึ่งโดดเด่นด้วยการบุกรุกเทคโนโลยีใหม่อย่างรวดเร็วในประวัติศาสตร์ยุโรปการเพิ่มขึ้นโดยทั่วไปในระดับของชีวิตทางวัตถุและความต้องการทางจิตวิญญาณเป็นส่วนใหญ่ ของประชากรของประเทศตะวันตก การแพร่กระจายของกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการขยายตัวของเมือง และการเติบโตของกิจกรรมของผู้คนที่ก้าวไปอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความปรารถนาที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตสาธารณะ (175)

การทำลายล้างลำดับชั้นก่อนหน้านี้และการมีปฏิสัมพันธ์ของชั้นทางสังคมส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากถูกดึงออกจากสถานที่ทางสังคมและถูกตัดขาดจากสถานะทางสังคมของพวกเขา บุคคลพบว่าตนเองไม่มีเป้าหมายทางสังคมที่เน้นนิสัยและความผูกพันทางสังคมที่เข้มแข็ง และเป็นผลให้สามารถกลายเป็นวัสดุที่ดีสำหรับนักการเมืองที่กล้าได้กล้าเสีย สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการที่มวลชนสืบทอดสภาวะการทำลายล้างของระบบเดิม ซึ่งแม้แต่สิ่งที่ไม่ควรทำลายก็ถูกทำลายไป ไม่มีอะไรที่จะทดแทนกลไกทางสังคมแบบเก่าได้ ซึ่งเมื่อ อย่างน้อยที่สุดก็มั่นใจในความเป็นระเบียบและความมั่นคง ในสถานการณ์เช่นนี้ มวลชนกำลังรอคอยการมาถึงของผู้นำที่เข้มแข็งซึ่งจะแสดงให้พวกเขาเห็นสิ่งที่พวกเขาควรต่อสู้เพื่อและสิ่งที่พวกเขาปรารถนา

ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์คนหนึ่งเสนอภาพการรับรู้ของวิกฤตสังคมในระยะนี้ที่ใกล้เคียงกับที่กล่าวมาข้างต้นมาก มหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐอเมริกา Robert Dahl ผู้ซึ่งอิงตามเหตุผลของปราชญ์ชาวสเปนได้สรุปเกี่ยวกับการพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้งของมวลชนและผู้นำ “สำหรับคำถามที่ว่า “ใครเป็นผู้ปกครอง” เขาเขียนว่า “คำตอบจะเป็น: ไม่ใช่ทั้งมวลชนหรือผู้นำ แต่ทั้งสองอย่างอยู่ด้วยกัน ผู้นำรับรู้ถึงความปรารถนาของมวลชน และใช้อำนาจที่รับรองความภักดีและการเชื่อฟังของมวลชนเหล่านี้ เพื่อลดหรือขจัดการต่อต้านกฎหมายของตนเองทั้งหมดให้หมดสิ้น” (176)

ดังนั้นจึงชัดเจนว่าการพัฒนาความคิดระดับชาติที่เป็นเอกภาพซึ่งจำเป็นต้องนำหน้าด้วยงานที่ลึกซึ้งและซับซ้อนเพื่อทำความเข้าใจแก่นแท้ของจิตวิญญาณประจำชาติรัสเซียและลักษณะประจำชาติเช่น การตระหนักรู้ถึงอัตลักษณ์ประจำชาติของรัสเซียในปัจจุบันมีความสำคัญทางการเมืองและมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากปราศจากการตระหนักรู้ในตนเอง การเอาชนะ "วิกฤตด้านอัตลักษณ์" หรือความมั่นคงและการดำรงอยู่ในระยะยาวของประเทศ รัฐ หรือประเทศใดๆ ก็เป็นไปไม่ได้

ระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพ เช่น ของสหรัฐอเมริกา นั้นมีเสถียรภาพจนถึงขนาดที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยึดมั่นและยังคงมุ่งมั่นต่อสิ่งที่ในประเทศนั้นเรียกว่า "ลัทธิประชาธิปไตย" คนอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าระบบของพวกเขาเป็นการประมาณที่สมบูรณ์แบบที่สุดกับอุดมคติประชาธิปไตยที่มีอยู่ พวกเขาเชื่อว่าข้อบกพร่องที่มีอยู่นั้นสามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ภายในกรอบของระบบนี้เอง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรากฐานอย่างรุนแรง นอกจากนี้ พลเมืองอเมริกันทั่วไปส่วนใหญ่ยังมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้กระทำการละเมิดกฎหมายอย่างร้ายแรง และโดยทั่วไปแล้ว โครงสร้างของรัฐบาลอเมริกันจะปฏิบัติตามหลักการประชาธิปไตยที่ตนประกาศไว้ อย่างหลังนี้ถูกสร้างขึ้นโดยระบบการศึกษาและเสริมบุคลิกภาพของผู้ใหญ่ เมื่อเธอพบคำยืนยันในกระบวนการที่แท้จริงของการกระทำทางสังคมของเธอ ท้ายที่สุดแล้ว สำหรับชาวอเมริกันที่จะ “ปฏิเสธหลักประชาธิปไตย” ก็เท่ากับปฏิเสธที่จะเป็นคนอเมริกัน (177)

เพื่อเอาชนะวิกฤตอัตลักษณ์ในรัสเซีย จำเป็นต้องพัฒนาอุดมการณ์ของเราเอง ซึ่งเติบโตจากส่วนลึกของลักษณะนิสัยและจิตสำนึกของรัสเซีย ซึ่งสามารถจำกัดการยืมและการทดลองทางสังคมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งไม่เพียงพอต่อความเป็นจริง ซึ่งในความเป็นจริง เป็นไปได้ตราบเท่าที่เรายังไม่มีความเข้าใจที่เข้มแข็งและมั่นคงในตัวเอง - ภูมิศาสตร์การเมือง จิตวิทยา โครงสร้างชีวิตทางเศรษฐกิจ การเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง เช่น ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่ามีจิตสำนึกทางกฎหมายของรัสเซียที่สนับสนุนและพิสูจน์ความเป็นรัฐใหม่ของรัสเซีย

การขาดความตระหนักและความไม่มั่นคงของประเพณีอินทรีย์และศักดิ์สิทธิ์ของชาติ ความไม่มั่นคงของลักษณะทางศีลธรรมของประชาชน ความใหญ่โตและการเลียนแบบของความกล้าหาญทางการเมืองของชนชั้นสูงทางปัญญาและการเมืองของรัสเซีย ทำให้เกิดวิกฤตการณ์อัตลักษณ์ส่วนรวมในเวอร์ชันที่พิเศษมาก รัสเซียซึ่งแสดงออกในรูปแบบของปัญหา

คุณสมบัติของทั้งหมด ปัญหาของรัสเซียก็คือพวกเขามาพร้อมกับความเกียจคร้านทางสังคมและการไม่รู้อิโหน่อิเหน่จากกลุ่มผู้ปกครองและกลุ่มปัญญาชน หน้าที่หลักของอย่างหลังในสังคมที่มีการจัดระเบียบอย่างดีและเหมาะสมคืองานที่สม่ำเสมอและเหมาะสมกับความเป็นจริงเพื่อทำความเข้าใจแนวทางการเปลี่ยนแปลงในชีวิตทางสังคม เมื่อกลุ่มปัญญาชนปฏิเสธที่จะทำหน้าที่นี้ในช่วงปัญหารัสเซีย กระบวนการของ "การปลดปล่อย" แบบอนาธิปไตย "การปลดแอกชนชั้นล่าง" ก็ได้รับแรงผลักดัน ผลก็คือผู้ปกครองบางคนซึ่งรู้สึกเหมือนเป็นคนงานชั่วคราว ใช้ประโยชน์จากสภาพมวลชนนี้เพื่อดำเนินการแจกจ่ายทรัพย์สิน

บุคคลที่ "ไม่ผูกมัด" (โปรดจำไว้ว่าภายในปี 1985 คำที่ทันสมัยที่สุดในศัพท์เฉพาะของคนหนุ่มสาวคือลักษณะ "เท่" และ "ไม่ผูกมัด") ได้รับสิทธิ์ในความไม่เป็นระเบียบ ต่อระบอบเผด็จการ และการลบล้างสัญชาติของ จิตสำนึกทางกฎหมายของรัสเซียเกิดขึ้น

ช่วงเวลาแห่งปัญหาใด ๆ คือการหมักและสิ่งสำคัญคือมันจะจบลงอย่างไร - ไม่ว่าผู้คนจะสามารถหมักและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของพวกเขาหรือไม่ (เช่นในกรณีในช่วงเวลาแห่งปัญหาครั้งแรกของศตวรรษที่ 17) หรือจะเกิดขึ้น ว่าพวกเขาจะถูกบดขยี้ “อาน” โดยนักผจญภัยทางการเมือง

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการสิ้นสุดของปัญหาไม่ได้หมายถึงการฟื้นฟูสถานะมลรัฐในรูปแบบใดๆ ก่อนหน้านี้แต่อย่างใด เป็นไปได้และเป็นที่พึงปรารถนาในการพัฒนารูปแบบใหม่ของความเป็นมลรัฐซึ่งจะทำให้จิตวิญญาณและจิตสำนึกที่มีอยู่ในลักษณะประจำชาติเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นรูปแบบของรัฐที่เพียงพอ - ความเป็นมลรัฐของชาติ

ตามประวัติศาสตร์แสดงให้เห็น "การล่มสลาย" จะดำเนินต่อไปจนกว่าผู้คนจะกระหายที่จะ "ฟื้นฟู" ระเบียบในด้านหนึ่งและอีกด้านหนึ่งจนกระทั่งผู้นำหรือกลุ่มผู้นำปรากฏขึ้นซึ่งมีความคิดของรัฐเช่น ผู้ซึ่งสามารถพัฒนาแนวคิดที่เป็นเอกภาพใหม่และเริ่มสร้างสถานะมลรัฐรูปแบบใหม่

ช่วงเวลาของการเจริญเติบโตและการก่อตัวของชั้นปัญญาชนที่จงรักภักดีต่อรัฐซึ่งเป็นตัวกลางที่เป็นคนแรกที่แปลข้อเท็จจริงของการดำรงอยู่ทางการเมืองที่มีอยู่เป็นหมวดหมู่ที่มีสติก็มีความสำคัญเช่นกัน จึงช่วยสร้างอัตลักษณ์ประจำชาติใหม่ การตระหนักรู้ถึงตัวแปรที่รัฐสร้างสรรค์ของอัตลักษณ์นี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการก่อตัวและการเสริมสร้างความตระหนักรู้ทางกฎหมายของประชาชน และดังนั้นจึงเป็นการสร้างมลรัฐใหม่

วิกฤติ (ตัวตน วิกฤติ )

E. Erikson อธิบายขั้นตอนแปดขั้นตอนของการพัฒนาอัตตาในรูปแบบของลำดับวิกฤตทางจิตสังคม ในวัยเยาว์ งานหลักการพัฒนากลายเป็นการคลี่คลายข้อขัดแย้ง เรียกว่า อีริคสัน "อัตลักษณ์กับการแพร่กระจายบทบาท" ในกระบวนการของการลงมติ K. และ.

เพราะนักทฤษฎีจิต การวางแนวถือว่าอัตลักษณ์เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด ประเด็นสำคัญความแข็งแกร่งของอัตตาและการพัฒนาเคและ ได้รับการให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

Erikson ตีความอัตลักษณ์ว่าเป็นการบูรณาการการระบุตัวตนและภาพตนเองก่อนหน้านี้ทั้งหมด การสร้างอัตลักษณ์เป็นกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงการระบุตัวตนก่อนหน้านี้ทั้งหมดโดยคำนึงถึงอนาคตที่คาดหวัง แม้ว่าการพัฒนาอัตลักษณ์จะถึงจุดวิกฤติซึ่งอาจเกิดวิกฤติได้เฉพาะในช่วงวัยรุ่นเท่านั้น แต่จะเริ่มตั้งแต่ยังเป็นทารก ในสังคมที่มีโครงสร้างสูงพร้อมพิธีกรรมบังคับในการเปลี่ยนผ่าน ชีวิตผู้ใหญ่หรือบทบาทที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดสำหรับวัยรุ่นเคและ เด่นชัดน้อยกว่าในสังคมประชาธิปไตย

พยายามหลีกเลี่ยง K. และ. ชายหนุ่มและหญิงสาวบางคนเร่งรีบในการกำหนดตัวเองมากเกินไป ลาออกไปสู่จิตสำนึกแห่งโชคชะตาจึงไม่สามารถเปิดเผยศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ คนอื่นๆ ขยายวิกฤตนี้และสถานะของตัวตนที่คลุมเครือไป เวลาไม่แน่นอนเสียอย่างนั้น พลังงานของพวกเขาในความขัดแย้งในการพัฒนาที่ยืดเยื้อและความสงสัยเกี่ยวกับการตัดสินใจด้วยตนเอง บางครั้งอัตลักษณ์ที่กระจัดกระจายก็พบการแสดงออกในสิ่งที่เรียกว่า “อัตลักษณ์เชิงลบ” ซึ่งบุคคลยอมรับอันตรายหรือสังคม บทบาทที่ไม่พึงประสงค์ โชคดีที่ไม่มีวิกฤติร้ายแรง ส่วนใหญ่พัฒนาหนึ่งในหลาย ๆ ตัวตนเชิงบวกที่เป็นไปได้

เฮฟวี่ เค. และ. สามารถป้องกันได้หลายวิธี พ่อแม่และผู้ใหญ่ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการเรียกร้องเด็กมากเกินไปหรือตั้งเป้าหมายที่คลุมเครือเกินไปสำหรับพวกเขา ผู้ใหญ่ควรสนับสนุนให้เด็กๆ แสวงหาผลประโยชน์ของตนเองด้วยการชมเชยความสำเร็จของตนเอง ช่วยเหลือพวกเขาเมื่อพวกเขาเผชิญกับความยากลำบาก ช่วยเปิดเผยและพัฒนาศักยภาพของคุณ สอนความรับผิดชอบช่วยให้คุณได้รับสัมผัสกับผลที่ตามมาจากการกระทำของคุณเว้นแต่ว่าจะเป็นอันตรายเกินไป เคารพพวกเขาในฐานะปัจเจกบุคคล และไม่ดูหมิ่นพวกเขาเมื่อพวกเขาล้มเหลวในการปฏิบัติตามความคาดหวังของผู้ใหญ่ และท้ายที่สุดก็มีส่วนทำให้การตอบสนองของพวกเขาเติบโต ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอัตลักษณ์ที่ช่วยให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับสังคมได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ วัยรุ่นยังต้องได้รับทางเลือกในการดำเนินชีวิตเชิงบวกหรือแบบอย่างที่เป็นประโยชน์ที่หลากหลาย พร้อมโอกาสในการสัมผัสประสบการณ์หลายอย่าง บทบาทที่ยอมรับได้ รู้จักตัวเองดีขึ้น และรับข้อมูล เกี่ยวกับโอกาสและทางเลือกที่แท้จริงจากวัฒนธรรมที่พวกเขาพัฒนาขึ้น

พบว่าข้อความที่ไม่ถูกต้องของ ก. และ. มีความสัมพันธ์กับ หลากหลายปัญหา - จากปัญหาทางจิต การเจริญเติบโตทางพยาธิวิทยา การแพร่กระจายอัตลักษณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวข้องกับการไม่สามารถตัดสินใจได้ ความสับสนในปัญหา การสูญเสียความเป็นปัจเจกบุคคลในที่สาธารณะ ความยากลำบากในการสร้างความสัมพันธ์ที่น่าพึงพอใจและมีแนวโน้มที่จะแยกตัวออกจากกัน ความยากลำบากในการทำงาน และความสามารถในการมีสมาธิต่ำ เนื่องจากอัตลักษณ์ไม่ใช่โดยไร้เหตุผลถือเป็นปัจจัยพื้นฐานประการหนึ่ง องค์ประกอบของการพัฒนาอัตตาและความแข็งแกร่งความละเอียดที่ไม่น่าพอใจของเคและ ทำให้บุคคลไม่สามารถรับมือกับความท้าทายในการปรับตัวได้ทันที

แม้ว่าเคและลึกที่สุด ส่วนใหญ่มักเกิดในช่วงวัยรุ่น คนสามารถสัมผัสได้ทุกช่วงวัย ต้นฉบับ อีริคสันใช้คำว่า "K. และ." เกี่ยวกับประสบการณ์ของทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาเขาสังเกตเห็นความสับสนในอัตลักษณ์ที่คล้ายกันในคนหนุ่มสาวที่สูญเสียไป แนวทางชีวิตและได้ข้อสรุปว่าเคและ เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการของวัยรุ่นตามปกติ นอกจาก, ประสบการณ์ของตัวเองผู้อพยพอนุญาตให้ Erickson แนะนำว่าแม้ว่าบุคคลจะสามารถแก้ไขวิกฤติในวัยเยาว์ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตที่ตามมาก็อาจทำให้เกิดวิกฤติซ้ำได้ นอกจากผู้อพยพเคและ อาจประสบมากมาย คนประเภทอื่น: บุคลากรทางทหารที่เกษียณอายุซึ่งก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งที่ทุกคนชื่นชอบและมีตำแหน่งที่สอดคล้องกัน สถานะ; พลเมืองที่เกษียณอายุแล้ว บุคคลที่สร้างอัตลักษณ์เกือบทั้งหมดจากงานของตน บางคนอาศัยอยู่ในรัฐ เบี้ยเลี้ยงจึงถือว่าตนเองเป็น "ที่ว่าง" เนื่องจากสังคมของเรามีแนวโน้มที่จะกำหนดอัตลักษณ์ผ่านวิชาชีพ มารดาที่ลูกโตและออกจากบ้านพ่อแม่ (กลุ่มอาการรังเปล่า) ผู้ที่พบว่าตนเองต้องเปลี่ยนแผนสำหรับอนาคตเนื่องจากความพิการที่ไม่คาดคิด เป็นต้น

การศึกษาอื่นๆจำนวนหนึ่ง อุทิศให้กับวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่กำลังจะตาย ความรู้สึกถึงตัวตนของบุคคลในรัฐนี้ถูกคุกคามจากการสูญเสียมากมาย เช่น ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ครอบครัว เพื่อน การทำงานของร่างกาย และจิตสำนึก

แม้ว่าแนวคิดของเคและ กับเหตุการณ์ในชีวิตผู้ใหญ่นั้นมีความสมเหตุสมผลในระดับหนึ่งแนวโน้มที่จะนำไปใช้กับองค์กรและประเทศต่างๆ (เช่น บริษัท เอ็กซ์ผ่าน K. และ.) นำไปสู่การขยายตัวมากเกินไปและเป็นผลให้บิดเบือนแนวคิดนี้

ดูสิ่งนี้ด้วย ขั้นตอนการพัฒนาของอีริคโซเนียน การสร้างอัตลักษณ์

นักจิตวิทยาโดยเฉพาะผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแห่งรัฐที่ตั้งชื่อตาม Serbsky นักวิชาการ Tatyana Dmitrieva สรุปว่าวิกฤตเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องสำหรับหลาย ๆ คนเมื่อไม่นานมานี้ อดีตนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในภาวะวิกฤติทางจิตใจ ผู้คนจนกระทั่งบางทีเมื่อเร็ว ๆ นี้ เวลา(ดูแหล่งที่มา) ผู้ที่มีชีวิตอยู่เพื่อเงินเท่านั้นสูญเสียวัตถุประสงค์ในการระบุตัวตน และสิ่งนี้ทำให้พวกเขาขาดแรงจูงใจในชีวิต ผู้ที่มีเป้าหมายเหนือเนื้อหาจะรับมือกับความยากลำบากได้ง่ายที่สุด

เราได้ยินบ่อยมากและตัวเราเองก็พูดว่า: ดูเขาสิ ชัดเจนว่าชายคนนี้ประสบความสำเร็จ เขามีทุกอย่าง: อพาร์ทเมนต์ รถยนต์ และบัญชีธนาคาร คนนี้เป็นผู้แพ้และมีปัญหาในการหาเงินเลี้ยงชีพ และจู่ๆ มันก็หายไป เงิน - มาตรฐานสากลและคุณค่าที่เทียบเท่าสากล - จู่ๆ ก็หยุดเป็นตัวชี้วัดทุกสิ่งในชีวิตของเรา อะไรมาแทนที่พวกเขา? ความว่างเปล่า. ความว่างเปล่าที่จะต้องถูกเติมเต็ม

เงินเป็นเพียงอาการแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุดก็ตาม ความไม่แน่นอนในอนาคตและการขาดความมั่นคง ภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง และปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ (การก่อการร้าย สภาพภูมิอากาศ และการดูแลสุขภาพเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น) ได้กลายเป็นภูมิหลังที่คุ้นเคยในชีวิตของเราไปแล้ว วิธีแก้ปัญหาก่อนหน้านี้เห็นสิ่งหนึ่ง - เพื่อสร้างรายได้ เงินมากขึ้นและปัญหา (แม้กระทั่งสำหรับฉันเป็นการส่วนตัว) จะได้รับการแก้ไขด้วยตัวเอง ตอนนี้สูตรนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลว ถัดจากสวรรค์ส่วนตัวบนโกตดาซูร์ ขณะนี้มีป้าย "ขายโดยไม่มีการชำระเงิน"

คนสับสน - นี่คือวิธีที่เราสามารถอธิบายลักษณะของผู้อยู่อาศัยโดยเฉลี่ยของโลกทุกวันนี้ได้ เราจะตกลงร่วมกันได้อย่างไรเราทุกคน? คุณจะไม่หลงทางในโลกที่เต็มไปด้วยพายุ วิกฤตการณ์ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ได้อย่างไร โดยที่ทุกอย่าง "ขัดกับเมล็ดพืช" ทุกอย่าง "ผิดนะพวก" ดังที่ Vysotsky ร้องเพลง?

ไม่ ความสับสนทั่วไปไม่ส่งผลกระทบ ฟังก์ชั่นง่ายๆพนักงานออฟฟิศทั่วไป ผู้เสียภาษี ผู้บริโภค และครอบครัว ที่นี่ทุกอย่างมีความชัดเจน ดีบั๊ก เข้าใจ และเปลี่ยนเป็นโหมดอัตโนมัติไม่มากก็น้อย แต่ภายใต้ทั้งหมดนี้ยังมีพื้นฐานที่มีคุณค่า ปัญหาอยู่ที่ระดับการวางแนวในโลก ในระดับแผนงานและเป้าหมายบางที ทั้งหมด(ดูแหล่งที่มา) กำหนดตัวเองโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ความสับสนทั่วไป การขาดความมั่นคง และความเข้าใจในการปฏิบัติแม้ในระยะสั้น ทำให้เราคิดมากขึ้นเรื่อยๆ

วิกฤติกำลังบอกเราบางอย่างผ่านการล่มสลาย การล้มละลาย และการเลิกจ้าง เป็นไปได้ไหมที่เราซึ่งเป็นมวลมนุษยชาติทั้งหมดได้เติบโตขึ้นแล้ว? ดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหา วัยรุ่น- ใกล้จะสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแล้วยังเป็นหนุ่มๆ มนุษย์(นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น!) กำลังคิดว่าจะไปที่ไหน เป็นใคร และจะทำอย่างไร ไม่ใช่มาจากชีวิตที่ดี มักจะขัดต่อความตั้งใจของตัวเอง แต่จำเป็น กำหนดเวลากำลังจะหมดลง

ทุกคนจำช่วงเวลานี้เมื่อพวกเขาต้องตัดสินใจครั้งแรกในชีวิตของผู้ใหญ่ ทั้งชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับการตัดสินใจครั้งนี้ซึ่งมักเกิดขึ้นจากความตั้งใจ ถึงเวลาแล้วที่เราจะคิดว่าเราจะไปที่ไหนและอย่างไร เราต้องเตรียมตัวให้ดีกว่านี้และยอมรับอย่างมีสติ สารละลาย(ไม่ทราบที่มา).

ดังนั้นวิธีที่จะไม่ทำผิดพลาดในการเลือกของคุณจะไม่สายได้อย่างไร? เราจะหลีกเลี่ยงการไปถึงจุดที่เราเลือกได้อย่างไร? ไม่มีอะไรจะทำเราต้องคิดถึงทิศทางที่เรากำลังจะไป มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน - มีบางอย่างแย่ลงในความสัมพันธ์ของเรา ในการเชื่อมโยงระหว่างเรา ระหว่างผู้คน ความมั่นใจหายไปถึงระดับลึกที่สุด ระดับเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน

วันนี้ชายคนนั้นจากไปแล้ว เกาะทะเลทรายจะไม่เร่งรีบเมื่อเห็นเรืออยู่ที่ขอบฟ้า อาจกลายเป็นว่าเขาไม่ได้รับการต้อนรับที่นั่นเลย วันนี้เราไม่รีบแชร์ เปิดใจ ช่วยเหลือ...

บุคคลใดสามารถมีอิทธิพลต่อการเลือกของมนุษยชาติทั้งหมดได้อย่างไร? จากประวัติศาสตร์ เรารู้ตัวอย่างมากมายเมื่อคนกลุ่มเล็กๆ ที่หลงใหลในแนวคิดสามารถมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ได้ นี่เป็นกรณีระหว่างยุคเรอเนซองส์ในยุโรป เมื่อคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีความคิดสามารถกำหนดเส้นทางที่จะกำหนดเส้นทางประวัติศาสตร์ไปอีกหลายศตวรรษข้างหน้า

ดังนั้น ทางเลือกจึงอยู่ในมือของทุกคน และเราทุกคนด้วยกัน มาเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองกันก่อน - ประการแรก โดยไม่ดูถูกคนอื่น กฎแห่งการพัฒนามีผลกับเรา แต่ "ความสัมพันธ์" ของเราที่มีต่อกันนั้นถูกทำลายลง ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้กับเสาอากาศวิทยุที่ผิดพลาดหรือการตั้งค่าที่ไม่ถูกต้องบนอุปกรณ์ที่ซับซ้อน เราต้องหาสถานที่ที่เหมาะสม! การตั้งค่าสิ่งหนึ่งสัมพันธ์กับอีกสิ่งหนึ่ง บางทีนี่อาจเป็นวิธีแก้ปัญหาเร่งด่วน?

ด้วยความมั่นใจเราสามารถพูดได้มากที่สุด เท่านั้น(หมายเหตุผู้แปล) สิ่งหนึ่ง - ยิ่งผู้คนต้องการคิดถึงโลกที่เราค้นพบตัวเองมากขึ้นว่าโลกนี้เชื่อมโยงถึงกันอย่างไร คิดเกี่ยวกับจุดประสงค์ของสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เราก็จะค้นพบสิ่งที่ถูกต้องได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น ทิศทาง(นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น!) และเราจะใช้เส้นทางแห่งการฟื้นฟู

แหล่งที่มา

ทำไมผู้ชายไม่จ่ายค่าเลี้ยงดู ความปรารถนาที่จะแก้แค้นภรรยาเก่า ในประเทศของเรา ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะหย่าร้าง....

ควบคุมความโกรธของคุณ

หาความเข้มแข็งในการขอโทษ แน่นอนว่าการไม่มีเรื่องอื้อฉาวนั้นไม่เพียงพอสำหรับความสุข พูดตรงๆ ไม่...

แรงบันดาลใจสำหรับคนฉลาด

แรงจูงใจสำหรับคนฉลาด คุณเคยรู้สึกถึงบางสิ่งที่ใหญ่กว่าในตัวคุณจนรีบออกมาหรือไม่? บางครั้งคุณสามารถได้อย่างรวดเร็ว...

ดวงตา

ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูง รวมทั้งมนุษย์ เนื่องจากการพัฒนาระบบการส่งสัญญาณที่สอง และแนวโน้มโดยธรรมชาติของมันในการวิเคราะห์...

การรับรู้ทางสังคม

ความไม่สอดคล้องกันทางปัญญา นี่เป็นทฤษฎีที่เสนอโดย Festinger (1957) ตามทฤษฎีนี้ เมื่อเราต้องการ...

การรับรู้ทางสังคม

จิตวิทยา. การรับรู้ทางสังคม ปฏิสัมพันธ์และการสื่อสารกับผู้อื่นก็ยากเช่นกัน เพราะเราไม่ค่อยรับรู้...

วัยที่ยากลำบาก

ช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตสัมพันธ์กับวัยเมื่อ 15 ปีที่แล้ว นักร้องคนโปรดของฉัน ยูริ โลซา แต่งถ้อยคำซาบซึ้ง...

หลังจากความก้าวหน้าทางเทคนิคและวิทยาศาสตร์ ความกังวลเข้ามาในชีวิตของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ และคนๆ หนึ่งก็สูญเสียแนวทางการใช้ชีวิตไปในที่สุด ขอบเขตของปัจเจกบุคคลถูกลบล้าง สังคมที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้ากำหนดบุคคลที่เขาควรจะเป็น ปัจเจกบุคคลกลายเป็นผู้บริโภค กลายเป็นเครื่องจักรในการรับความสุข คุณจะพบว่าตัวเองอยู่ในลานตาของทิวทัศน์อันบ้าคลั่งทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?

หยุดและฟังตัวเอง

บ่อยครั้งเราแสวงหาความสุขใน อาการภายนอกโลกนี้และเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาด วันนี้ฉันเป็นนักแสดง และพรุ่งนี้ฉันเป็นผู้ประกอบการ ค่านิยมของครอบครัวกำลังกลายเป็นแฟชั่นซึ่งหมายความว่าโปรเจ็กต์ใหม่ของฉันคือครอบครัว การทำสมาธิและโยคะกลายเป็นกระแสหลัก และตอนนี้ฉันกำลังพิชิตยอดเขาหิมาลัยและเชี่ยวชาญอาสนะต่างๆ แต่ฉันอยู่ที่ไหนในทั้งหมดนี้? จะค้นหาตัวเองและหยุดเป็นผลิตภัณฑ์ทางการตลาดได้อย่างไร? ฉันจะเข้าใจสิ่งที่ฉันต้องการได้อย่างไร นิสัยและจุดประสงค์ของฉันคืออะไร?

ก้าวแรกบนเส้นทางสู่ตัวคุณเองคือการพยายามฟังหัวใจของคุณ เพื่อเข้าใจสภาวะของความเงียบและความเงียบภายใน การทำเช่นนี้คุณไม่จำเป็นต้องไปที่เทือกเขาหิมาลัยและเข้าไปในถ้ำ คุณเพียงแค่ต้องพยายามช้าลงในช่วงเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุดและมีปฏิกิริยาตอบสนองน้อยลง สิ่งเร้าภายนอก, รู้สึก ตอนนี้- นี่คือการทำสมาธิ เราสามารถหาคำตอบให้กับทุกคำถามของเราได้ในตัวเรา เวลานำพาเราเข้าใกล้ความตายอย่างไร้ความปราณี ท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตที่เราลืมไป เป้าหมายหลักของการดำรงอยู่ของมัน สุดท้ายเราก็ตายโดยไม่รู้ความหมายของชีวิตเลย

ฉันเป็นใคร และทำไมฉันถึงต้องทนทุกข์?

คำถามแรกที่บุคคลควรถามตัวเองคือ “ฉันเป็นใคร และเหตุใดฉันจึงต้องทนทุกข์?” นี่คือจุดเริ่มต้น หากไม่เข้าใจธรรมชาติของ "ฉัน" ของคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างจะสูญเสียความหมายทั้งหมด ท้ายที่สุดโดยไม่รู้ว่าฉันเป็นใครฉันก็ไม่เข้าใจว่าจะไปที่ไหน มันจะเป็นดังสุภาษิตอันชาญฉลาดที่ว่า “เรือใบที่แล่นไปอย่างไร้จุดหมาย ลมก็ไม่เอื้ออำนวย”

ใน Caitanya-caritamrta (Madhya-lila 20.102) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานหลักของประเพณี Gaudiya Vaisnava Sanatana Gosvami ถาม Lord Caitanya:

“เก อามิ”, “เกเน อามายา ชาเร ตาปะ-ตรยา”
อิฮา นาฮิ ชานี - “เกมะเน ฮิตา ฮายะ”

"ฉันเป็นใคร? แล้วเหตุใดฉันจึงถูกทุกข์ ๓ ประการหลอกหลอนฉัน? โดยไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าจะบรรลุผลบุญได้อย่างไร?

ความทุกข์ ๓ ประการเหล่านี้คืออะไร?

1. ความทุกข์ซึ่งมีต้นตอมาจากตัวเราเอง คือ ร่างกายและจิตใจของเรา (อธรรมมิกา ในภาษาสันสกฤต)
2. ความทุกข์ที่สัตว์อื่นได้ก่อไว้แก่เรา (อธิภพอุติกะ)
3. ความกังวลที่พาเราไป ภัยพิบัติทางธรรมชาติและหายนะภายใต้การควบคุมของเทวดาเทวดา (อธิไดวิกา)

เขาก็ได้ยินคำเหล่านี้ตอบ:

ความเห็นในข้อนี้เผยให้เห็นความหมายของข้อความนี้:

“คุณบริสุทธิ์ สิ่งมีชีวิต- คุณไม่ใช่ร่างกายที่เป็นวัตถุมวลรวมหรือเป็นร่างกายที่ละเอียดอ่อนที่ประกอบด้วยจิตใจและสติปัญญา จริงๆ แล้วคุณคือดวงวิญญาณนิรันดร์ เป็นส่วนหนึ่งของดวงวิญญาณสูงสุด พระกฤษณะ ดังนั้นคุณจึงเป็นผู้รับใช้นิรันดร์ของพระองค์ คุณอยู่ในพลังงานส่วนเพิ่มของพระกฤษณะ

มีสองโลก: จิตวิญญาณและวัตถุ และคุณอยู่ระหว่างสองพลังงาน: จิตวิญญาณและวัตถุ คุณเชื่อมโยงกันด้วยความสัมพันธ์กับทั้งโลกฝ่ายวิญญาณและโลกวัตถุ ดังนั้นคุณจึงอยู่ในพลังงานชายแดน คุณเชื่อมต่อกับพระกฤษณะด้วยความสัมพันธ์ที่มีเอกลักษณ์และความแตกต่างพร้อมกัน เนื่องจากคุณเป็นวิญญาณนิรันดร์ คุณจึงมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าสามพระองค์ แต่เมื่อเป็นประกายแห่งวิญญาณที่ไม่มีนัยสำคัญ คุณจึงแตกต่างจากจิตวิญญาณสูงสุดเช่นกัน ดังนั้นธรรมชาติของคุณจึงเป็นทั้งอัตลักษณ์และความแตกต่างจากจิตวิญญาณสูงสุด สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ด้วยตัวอย่างของดวงอาทิตย์และรังสีของดวงอาทิตย์ หรือโดยตัวอย่างของไฟและประกายไฟที่พุ่งออกมา”

เกิดข้อผิดพลาดในขั้นตอนแรก

มนุษย์เข้าใจผิดว่าตนเองมีร่างกายและจิตใจที่เป็นวัตถุ เราจะเห็นว่าโลกทั้งใบทำงานอย่างไรเพื่อทำให้ร่างกายพอใจ กิจกรรมทั้งหมดของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์หรือศิลปะ ท้ายที่สุดแล้วขึ้นอยู่กับการค้นหาความสุข อุตสาหกรรมและ เทคโนโลยีสารสนเทศมีอยู่เพียงเพื่อทำให้ทุกอย่างมีเหตุผลมากขึ้นด้วย จุดวัสดุวิสัยทัศน์ในการใช้ทรัพยากรของโลกเพื่อความเพลิดเพลินของตนเอง

นี้ ข้อผิดพลาดพื้นฐานนำบุคคลไปสู่ทางตัน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ตามมาด้วยการถดถอยของบุคลิกภาพ ระบบค่านิยมและพิกัดทั้งหมดของสังคมอารยะกำลังล่มสลาย คำขวัญของชีวิตทุกวันนี้คือสโลแกน: "บริโภคและพิชิต" ไวรัสแห่งการแสวงหาผลประโยชน์แทรกซึมเข้าไปในชีวิตของเราทุกด้าน รวมถึงคนที่นับถือศาสนาด้วย ตามความเห็นของคนส่วนใหญ่ ศาสนาควรสนองความต้องการของมนุษย์ แม้ว่าความหมายที่แท้จริงของศาสนาก็คือการปลดปล่อยบุคคลจากการกดขี่ผลของกิจกรรมของเขา และนำเขาไปสู่เส้นทางแห่งการรับใช้พระเจ้า

ถ้าเราวิเคราะห์จากมุมมองของเหตุผลว่าอุดมการณ์คอมมิวนิสต์และหลังอุตสาหกรรมได้นำเราไปสู่อะไร ตลอดจน "แนวคิดเรื่องความสุข" ในรูปแบบอื่นใด เราจะเห็นว่าผู้คนไม่ได้มีความสุขมากขึ้น ในทางกลับกัน ระดับความสบายใจทางอารมณ์กำลังเข้าใกล้ศูนย์มากขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาทั้งหมดก็คือสิ่งมีชีวิตได้หันเหไปจากพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างโลกวัตถุทั้งหมดนี้เพียงเพื่อให้เรารู้สึกเป็นอิสระจากพระองค์ และในที่สุดเมื่อเล่นมากพอแล้ว เราก็ไม่แยแสกับความพยายามอันน่าสมเพชของเราที่จะเล่นบทบาทของผู้สร้างและกลับมาหาพระองค์สู่จิตวิญญาณ โลก. ความเป็นอิสระนี้เป็นภาพลวงตา ในความเป็นจริง เราทุกคนพึ่งพาพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ในกระบวนการย่อยอาหาร นับประสาอะไรกับด้านอื่น ๆ ในชีวิตของเรา!

แต่ผู้คนมักจะคิดว่าพวกเขาแต่ละคนคือพระเจ้า ในรัฐบาล ที่ทำงาน ที่บ้าน ในที่สุด ดังนั้นบุคคลจึงเข้าไปพัวพันกับความซับซ้อนของกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ และจิตสำนึกของเขาก็เสื่อมถอยลง ดังนั้นสิ่งมีชีวิตจึงคงอยู่ในวงล้อแห่งการเกิดและความตายอย่างไม่สิ้นสุด มันจะถูกบังคับให้เกิดและตายครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะตระหนักถึงธรรมชาติที่แท้จริง

ฉันเป็นวิญญาณแห่งวิญญาณ ไม่ใช่เนื้อหนัง

คุณคงเคยได้ยินหลายครั้งว่าคุณไม่ใช่ร่างกาย แต่จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป? จนกว่าบุคคลจะตระหนักว่าเขาไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นอนุภาคของจิตวิญญาณที่มีอยู่ชั่วนิรันดร์และเชื่อมโยงกับพระเจ้าตลอดไปด้วยสายสัมพันธ์แห่งความรัก เขาจะทนทุกข์

พระกฤษณะกล่าวในภควัทคีตา (2.20) ว่า

นา ชยาเต มริยะเต วา กาดาชิน
นายัม บุตวา ภาวิตา วา นา บูยะห์
อาโจ นิตยาฮ สาศวาโต "มันเทศ ปุราโน"
นา ฮันยาเต ฮันยามาเน ซารี

วิญญาณไม่ได้เกิดหรือตาย มันไม่เคยเกิดขึ้น ไม่เกิดขึ้น และจะไม่เกิดขึ้น เธอไม่เกิด เป็นนิรันดร์ ดำรงอยู่เป็นนิตย์และดั้งเดิม มันไม่ตายเมื่อร่างกายตาย

เราแต่ละคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเคยมีประสบการณ์ของการดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ความสงบ และความเงียบสงบนี้ เราไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเมื่อความตายเกิดขึ้นเราจะไม่มีอยู่อีกต่อไป ร่างกายเราเปลี่ยนแปลง แต่ตัวเราเองยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

เพื่อที่จะเข้าใจสิ่งนี้ บุคคลจำเป็นต้องสื่อสารกับจิตวิญญาณที่ตระหนักรู้ในตนเอง กับผู้ที่ดำเนินชีวิตตามหลักการเหล่านี้อยู่แล้ว จากนั้นจิตสำนึกของเขาก็จะค่อยๆ แจ่มใส และชีวิตของเขาก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างออกไป เขาจะเข้าใจว่าการดำเนินชีวิตเป็นจิตวิญญาณหมายความว่าอย่างไร การสื่อสารที่ถูกต้องทำให้เกิดศรัทธาที่แท้จริงในหัวใจ และความศรัทธาทำให้เกิดความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตาม เส้นทางจิตวิญญาณ- แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

ชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นแนวคิดที่สัมพันธ์กัน

ความขัดแย้งที่น่าสนใจ: เมื่อเราประสบความล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวในอาชีพการงานหรือการเจ็บป่วยกะทันหัน เราจะประสบกับความเจ็บปวดและตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างลึกซึ้ง เราจะพบกับการประเมินค่าใหม่ทันที แต่ทุกสิ่งที่เราพิจารณาว่าเป็นความพ่ายแพ้จากมุมมองที่เป็นวัตถุนั้นแท้จริงแล้วเป็นก้าวใหม่สำหรับเราบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ

ดังนั้น วิกฤติใดๆ ก็ตามจะกลายเป็นประโยชน์ฝ่ายวิญญาณสำหรับเราหากเราเรียนรู้ที่จะยอมรับบทเรียนที่เราได้รับจากเบื้องบนอย่างถูกต้อง

กระบวนการค้นพบตนเองนั้นน่าตื่นเต้นและคุ้มค่ากับความพยายามของเรา ความสุขที่เราจะได้รับจากการค้นพบธรรมชาติที่แท้จริงของเรานั้นไม่มีใครเทียบได้กับความมั่งคั่งทางวัตถุใดๆ เพราะความมั่งคั่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้เกี่ยวกับตัวเราเองและความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ซึ่งท้ายที่สุดจะต้องพัฒนาไปสู่ความรักต่อพระองค์ เมื่อรู้จักตนเองแล้วเราจะพบอิสรภาพและความปรองดองในหัวใจซึ่งจะแผ่ซ่านไปทั่ว โลก- และการทำให้ผู้อื่นมีความสุขคือการรับใช้พระเจ้าด้วยความศรัทธา

แต่เราต้องจำไว้ว่าพระเจ้าประทานเสรีภาพในการเลือกแก่เรา ขึ้นอยู่กับเราที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะอยู่ในตาข่ายแห่งกรรมหรือจะหลุดออกจากพันธนาการของมัน

แหล่งที่มา:

1. “ภควัทคีตาอย่างที่เป็นอยู่”, A.C. ภักติเวททันสวามี ปราภูปาทะ
2. “ศรีมาด ภะคะวะทัม”, เอ.ซี. ภักติเวททันสวามี ปราภูปาทะ
3. “ชัยธัญญา ชาริธรรมฤตา”, เอ.ซี. ภักติเวททันสวามี ปราภูปาทะ

อันนา กอร์บูโนวา