เกิดอะไรขึ้นกับคนของพลูทาร์ก คะแนนหนังสือเฉลี่ย

ช่วงเวลาของการพัฒนารัฐและกฎหมายของกรีกโบราณ

การบรรยายครั้งที่ 3 วิวัฒนาการของมลรัฐในสมัยกรีกโบราณ

คำถาม:

1. การกำหนดระยะเวลาของรัฐและการพัฒนาทางกฎหมายของกรีกโบราณ

กรีกโพลิส

2. วิวัฒนาการของรัฐเอเธนส์โบราณ

3. โครงสร้างทางสังคมและรัฐของสปาร์ตาโบราณ

กรีกโบราณหรือแทนที่จะเป็นเฮลลาสครอบครองดินแดนอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมทางใต้ของคาบสมุทรบอลข่าน, หมู่เกาะในทะเลอีเจียน, ชายฝั่งเทรซ, แนวชายฝั่งตะวันตกของเอเชียไมเนอร์ อิตาลีตอนใต้และส่วนหนึ่งของซิซิลี ชาวกรีกเรียกตัวเองว่าเฮลเลเนสเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพของพวกเขา เฮเลน และต่อมาชาวโรมันก็เรียกพวกเขาว่าชาวกรีก

ในช่วงปลายสหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช กรีซถูกยึดครองโดยชนเผ่าอาเคียน อาณาจักรไมซีเนียนกลายเป็นอาณาจักรแรก สมาคมของรัฐชนเผ่าและเผ่าต่างๆ การปรากฏตัวของอำนาจแบบรวมศูนย์ที่รวมอยู่ในมือของผู้นำ ระบบภาษีแบบรวมศูนย์ และฝ่ายบริหารนั้นชวนให้นึกถึงการจัดองค์กรแห่งอำนาจของรัฐดั้งเดิมทางตะวันออกโบราณ อย่างไรก็ตาม ภายใต้การโจมตีของการพิชิตครั้งใหม่ (โดเรียน) อารยธรรมไมคเกนนีสก็ล่มสลาย

กระบวนการของการเกิดขึ้นของรัฐโบราณในเวลาต่อมามีมาก คุณสมบัติที่สำคัญ- พลูทาร์ก นักประวัติศาสตร์กรีกโบราณผู้มีชื่อเสียง (คริสต์ศตวรรษที่ 1) ใน "ชีวิตเปรียบเทียบ" ของเขา เชื่อว่าบิดาผู้ก่อตั้งสปาร์ตาคือ Lycurgus ในตำนาน ซึ่งขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยการหวนกลับ กล่าวคือ ตามข้อตกลงปากเปล่าระหว่างชาวสปาร์ตันกับเหล่าเทพ ผู้ก่อตั้งคนเดียวกับเอเธนส์ตามที่พลูทาร์กเชื่อคือเทพเทซีอุส (ลูกชายของหญิงสาวบนโลกและเทพเจ้าโพไซดอนผู้มอบพลังอันศักดิ์สิทธิ์แก่เขา) ซึ่งบรรลุผลสำเร็จเหนือธรรมชาติมากมาย ดังนั้นพลูทาร์กจึงถือว่าต้นกำเนิดเหนือธรรมชาติของรัฐโบราณเป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจน เมื่อศึกษาความเป็นรัฐโบราณจำเป็นต้องคำนึงถึงสถานการณ์นี้ด้วย บุคคลในประวัติศาสตร์มักถูกแทนที่ด้วยบุคคลในตำนาน และมีการเสนอเวอร์ชันต่างๆ แทนข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้

ในทางวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องปกติที่จะแบ่งช่วงหลังยุคไมซีเนียนของมลรัฐกรีกโบราณออกเป็นสามช่วงหลัก:

· สมัยโฮเมอร์ริก – ศตวรรษที่ XI–IX พ.ศ.;

· ยุคโบราณ – ศตวรรษ VIII–VI พ.ศ.;

· ยุคคลาสสิก – ศตวรรษ V–V พ.ศ.

ยุคโฮเมอริก (XI-IX ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช) มีลักษณะเด่นคือมีการครอบงำความสัมพันธ์ทางชนเผ่า เมื่อในแง่ดั้งเดิมไม่มี ระบบของรัฐบาลและประชาธิปไตยแบบทหารดั้งเดิมก็มีชัย ในตอนท้าย ของช่วงเวลานี้ในที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าก็พังทลายลง และกำลังถูกแทนที่ด้วย ระบบเผ่าระบบทาสก็มา

ในช่วงยุคโบราณ รัฐเอเธนส์อันแข็งแกร่งได้ถูกสร้างขึ้น ซึ่งจะกล่าวถึงด้านล่าง

ในสมัยคลาสสิก สังคมทาสของกรีกโบราณและระบบโปลิสมีความเจริญรุ่งเรือง ในศตวรรษที่ 5 พ.ศ. กรีซปกป้องเอกราชในสงครามกรีก-เปอร์เซีย (500–449 ปีก่อนคริสตกาล) การสนับสนุนอย่างยิ่งใหญ่ต่อชัยชนะเหนือเปอร์เซียเกิดจากการรวมนครรัฐกรีก (เอเธนส์ โครินธ์ และอื่นๆ อีกมากมาย) เข้ากับสหภาพการเดินเรือเดเลียนภายใต้การนำของเอเธนส์ ดังนั้นสหภาพจึงกลายเป็นพลังทางทะเลของเอเธนส์ - ซุ้มประตูซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนมีลักษณะเป็นสมาพันธ์โบราณ สนธิสัญญา Callias สิ้นสุดลงใน 449 ปีก่อนคริสตกาล เขาได้รับชัยชนะแทนชาวกรีกและยุติสงครามกรีก-เปอร์เซีย ด้วยเหตุนี้ สันนิบาตการเดินเรือแห่งเอเธนส์แห่งแรกจึงบรรลุภารกิจทางการทหารและการเมืองที่กำหนดไว้ก่อนหน้านั้น

สันนิบาตการเดินเรือแห่งเอเธนส์ครั้งที่ 2 ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 378 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีจุดประสงค์เพื่อต่อต้านสันนิบาตเพโลพอนนีเซียนซึ่งนำโดยสปาร์ตา สันนิบาตเพโลพอนนีเซียนเป็นกลุ่มนครรัฐกรีกซึ่งมีคำสั่งจากผู้มีอำนาจครอบงำและมีชนชั้นสูงครอบงำ หลังจากความพ่ายแพ้ในสงครามเพโลพอนนีเซียน เอเธนส์ก็สูญเสียบทบาทผู้นำในประวัติศาสตร์ของกรีกโบราณไปตลอดกาล

โปรดทราบว่านครรัฐกรีกโบราณที่ใหญ่ที่สุดที่กล่าวถึง ได้แก่ เอเธนส์ สปาร์ตา โครินธ์ - มีอยู่ในรูปแบบโพลิสและเป็นเมืองที่อยู่ติดกัน พื้นที่ชนบท- สำหรับประวัติศาสตร์ของรัฐและกฎหมาย นโยบายสองประการเป็นที่สนใจมากที่สุด ได้แก่ เอเธนส์และสปาร์ตา ในฐานะตัวแทนที่โดดเด่นที่สุดของ "แบบจำลอง" ทางกฎหมายของรัฐทั้งสอง ในกรุงเอเธนส์ในยุคคลาสสิก ระบอบประชาธิปไตยได้รับชัยชนะ และในสปาร์ตา ระบอบการปกครองแบบคณาธิปไตย

“โปลิส” เป็นอย่างไร? ดูเป็นสากลการเกิดขึ้นของมลรัฐของพวกโดเรียน และสถานะของสมาชิกในชุมชนเป็นอย่างไร? นโยบายตามที่อริสโตเติลกล่าวไว้ ผลลัพธ์สุดท้ายการพัฒนาครอบครัว หมู่บ้าน และความสามัคคี โปลิสเป็นดินแดนปิดขนาดเล็กที่มีประชากรค่อนข้างน้อย มีสถาบันการเป็นพลเมืองซึ่งให้สิทธิในที่ดินภายในเมือง นอกจากนี้ นโยบายใด ๆ ก็มีหน่วยงานปกครองตนเอง - สภาประชาชนและผู้พิพากษาที่ได้รับการเลือกตั้ง

โปลิสกรีกโบราณเป็นแกนกลางของอารยธรรมคลาสสิกและเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมพลเรือน จึงมีลักษณะและคุณสมบัติเฉพาะตัวเป็นของตัวเอง พื้นฐานทางเศรษฐกิจคือความสามัคคีของเมืองและหมู่บ้านใกล้เคียง ในระหว่างการก่อตั้ง โพลิสได้ถูกสร้างขึ้นจากชุมชนในดินแดน ศูนย์กลางเป็นที่ชุมชน วัด สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมักมีป้อมปราการ บริเวณใกล้เคียงมีตลาด แหล่งค้าขาย ซึ่งช่างฝีมืออาศัยอยู่ด้วย การตั้งถิ่นฐานในเมืองนี้ค่อยๆ กลายเป็น ศูนย์บริหาร- ผู้อยู่อาศัยในนโยบายเรียกตนเองตามชื่อของศูนย์แห่งนี้ ส่วนบนของเมืองเรียกว่าบริวาร

ในยุคนั้น รัฐของเฮลลาสมีขนาดเล็ก ประชากรของนโยบายมีขนาดเล็กเช่น ไม่ค่อยมีเกินหมื่นคน เมืองนี้สามารถอยู่รอดได้เมื่อมีประชากรจำนวนน้อยและมีอาณาเขตจำกัด และเจ้าหน้าที่ก็ไม่พอใจอัตราการเกิดที่มากเกินไป จากกำแพงป้อมปราการของเมืองสามารถมองไปเกือบทั้งรัฐได้ และพลเมืองของโปลิสก็รู้จักทุกคนด้วยสายตา อย่างเป็นทางการ โปลิสเป็นสหภาพทางสังคมและการเมืองของพลเมืองทุกคน โดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสังคมและการเงินของพวกเขา ในความเป็นจริง การต่อสู้อันดุเดือดกำลังเกิดขึ้นภายในตัวเขาระหว่างเดโมและยูปาไทรด์

หน้าที่สำคัญของนโยบายนี้คือการรักษาสันติภาพของพลเมืองภายในชุมชน ดังนั้นโปลิสจึงเป็นสมาคมทางการเมืองและกฎหมายประเภทหนึ่งซึ่งมีพลเมืองมีส่วนร่วมในอำนาจนิติบัญญัติและตุลาการ สมาชิกเต็มรูปแบบของตำรวจดังกล่าวถือว่าตัวเองต้องรับผิดชอบต่อกิจการทั้งหมดของประชาคมพลเรือนและเป็นผู้รักชาติที่กระตือรือร้นทางสังคมในเมืองรัฐของเขา เขาจำเป็นต้องรับราชการในกองทหารอาสา เพื่อปกป้องสาเหตุทั่วไปของนโยบาย กองกำลังหลักของกองทหารอาสาคือผู้ที่นั่งอยู่ในนั้น การชุมนุมของประชาชน- ความบังเอิญทางการเมืองและ องค์กรทางทหารเคยเป็น รูปแบบที่แปลกประหลาดซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการจัดตั้งรัฐทาส ประชาชนที่ร่ำรวยยังต้องรับผิดชอบทางการเงินด้วย โดยจัดพิธีสวดด้วยค่าใช้จ่ายของตนเอง

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วพลเมืองทุกคนของนโยบายซึ่งมีหัวหน้าครอบครัวเป็นตัวแทนมีสิทธิ์ได้รับที่ดิน (เสมียน) และโดยหลักการแล้วขนาดของที่ดินจะเท่ากันสำหรับทุกคน การเป็นเจ้าของที่ดินของเอกชนในกรีซเป็นที่รู้จักในสมัยของโฮเมอร์ ที่ดินแบ่งออกเป็นสองประเภท: โปลิส (ชุมชน) และเอกชน การถือครองที่ดินรูปแบบโบราณปรากฏอยู่ในรูปแบบคู่ที่แปลกประหลาด:

ก) เป็นทรัพย์สินของนโยบาย (ดังนั้นที่ดินสามารถขายหรือบริจาคให้กับพลเมืองของนโยบายนี้เท่านั้น) และในเวลาเดียวกัน

b) เป็นทรัพย์สินส่วนตัว

นโยบายนี้ห้ามคนแปลกหน้าและชาวต่างชาติทำธุรกรรมกับทรัพย์สินที่ดินทุกประเภท นอกจากนี้ ชุมชนยังติดตามธุรกรรมของพลเมืองเกี่ยวกับที่ดิน อนุมัติที่ดินสูงสุด ควบคุมความเป็นธรรมและความถูกต้องในการรับที่ดินโดยมรดก และในกรณีที่ไม่มีทายาท ก็นำที่ดินที่ยึดมาเข้ากองทุน ฯลฯ การสูญเสียที่ดิน ที่ดินบั่นทอนศักดิ์ศรีทางสังคมของสมาชิกในชุมชน อย่างไรก็ตาม ขนบธรรมเนียมและประเพณีของโปลิสไม่ได้ขัดขวางขุนนางผู้สูงศักดิ์จากการกดขี่ชาวนาในชุมชนและจัดสรรที่ดินของตน ในเวลาเดียวกันต้องคำนึงว่าการจำนองตนเองของลูกหนี้ไม่ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในแอตติกาและการปฏิรูปของโซลอนในศตวรรษที่ 6 พ.ศ. มันถูกห้ามโดยสิ้นเชิง จิตสำนึกสาธารณะประณามความยากจน ความพินาศของเพื่อนร่วมชาติ เช่นเดียวกับความมั่งคั่งที่มากเกินไป ในกรณีที่จำเป็น สมาชิกในชุมชนสามารถไว้วางใจการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมชนเผ่าของเขาได้ ความมั่นคงของนโยบายเกิดขึ้นได้จากการกำหนดการจัดสรรที่ดินสูงสุด ข้อจำกัดในการซื้อและการขายที่ดิน และการเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับพลเมืองที่ร่ำรวย มาตรการเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันความอ่อนแอของการทำงานร่วมกันของกลุ่มพลเรือน รักษาชั้นของผู้ผลิต-เจ้าของอิสระ ชาวนาขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นผู้สนับสนุนหลักทางสังคมของนโยบายนี้ ในทางกลับกัน ประชาชนที่ร่ำรวยมีความสำคัญในการดำรงตำแหน่งต่างๆ มากมายในเมืองโพลิส

ดังนั้นการมีที่ดินและต่อมา - รายได้ที่แน่นอนจากที่ดินจึงเป็นเงื่อนไขหลักสำหรับพลเมืองที่จะไม่เพียงมีทางทหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิทธิทางการเมืองและพลเมืองด้วย สิ่งเหล่านี้รวมถึง:

· สิทธิในการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของรัฐสภา

· เลือกเจ้าหน้าที่และควบคุมกิจกรรมของพวกเขา

· ถูกเรียกตัวให้ดำเนินการยุติธรรม

เมื่อมองจากภายนอก โพลิสดูเหมือนจะเป็นชุมชนในอุดมคติที่เกือบจะมีคนเท่าเทียมกัน แต่เมื่อวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้วพบว่าโพลิสไม่ได้เป็นเพียงชุมชนขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตทางการเมืองและสังคมที่มั่นคงมากซึ่งทำหน้าที่เป็นพื้นฐานของสังคมโบราณ . มิฉะนั้นจะเป็นการยากที่จะเข้าใจเหตุผลของการอยู่รอดมาหลายศตวรรษ

อันเดรย์ เทสเลีย

รัฐและกฎหมายของสปาร์ตาโบราณ

(ศตวรรษที่ 9 – 6)

ทหารสปาร์ตัน

สปาร์ตาพร้อมกับเกาะครีตคือ สังคมที่ไม่เหมือนใครหลักฐานของชีวิตชาวกรีกโบราณที่เป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์เป็นพิเศษ ข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับ Sparta เป็นหนี้ Xenophon และ Plato ซึ่งมีหลักฐานย้อนกลับไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช นักประวัติศาสตร์คนอื่นๆ เช่น พลูทาร์ก สตราโบ เปาซาเนียส บรรยายถึงสังคมที่ไม่มีอยู่อีกต่อไป หรือบันทึกสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เก็บรักษาไว้ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ในลาโคเนียในสมัยโรมัน การอนุรักษ์ชีวิตชาวสปาร์ตันและโครงสร้างทางสังคมช่วยให้เราสามารถใช้หลักฐานของเพลโตและซีโนฟอนไม่ว่าในกรณีใด เพื่อสร้างชีวิตทางสังคมของสปาร์ตาขึ้นมาใหม่ในช่วงรุ่งเรือง - ในศตวรรษที่ 7 - 6 ก่อนคริสต์ศักราช และด้วยเหตุนี้ เขาจะคุ้นเคยกับลักษณะทั่วไปของโครงสร้างโปลิสโบราณแบบดอเรียน สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าข่าวภายหลังเป็นเรื่องยากที่จะใช้ด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป Sparta ไม่เพียงแต่กลายเป็นคนอนุรักษ์นิยมเท่านั้น แต่ยังเป็นสังคมที่ตอบโต้ด้วย ในลาโคเนีย ความปรารถนาที่จะต่อต้าน "จิตวิญญาณแห่งกาลเวลา" มีชัย ซึ่งนำไปสู่ความพยายามที่จะฟื้นฟู "ศีลธรรมอันดี" ในยุคของ Lycurgus ส่งผลให้เกิดการปฏิบัติในการฟื้นฟูตามอำเภอใจหลายครั้งและการปฏิรูปแบบหลอกโบราณ

ภาพลักษณ์ดั้งเดิมของสปาร์ตาแสดงให้เห็นถึงสังคมที่โหดร้ายซึ่งอยู่ภายใต้ภารกิจในการรักษาระเบียบสังคมที่มีอยู่โดยสิ้นเชิง สลายปัจเจกบุคคลในสังคมทั้งหมด และวางอุดมคติสูงสุดของมนุษย์ไว้ในภาพลักษณ์ของนักรบที่สมบูรณ์แบบ ได้รับการฝึกฝนอย่างดีเยี่ยม อดทนและไม่เกรงกลัวในการต่อสู้ - บุคคลที่ละลายหายไปในหน้าที่ทางสังคมของเขาและไม่มีมิติอื่นของการดำรงอยู่ของตัวเอง

ภาพนี้เป็นจริงเป็นส่วนใหญ่โดยสัมพันธ์กับสถานการณ์ที่พัฒนาขึ้นในสปาร์ตาในช่วงศตวรรษที่ 4 อย่างไรก็ตามแม้ที่นี่ก็ยังต้องทนทุกข์ทรมานจากการลดความซับซ้อนอย่างมีนัยสำคัญทำให้ชีวิตชาวสปาร์ตันที่ไม่มีความหลากหลายมากนักลดลงเหลือเพียงเครื่องบินลำเดียวเท่านั้น ประวัติศาสตร์ของสปาร์ตาวาดภาพที่ซับซ้อนมากขึ้นสำหรับเรา สังคมนั้น ซึ่งสำหรับกรีซคลาสสิกนั้นเป็นศูนย์รวมของลัทธิอนุรักษ์นิยม ครั้งหนึ่งเคยทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากระบวนการพัฒนาของสังคมกรีก ภาพแช่แข็งของมันไม่ใช่สถานะที่กำหนดในตอนแรก แต่เป็นผลมาจากการเติบโตก่อนกำหนด (เมื่อเทียบกับนโยบายอื่น ๆ ของกรีก) การหยุดการพัฒนาจึงกลายเป็นอุดมคติ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ศิลปะมีความเจริญรุ่งเรืองในสปาร์ตา ศตวรรษที่ 7 ให้ความหมายแบบกรีก:

“ในยุคโบราณของสปาร์ตา...ใหญ่โต ศูนย์วัฒนธรรมผู้ซึ่งยอมรับคนแปลกหน้า ศิลปะ และความงามอย่างจริงใจ ทุกสิ่งที่เธอจะเริ่มปฏิเสธในภายหลังอย่างไม่เข้ากัน ในยุคนี้ สปาร์ตาเป็นเมืองหลวงของวัฒนธรรมกรีก ซึ่งเอเธนส์จะกลายเป็นเพียงในศตวรรษที่ 5 เท่านั้น"

ในเวลานี้ ไม่มีการฝึกซ้อมค่ายทหารซึ่งแต่เดิมเกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ของสปาร์ตา Alcman กวีชาวลาโคเนียแห่งศตวรรษที่ 7 เล่าว่าคนรวยในสมัยของเขากิน "อาหารคัดสรร" อย่างไร ในขณะที่ตัวเขาเองชอบอาหารง่ายๆ ของผู้คนและสนองความหิวด้วยโจ๊กถั่ว กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาหารเย็นแบบบังคับร่วมกัน (fiditi) ที่มี "สตูว์ดำ" ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เช่นกัน

ระเบียบสังคมของชาวสปาร์ตันเข้ามาแทนที่อุดมคติของโฮเมอร์ อย่างหลังเป็นภาพที่ถูกกำหนดโดยสังคม "อัศวิน" - ความกล้าหาญส่วนบุคคลมาก่อนสงครามเกิดขึ้นในรูปแบบของการต่อสู้กันของแต่ละคนโดยที่สิ่งสำคัญคือข้อได้เปรียบส่วนบุคคลความสามารถความชำนาญความชำนาญและสติปัญญา ในช่วงต้นยุคโบราณ ทหารอาสาของประชาชนมาถึงเบื้องหน้า - มวลเท้าซึ่งคุณสมบัติหลักคือวินัย ความอุตสาหะ การอุทิศตนต่อสาเหตุร่วมกัน - แม้แต่ความพร้อมที่จะเสียสละตัวเอง คุณธรรมทั้งหมดนี้ไม่มีตัวตน ประการแรก ต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเอง เป็นเหมือนคนอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นกลุ่มเดียว การนำภาพลักษณ์นี้ไปใช้ Sparta บรรลุความสมบูรณ์แบบสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อให้เกิดอุดมคติโดยรวม นโยบาย, ความจงรักภักดี ทั้งหมด- ดังที่ Antonien Marroux ตั้งข้อสังเกตว่า “นี่คืออุดมคติแบบเผด็จการ: πόλις - ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพลเมืองของตน รัฐต่างหากที่ทำให้พวกเขาเป็นมนุษย์”

Tyrtaeus ตัวแทนของจิตวิญญาณ Spartan สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในคุณค่าทางการทหารและสังคมของโลกกรีกอย่างสมบูรณ์แบบ:

ความดีส่วนรวมของเพื่อนร่วมชาติและปิตุภูมิอันเป็นที่รัก

สามีพามาระหว่างนักสู้แนวหน้า

เขายืนขึ้นอย่างเต็มกำลังโดยลืมเรื่องเที่ยวบินที่น่าอับอายไป

(แปลโดย V. Latyshev)

ในเวลานี้ - ในศตวรรษที่ VIII - VI – สปาร์ตาก่อตัวขึ้นพร้อมกับไอโอเนีย ซึ่งเป็นแบบจำลองของโปลิสของกรีก ซึ่งเป็นสังคมโดยรวมที่โอบรับบุคคลและหล่อหลอมให้เขาเป็นพลเมือง ปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถลดทอนลงได้ด้วยอำนาจรัฐหรือต่อสถาบันทางสังคมของแต่ละบุคคล โปลิสทำหน้าที่โดยรวม ซึ่งสำหรับบุคคลแต่ละคนจะทำหน้าที่เป็นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ซึ่งเป็น "รัฐสังคม" ซึ่งนอกนั้นเขาไม่สามารถจินตนาการได้เพื่อตัวเขาเอง จนถึงปลายศตวรรษที่ 6 และในหลาย ๆ ด้านจนถึงต้นศตวรรษที่ 4 สปาร์ตายังคงเป็นสังคมที่มีชีวิตชีวาและหลากหลายแง่มุม ไปไกลจากอุดมคติสำหรับส่วนใหญ่ของโลกกรีก ไปสู่การปิดตัวเอง จากความเรียบง่าย สู่ความคับแคบทางจิตวิญญาณ

อาณาจักรสปาร์ตันรากของมันย้อนกลับไปในยุคไมซีเนียนซึ่งแสดงให้เห็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในความจริงที่ว่า Agiads ซึ่งเป็นหนึ่งในสองราชวงศ์ - อ้างสิทธิ์ต้นกำเนิดของ Achaean ดังที่ได้กล่าวไปแล้วมีกษัตริย์สององค์ซึ่งมาจากตระกูลต่างกัน (ตามตำนานบรรพบุรุษของพวกเขาเรียกว่าพี่น้อง) กษัตริย์ถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกับชาวต่างชาติเพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์สปาร์ตันเข้าสู่การเมืองแบบราชวงศ์ และเพื่อหลีกเลี่ยงความโน้มเอียงไปทางระบบเผด็จการ ดังที่นักวิจารณ์คนต่อมาได้อธิบายไว้ สถานะของกษัตริย์มีองค์ประกอบที่เก่าแก่มากมาย ซึ่งอาจรวมถึงการห้ามการแต่งงานที่เพิ่งอ้างถึง ซึ่งจากมุมมองนี้แสดงให้เห็นถึงการสิ้นสุดของราชวงศ์ สิทธิ์ที่จะรับภรรยาจากกลุ่มสปาร์ตันเท่านั้น กษัตริย์สปาร์ตันใช้ถ้วยสองใบในงานเลี้ยงและมีสิทธิ์ที่จะเพิ่มปริมาณอาหารเป็นสองเท่าในช่วงอาหารค่ำ

ตั้งแต่สมัยโบราณกฎเกณฑ์ได้รับการเก็บรักษาไว้ตามที่พลเมืองทุกคนมีหน้าที่ต้องมอบลูกหลานและการเก็บเกี่ยวบางส่วนแก่กษัตริย์ กษัตริย์ทรงจำหน่ายทรัพย์สินของทายาทเพียงคนเดียวหากเธอไม่มีน้องชาย และจะทรงมอบหมายสามีให้กับเธอตามดุลยพินิจของเขา

เช่นเดียวกับหลังจากที่กษัตริย์สปาร์ตันเสียชีวิต การเข้าถึงสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่ก็ถูกปิดไประยะหนึ่ง ดังนั้นหลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ การเข้าถึงจัตุรัสและถนนในเมืองก็ถูกปิด ราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของสถานที่เหล่านั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งที่บทบัญญัตินี้สามารถตีความได้ในลักษณะที่ก่อนหน้านี้กษัตริย์แห่งสปาร์ตาถือเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมดของรัฐ

บรรทัดฐานจำนวนหนึ่งที่เก็บรักษาไว้ในช่วงยุคคลาสสิกบ่งชี้ว่ากษัตริย์แห่งสปาร์ตาเคยถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ และพลังของเขาไม่มีขีดจำกัด ตามกฎหมายสปาร์ตัน ในกรณีที่กษัตริย์ทั้งสองมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ การตัดสินใจของพวกเขาจะมีผลอย่างไม่ต้องสงสัย กษัตริย์เองก็ถูกเรียกว่า "อาร์คีเตส"; นอกจากนี้ชื่อนี้ใช้กับเทพเจ้าเท่านั้น พวกเขาเรียกอีกอย่างว่า theotimetoi เช่น "ได้รับเกียรติเป็นเทพเจ้า" เมื่อกษัตริย์กลับมาจากการรณรงค์ พวกเขาได้รับการต้อนรับด้วยเกียรติอันศักดิ์สิทธิ์ และหลังจากการสิ้นพระชนม์ ได้มีการดำเนินมาตรการเพื่อรักษาพระศพ - กษัตริย์ถูกฝังในน้ำผึ้ง นอกจากนี้ กษัตริย์สปาร์ตันยังถือเป็นศูนย์รวมทางโลกของเทพเจ้า Tyndarid: ในขณะที่กษัตริย์ทั้งสองออกศึกร่วมกัน พวกเขาก็ถือไอคอนไม้คู่ที่แสดงถึงเทพเจ้า หลังจากตัดสินใจว่าจะมีกษัตริย์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถรณรงค์ได้ กระดานที่ใช้รูปอันงดงามก็ถูกเลื่อย และอีกครึ่งหนึ่งที่ตรงกับพระองค์ก็รณรงค์ร่วมกับกษัตริย์

กฎของ Lycurgus ในช่วงปลายศตวรรษที่ 9 หลังจากที่ชาวสปาร์ตันได้สถาปนาการควบคุมเหนือลาโคเนียทั้งหมด รวมถึงการตั้งถิ่นฐานของชาว Achaean ของ Amycles ให้เป็นพันธมิตรของพวกเขา บางทีอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐครั้งแรกที่สังเกตได้ทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เรียกว่าเป็นของเวลานี้ “รัฐธรรมนูญ” ที่เก่าแก่ที่สุดของชาวสปาร์ตัน ซึ่งอ้างโดยพลูทาร์กในชีวิตของเขาของ Lycurgus เพื่อตอบสนองต่อคำทำนายของเดลฟิค (เรียกว่า “Big Retra”):

“สร้างวิหารให้กับ Zeus Gellania [Syllania] และ Athena Gellania [Sillania] แบ่งผู้คนออกเป็น phyles และ obes สร้างสภาที่มีสมาชิก 30 คนพร้อมกับผู้นำ และให้ผู้คนมารวมตัวกันเป็นครั้งคราวระหว่าง Babika และ Knakion . คุณต้องเสนอกฎหมายและรวบรวมคะแนนเสียง แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายต้องเป็นของประชาชน”

ความเก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่ของคำตอบของออราเคิลนี้เกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่าในสมัยคลาสสิกไม่มีใครรู้จัก Zeus และ Athena ภายใต้ชื่อ Sillanies และไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าสถานที่ใดที่เรียกว่า Babika และ Kiakion โดยเฉพาะ เนื่องจากข้อความนี้กล่าวถึงการสถาปนาโอเบใหม่ จึงควรหมายถึงอะมิคลาซึ่งรวมอยู่ในรัฐสปาร์ตันเป็นโอเบที่ห้า

ตาม "รัฐธรรมนูญ" นี้ กษัตริย์ทั้งหลายได้สูญเสียไปแล้ว ความหมายโบราณและรวมไว้กับสมาชิกอีกยี่สิบแปดคน (geronts) ในสภาผู้อาวุโส (gerusia) ผู้อาวุโสมีหน้าที่รับผิดชอบในประเด็นหลักของรัฐบาลและการบริหารงานยุติธรรม ได้แก่ อำนาจตุลาการและการบริหาร

คำถามเกี่ยวกับ "กฎของ Lykugus" เป็นหนึ่งในคำถามที่ยากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสปาร์ตา นี่เป็นเพราะความจริงที่ว่าประเพณีที่ค่อนข้างเร็วซึ่งรวมถึงที่เป็นของสังคมสปาร์ตันเองเริ่มเชื่อมโยงการจัดตั้งโครงสร้างดั้งเดิมทั้งหมดของสังคมสปาร์ตันด้วยชื่อของ Lycurgus โดยรวมองค์ประกอบที่เป็นของยุคต่างๆ ประเพณีนี้นำเสนอในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุดโดยพลูตาร์คในชีวประวัติของ Lycurgus แม้ว่าพลูทาร์กเองก็ยอมรับว่า "โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีเรื่องราวใดเกี่ยวกับผู้บัญญัติกฎหมาย Lycurgus ที่สมควรได้รับความมั่นใจอย่างสมบูรณ์ มีคำให้การที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับที่มา การเดินทาง ความตาย และสุดท้ายเกี่ยวกับกฎหมายและกิจกรรมทางการเมืองของเขา แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความคล้ายคลึงกันเล็กน้อยในเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงชีวิตของเขา” ในประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยใหม่ บนพื้นฐานของความแตกต่างเหล่านี้ ตำแหน่งได้พัฒนาที่ปฏิเสธข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ของ Lycurgus โดยสิ้นเชิงและมองว่าเขาเป็นตัวละครในตำนาน - "วีรบุรุษทางวัฒนธรรม"

ในขั้นตอนนี้ของการพัฒนาความรู้ทางประวัติศาสตร์ วิธีการแบบวิพากษ์วิจารณ์มากเกินไปก็ถูกละทิ้งไป อย่างหลังนี้เกิดจากการที่หลักฐานดั้งเดิมมากมายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในยุคแรก ๆ ได้รับการยืนยันมากมายในการวิจัยครั้งต่อไปโดยอาศัยข้อมูลทางโบราณคดีและวัสดุทาง epigraphic ปัจจุบัน สมัยโบราณของโลกมีแนวโน้มที่จะยอมรับ Lycurgus ในฐานะหนึ่งในสมาชิกสภานิติบัญญัติโบราณผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมืองของเมืองบ้านเกิดของพวกเขา คล้ายกับ Draco หรือ Solon (แม้ว่าจะย้อนกลับไปในสมัยก่อนก็ตาม)

หากประเพณีโบราณตอนปลายซึ่งเรารู้จักเกี่ยวกับสปาร์ตาโดยส่วนใหญ่ผ่านทางพลูทาร์กและพอซาเนียนั้นไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเพียงพอแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าในการศึกษาประเด็นกฎหมายของ Lycurgus คือการอุทธรณ์ไปยังหลักฐานกรีกฉบับแรกเกี่ยวกับกิจกรรมของยุคหลังซึ่ง ทำหน้าที่เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการบำบัดแบบขนมผสมน้ำยาที่ตามมา

หลักฐานแรกสุดของ Lycurgus เป็นของ Herodotus ผู้เขียนในหนังสือเล่มแรกของประวัติศาสตร์ของเขา:

“เมื่อก่อนชาว Lacedaemonians มีกฎหมายที่เลวร้ายที่สุดในบรรดาชาว Hellenes ทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถสื่อสารกันเองหรือกับรัฐต่างประเทศได้ พวกเขาได้รับโครงสร้างรัฐที่ยอดเยี่ยมในปัจจุบันในลักษณะนี้ Lycurgus ชาวสปาร์ตันผู้สูงศักดิ์เดินทางมาถึงเดลฟีเพื่อตั้งคำถามกับออราเคิล เมื่อเข้าไปในวิหารแล้ว ปิเธียก็พูดกับเขาทันทีว่า

โอ Lycurgus คุณหลั่งไหลไปยังวิหารอันอุดมสมบูรณ์พร้อมของกำนัล

เรียน ซุส และทุกท่านที่มีตำแหน่งบนโอลิมปัส

คุณเป็นมนุษย์หรือพระเจ้า? ฉันควรจะทำนายกับใคร?

ตามที่บางคนกล่าวไว้ Pythia นอกเหนือจากคำทำนายนี้แล้วยังทำนาย Lycurgus ถึงโครงสร้างรัฐ Spartan ที่มีอยู่ทั้งหมดด้วยซ้ำ แต่ตามที่ชาว Lacedaemonians อ้างตนเอง Lycurgus ได้นำนวัตกรรมเหล่านี้ [สู่ระบบการเมือง] ของ Sparta จากเกาะครีต เขาเป็นผู้พิทักษ์ของหลานชายของเขา Leobot กษัตริย์แห่งสปาร์ตา ทันทีที่ Lycurgus กลายเป็นผู้พิทักษ์ของกษัตริย์ เขาก็เปลี่ยนแปลงกฎหมายทั้งหมดและรับรองอย่างเคร่งครัดว่ากฎหมายเหล่านั้นจะไม่ถูกละเมิด จากนั้นเขาก็ออกพระราชกฤษฎีกาแบ่งกองทัพออกเป็นเอโนโมติ และสถาปนาไทรอาคาดัสและซิสสิตี นอกจากนี้ Lycurgus ยังก่อตั้งสำนักงานเอฟอร์และก่อตั้งสภาผู้อาวุโส [ผู้อาวุโส]

ดังนั้นชาว Lacedaemonians จึงเปลี่ยนกฎที่ไม่ดีให้เป็นคนดี และหลังจากการตายของ Lycurgus พวกเขาก็ได้สร้างวิหารสำหรับเขา และตอนนี้ก็แสดงความเคารพต่อเขาด้วยความเคารพ”

คำให้การของเฮโรโดทัสมีความสำคัญมากกว่าสำหรับเราเพราะตามคำกล่าวของชาร์ลส์ สตาร์ “เฮโรโดทัสรู้จักสปาร์ตา และเป็นอย่างดี แม้กระทั่งก่อนที่สงครามเพโลพอนนีเซียนจะเกิดขึ้นบนขอบฟ้า กล่าวคือ ก่อนที่อคติของเอเธนส์และอุดมคติของเอเธนส์จะทำให้เกิดการบิดเบือนอย่างรุนแรงในภาพนี้" - โดยไม่เรียกชื่อ Lycurgus โดยพื้นฐานแล้ว Thucydides จะส่งข้อความเดียวกันนี้ซ้ำสั้นๆ โดยสังเกตว่าครั้งหนึ่ง "Lacedaemon... ทนทุกข์ทรมานมากกว่าเมืองใดๆ เท่าที่เราทราบ จากความขัดแย้งระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่สมัยโบราณเมืองนี้ถูกปกครองโดยกฎหมายที่ดีและไม่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของทรราช” Thucydides กำหนดลำดับชีวิตพลเรือนของ Sparta เป็นเวลา 400 ปีหรือมากกว่านั้น "ก่อนสิ้นสุดสงครามครั้งนี้" กล่าวคือ ในตอนท้ายศตวรรษที่ 9

Xenophon (“ The Lacedaemonian Polity” บทความที่อุทิศให้กับประเด็นการศึกษาของชาวสปาร์เทียตเป็นหลัก), Ephorus (รู้จักเราเป็นหลักจากสารสกัดและการอ้างอิงถึงผลงานของเขาใน "ภูมิศาสตร์" ของ Strabo), อริสโตเติล ("การเมือง") ก็เขียนเช่นกัน เกี่ยวกับ Lycurgus และกฎหมายของเขา งานนี้มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับเราเนื่องจากอริสโตเติลไม่เพียง แต่กำหนดหลักการทั่วไปเท่านั้น กฎหมายของรัฐสปาร์ตา แต่ยังหมายถึง แสดงให้เห็น เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจงด้วย นอกจากนี้จากการอ้างอิงและสารสกัดบางส่วน เราทราบว่า “Lacedaemonian Polity” ของอริสโตเติลเป็นงานที่คล้ายคลึงกับ “Athenian Polity” ที่รอดมาโดยบังเอิญและค้นพบในปี พ.ศ. 2433) ผลงานชิ้นนี้มีคุณค่าต่อเราเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้เขียนอาศัยอยู่ในช่วงเวลาที่สังคมสปาร์ตันเป็นองค์กรทางสังคมที่มีชีวิตและเป็นส่วนสำคัญ และบ่อยครั้งที่พวกเขาสามารถสังเกตได้จากภายใน ต่างจากพวกเขาผู้เขียนคนต่อมา (Polybius, Strabo, Plutarch, Pausanias) สังเกตสังคมที่เข้าสู่ขั้นตอนแห่งความเสื่อมสลายและการปฏิรูปแบบโบราณหรือเขียนจากคำบอกเล่า คุณค่าของผลงานของผู้เขียนเหล่านี้ถูกกำหนดโดยหลักๆ ว่าผลงานเหล่านี้ทำซ้ำประเพณีดั้งเดิมได้แม่นยำเพียงใดและมากน้อยเพียงใด ซึ่งมักจะไม่สามารถเข้าถึงได้โดยตรงจากเราอีกต่อไป

สำหรับเรา การวิเคราะห์ประเพณีประวัติศาสตร์โบราณที่เกี่ยวข้องกับกฎของ Lycurgus มีความสำคัญในแง่ที่ว่าผู้เขียนในยุคแรก ๆ ทุกคนซึ่งแสดงลักษณะของกฎหมายพูดเฉพาะเกี่ยวกับโครงสร้างของรัฐเท่านั้น ในขณะที่ประเพณีที่ตามมา (และโดยหลักคือพลูทาร์ก) ถือว่า Lycurgus การเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมของสังคมสปาร์ตัน การสร้างไม่เพียงแต่ระบบเศรษฐกิจและสังคมสปาร์ตันดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบการศึกษาของชาวสปาร์ตันด้วย การก่อตัวของรากฐานของรหัสทางศีลธรรมเฉพาะของสปาร์ตา ลักษณะที่ครอบคลุมของกฎหมายของ Lycurgus ทำให้เกิดข้อสงสัยในหมู่พลูทาร์กเอง ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงสถาบันแห่งความลับ ( สงครามลับต่อต้านพวกที่ประกาศไว้ ephors) เขาตั้งข้อสังเกตว่า: "แต่สำหรับฉันแล้วชาวสปาร์ตันก็ไร้มนุษยธรรมมากหลังจากนั้น... อย่างน้อยฉันก็ไม่กล้าที่จะถือว่าการสถาปนาประเพณีอันเลวร้ายเช่น cryptia เป็นของ Lycurgus โดยคำนึงถึง ความอ่อนโยนของอุปนิสัยและความยุติธรรมของเขาในทุกสิ่ง - คุณสมบัติที่ออราเคิลยืนยันเอง” - แม้ว่าการวิพากษ์วิจารณ์อย่างเด็ดขาดของพลูทาร์กจะอยู่บนพื้นฐานทางศีลธรรม แต่ก็ยังมีความสำคัญที่องค์ประกอบสำคัญอย่างน้อยหนึ่งประการของระเบียบสังคมสปาร์ตันทำให้เขาเบี่ยงเบนไปจากแผนการทั่วไปของเขาที่ถือว่ามันเป็นการตัดสินใจของ Lycurgus ทั้งหมด ตามที่ระบุไว้โดย L.G. Pechatnova“ Lycurgus ในประเพณีโบราณค่อยๆกลายเป็น "god ex machina" (deus ex machina) ด้วยความช่วยเหลือซึ่งสามารถอธิบายการรวบรวมกฎหมายและประเพณีของ Spartan ที่แปลกและแปลกใหม่ทั้งหมดได้”

ตามตัวอักษร “retra” หมายถึง “คำพูด” “การพูด” “คำพูด” แต่ความหมายนี้ดูเหมือนจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ว่า "Great Retra" (กฎของ Lycurgus) เป็นที่รู้จักสำหรับเราว่าเป็นเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร ควรสังเกตว่าบุคคลหนึ่งไม่ได้ขัดแย้งกับอีกฝ่าย แม้ว่าบุคคลหนึ่งจะยืนกรานในข้อเท็จจริงของการบันทึกรายการย้อนหลังพร้อมกับการยอมรับก็ตาม ความจริงก็คือในวัฒนธรรมกรีก - โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโปลิสเช่นสปาร์ตาซึ่งมีแนวโน้มที่จะถูกทำให้เป็นโบราณคดีตั้งแต่สมัยแรก ๆ - กฎหมายปากเปล่าได้รับความเคารพเป็นพิเศษเนื่องจากความโบราณและความแข็งแกร่งพิเศษที่เป็นที่ยอมรับสำหรับพวกเขาเนื่องจากตาม Lysias ในกรณี การละเมิดของพวกเขา “ไม่เพียงถูกลงโทษโดยผู้คนเท่านั้น แต่ยังถูกลงโทษโดยเทพเจ้าด้วย” (Lysias, VI, 10)

ยิ่งไปกว่านั้น ในสปาร์ตา การใช้การเขียนเพื่อจุดประสงค์ใดๆ นอกเหนือจากขอบเขตการบริหารทางทหารถือเป็นลักษณะ "กึ่งใต้ดิน" ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ คำว่า "retra" ยังแพร่กระจายไปยังกฎหมายลายลักษณ์อักษรด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการบัญญัติกฎหมายในสปาร์ตามักจะจงใจจงใจ ตัวอักษรสั้นดังคำกล่าวของนักพยากรณ์โบราณ สถานการณ์สุดท้ายมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ช่วยให้เราเข้าใจการใช้คำว่า "retra" ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย Spartan สปาร์ตาตามธรรมเนียมและบ่อยกว่านครรัฐอื่นๆ ของกรีกส่วนใหญ่หันไปหาออราเคิล (ส่วนใหญ่เป็นเดลฟิค) เพื่อคว่ำบาตรกฎหมายของตนเองหรือรับคำตอบในกรณีที่เกิดปัญหาภายใน นอกจากนี้ ตามตำนานแล้ว "Great Retra" ที่นำเสนอต่อ Lycurgus เป็นคำตอบของเทพนั้นมาจากคำทำนายของ Delphic แห่ง Apollo

ประการแรก “Great Retra” กำหนดการแบ่งคนออกเป็นไฟลและโอบี ควรเข้าใจประเด็นนี้ในลักษณะที่ว่า "Lycurgus แทนที่การแบ่งแยกเผ่าของสังคมทั้งหมดหรือบางส่วนด้วยการแบ่งเขตแดน เป็นไปได้ว่าไฟลาแบบดอเรียนทั้งสามแบบดั้งเดิมได้รับการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่แม้จะไม่ได้ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการ แต่กลับถูกรวมอยู่ในระบบการแบ่งดินแดนใหม่ของกลุ่มพลเรือน” - อย่างไรก็ตาม วัสดุที่มีอยู่ไม่อนุญาตให้เราพูดอะไรที่ชัดเจนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของฟิล ตามที่ Nicholas Hammond ผู้เชี่ยวชาญสำคัญในประวัติศาสตร์ของสปาร์ตาในช่วงยุคโบราณ "Great Retra" ไม่ได้เกี่ยวกับสามกลุ่ม phyla แต่เกี่ยวกับการก่อตัวของหน่วยดินแดนที่มีชื่อเดียวกันซึ่งจัดสรรตามขอบเขตของที่มีอยู่แล้ว ห้าแคว้น ได้แก่ เกี่ยวกับกฎของ Lycurgus เราควรพูดถึงระบบ "ฟิโล-โอโบเวียน" ดังนั้น กองทัพจึงถูกจัดระเบียบตามหลักการอาณาเขต และเป้าหมายของการปฏิรูปทั้งหมดคือการแบ่งไฟลาทั้งสามเผ่าด้วย "เส้นขวาง" และรวมบุคคลไฟล์ในอาณาเขตแต่ละกลุ่มที่สังกัดแคลนต่างกัน อย่างไรก็ตามมันเป็นลักษณะของลักษณะการประนีประนอมของกฎหมายของ Lycurgus ที่ว่าการปฏิรูปไม่ได้นำไปสู่การชำระบัญชีอย่างรุนแรง - ในทางกลับกันกลุ่มหลังยังคงรักษาอิทธิพลของพวกเขาในชีวิตสังคมหลายด้านโดยเฉพาะในด้านศาสนาและพิธีกรรมซึ่ง มีความสำคัญมากสำหรับชาวสปาร์ตัน โดยสูญเสียความสำคัญด้านการบริหารไป ดังนั้น หากแนวทางของเอ็น. แฮมมอนด์ถูกต้อง เรากำลังเผชิญกับการปฏิรูปกฎหมายในยุคแรกๆ ซึ่งเป็นประเภทที่คล้ายกับการปฏิรูปของไคลส์ธีเนสในช่วงปลายเอเธนส์อย่างมากศตวรรษที่หก -

“Great Retra” ตั้งชื่อสภาผู้อาวุโส (gerusia) ที่นำโดยกษัตริย์เป็นหน่วยงานหลักของรัฐบาล เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธรรมชาติของ Gerusia มาก่อน Lycurgus แต่การกล่าวถึงมันใน Retra นั้นหมายถึงข้อเท็จจริงของการปฏิรูปที่รุนแรงของสถาบันนี้ ก่อนอื่นมีการสร้างจำนวนขึ้น - 30 คนซึ่งเห็นได้ชัดว่าย้อนกลับไปสู่การแบ่งแยกสังคมสปาร์ตันในสมัยโบราณออกเป็นสามกลุ่ม อาจเป็นไปได้ว่า Lycurgus ยกเลิกการสรรหา Gerusia บนพื้นฐานของกลุ่มและแนะนำหลักการของการสรรหาแบบชั้นเรียนของหน่วยงานรัฐที่สูงที่สุดของ Sparta เห็นได้ชัดว่าประเพณีที่อริสโตเติลรายงานและทำซ้ำโดยพลูตาร์คนั้นมีความน่าเชื่อถือตามที่สหายของ Lycurgus เข้าสู่ Gerousia ในตอนแรกและสนับสนุนเขาในการปฏิรูปรัฐ หลังจาก Lycurgus Gerusia ได้รับการดูแลตามหลักการของชั้นเรียนโดยเฉพาะ - สมาชิกของเผ่าเดียวกันก็ตกลงไปในนั้นจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในไฟลัมของเผ่าใดประเภทหนึ่งก็ตาม ด้วยการสถาปนา Gerousia ในรูปแบบนี้ สปาร์ตาจึงกลายเป็นเมืองที่มีรูปแบบการปกครองแบบชนชั้นสูง เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ขั้นตอนการคัดเลือกผู้สูงอายุที่พลูทาร์กอธิบายนั้นมีอายุย้อนไปถึงเวลาเดียวกัน:

“เมื่อประชาชนมีเวลามาชุมนุมกัน เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการเลือกตั้งก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหนึ่งของบ้านข้างเคียงซึ่งพวกเขามองไม่เห็นใครเลยเหมือนไม่มีใครมองเห็นพวกเขา สิ่งที่พวกเขาได้ยินมีเพียงเสียงตะโกนของประชาชนที่ชุมนุมกัน ทั้งในกรณีนี้และในกรณีอื่นๆ เขาก็ตัดสินการเลือกตั้งด้วยการตะโกน ผู้ที่ได้รับเลือกไม่ได้ออกมาทันที แต่ทีละคน ทีละล็อต และเดินอย่างเงียบๆ ไปทั่วการชุมนุมทั้งหมด ผู้ที่ถูกขังอยู่ในห้องมีแท็บเล็ตเขียนอยู่ในมือ โดยสังเกตได้เพียงความแรงของเสียงร้อง โดยไม่รู้ว่าหมายถึงใคร พวกเขาแค่ต้องบันทึกว่าพวกเขาตะโกนใส่คนที่ถูกนำออกไปก่อน ที่สอง สาม ฯลฯ มากแค่ไหน คนที่พวกเขาตะโกนเรียกบ่อยขึ้นและดังกว่านั้นถูกประกาศว่าเป็นผู้ที่ถูกเลือก”

นอกจากตระกูล Geront แล้ว gerusia ยังรวมถึงกษัตริย์สององค์ที่ได้รับการตั้งชื่อใน "Great Retra" โดยใช้ชื่อของ "archagetes" บางทีด้วยวิธีนี้พวกเขาจึงได้รับการตั้งชื่ออย่างแม่นยำว่าเป็นสมาชิกและประธานของ Gerusia - ในกรณีนี้ชื่อนี้หมายถึง "ผู้ก่อตั้ง" "ผู้จัดงาน" บ่งบอกถึงสถานะของกษัตริย์ใน Gerusia - อันดับแรกในบรรดาผู้เท่าเทียมและไม่มีอะไรเพิ่มเติม ในกรณีนี้ ความหมายของมติ “Great Retra” นี้สามารถตีความได้ว่าเป็นการวางกษัตริย์เป็นสมาชิกของ Gerusia ภายใต้อำนาจของประชาคมประชาคมซึ่งมีเสียงแนะนำเช่นกัน บทบัญญัติสุดท้ายย้อนหลัง

ไกลออกไป เรากำลังพูดถึงเกี่ยวกับผู้คนที่มารวมตัวกันเพื่อเรียกร้อง - การชุมนุมของประชาชน การบ่งชี้เวลา ("เป็นครั้งคราว") และสถานที่ ("ระหว่าง Babika และ Knakion") พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของการรวมตัวของนักรบในสมัย ​​Homeric ในอดีตให้กลายเป็นการชุมนุมของประชาชนประเภทโพลิส การอ้างอิงถึงเวลา - "เป็นครั้งคราว" - ไม่สามารถตีความได้ว่าเป็นการกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมระหว่างการประชุม ข้อกำหนดนี้ควรตีความว่าเป็นการบ่งชี้ถึงลักษณะการประชุมที่เป็นระเบียบและถาวรซึ่งกลายเป็นลักษณะสำคัญของชีวิตพลเมืองที่เหมาะสม และไม่ได้รวบรวมเฉพาะในกรณีฉุกเฉินหรือสถานการณ์พิเศษใดๆ เท่านั้น

สมัชชาประชาชนทำหน้าที่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการอนุมัติหรือปฏิเสธประเด็นที่เสนอเพื่อการตัดสินใจ พลูทาร์ก ดังต่อไปนี้อธิบายถึงการจัดระเบียบงานของอุทธรณ์:

“ในสภาประชาชนไม่มีสิทธิแสดงความคิดเห็น ประชาชนทำได้เพียงยอมรับหรือปฏิเสธข้อเสนอของผู้เฒ่าหรือกษัตริย์เท่านั้น”

ดังนั้นการตัดสินใจที่จัดทำโดย Gerousia จึงถูกนำเสนอต่อสมัชชาประชาชน - คล้ายกับที่ Bule ร่างมติของสมัชชาประชาชนในกรุงเอเธนส์ แต่ถ้าในเอเธนส์หากไม่มีโครงการ Bule การอภิปรายอย่างเปิดเผยก็เริ่มขึ้นและมีการเตรียมเนื้อหาของกฎหมายไปพร้อมกันดังนั้นในสปาร์ตาหน้าที่ของการอุทธรณ์ก็เพื่อยอมรับหรือปฏิเสธโครงการที่เสนอเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม อาจเป็นไปได้ว่าการห้ามการริเริ่มด้านกฎหมายนี้ไม่ได้อยู่ในกฎหมายดั้งเดิมของ Lycurgus - มันเกิดขึ้นเพียงเป็นผลมาจากการตีความ "Great Retra" ในเวลาต่อมาเนื่องจากลักษณะของมันเป็นการกระทำที่สั้นและไม่มีรายละเอียด ในเงื่อนไขเริ่มต้นซึ่งคล้ายกับการประชุมทางทหารมาก Spartiate แต่ละคนแม้ว่าเขาจะมีสิทธิ์ยื่นข้อเสนอ แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่ได้ใช้มันเลย โดยได้รับคำแนะนำจากประเพณีที่จัดตั้งขึ้นเมื่อมีการกำหนดข้อเสนอโดยผู้เฒ่า - ต่อมาการปฏิบัตินี้ได้รับรูปแบบของ คำสั่งทางกฎหมาย

อาจเป็นไปได้ว่ากฎหมายของ Lycurgus แยกสภาประชาชนออกมาและจากองค์กรที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของกษัตริย์และสภาผู้อาวุโส (ชนเผ่า) ได้เปลี่ยนให้กลายเป็นสถาบันที่มีอำนาจรัฐสูงสุด

ไม่มีสถาบันใดที่ระบุไว้ใน "Great Retra" ที่เป็นนวัตกรรมของ Lycurgus - ทั้งหมดอยู่ในโครงสร้างดั้งเดิมของสังคมโบราณ ความสำคัญของกฎหมายของ Lycurgus ไม่ได้อยู่ในนวัตกรรมของสถาบัน แต่ในการรวมเมืองโบราณเข้าด้วยกันด้วยเหตุนี้จึงสามารถหลีกเลี่ยงได้ ช่วงเวลาที่ยากลำบากทั้งความสุดขั้วของการปกครองแบบคณาธิปไตยและการเผด็จการ สาระสำคัญของการปฏิรูปไม่ใช่การกำจัดข้อได้เปรียบทางการเมืองของชนชั้นสูง (ซึ่งระบบเผด็จการจะทำสำเร็จในภายหลัง) แต่ในทางกลับกัน การเปลี่ยนแปลงของชาวสปาร์ตันทั้งหมดไปสู่ชนชั้นปกครอง แต่ด้วยเหตุนี้กระบวนการปิดชั้นเรียนของพลเมืองที่เต็มเปี่ยมจากกลุ่มสังคมอื่น ๆ ของประชากรจึงเริ่มขึ้นและเริ่มก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว

นวัตกรรมด้านกฎหมายของ Lycurgus ทำให้เกิดการต่อต้านที่สำคัญในสังคม Spartan ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่ความจริงที่ว่า Lycurgus ถูกบังคับให้ลี้ภัยซึ่งเขาเสียชีวิตและประเพณีโบราณเป็นพยานถึงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อชะตากรรมของการปฏิรูปของเขา พลูทาร์กพูดเกี่ยวกับการตายของ Lycurgus:

“ ... เมื่อได้รับคำสาบานจากกษัตริย์และผู้เฒ่าจากนั้นจากประชาชนทุกคนว่าพวกเขาจะยึดมั่นในรัฐบาลที่มีอยู่อย่างมั่นคงจนกว่าเขาจะกลับจากเดลฟี Lycurgus จึงออกเดินทางไปเดลฟี เมื่อเข้าไปในพระวิหารและถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า เขาถามว่ากฎหมายของเขาดีหรือไม่ และกฎเหล่านั้นช่วยความสุขและการปรับปรุงศีลธรรมแก่เพื่อนร่วมชาติของเขาอย่างเพียงพอหรือไม่ นักทำนายตอบว่ากฎของเขาดีเยี่ยม และในส่วนของเขา รัฐของเขาจะอยู่ในจุดสูงสุดแห่งความรุ่งโรจน์ ตราบใดที่ยังคงซื่อสัตย์ต่อโครงสร้างรัฐที่มอบให้เขา เขาเขียนคำพยากรณ์นี้และส่งไปยังสปาร์ตา ตัวเขาเองได้ถวายสังเวยแด่พระเจ้าเป็นรอง กล่าวคำอำลากับเพื่อนและลูกชายของเขา และตัดสินใจตายโดยสมัครใจเพื่อไม่ให้พลเมืองเพื่อนร่วมชาติของเขาหลุดพ้นจากคำสาบานที่พวกเขายึดถือ [...] เขาอดอาหารจนตายด้วยความเชื่อมั่นว่าการตายของบุคคลสาธารณะควรเป็นประโยชน์ต่อรัฐ และบั้นปลายของชีวิตของเขาไม่ควรเป็นอุบัติเหตุ แต่เป็นความสำเร็จทางศีลธรรม... [ ...]

ตามที่ขุนนาง บุตรชายของฮิปปาร์คัสกล่าวไว้ เมื่อ Lycurgus เสียชีวิต... เพื่อนของเขาได้เผาศพของเขาและโยนขี้เถ้าลงทะเลตามความประสงค์ของเขา เขากลัวว่าศพของเขาจะถูกโอนไปยังสปาร์ตาอันเป็นผลมาจาก ซึ่งชาวสปาร์ตันจะถือว่าตนเองเป็นอิสระจากคำสาบานและทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐของตนโดยอ้างว่าเขาได้กลับไปยังบ้านเกิดของเขาแล้ว”

การรวมตัวกันของโปลิสทำให้สปาร์ตามีเสถียรภาพภายในและการปรองดองของความขัดแย้งระหว่างชาวสปาร์ติเอต ซึ่งในทางกลับกันทำให้สามารถเสริมความแข็งแกร่งในการครอบงำเหนือ Lacedaemon และความเข้มแข็งในการก้าวไปสู่การขยายตัวภายนอก ซึ่งส่งผลให้เกิดสงครามเมสเซเนียนครั้งแรก

การปฏิรูปรัฐในสปาร์ตาหลัง Lycurgusหลักฐานที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำพูดของอริสโตเติล ชี้ให้เห็นว่าระบบสังคมและการเมืองของสปาร์ตาหลังการตายของ Lycurgus นั้นไม่มั่นคงเป็นพิเศษ (โดยวิธีการที่ตำนานข้างต้นเกี่ยวกับการตายของ Lycurgus พูดในสิ่งเดียวกัน) เป็นไปได้มากว่าในช่วงปลายศตวรรษที่ 8 หลังสงครามเมสเซเนียนครั้งแรก วิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ร้ายแรงเกิดขึ้นในสปาร์ตาพร้อมกับการสมรู้ร่วมคิดของชาวปาร์เธเนียน และบางคน “ที่ประสบภัยพิบัติจากสงคราม เรียกร้องให้มีการจัดสรรที่ดินใหม่” ในช่วงทศวรรษที่ 30 - 20ศตวรรษที่ 8 การแก้ไขที่สำคัญที่สุดของ "Great Retra" ก็ถูกนำมาใช้เช่นกัน ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มที่พลูทาร์กตั้งชื่อกษัตริย์ว่า โพลีโดรัส และ ธีโอปอมปัส ตามคำกล่าวของพลูตาร์ก พวกเขา “ได้เพิ่มสิ่งต่อไปนี้: “หากประชาชนตัดสินเรื่องไม่ดี กษัตริย์และผู้อาวุโสก็ควรไป” หรืออีกนัยหนึ่ง พวกเขาไม่ควรอนุมัติ [เช่น ผู้คน แอพพลิเคชั่น - ที่.] การตัดสินใจ และโดยทั่วไปจะยุบการประชุม ประกาศว่าปิดการประชุม เนื่องจากก่อให้เกิดอันตรายจากการบิดเบือนและบิดเบือนข้อเสนอของพวกเขา”

การยอมรับการแก้ไขนี้เปลี่ยนความสมดุลของอำนาจในการปกครองแบบสปาร์ตัน โดยนำ gerousia มาก่อน ซึ่งมีสิทธิในการยับยั้ง ตามที่ P. Oliva การปฏิรูปดังกล่าวเกิดขึ้นได้อันเป็นผลมาจากสงครามเมสเซเนียนครั้งแรกซึ่งครอบครัวชนชั้นสูงได้รับประโยชน์สูงสุดและมีอิทธิพลเพิ่มขึ้น - เช่น ผู้ที่เป็นตัวแทนในสภาผู้อาวุโส ตามตำนาน การแก้ไขดังกล่าวได้รับการอนุมัติจาก Delphic oracle ดังที่เห็นได้จากแนวทางของ Tyrtaeus ที่มาถึงเรา เรารู้จักหกบรรทัดแรกผ่านพลูทาร์กซึ่งอ้างอิงถึงส่วนที่เกี่ยวข้องของชีวประวัติของ Lycurgus:

บรรดาผู้ที่ได้ยินคำพูดของ Phoebus ในถ้ำของ Python

พวกเขานำคำอันชาญฉลาดของเหล่าเทพเจ้ามาที่บ้านของพวกเขา:

ให้บรรดากษัตริย์ซึ่งเหล่าทวยเทพถวายเกียรติในสภานั้น

อย่างแรกจะเป็น; ให้สปาร์ตาอันแสนหวานถูกเก็บรักษาไว้

มีที่ปรึกษาอาวุโสอยู่ด้วย ด้านหลังมีผู้ชายจากประชาชน

ผู้ที่ต้องตอบคำถามโดยตรงด้วยคำพูด

ชิ้นส่วนนี้สร้างลำดับชั้นที่ดูเหมือนจะค่อนข้างชัดเจนภายในกรอบของสังคมสปาร์ตัน อันดับแรกคือกษัตริย์ "ได้รับเกียรติจากเทพเจ้า" ต่อมาคือผู้อาวุโส และต่อมา สถานที่สุดท้าย- "คนจากประชาชน" ซึ่งมีสิทธิ์เพียงตอบคำถามที่กษัตริย์และผู้เฒ่าถามโดยตรงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความหมายของแฟรกเมนต์จะเปลี่ยนไปอย่างมากหากเราเพิ่มบรรทัดจาก Tyrtaeus อีกสี่บรรทัดซึ่งเก็บรักษาไว้โดย Diodorus Siculus:

“ให้ [คนของประชาชน] พูดแต่สิ่งดีๆ และทำสิ่งที่ถูกต้อง

ฉันไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายต่อบ้านเกิดของฉัน -

แล้วทั้งชัยชนะและความแข็งแกร่งจะไม่ละทิ้งผู้คน”

ฟีบัสแสดงเจตจำนงดังกล่าวต่อเมืองของเรา

หากเรายอมรับว่าชิ้นส่วนทั้งสองเป็นของแท้ - และเป็นผู้เชี่ยวชาญในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Sparta ในยุคโบราณและคลาสสิก L.G. Pechatnova ร่วมกับนักโบราณวัตถุชาวตะวันตกจำนวนมากยึดมั่นในความคิดเห็นนี้ - ดังนั้นข้อสรุปเกี่ยวกับลักษณะที่ไม่คลุมเครือของลำดับชั้นในสังคมสปาร์ตันดูเหมือนจะซับซ้อนกว่ามากและลำดับแรกสามารถนำมาประกอบกับลำดับของพิธีกรรมและการกระทำอันศักดิ์สิทธิ์ได้ ซึ่งมีความสำคัญมากแต่ไม่ได้มีความสำคัญทั้งหมด และไม่สามารถถ่ายโอนไปยังสมดุลแห่งอำนาจทั่วไปในสปาร์ตันโพลิสได้

ประเพณียังถือว่าการก่อตั้ง ephorate เป็นของกษัตริย์ Theopompus ความเห็นของอริสโตเติล ยังได้รับการยืนยันจากข้อเท็จจริงที่ว่า “บิ๊กเรตร้า” ไม่ได้กล่าวถึงสถาบันแห่งนี้ การตัดสินที่ตรงกันข้ามนั้นถ่ายทอดโดย Herodotus ผู้เขียนรุ่นก่อน ๆ โดยจัดประเภท ephorate ในหมู่สถาบัน Lycurgus โดยอ้างอิงถึงความคิดเห็นของชาวสปาร์ตันเท่านั้น (“ ตามที่ชาว Lacedaemonians อ้างสิทธิ์เอง”)

S.Ya. นักวัตถุโบราณที่มีชื่อเสียงของรัสเซีย Lurie เชื่อว่า ephorate เป็นสถาบันที่เก่าแก่มาก ย้อนหลังไปถึงสมัยก่อนเคอร์กัส อาจตั้งแต่สมัยไมซีเนียนในสปาร์ตาเชื่อ S.Ya. Lurie มีตำแหน่ง "นักดูดาว" "ผู้สังเกตการณ์" (เอฟอร์) เช่นเดียวกับในสังคมดึกดำบรรพ์อื่นๆ กษัตริย์สปาร์ตันซึ่งเป็นบุคคล "ศักดิ์สิทธิ์" อันศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจจำกัดในรูปแบบของ "การปฏิบัติตาม" กับเจตจำนงของสวรรค์ ซึ่งจะต้องได้รับการยืนยันหลังจากช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทุก ๆ แปดปีในสปาร์ตา พวกเอฟอร์จะไปที่วิหารปาสิเฟและเฝ้าดูท้องฟ้า - หากดาวตกส่องแสงวาบไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง กษัตริย์ก็ควรจะถูกปลด เป็นที่ชัดเจนว่าในช่วงเวลาของปัญหา ตำแหน่งของเอฟอร์ควรจะได้รับทั้งหมด มูลค่าที่สูงขึ้น- ในสมัยโบราณกษัตริย์ทั้งหลายได้ทำการรณรงค์โอนอำนาจตุลาการไปยังเอฟอร์ - การปฏิรูป Theopompus ในความเห็นของ S.Ya. Lurie คือว่าต่อจากนี้ไปพวกเขาเริ่มได้รับเลือก และไม่ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ และได้รับเอกราชมากขึ้นในความสัมพันธ์กับเขา ซึ่งทำให้พวกเขากลายเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของ Sparta ในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนนี้ วิทยาศาสตร์ประวัติศาสตร์ได้กลับมายอมรับว่าเป็นเวอร์ชันที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดของอริสโตเติล ผู้เขียนว่าธีโอปอมปัสประนีประนอมและตกลงที่จะจำกัดอำนาจของกษัตริย์ “ด้วยมาตรการต่างๆ รวมถึงการสถาปนาสำนักเอฟอร์ด้วย โดยทำให้ความสำคัญของอำนาจกษัตริย์อ่อนลง พระองค์จึงทรงมีส่วนทำให้การดำรงอยู่ของมันยืนยาวขึ้น เพื่อว่าพระองค์จะไม่ดูหมิ่นอำนาจนั้นในแง่หนึ่ง แต่กลับยกย่องมันให้สูงขึ้น พวกเขาบอกว่าเป็นเขาที่ตอบภรรยาของเขาซึ่งบอกเขาว่าเขาละอายใจไหมที่โอนพระราชอำนาจให้ลูกชายน้อยกว่าที่เขาได้รับมรดกจากพ่อ: “ ไม่ใช่เรื่องน่าละอายเลยตั้งแต่ฉันโอน มันคงทนมากขึ้นสำหรับพวกเขา”

ในขั้นต้น วิทยาลัยห้าแห่งควรจะปฏิบัติหน้าที่ของกษัตริย์ในระหว่างที่พระองค์ไม่อยู่ เห็นได้ชัดว่าจำนวนเอฟอร์ถูกกำหนดโดยอิงจากจำนวนสปาร์ตัน ออบส์ หนึ่งอันจากแต่ละอัน เอเฟอร์ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์จากญาติหรือมิตรสหายของพวกเขาเช่น มีเพียงบุคคลที่มีเชื้อสายสูงเท่านั้นที่สามารถกลายเป็นพวกเขาได้ โดยการเปรียบเทียบกับจักรวาลเครตัน ซึ่งอริสโตเติลเองก็เปรียบเทียบเอฟอร์ด้วย เมื่อการเปลี่ยนไปใช้การเลือกตั้งอีฟอร์เกิดขึ้น เป็นการยากที่จะพูดตามข้อมูลที่มีอยู่ แต่เป็นไปได้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในช่วงสงครามเมสเซเนียนครั้งที่สอง ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางทหารที่ซับซ้อนและยืดเยื้อที่สุดซึ่งสปาร์ตาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ลุกขึ้นมาสู่กิจการภายในซึ่งเป็นอันตรายต่อการมีอยู่ของเหตุการณ์ความไม่สงบ เมื่อกลายเป็นวิชาเลือก ตำแหน่งของเอเฟอร์ก็ถูกแยกออกจากกัน ดังที่ S.Ya. Lurie จากอำนาจซาร์กลายเป็น "ศูนย์กลางแห่งอำนาจ" แห่งใหม่ ไม่ว่าในกรณีใดการเปลี่ยนแปลงนี้ควรเกิดขึ้นเร็วกว่ากลางศตวรรษที่ 6 เมื่อ ephorate กลายเป็นพลังอิสระอย่างสมบูรณ์โดยมีความสนใจและวิธีการดำเนินการเป็นของตัวเอง

การปฏิรูปเอฟอร์ ชิโลที.เอ็น. “ การปฏิรูปของ Chilon” มีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของ Sparta - พวกเขาเสร็จสิ้นกระบวนการสร้างโครงสร้างรัฐ Spartan และในรูปแบบพฤติกรรมทางสังคมหลายประการและนำไปสู่การสร้าง Sparta ในฐานะเมืองแห่งยุคคลาสสิก .

เรารู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวชิโลเอง ประเพณีคลาสสิกเรียกเขาว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดปราชญ์ และ Diogenes Laertius ในประวัติศาสตร์ปรัชญาของเขา ให้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับชีวประวัติและประวัติโดยย่อ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของงานของเขาโดยรวม เราไม่ทราบแน่ชัดว่าการปฏิรูปเกี่ยวข้องกับอะไรกันแน่ ประเพณีโบราณด้วยชื่อของเขา นี่อาจเป็นการโอนตำแหน่งประธานาธิบดีของสมัชชาแห่งชาติและ Gerusia จากกษัตริย์ไปยัง Ephors ซึ่งรวมตำแหน่งที่แท้จริงของอำนาจของพวกเขาเข้าด้วยกัน มีการจัดทำคำสาบานทุกเดือนระหว่างกษัตริย์และเอฟอร์ และดังที่ซีโนโฟนรายงาน เอฟอร์สาบานในนามของประชาคมประชาคม ในขณะที่กษัตริย์สาบานในนามของตนเอง คำสาบานดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกในชุมชนชาวกรีกที่ซึ่งอำนาจของราชวงศ์ยังคงอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีที่ไหนเลยที่ดำเนินการบ่อยนัก - ทุกเดือนซึ่งบ่งบอกถึงความไม่ไว้วางใจอย่างมากของสังคมสปาร์ตัน (หรืออย่างน้อยก็ส่วนหนึ่งที่แสดงความคิดเห็นโดย ephors ) ต่อกษัตริย์

สิ่งที่เรียกว่าอาจเกี่ยวข้องกับ Chilon “retras เล็กๆ น้อยๆ” ซึ่งพลูทาร์กรายงานโดยอ้างว่าสิ่งพิมพ์ของพวกเขาเป็นของ Lycurgus ขณะนี้การระบุแหล่งที่มาหลังได้รับการยอมรับอย่างชัดเจนว่าไม่ถูกต้องเนื่องจากไม่เพียงขัดแย้งกับเนื้อหาเท่านั้น - การรับรู้ของสังคมสปาร์ตันอย่างมีสติและความปรารถนาที่จะสร้างความเท่าเทียมกันภายนอกระหว่างสมาชิก - แต่ยังรวมถึงรูปแบบที่มีการตัดสินใจเหล่านี้ด้วย พลูทาร์กถ่ายทอดเนื้อหาดังนี้:

“หนึ่งใน [เช่น Lycurgus – ที่.] “ถอย”...ห้ามมีกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร อีกฝ่ายมุ่งต่อต้านความฟุ่มเฟือย หลังคาบ้านแต่ละหลังจะทำด้วยขวานอันเดียว ประตูมีเลื่อยอันเดียว ห้ามใช้เครื่องมืออื่น [ …]

เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "retra" ที่สามของ Lycurgus ซึ่งเขาห้ามไม่ให้ทำสงครามกับศัตรูกลุ่มเดียวกัน ... "

หากกำหนด "Great Retra" ไว้เป็นคำพูดของ Oracle ดังนั้น "Retras เล็ก ๆ" ในรูปแบบของพวกเขาจะชวนให้นึกถึงข้อเขียนที่ชัดเจนและแม่นยำมากขึ้นซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมสังคมในทิศทางที่แน่นอน ต่างจากกฎหมายในยุคแรก กฎเหล่านี้มีความคลุมเครือและในขณะเดียวกันก็กระชับในสูตรซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับเอกสาร Spartan แม้ว่าจะไม่ทราบว่า Chilon มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตีพิมพ์หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ปรากฏไม่เร็วกว่าศตวรรษที่ 6 ตามพระราชดำริของเอฟอร์

สิ่งบ่งชี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือประการที่สองของ "retras เล็ก ๆ " ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การควบคุมรูปลักษณ์ของบ้าน Spartan การจำกัดเครื่องมือที่ใช้จริงๆ แล้วหมายถึงการห้ามการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่างที่ชาวสปาร์ติอาตที่มีฐานะค่อนข้างร่ำรวยกว่าสามารถจัดหาให้เองได้ ที่อยู่อาศัยทั้งหมดของ Gomeans (บาดแผล) ควรจะมีลักษณะที่เรียบง่ายและเป็นชนบทในสมัยโบราณและในหลาย ๆ ด้านความปรารถนาของผู้บัญญัติกฎหมายนี้ก็ได้รับการปฏิบัติ - ไม่ว่าในกรณีใดเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการดำรงอยู่ในพระราชวังของสปาร์ตา หรือที่อยู่อาศัยที่โดดเด่นในด้านรูปลักษณ์และการปรับปรุงแต่อย่างใด

ปัญหาของ "การปฏิรูปของ Chilon" เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับทฤษฎีที่เรียกว่า "การปฏิวัติศตวรรษที่ 6" ซึ่งในช่วงเวลานี้การปฏิรูปแบบอนุรักษ์นิยมแบบองค์รวมเกิดขึ้นในเมือง Spartan ซึ่งเป็นองค์ประกอบทางทหารซึ่งมุ่งมั่นที่จะปิด Sparta จาก โลกภายนอกเข้ามายึดครองและในช่วงเวลานี้เองที่บทบัญญัติเหล่านั้นในอนาคต (ผ่านการประดิษฐ์โบราณคดีหรือการปลอมแปลงโดยเจตนา "การทำให้ยาวขึ้น" ของประวัติศาสตร์สปาร์ตา) จะเชื่อมโยงกับชื่อของ Lycurgus

อันที่จริงศตวรรษที่ 6 ถือเป็นการเสื่อมถอยของชีวิตทางวัฒนธรรมและศิลปะของสปาร์ตาที่ค่อนข้างเข้มข้นก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้แม้จะอยู่ในรายชื่อผู้ชนะการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกก็ตาม ชัยชนะของชาวสปาร์ตี "หยุดกะทันหัน" หลังจากปี 576 - "สามารถสังเกตได้เพียงในปี 552 เท่านั้น จากนั้นสามารถนับชัยชนะได้ 12 ครั้งโดยแบ่งเท่า ๆ กันในช่วง 548 - 400 และสุดท้ายคือหนึ่งใน 316"

หากเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิเสธลัทธิแบ่งแยกดินแดนและแนวโน้มการเกลียดชังชาวต่างชาติในสังคมสปาร์ตันในหลาย ๆ ด้าน ก็ไม่มีใครเห็นด้วยกับทฤษฎีที่ยืนยันถึงธรรมชาติที่ฉับพลันและรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ราวกับว่ามันขัดขวางการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปและสมบูรณ์โดยสิ้นเชิง ของสังคมสปาร์ตัน เช่นเดียวกับนครรัฐกรีกอื่นๆ จนกระทั่งถึงขณะนั้น ในความเห็นของเรา เป็นการถูกต้องมากกว่าที่จะพูดถึงการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของกระบวนการประเภทนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งฝังอยู่ในกฎหมายยุคแรกของ Lycurgus และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเพณีและค่านิยมทางสังคมที่มีอยู่ในสังคม Spartan ตั้งแต่วันที่ 8 - ศตวรรษที่ 7

ยิ่งโลกกรีกโดยรอบเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร ความแตกต่างระหว่างสังคมสปาร์ตันก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น และสังคมสปาร์ตันก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น โดยการเลือกให้เป็นแบบอย่างของการพัฒนาสังคมในเรื่องความมั่นคงและการแยกตัวของชั้นการปกครอง โดยยึดหลักการแยกตัวออกจากกลุ่มอื่นและการบังคับของพวกเขา การแทนที่หรือการปราบปราม - ยิ่งไปกว่านั้น สังคมสปาร์ตันเริ่มแยกตัวเองออกจากโลกรอบข้าง เริ่มเคลื่อนไปสู่ความเก็บถาวรทั้งแบบมีสติและหมดสติ และมีบทบาทสำคัญในกระบวนการนี้โดยการก่อตัวของ ephorate ซึ่งเป็นสถาบันที่ครอบคลุมทุกด้านของชีวิตพลเมืองที่สามารถนำพวกเขาไปอยู่ภายใต้การควบคุมและก่อนอื่นคือกระบวนการให้ความรู้แก่ชาวสปาร์ตีเอต

ลักษณะทั่วไปของสังคมสปาร์ตัน ระบบการศึกษา.ภายในสังคมสปาร์ตัน ไม่มีการสาธิตในความหมายโบราณของคำนี้ กล่าวคือ “ประชาชน” ในความหมายของการเปรียบเทียบประชากรส่วนใหญ่ที่มีสิทธิพลเมืองโดยสมบูรณ์กับผู้สูงศักดิ์และร่ำรวยกลุ่มเล็กๆ การปฏิรูป Lycurgus และมาตรการส่วนตัวที่ตามมาได้นำไปสู่การขยายตัวของชนชั้นสูงในความหมายทางกฎหมาย ในลักษณะที่รวมประชากรทั้งหมดไว้ด้วย รูปภาพของชนชั้น Spartiates หรือ Gomeans (เท่ากับ)

ผลจากวิวัฒนาการภายในของศตวรรษที่ 8 - 6 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากสถานการณ์ในสงครามเมสเซเนียนทั้งสองครั้ง สปาร์ตาจึงถูกเปลี่ยนเป็นค่ายทหาร และพลเมืองของสปาร์ตากลายเป็นวรรณะทหาร ซึ่งมีความสามัคคีกันและเป็นเอกฉันท์ในการอยู่รอดของ รัฐขึ้นอยู่กับ อุดมการณ์ของภราดรภาพและความร่วมมือกลายเป็นประเด็นหลักในสังคมสปาร์ตันโดยผลักดันอยู่เบื้องหลังและวางข้อได้เปรียบเช่นความมั่งคั่งหรือความสูงส่งให้เป็นค่านิยมทางสังคมอย่างน่าสงสัย หลังไม่ได้ถูกโต้แย้งในสปาร์ตา แต่ไม่ได้รับการเคารพอย่างชัดเจนว่าเป็นพื้นฐานที่พอเพียงและชี้ขาดสำหรับความเป็นอันดับหนึ่งในสังคม - ชาวสปาร์ตาที่มีเกียรติที่สุดเพื่อที่จะได้รับสิทธิของพลเมืองต้องผ่านเส้นทางที่ต้องการทั้งหมดได้สำเร็จ ของการศึกษา แน่นอนว่าชนชั้นสูงให้ข้อได้เปรียบบางอย่าง - และมักจะค่อนข้างสำคัญ - แต่เพื่อที่จะตระหนักถึงพวกเขา Spartiate จะต้องยืนยันสถานะพลเมืองของเขาด้วยวิถีชีวิตทั้งหมดของเขาพฤติกรรมตามกฎที่ได้รับการยอมรับว่ามีผลผูกพันอย่างเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน

คำนิยาม

ชีวประวัติ

บทความ

ชีวประวัติเปรียบเทียบ

ผลงานอื่นๆ

วรรณกรรม

พลูทาร์กในการแปลภาษารัสเซีย

คำคมและคำพังเพย

คำนิยาม

พลูทาร์กแห่ง Chaeronea (กรีกโบราณ: Πλούταρχος) (ประมาณ 45 - ประมาณ 127) - นักปรัชญาชาวกรีกโบราณ นักเขียนชีวประวัติ นักศีลธรรม

พลูทาร์กนี้(ประมาณ 46 - ประมาณ 120) - นักเขียนชาวกรีกโบราณ ผู้แต่งผลงานทางศีลธรรม ปรัชญา และประวัติศาสตร์ - ชีวประวัติ จากมรดกทางวรรณกรรมอันกว้างใหญ่ พลูทาร์กซึ่งมีผลงานอยู่ประมาณ 250 ผลงาน มีผลงานรอดไม่ถึง 1 ใน 3 ซึ่งส่วนใหญ่รวมตัวกันภายใต้ ชื่อสามัญ"ศีลธรรม." อีกกลุ่มหนึ่ง - "ชีวิตเปรียบเทียบ" - รวมชีวประวัติของบุคคลสำคัญทางการเมืองที่มีชื่อเสียงของกรีกโบราณและโรม 23 คู่เลือกตามความคล้ายคลึงกันของภารกิจทางประวัติศาสตร์และความคล้ายคลึงกันของตัวละคร

ชีวประวัติ

เขามาจากครอบครัวที่ร่ำรวยที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ในโบเอเทีย

ในกรุงเอเธนส์เขาศึกษาคณิตศาสตร์ วาทศาสตร์ และปรัชญา ซึ่งวิชาหลังส่วนใหญ่มาจาก Platonist Ammonius แต่ Peripates และ Stoa ก็มีอิทธิพลสำคัญต่อเขาเช่นกัน ในมุมมองทางปรัชญาของเขาเขาเป็นคนผสมผสาน; ในปรัชญาเขาสนใจที่จะประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ

ในวัยเยาว์เขาเดินทางบ่อยมาก เขาได้ไปเยือนกรีซ เอเชียไมเนอร์ อียิปต์ ขณะอยู่ในโรม ซึ่งเขาได้พบกับชาวนีโอพีทาโกรัส และยังได้สร้างมิตรภาพกับบุคคลสำคัญๆ มากมาย รวมทั้งลูเซียส เมสเตรอุส ฟลอรัส ผู้ใกล้ชิดของจักรพรรดิเวสปาเซียน ผู้ช่วยพลูตาร์คได้รับตำแหน่งโรมัน

อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าพลูทาร์กก็กลับมายังแชโรเนีย เขารับใช้เมืองของเขาอย่างซื่อสัตย์ในที่สาธารณะ เขารวบรวมคนหนุ่มสาวในบ้านของเขาและสอนลูกชายของเขาเองสร้าง "สถาบันการศึกษาเอกชน" ซึ่งเขารับบทเป็นที่ปรึกษาและผู้บรรยาย

ในปีที่ห้าสิบของชีวิต เขากลายเป็นนักบวชของอพอลโลในเมืองเดลฟี โดยพยายามทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และพยากรณ์กลับคืนสู่ความหมายเดิม

พลูทาร์กไม่ใช่นักเขียนต้นฉบับ โดยพื้นฐานแล้ว เขารวบรวมและประมวลผลสิ่งที่นักเขียนและนักคิดต้นฉบับคนอื่นๆ เคยเขียนไว้ก่อนหน้าเขา แต่ในการรักษาของพลูทาร์ก ประเพณีทั้งหมดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบุคลิกภาพของเขา ได้รับการปรากฏตัวใหม่และในรูปแบบนี้ที่กำหนดความคิดและวรรณกรรมของยุโรปมานานหลายศตวรรษ ผลประโยชน์อันมากมายของพลูทาร์ก (ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับชีวิตครอบครัว ชีวิตในนครรัฐกรีก ปัญหาทางศาสนา และประเด็นเรื่องมิตรภาพ) สอดคล้องกับงานเขียนของเขาจำนวนมาก ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งรอดชีวิตมาได้ เป็นการยากมากที่จะกำหนดลำดับเหตุการณ์ของพวกเขา ตามหลักแล้วเราสามารถแบ่งพวกมันออกเป็น 2 กลุ่ม: กลุ่มแรก, ต่างกันมาก, ครอบคลุมงานที่สร้างขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน, ส่วนใหญ่เป็นปรัชญาและการสอน, รวมเข้าด้วยกันภายใต้ชื่อทั่วไป จริยธรรม (โมราเลีย); ส่วนที่สองประกอบด้วยชีวประวัติ (ชื่อทั้งหมดมักจะอ้างอิงเป็นภาษาละติน) ใน Ethics เราพบผลงานประมาณ 80 ชิ้น สิ่งแรกสุดคือสิ่งที่มีลักษณะเป็นวาทศิลป์ เช่น การยกย่องเอเธนส์ การอภิปรายของฟอร์ทูนา (กรีก Tychus) และบทบาทของเธอในชีวิตของอเล็กซานเดอร์มหาราชหรือในประวัติศาสตร์ของกรุงโรม

กลุ่มใหญ่ยังประกอบด้วยบทความเชิงปรัชญายอดนิยม ในจำนวนนี้ ลักษณะเฉพาะที่สุดของพลูทาร์กก็คือบทความสั้นเรื่องสภาวะแห่งวิญญาณ ใน วัตถุประสงค์ทางการศึกษาบทความอื่นๆ มีคำแนะนำว่าต้องทำอย่างไรจึงจะมีความสุขและเอาชนะข้อบกพร่องได้ (เช่น เรื่องอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป เรื่องช่างพูด เรื่องความขี้ขลาดมากเกินไป) ด้วยเหตุผลเดียวกัน พลูทาร์กจึงจัดการกับปัญหาความรักและการแต่งงาน

ผลงานทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในการสอนของพลูทาร์ก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เขายังตั้งคำถามที่คล้ายกันในงานของเขาว่าชายหนุ่มควรฟังกวีอย่างไร วิธีใช้การบรรยาย ฯลฯ หัวข้อที่ใกล้เคียงกันคืองานเขียนทางการเมืองของพลูทาร์ก โดยเฉพาะที่มีคำแนะนำสำหรับผู้ปกครองและ นักการเมือง- บทความเกี่ยวกับหัวข้อชีวิตครอบครัวยังรวมถึงการรวมใจ (นั่นคือบทความปลอบใจหลังจากการปลิดชีพ) จ่าหน้าถึง Timoxena ภรรยาของ Plutarch ซึ่งสูญเสียลูกสาวคนเดียวของเธอ

พร้อมด้วยความนิยมสูงสุด ทำงานในรูปแบบการสนทนาจริยธรรมยังรวมไปถึงสิ่งอื่น ๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับรายงานทางวิทยาศาสตร์ซึ่งพลูทาร์กไม่ได้ให้เหตุผลเชิงทฤษฎีอย่างลึกซึ้ง แต่ให้ข้อมูลที่มีค่ามากมายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของปรัชญา สิ่งเหล่านี้ควรรวมถึงงานเกี่ยวกับคำสอนของเพลโต เช่น คำถามของเพลโต หรือเกี่ยวกับการสร้างจิตวิญญาณใน Timaeus รวมถึงงานโต้เถียงที่มุ่งต่อต้าน Epicureans และ Stoics

พลูทาร์กยังเขียนเกี่ยวกับจิตวิญญาณมนุษย์ มีความสนใจในด้านจิตวิทยา แม้กระทั่งในด้านจิตวิทยาของสัตว์ด้วยซ้ำ ถ้างานเขียนเกี่ยวกับความฉลาดและความฉลาดของสัตว์นั้นมาจากปากกาของเขาจริงๆ

พลูทาร์กอุทิศผลงานมากมายเกี่ยวกับประเด็นทางศาสนา หนึ่งในนั้นเรียกว่าบทสนทนา "ไพเธียน" ที่เกี่ยวข้องกับคำทำนายของอพอลโลที่เดลฟี สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในกลุ่มนี้คืองาน On Isis และ Osiris ซึ่งพลูตาร์คเองก็ริเริ่มเข้าสู่ความลึกลับของไดโอนีซัสโดยสรุปการตีความที่หลากหลายและการตีความเชิงเปรียบเทียบของความลึกลับของโอซิริส ความสนใจในโบราณวัตถุของพลูทาร์กเห็นได้จากผลงานสองชิ้น ได้แก่ คำถามกรีก (Aitia Hellenika; Latin Quaestiones Graecae) ​​และคำถามโรมัน (Aitia Romaika; Latin Quaestiones Romanae) ซึ่งเปิดเผยความหมายและที่มาของประเพณีต่างๆ ของโลกกรีก-โรมัน ( มีพื้นที่มากมายสำหรับลัทธิคำถาม)

บทความของพลูทาร์กบนใบหน้าบนจานดวงจันทร์เป็นตัวแทน ทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับเทห์ฟากฟ้านี้ ในตอนท้ายพลูทาร์กหันไปหาทฤษฎีที่นำมาใช้ใน Plato's Academy (Xenocrates) โดยมองว่าดวงจันทร์เป็นบ้านเกิดของปีศาจ ความหลงใหลของพลูทาร์กซึ่งแสดงออกมาอย่างชัดเจนในชีวประวัติของเขา ยังสะท้อนให้เห็นในการรวบรวมสุภาษิต Lacedaemonian (คอลเลกชันอีกชุดหนึ่งของคำพูดที่มีชื่อเสียงของ Apothegmata ซึ่งอาจเป็นไปได้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่ของแท้) ที่สุด หัวข้อที่แตกต่างกันผลงานเช่นงานฉลองนักปราชญ์ทั้งเจ็ดหรือการสนทนาในงานฉลอง (ในหนังสือ 9 เล่ม) ได้รับการเปิดเผยในรูปแบบของบทสนทนา

จริยธรรมของพลูทาร์กยังรวมถึงผลงานที่ไม่ถูกต้องของผู้เขียนที่ไม่รู้จักด้วย สิ่งสำคัญที่สุด ได้แก่: On Music ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งความรู้หลักของเราเกี่ยวกับดนตรีโบราณ (Aristoxenus, Heraclides of Pontus) และ On the Education of Children ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงอย่างมากและได้รับการแปลในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเป็นหลายภาษา . อย่างไรก็ตาม พลูทาร์กเป็นหนี้ชื่อเสียงของเขาไม่ใช่เพราะจริยธรรม แต่เป็นเพราะชีวประวัติ

ในการแนะนำชีวประวัติของ Aemilius Paulus พลูทาร์กเองก็สรุปเป้าหมายที่เขาแสวงหา: การสื่อสารกับผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณมีหน้าที่ด้านการศึกษาและหากชีวประวัติไม่ใช่ทั้งหมดที่น่าสนใจ ตัวอย่างเชิงลบก็อาจมีผลกระทบที่น่าหวาดกลัวและนำไปสู่ ไปสู่หนทางแห่งชีวิตที่ชอบธรรม

ในชีวประวัติของเขา พลูทาร์กปฏิบัติตามคำสอนของ Peripatetics ซึ่งอยู่ในสาขาจริยธรรม สำคัญเกิดจากการกระทำของมนุษย์โดยอ้างว่าทุกการกระทำก่อให้เกิดคุณธรรม พลูทาร์กจัดเรียงสิ่งเหล่านี้ตามโครงร่างชีวประวัติการเดินทางโดยอธิบายการเกิด ความเยาว์วัย ลักษณะนิสัย กิจกรรม การตายของฮีโร่ และสถานการณ์ต่างๆ พลูทาร์กใช้ข้อมูลที่มีอยู่เพื่ออธิบายการกระทำของวีรบุรุษของเขา วัสดุทางประวัติศาสตร์ซึ่งเขาปฏิบัติต่อเขาอย่างอิสระ เพราะเขาเชื่อว่าเขากำลังเขียนชีวประวัติ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เขาสนใจในภาพเหมือนของบุคคลเป็นหลัก และเพื่อที่จะเป็นตัวแทนของเขาด้วยสายตา พลูทาร์กจึงเต็มใจใช้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

นี่คือวิธีที่เรื่องราวที่มีสีสันและสะเทือนอารมณ์เกิดขึ้น ความสำเร็จนั้นได้รับการรับรองโดยพรสวรรค์ของผู้เขียนของผู้เล่าเรื่อง ความอยากของเขาสำหรับทุกสิ่งของมนุษย์และการมองโลกในแง่ดีทางศีลธรรมที่ยกระดับจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม ชีวประวัติของพลูทาร์กก็มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เช่นกัน เพราะเขาหันไปหาแหล่งข้อมูลที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ในปัจจุบันซ้ำแล้วซ้ำอีก พลูทาร์กเริ่มเขียนชีวประวัติตั้งแต่ยังเยาว์วัย ในตอนแรกเขาหันความสนใจไปที่ผู้มีชื่อเสียงของ Boeotia: Hesiod, Pindar, Epaminondas - ต่อมาเขาเริ่มเขียนเกี่ยวกับตัวแทนของภูมิภาคอื่น ๆ กรีซ: เกี่ยวกับ Leonidas, Aristomenes, Aratus of Sikyon และแม้กระทั่งเกี่ยวกับ กษัตริย์เปอร์เซียอาร์ทาเซอร์เซส II.

ขณะที่อยู่ในโรม พลูตาร์คได้สร้างชีวประวัติของจักรพรรดิโรมันสำหรับชาวกรีก และมาช้าเท่านั้น ระยะเวลาเขาเขียนงานที่สำคัญที่สุดของเขา Comparative Lives (Bioi Paralloi; lat. Vitae Parallae) เหล่านี้เป็นชีวประวัติของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ กรีซและโรมเมื่อเทียบเป็นคู่ คู่เหล่านี้บางคู่ได้รับการแต่งขึ้นอย่างประสบความสำเร็จ เช่น ผู้ก่อตั้งในตำนานของเอเธนส์และโรม - เธซีอุสและโรมูลุส ผู้บัญญัติกฎหมายกลุ่มแรก - Lycurgus และ Numa Pompilius ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุด- อเล็กซานเดอร์และซีซาร์ คนอื่นถูกเปรียบเทียบโดยพลการมากกว่า: "ลูกแห่งความสุข" - Timoleon และ Aemilius Paulus หรือคู่รักที่แสดงให้เห็นถึงความผันผวนของโชคชะตาของมนุษย์ - Alcibiades และ Coriolanus หลังจากชีวประวัติ พลูทาร์กได้ให้คำอธิบายทั่วไป ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบภาพสองภาพ (เรื่องย่อ) มีเพียงไม่กี่คู่เท่านั้นที่ขาดการเปรียบเทียบนี้ โดยเฉพาะอเล็กซานเดอร์และซีซาร์ มีทั้งหมด 23 คู่ เรียงตามลำดับเวลา 22 คู่รอดชีวิตมาได้ (ชีวประวัติของ Epaminondas และ Scipio สูญหาย) และชีวประวัติเดี่ยวสี่รายการของอันก่อนหน้านี้ ระยะเวลา: Aratus แห่ง Sicyon, Artaxerxes II, Galba และ Otho พลูทาร์กอุทิศทั้งชีวิตให้กับกิจกรรมทางสังคมและการเมือง และเหนือสิ่งอื่นใดให้กับการสอน เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงบทบาททางวัฒนธรรมของกรีซ จนถึงสิ้นยุคโบราณและในไบแซนเทียม พลูตาร์คมีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะนักการศึกษาและนักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (ศตวรรษที่ 15) ผลงานที่พบของพลูตาร์คซึ่งแปลเป็นภาษาละตินกลายเป็นพื้นฐานของการสอนของยุโรปอีกครั้ง บทความเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กมักอ่านกันมากที่สุดจนถึงต้นศตวรรษที่ 19 ถือว่าเป็นของแท้

ชีวประวัติของพลูทาร์กมีน้อยมากและสามารถศึกษาได้บนพื้นฐานของงานเขียนของพลูทาร์กเองเป็นหลักซึ่งเขามักจะแบ่งปันความทรงจำจากชีวิตของเขากับผู้อ่าน

ก่อนอื่นไม่ทราบปีที่แน่นอนในชีวิตของเขาและแนวคิดเกี่ยวกับปีเหล่านั้นสามารถหาได้จากข้อมูลทางอ้อมเท่านั้น ตามทางอ้อมเหล่านี้ ข้อมูลเราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าพลูทาร์กเกิดในช่วงปลายทศวรรษที่ 40 ของคริสต์ศตวรรษที่ 1 และเสียชีวิตระหว่างปี 125-130 นั่นคือเขามีชีวิตอยู่ประมาณ 75 ปี พ่อของเขาเป็นคนร่ำรวยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาไม่ใช่ขุนนาง สิ่งนี้ทำให้พลูทาร์กมีโอกาสเริ่มโรงเรียนเร็วและกลายเป็นคนที่มีการศึกษาสูงตั้งแต่อายุยังน้อย บ้านเกิดของพลูทาร์กคือ Chaeronen ในภูมิภาค Boeotia ของกรีก

ตัวแทนทุกคนในครอบครัวของเขาจำเป็นต้องได้รับการศึกษาและวัฒนธรรม จำเป็นต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่ง และโดดเด่นด้วยพฤติกรรมที่ไร้ที่ติ พลูทาร์กมักพูดถึงทิม็อกซีนภรรยาของเขาในงานเขียนของเขา และมักพูดด้วยน้ำเสียงสูงสุดเสมอ เธอไม่เพียงแต่เป็นภรรยาที่รักเท่านั้น แต่เธอยังรังเกียจความอ่อนแอของผู้หญิงหลายๆ คน เช่น การแต่งกาย เธอชื่นชอบความเรียบง่ายของตัวละครของเธอ ความเป็นธรรมชาติของพฤติกรรมของเธอ ความพอประมาณและความเอาใจใส่ของเธอ

พลูทาร์กมีบุตรชายสี่คนและลูกสาวหนึ่งคน ซึ่งเสียชีวิตเช่นเดียวกับลูกชายคนหนึ่งของเขา วัยเด็ก- พลูทาร์กรักครอบครัวของเขามากถึงขนาดอุทิศงานเขียนของเขาให้กับสมาชิกครอบครัว และในโอกาสที่ลูกสาวของเขาเสียชีวิต ก็เป็นข้อความปลอบใจที่อ่อนโยนและประเสริฐถึงภรรยาของเขาเอง

การเดินทางของพลูตาร์คหลายครั้งเป็นที่รู้จัก เขาได้ไปเยือนอเล็กซานเดรียซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาในเวลานั้น ได้รับการศึกษาในเอเธนส์ ไปเยือนสปาร์ตา ปลาเตอา โครินธ์ใกล้เทอร์โมเปีย โรม และสถานที่ทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ในอิตาลี เช่นเดียวกับซาร์ดิส (เอเชียไมเนอร์)

มีอยู่ ปัญญาเกี่ยวกับโรงเรียนปรัชญาและศีลธรรมที่เขาก่อตั้งในเมืองแชโรเนีย

แม้ว่าเราจะไม่รวมผลงานปลอมแปลงและน่าสงสัยของพลูทาร์ก แต่รายชื่อผลงานที่เชื่อถือได้อย่างสมบูรณ์และยิ่งไปกว่านั้น ผลงานที่มาถึงเรานั้นมีขนาดใหญ่มากเมื่อเปรียบเทียบกับนักเขียนคนอื่น ๆ ประการแรกผลงานที่มีลักษณะทางประวัติศาสตร์และปรัชญามาถึงเรา: 2 งานเกี่ยวกับเพลโต 6 งานต่อต้านสโตอิกและผู้มีรสนิยมสูง นอกจากนี้ยังมีผลงานเกี่ยวกับปัญหาจักรวาลวิทยาและดาราศาสตร์ จิตวิทยา จริยธรรม การเมือง ชีวิตครอบครัว การสอน และประวัติศาสตร์สมัยโบราณ

พลูทาร์กเขียนบทความเกี่ยวกับศาสนาและศาสนา-ตำนานหลายฉบับ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเน้นย้ำผลงานของเขาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศีลธรรม ซึ่งเขาวิเคราะห์ เช่น ความรักของมนุษย์ เช่น ความรักเงิน ความโกรธ และความอยากรู้อยากเห็น การสนทนาที่โต๊ะและงานเลี้ยงซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการสนทนาพิเศษ ประเภทวรรณกรรมตลอดจนรวบรวมคำพูดต่างๆ ผลงานทั้งหมดนี้เป็นตัวแทนส่วนทั่วไปส่วนเดียว ซึ่งโดยปกติจะมีชื่อที่ไม่ชัดเจนคือ Moralia อย่างไรก็ตาม ในส่วนนี้ มีการนำเสนองานด้านศีลธรรมอย่างกว้างขวาง และพลูทาร์กไม่ได้เขียนบทความเกือบเล่มเดียวหากไม่มีศีลธรรมนี้

ส่วนพิเศษของผลงานของพลูทาร์กและชิ้นใหญ่ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในทุกศตวรรษ และอาจได้รับความนิยมมากกว่าโมราเลียด้วยซ้ำก็คือ "ชีวิตเปรียบเทียบ" ที่นี่คุณจะได้พบกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ศีลธรรม ความหลงใหลในศิลปะการวาดภาพบุคคล ปรัชญา และนิยายอย่างเคร่งครัด

โลกทัศน์โบราณและการปฏิบัติทางศิลปะโบราณมีพื้นฐานอยู่บนสัญชาตญาณของจักรวาลที่มีชีวิต เคลื่อนไหวได้ และชาญฉลาด มองเห็นและได้ยินอยู่เสมอ รับรู้ทางความรู้สึกอยู่เสมอ จักรวาลวัตถุที่สมบูรณ์โดยมีโลกที่ไม่เคลื่อนไหวอยู่ตรงกลาง และมีท้องฟ้าเป็นพื้นที่ของ ​ความเคลื่อนไหวอันเที่ยงแท้แห่งนภา แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยธรรมชาติของการพัฒนาทางสังคมและประวัติศาสตร์ของโลกยุคโบราณ ในขณะที่วัฒนธรรมที่ตามมานั้นเริ่มมาจากปัจเจกบุคคล สัมบูรณ์หรือญาติ เช่นเดียวกับจากสังคม และต่อมาก็มาถึงธรรมชาติและจักรวาล ในทางกลับกัน ความคิดโบราณนั้นเริ่มต้นจากความเป็นจริงทางการมองเห็นของจักรวาลทางประสาทสัมผัสและหลังจากนั้นเท่านั้น ได้ข้อสรุปจากเรื่องนี้สำหรับทฤษฎีบุคลิกภาพและสังคม สิ่งนี้กำหนดเนื้อหาที่เน้นย้ำตลอดไป นั่นคือภาพสถาปัตยกรรมและประติมากรรมของโครงสร้างศิลปะโบราณ ซึ่งเราพบในพลูทาร์กอย่างแน่นอน ดังนั้นจักรวาลวิทยาทางประสาทสัมผัสและวัตถุจึงเป็นจุดเริ่มต้นของโลกทัศน์และความคิดสร้างสรรค์ของพลูตาร์ค

เนื่องจากวรรณกรรมโบราณดำรงอยู่มานานกว่าหนึ่งพันปี จึงต้องผ่านการพัฒนามาหลายยุคสมัย จักรวาลวิทยาในยุคคลาสสิก ได้แก่ ยุคคลาสสิกชั้นสูง เป็นหลักคำสอนของจักรวาลใน Timaeus ของเพลโต นี่คือภาพที่ชัดเจนและชัดเจนของจักรวาลที่มีชีวิตและประสาทสัมผัสทางวัตถุ พร้อมด้วยรายละเอียดทั้งหมดของทรงกลมวัตถุในจักรวาล ดังนั้น พลูทาร์กจึงเป็นนักพลาโทนิสต์เป็นหลัก

พลูทาร์กพบในลัทธิพลาโตนิสต์คลาสสิก ประการแรกคือหลักคำสอนแห่งความเป็นพระเจ้า แต่ไม่ใช่ในรูปแบบของหลักคำสอนที่ไร้เดียงสา แต่อยู่ในรูปแบบของความต้องการอย่างรอบคอบในการเป็น และยิ่งกว่านั้น สิ่งมีชีวิตเดียว ซึ่งเป็นขีดจำกัดและความเป็นไปได้ สำหรับความเป็นอยู่บางส่วนและสำหรับความหลากหลายทั้งหมด พลูทาร์กเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่า หากมีสิ่งมีชีวิตบางส่วน เปลี่ยนแปลงได้ และไม่สมบูรณ์ นั่นหมายความว่ามีสิ่งมีชีวิตเพียงตัวเดียวและทั้งหมด ไม่เปลี่ยนแปลง และสมบูรณ์แบบทุกประการ “ท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าไม่ใช่คนส่วนใหญ่เหมือนเราแต่ละคน ซึ่งเป็นตัวแทนของอนุภาคที่แตกต่างกันนับพันที่มีการเปลี่ยนแปลงและผสมปนเปกัน แต่จำเป็นที่แก่นแท้จะเป็นหนึ่งเดียว เนื่องจากมีความหลากหลายเพียงสิ่งเดียว สู่ความแตกต่างจากแก่นแท้กลายเป็นความไม่มีอยู่จริง " ("On "E" ที่ Delphi", 20) “ความเป็นหนึ่งเดียวและไม่ผสมปนเปกันมีอยู่ในความไม่เปลี่ยนแปลงและบริสุทธิ์ชั่วนิรันดร์” (อ้างแล้ว) “ เท่าที่มีความเป็นไปได้ที่จะพบความสอดคล้องระหว่างความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงได้กับความคิดที่เข้าใจได้และไม่เปลี่ยนแปลงการสะท้อนนี้ทำให้เกิดความคิดลวงตาบางอย่างเกี่ยวกับความเมตตาและความสุขอันศักดิ์สิทธิ์” (ibid., 21) สิ่งแรกสุดคือภาพสะท้อนของความสมบูรณ์แบบอันศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวคือจักรวาล ข้อความนี้ระบุไว้แล้วในตำราที่ยกมา ณ ที่นี้ (21) “ทุกสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เทพจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในแก่นแท้ของมัน และปกป้องร่างกายที่อ่อนแอไม่ให้ถูกทำลาย”

เกี่ยวกับปัญหาทางจักรวาลวิทยา พลูตาร์คอุทิศบทความสองฉบับทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับงานของเขาพร้อมความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับ Timaeus ของ Plato ในบทความเรื่อง "On the Origin of the Soul in Plato's Timaeus" พลูตาร์คพัฒนาหลักคำสอนเกี่ยวกับความคิดและสสารด้วยจิตวิญญาณแห่งความสงบอย่างแท้จริง การดำรงอยู่ของสสารชั่วนิรันดร์แต่ไม่เป็นระเบียบ การเปลี่ยนแปลงของสสารนี้โดย Demiurge อันศักดิ์สิทธิ์สู่ความงาม โครงสร้างและระเบียบของจักรวาลที่มีอยู่ในปัจจุบัน การสร้างการเคลื่อนไหวอันเป็นนิรันดร์และไม่เปลี่ยนแปลงของนภาด้วยความช่วยเหลือจากกิจกรรมระเบียบของจิตวิญญาณโลกและความงามนิรันดร์ของจักรวาลที่มีชีวิต เคลื่อนไหวได้ และชาญฉลาด แท้จริงแล้วเพลโตเองในการสร้างจักรวาลที่สวยงามในอุดมคติดังที่เราพบในบทสนทนาของเขา "Timaeus" อยู่ที่จุดสูงสุดของแนวคิดคลาสสิกของจักรวาลอย่างแม่นยำ และแนวคิดคลาสสิกแบบเดียวกันคือความฝันของพลูทาร์กผู้ยกย่องความงามของจักรวาลที่สมบูรณ์แบบในทุกด้านแม้ว่าจะเป็นวัสดุที่เย้ายวนโดยสิ้นเชิงก็ตาม

แต่ถึงแม้ที่นี่ที่จุดสูงสุดของโลกทัศน์ทางทฤษฎีของเขา พลูทาร์กก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงและความเป็นคู่ในตำแหน่งทางปรัชญาทั่วไปของเขา เมื่อเพลโตสร้างจักรวาล เขาไม่เคยคิดที่จะเปรียบเทียบความดีและความชั่วเลย สำหรับเขา มันก็เพียงพอแล้วที่จิตใจอันศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์พร้อมความคิดนิรันดร์นั้นก่อตัวขึ้นครั้งเดียวและสำหรับสสารที่ไม่มีรูปแบบและไม่เป็นระเบียบทั้งหมดจากที่ซึ่งจักรวาลอันเป็นนิรันดร์และสวยงามตลอดไปปรากฏขึ้น พลูทาร์กนำเฉดสีใหม่มาสู่การมองโลกในแง่ดีแบบคลาสสิกนี้ ในบทความข้างต้นเกี่ยวกับต้นกำเนิดของจิตวิญญาณตาม Timaeus เขาก็เริ่มโต้แย้งว่าเรื่องที่ไม่เป็นระเบียบไม่ได้ถูกจัดระเบียบโดย Demiurge พื้นที่สำคัญของเรื่องนี้ยังคงไม่เป็นระเบียบมาจนถึงทุกวันนี้ และเรื่องที่ไม่เป็นระเบียบนี้ ( เห็นได้ชัดว่าเป็นนิรันดร์ด้วย) และตอนนี้และตลอดไปจะเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายทั้งหมดภัยพิบัติทั้งในธรรมชาติและในสังคมกล่าวคือพูดง่ายๆคือวิญญาณชั่วร้ายของโลก ในแง่นี้พลูทาร์กตีความนักปรัชญาเก่าแก่ที่สำคัญที่สุดทั้งหมด - เฮราคลิตุส, ปาร์เมนิเดส, เดโมคริตุส, แม้แต่เพลโตและแม้แต่อริสโตเติล

เบื้องหลังความคลาสสิกของศตวรรษที่ VI-IV ก่อนคริสต์ศักราช ตามด้วยการนำเอาคลาสสิกกลับมาทำใหม่ ซึ่งโดยปกติจะเรียกว่าไม่ใช่ยุคขนมผสมน้ำยา แต่เป็นยุคขนมผสมน้ำยา แก่นแท้ของลัทธิกรีกนิยมอยู่ที่การสร้างอุดมคติแบบคลาสสิกขึ้นมาใหม่ในเชิงอัตวิสัย ในการสร้างเชิงตรรกะ ตลอดจนประสบการณ์และการโอบกอดทางอารมณ์และความใกล้ชิด เนื่องจากพลูทาร์กแสดงในยุคขนมผสมน้ำยา โลกทัศน์และการปฏิบัติทางศิลปะของเขาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นบนลัทธิพลาโทนิกที่บริสุทธิ์ แต่อยู่บนการตีความเชิงอัตวิสัยและอัตนัยที่มีอยู่ พลูทาร์กเป็นล่ามที่มีแนวคิดแบบอัตนัยเกี่ยวกับลัทธิพลาโทนิสต์ในบริบทของการอนุรักษ์ลัทธิวัตถุนิยมทางจักรวาลวิทยาโดยรวม

พลูทาร์กไม่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคของลัทธิกรีกโบราณ (III-I ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช) แต่อยู่หลังจากนั้นทันที ถึงกระนั้น ตราประทับของลัทธิกรีกโบราณนี้กลับกลายเป็นลักษณะเฉพาะของพลูทาร์กทั้งหมด ลัทธิกรีกโบราณในช่วงแรกนี้ไม่ได้มีอิทธิพลต่อพลูทาร์กด้วยปรัชญาสามสำนัก ได้แก่ ลัทธิสโตอิกนิยม ลัทธิผู้มีรสนิยมสูง และความกังขา โรงเรียนเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นมาตรการปกป้องปัจเจกนิยมและอัตวิสัยนิยมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จำเป็นต้องให้ความรู้แก่เรื่องที่เข้มงวดและเข้มงวดและปกป้องความสงบภายในของเขาต่อหน้าอาณาจักรเฮลเลนิสติก - โรมันขนาดมหึมาที่กำลังเติบโตในขณะนั้น พลูทาร์กกลายเป็นคนต่างด้าวต่อความเข้มงวดที่เข้มงวดของสโตอิกและความพึงพอใจอย่างไร้กังวลของชาว Epicureans และการปฏิเสธการก่อสร้างเชิงตรรกะใด ๆ โดยสิ้นเชิงโดยผู้คลางแคลงใจ

ในทุกแง่มุมของลัทธิอัตวิสัยนิยมที่กำลังเติบโตในขณะนั้น พลูทาร์กพบว่าตัวเองใกล้ชิดกับบุคลิกภาพของมนุษย์ตัวเล็ก สุภาพเรียบร้อย และเรียบง่ายมากที่สุด ด้วยความรักใคร่ในชีวิตประจำวัน ความรักต่อครอบครัวและสถานที่พื้นเมือง และความรักชาติที่นุ่มนวลและจริงใจ

ยุคเริ่มต้นของลัทธิกรีกซึ่งมีสำนักปรัชญาสามสำนัก ได้แก่ ลัทธิสโตอิกนิยม ลัทธิผู้มีรสนิยมสูงและความกังขา กลายเป็นจุดยืนทางปรัชญาที่รุนแรงเกินไปสำหรับพลูทาร์ก ในฐานะนักปรัชญาขนมผสมน้ำยา แน่นอนว่าพลูตาร์คยังเน้นย้ำถึงบุคลิกภาพของมนุษย์และยังต้องการให้ภาพจักรวาลวิทยาเชิงวัตถุที่รอบคอบและมีประสบการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นการส่วนตัว แต่โรงเรียนหลักสามแห่งที่ระบุไว้ในลัทธิกรีกโบราณนั้นเห็นได้ชัดว่ารุนแรงเกินไปและเรียกร้องเขาว่าเป็นนามธรรมเกินไปและไม่ประนีประนอม มีการกล่าวไปแล้วข้างต้นว่าเรื่องส่วนตัวของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นไม่ได้รุนแรงเท่ากับในหมู่สโตอิก ไม่ได้มีหลักการเหมือนกับในหมู่พวก Epicureans และไม่เท่ากับอนาธิปไตยอย่างสิ้นหวังเหมือนกับในหมู่ผู้คลางแคลงใจ ผู้ถูกทดลองแสดงตนที่นี่ด้วยวิธีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เริ่มตั้งแต่ทัศนคติในชีวิตประจำวันของเขาและลงท้ายด้วยอารมณ์ความรู้สึก ความโรแมนติก และอารมณ์ทางจิตวิทยาในรูปแบบต่างๆ มีแนวโน้มเช่นนั้นของลัทธิกรีกในยุคแรกๆ อยู่สองประการ ซึ่งไม่เพียงแต่มีเท่านั้น อิทธิพลเชิงบวกบนดาวพลูทาร์ก แต่มักจะเกินกว่ารูปแบบอื่น ๆ ของการวางแนวส่วนตัวของบุคคลในพลูทาร์กด้วยซ้ำ

แนวโน้มดังกล่าวประการแรกในพลูทาร์กคือลัทธิในชีวิตประจำวันและการปฐมนิเทศส่วนบุคคลแบบฟิลิสเตียโดยสมบูรณ์ ชีวิตประจำวันนี้เติมเต็มทุกอารมณ์ของพลูทาร์ก และมาถึงจุดที่สะดวกสบายที่สุด ข้อจำกัดในชีวิตประจำวัน การใช้คำฟุ่มเฟือยอย่างไร้ความหมาย และใครๆ ก็พูดได้ว่าเป็นการพูดคุยกัน แต่หลายศตวรรษผ่านไปจากเมนันเดอร์ถึงพลูตาร์ก และการวิเคราะห์ในชีวิตประจำวันล้วนๆ ในสมัยของพลูทาร์กนั้นล้าสมัยไปแล้ว ถ้าอย่างนั้น อะไรคือจุดประสงค์ของการอุทิศหน้าหลายสิบหน้าเพื่อพูดคุยไร้สาระในหัวข้อประจำวันและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแบบสุ่ม? และสำหรับพลูทาร์ก มีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากที่นี่ จิตวิทยาดำเนินการบนพื้นฐานของชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่องดังกล่าว ผู้ชายตัวเล็ก ๆมีแนวโน้มที่จะปกป้องตนเองจากปัญหาใหญ่โตและรุนแรงเกินไป หรือพูดให้ถูกต้องกว่านั้น ปัญหาร้ายแรงไม่ได้ถูกกำจัดออกไปที่นี่ แต่โอกาสทางจิตวิทยาถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เผชิญกับปัญหาเหล่านั้นอย่างเจ็บปวดและไม่น่าเศร้ามากนัก เมนันเดอร์ไม่ใช่นักพลาโตนิสต์ แต่เป็นจิตรกรในชีวิตประจำวัน แต่พลูทาร์กเป็นนักพลาโตนิสต์ และเมื่อรวมกับลัทธิพลูโตนิสต์แล้ว เขาก็พบกับปัญหาที่ลึกล้ำ มักจะน่าเศร้าและมักจะทนไม่ได้สำหรับเขา เขาสามารถอดทนและอดทนต่อปัญหาใหญ่ ๆ เหล่านี้ได้ซึ่งมักจะสำคัญและเคร่งขรึมสำหรับเขา แต่ก็มีความต้องการและรับผิดชอบอยู่เสมอ ชีวิตประจำวันของคนตัวเล็กเป็นสิ่งที่ช่วยให้พลูทาร์กรักษาความสงบของจิตใจและไม่ล้มลงต่อหน้าสิ่งที่ไม่ละลายน้ำและเป็นไปไม่ได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมแม้แต่ในดาวพลูตาร์ค "ชีวิตเปรียบเทียบ" ของเขาซึ่งพรรณนาถึงผู้คนที่ยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ไม่หลีกเลี่ยงรายละเอียดใด ๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ยังมักจะแนบความหมายอันลึกซึ้งไว้กับพวกเขาด้วย

ลัทธิไบโตวิส ช่วงเริ่มต้นขนมผสมน้ำยามีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งต่อโลกทัศน์และรูปแบบการเขียนของพลูทาร์ก แต่ในยุคขนมผสมน้ำยาในช่วงเริ่มแรกนี้ มีอีกประการหนึ่งที่แปลกใหม่และน่าทึ่ง ทั้งยังมีความแข็งแกร่งและแนวโน้มมหาศาล ซึ่งพลูทาร์กรับรู้อย่างลึกซึ้งครั้งแล้วครั้งเล่า แนวโน้มนี้หรือองค์ประกอบทางจิตวิญญาณคือสิ่งที่เราต้องเรียกว่าศีลธรรมในปัจจุบัน

นี่เป็นข่าวที่ไม่มีเงื่อนไขสำหรับปรัชญาและวรรณกรรมกรีก เนื่องจากคลาสสิกทั้งหมด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนคลาสสิกทั้งหมด ไม่เคยรู้จักศีลธรรมพิเศษใดๆ เลย ความจริงก็คือคลาสสิกทั้งหมดมีชีวิตอยู่ด้วยความกล้าหาญ แต่ไม่สามารถเรียนรู้ความกล้าหาญได้ ความกล้าหาญนั้นมอบให้โดยธรรมชาติเท่านั้นนั่นคือโดยเทพเจ้าเท่านั้น วีรบุรุษโบราณทุกคนล้วนเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงหรือโดยอ้อมของเหล่าทวยเทพ แน่นอนว่าเป็นไปได้ที่จะทำวีรกรรมได้เฉพาะหลังจากผ่านการฝึกฮีโร่เบื้องต้นเท่านั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะกลายเป็นฮีโร่ เราอาจเกิดมาเป็นวีรบุรุษและทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบในความกล้าหาญ แต่วีรกรรมคลาสสิกของกรีกโบราณไม่ใช่การสอน ไม่ใช่การศึกษา และดังนั้นจึงไม่ใช่ประเด็นด้านศีลธรรม วีรกรรมในสมัยนั้นเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของมนุษย์หรือสิ่งเดียวกันคือพระเจ้า แต่แล้วความคลาสสิกก็จบลง และในช่วงยุคขนมผสมน้ำยา บุคคลที่ธรรมดาที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่ใช่ผู้สืบเชื้อสายของเทพเจ้า ไม่ใช่วีรบุรุษโดยธรรมชาติ แต่เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่ง กิจวัตรประจำวันของเขาต้องได้รับการเลี้ยงดูเป็นพิเศษ อบรมสั่งสอนเป็นพิเศษ ปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่และผู้มีประสบการณ์มากที่สุดอยู่เสมอ และที่นี่เองที่ศีลธรรมซึ่งฮีโร่คลาสสิกไม่รู้จักเกิดขึ้น เพื่อให้มีคุณธรรมและ คนที่สมควรจำเป็นต้องรู้กฎส่วนบุคคล ทางสังคม และโดยทั่วไปเกี่ยวกับศีลธรรมนับพัน

พลูทาร์กเป็นคนมีคุณธรรม และไม่ใช่แค่นักศีลธรรมเท่านั้น คุณธรรมเป็นองค์ประกอบที่แท้จริงของเขา แนวโน้มที่ไม่เห็นแก่ตัวในงานทั้งหมดของเขา ความรักที่ไม่เคยจางหายไป และความสุขในการสอนบางประเภท เพียงเพื่อสอน เพียงสั่งสอน เพียงเพื่ออธิบาย คำถามที่ยากเพียงเพื่อให้ผู้อ่านของคุณอยู่บนเส้นทางแห่งการใคร่ครวญชั่วนิรันดร์ การแก้ไขตนเองชั่วนิรันดร์ และการพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง

กล่าวโดยสรุป จากช่วงเริ่มแรกของลัทธิกรีกนิยมนี้ ลัทธิในชีวิตประจำวันและศีลธรรมอันดีมีอัธยาศัยดีส่งต่อไปยังพลูทาร์ก กล่าวอีกนัยหนึ่ง พลูทาร์กเป็นนักพลาโตนิสต์ที่พึงพอใจ ซึ่งรูปแบบการเขียนในชีวิตประจำวันและศีลธรรมกลับกลายเป็นว่าใกล้ชิดกันมากขึ้นแทนที่จะเป็นรูปแบบที่ยิ่งใหญ่และสง่างามของลัทธิพลาโทนิสต์คลาสสิก และด้วยการตีความในจิตวิญญาณของนักเขียนที่มีจิตใจดีและมีจิตใจจริงใจ ในชีวิตประจำวันและศีลธรรม

ท้ายที่สุด นอกเหนือจากการวิพากษ์วิจารณ์โดยตรงต่อสำนักปรัชญาทั้งสามแห่งของลัทธิกรีกโบราณยุคแรก และนอกเหนือไปจากศีลธรรมเชิงพรรณนาในชีวิตประจำวันของชายร่างเล็กแล้ว พลูทาร์กยังสืบทอดมาจากลัทธิกรีกโบราณในยุคแรกด้วย รวมถึงความกล้าหาญของลัทธิอัตวิสัยนิยมแบบก้าวหน้า ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาอย่างจริงจังถึงความชั่วร้ายในธรรมชาติ บุคลิกภาพและสังคม แม้จะมีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาอย่างไม่มีการแบ่งแยกก็ตาม มันเป็นพลูทาร์กที่ถ่อมตัวและมีจิตใจแบบฟิลิสเตียซึ่งเรียกร้องให้ได้รับการยอมรับไม่เพียง แต่ความดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิญญาณที่ชั่วร้ายของโลกด้วย ในแง่นี้เขากล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่เพลโตเอง ดังนั้น พลูทาร์ก ซึ่งเป็นล่ามที่มีความคิดแบบอัตวิสัยของเพลโต ใช้การตีความนี้เพื่อปกป้องบุคคลตัวเล็กและถ่อมตัว ในชีวิตประจำวันและศีลธรรมอย่างต่อเนื่อง และเพื่อรับรู้ถึงพลังจักรวาลขนาดมหึมาเบื้องหลังความชั่วร้าย (และไม่ใช่แค่ความดีเพียงอย่างเดียว)

พลูทาร์กซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 1-2 AD พบว่าตนเองไม่เพียงแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลของลัทธิกรีกโบราณในยุคแรกเท่านั้น แต่ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของลัทธิกรีกโบราณในยุคต่อมาด้วย ซึ่งในวิทยาศาสตร์โบราณเรียกว่าศตวรรษแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาแบบกรีก จำเป็นต้องตระหนักอย่างเคร่งครัดว่าการฟื้นฟูของชาวกรีกนี้คืออะไร พลูทาร์กมีความคล้ายคลึงกับอะไร และมีความแตกต่างอย่างมากอย่างไร

หากเรายึดถือการฟื้นฟูแบบกรีกเป็นหลัก นี่ก็ไม่สามารถเป็นการฟื้นฟูแบบคลาสสิกที่ล้าสมัยเมื่อหลายศตวรรษก่อนอย่างแท้จริงได้ นี่คือการเปลี่ยนแปลงของความคลาสสิกที่มิใช่เป็นตัวอักษร นั่นคือ ไม่ใช่เป็นชีวิตอย่างแท้จริง แต่เป็นเพียงความเป็นกลางทางสุนทรียภาพ ไปสู่การไตร่ตรองถึงความงามในอดีตอันยาวนานแบบพอเพียงและโดดเดี่ยวโดยสิ้นเชิง พลูทาร์กไม่เคยเป็นนักสุนทรียศาสตร์ที่บริสุทธิ์นัก และอัตวิสัยทางสุนทรีย์ที่โดดเดี่ยวและพึ่งพาตนเองเช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่แปลกแยกอย่างลึกซึ้งสำหรับเขาเสมอ เขาไม่สามารถแสดงอิมเพรสชั่นนิสต์ที่ตระการตาอย่างละเอียดอ่อนของ Philostratas การที่ Athenaeus สำลักเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทางปรัชญาที่น่าสนใจคำอธิบายที่แห้งแล้งและมีระเบียบของนักเขียนเทพนิยายหรืออารมณ์ขันที่ไร้ยางอายของภาพร่างในตำนานของ Lucian

บางทีผลลัพธ์ที่ห่างไกลจากการฟื้นฟูของชาวกรีก ซึ่งมักเรียกกันว่าความซับซ้อนประการที่สอง ก็คือการใช้คำฟุ่มเฟือยบ่อยครั้งมากของพลูทาร์ก ซึ่งบางครั้งก็เท่ากับเป็นการพูดคุยไร้สาระบางประเภท นี่ไม่ใช่แค่ความช่างพูด แต่เป็นมาตรการป้องกันอีกครั้งเพื่อปกป้องสิทธิ์ของคนธรรมดาในการดำรงอยู่ของเขาเองถึงความต้องการและอารมณ์ของมนุษย์เพียงเล็กน้อย แต่ล้วนๆ

ความสำคัญที่แท้จริงนี้จะต้องระบุไว้ในวิธีที่พลูทาร์กใช้ในความโน้มเอียงของเขาที่มีต่อวิธีการฟื้นฟู มันเป็นอย่างชัดเจนที่พลูทาร์กไม่เคยใช้ตามตัวอักษร ไม่เคยเป็นศิลปะที่ "บริสุทธิ์" สำหรับเขา ไม่เคยเป็นศิลปะเพื่อประโยชน์ของศิลปะเลย ในความพอเพียงที่แยกตัวออกมาอย่างสวยงามนี้ ดูเหมือนไม่สนใจโดยสิ้นเชิงและไม่สนใจสิ่งใดเลย พลูทาร์กมักจะดึงความแข็งแกร่งมาตลอดชีวิต ความพอเพียงด้านสุนทรียะเช่นนี้ทำให้เขาฟื้นขึ้นมาเสมอ เสริมกำลังเขา ปลดปล่อยเขาจากความไร้สาระและเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางจิต ต่อสังคม บรรเทาการต่อสู้ ให้ความกระจ่างแก่ความไร้สาระ และเข้าใจความยากลำบากในชีวิตประจำวันและความสิ้นหวังอันน่าเศร้า นั่นคือเหตุผลที่ชีวิตประจำวันและศีลธรรมของพลูทาร์กมักจะเต็มไปด้วยตัวอย่างในตำนานและวรรณกรรมตำนานนิทานและสถานการณ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยพลการเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยและคำพูดที่คมชัดซึ่งเมื่อมองแวบแรกดูเหมือนจะละเมิดการไหลที่ราบรื่นของการนำเสนอและดูเหมือนจะนำไปสู่ด้านข้างอย่างไม่มีจุดหมาย . ตำนานและวรรณกรรมทั้งหมดนี้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยและสถานการณ์ที่มีไหวพริบเหล่านี้ไม่เคยและไม่มีที่ไหนเลยที่มีความหมายที่เป็นอิสระสำหรับพลูทาร์กและในแง่นี้พวกเขาไม่ได้ถูกดึงดูดเลยเพื่อจุดประสงค์ของการหลงตัวเองอย่างโดดเดี่ยว ทั้งหมดนี้ถูกนำมาสู่การปฏิบัติในชีวิตจริง รักษาการแทนทั้งหมดนี้เผยให้เห็นธรรมชาติของกิเลสตัณหาของมนุษย์ที่ต่ำและปานกลาง และทั้งหมดนี้อำนวยความสะดวก สดชื่น ยกระดับ และฉลาดให้กับคนตัวเล็กที่ธรรมดาที่สุด ดังนั้นทฤษฎีศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา - กรีกเพื่อประโยชน์ทางศิลปะโดยไม่ลิดรอนสิทธิในชีวิตประจำวันของบุคคลในทันทีและพร้อมกันกลับกลายเป็นว่าเป็นการกดขี่ตนเองในเชิงสุนทรียภาพและยกระดับศีลธรรมและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณ Platonism ในแง่นี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่อีกครั้งในพลูตาร์คและจักรวาลวิทยาคลาสสิกโดยไม่สูญเสียความงามอันประเสริฐของมันกลายเป็นเหตุผลสำหรับผู้ชายทุกวัน

จากผลการตรวจสอบมรดกทางวรรณกรรมอันกว้างขวางของพลูทาร์ก เราต้องกล่าวว่าในปัจจุบัน ถือเป็นการล่มสลายอย่างแท้จริงสำหรับนักปรัชญาที่จะลดงานของพลูทาร์กให้เหลือเพียงหลักการเชิงนามธรรมเพียงหลักการเดียว จริงอยู่ พื้นฐานทางสังคมและประวัติศาสตร์ของมัน ตามลำดับเวลาที่แม่นยำมาก ทำให้เราต้องพิจารณาว่ามันเป็นการเปลี่ยนผ่านจากลัทธิกรีกโบราณในยุคแรก กล่าวคือ ไปสู่การฟื้นฟูของชาวกรีกในศตวรรษที่ 2 โฆษณา แต่นี่เป็นหลักการที่กว้างเกินไปแล้ว การตรวจสอบโลกทัศน์ของเขาอย่างใกล้ชิดและ ผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์บ่งชี้ว่าพลูทาร์กเป็นนักสงบใจที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่งซึ่งไม่สามารถก้าวไปสู่ลัทธิสงบแบบสงบได้ แต่ใช้เฉดสีทางอุดมการณ์มากมายของมัน ซึ่งมักจะขัดแย้งกัน และทำให้ไม่อาจจดจำลัทธิแบ่งแยกดินแดนนี้ได้ ในการแจกแจงโดยประมาณในรูปแบบนี้เราสามารถจินตนาการถึงความขัดแย้งเหล่านี้ทั้งหมดและในความหมายที่สมบูรณ์ของคำนี้คุณลักษณะแอนติโนเมียนของพลูทาร์กด้วยการสังเคราะห์ของเขาหากไม่ใช่ปรัชญาเสมอไปก็ชัดเจนและเรียบง่ายเสมอพึงพอใจและมีอัธยาศัยดีไร้เดียงสา และฉลาด กล่าวคือ พลูทาร์กผสมผสานลัทธิสากลนิยมและลัทธิปัจเจกนิยม จักรวาลวิทยากับชีวิตประจำวัน ความเป็นอนุสาวรีย์และชีวิตประจำวัน ความจำเป็นและเสรีภาพ ความกล้าหาญและศีลธรรม ร้อยแก้วที่เคร่งขรึมและในชีวิตประจำวัน ความสามัคคีทางอุดมการณ์และความหลากหลายของภาพที่น่าทึ่ง การไตร่ตรองแบบพอเพียงและข้อเท็จจริงเชิงปฏิบัติ ลัทธิเอกนิยมและลัทธิทวินิยม ความปรารถนาของสสารเพื่อความสมบูรณ์แบบ ศิลปะทั้งหมดของนักประวัติศาสตร์วรรณกรรมและปรัชญาโบราณที่เกี่ยวข้องกับพลูทาร์กอยู่ที่การเปิดเผยและการพิสูจน์ทางสังคมและประวัติศาสตร์อย่างแม่นยำในลักษณะต่อต้านโนมิกและสังเคราะห์ของโลกทัศน์และความคิดสร้างสรรค์ของเขา ศิลปะดังกล่าวต้องใช้วัสดุจำนวนมหาศาล และตอนนี้สามารถเข้าถึงได้จากระยะไกลเท่านั้น

พลูทาร์กอยู่ภายใต้ อิทธิพลที่แข็งแกร่งการฟื้นฟูของชาวกรีกแม้ว่าเขาจะใช้เพื่อพิสูจน์สิทธิของผู้คนในชีวิตประจำวันก็ตาม แต่สิ่งที่พลูทาร์กยังห่างไกลจากความสมบูรณ์อย่างยิ่งใหญ่ของลัทธิกรีกโบราณทั้งหมดในช่วงสี่ศตวรรษที่ผ่านมาของสมัยโบราณ เมื่อโรงเรียนปรัชญาของนักนีโอพลาโตนิสต์เกิดขึ้น เจริญรุ่งเรือง และเสื่อมถอย นักพลาโตนิสต์ใหม่เหล่านี้ยังไม่สามารถยอมรับทฤษฎีการใคร่ครวญแบบพอเพียงได้ว่าเป็นที่สิ้นสุด พวกเขานำความกดดันในตนเองเชิงกวีล้วนๆ นี้มาสู่จุดสิ้นสุด โดยคิดจนถึงจุดสิ้นสุดเชิงตรรกะนั้น เมื่อภาพลักษณ์เชิงบทกวีและทางจิตล้วนๆ แทนที่จะเป็นอุปมาอุปไมย กลายเป็นความจริงที่มีชีวิต สิ่งมีชีวิต และสารที่แสดงออกอย่างเป็นอิสระ แต่ภาพบทกวีซึ่งถือเป็นเนื้อหาอิสระนั้นเป็นตำนานอยู่แล้ว และ Neoplatonism ของศตวรรษที่ 3-4 AD กลายเป็นวิภาษวิธีของตำนานอย่างแม่นยำ พลูทาร์กมีทัศนคติเชิงบวกต่อตำนาน แต่ไม่ใช่ในแง่ของการรับรู้ถึงแก่นสารหลักของการดำรงอยู่ในตัวมันเอง สำหรับเขาในท้ายที่สุดแล้วตำนานก็ยังยังคงอยู่ในขั้นตอนของศีลธรรมเชิงเปรียบเทียบแม้ว่าแน่นอนว่าพวกเขายังคงเข้าสู่ส่วนลึกของจักรวาลวิทยา

บทความ

ผลงานมากมายของเขาส่วนใหญ่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ดังที่เห็นได้จากบัญชีรายชื่อของแลมเทรียซึ่งน่าจะเป็นลูกศิษย์ของพลูทาร์ก มีประมาณ 210 คน

ผลงานที่ยังมีชีวิตอยู่ของพลูทาร์กแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก:

ชีวประวัติหรือผลงานทางประวัติศาสตร์และ

งานปรัชญาและงานหนังสือพิมพ์ รู้จักกันในชื่อทั่วไปว่า “Ἠθικά” หรือ “Moralia”

มีชีวประวัติคู่ขนาน 46 เล่มมาถึงเรา ซึ่งติดกับชีวประวัติอีก 4 เล่มที่แยกจากกัน (Artaxerxes, Aratus, Galba และ Otho) ชีวประวัติหลายเล่มสูญหายไป

ชีวประวัติเปรียบเทียบ

การรวมกันของสองชีวประวัติคู่ขนาน - กรีกและโรมัน - สอดคล้องกับประเพณีของนักเขียนชีวประวัติที่มีมายาวนานซึ่งสังเกตได้ชัดเจนแม้กระทั่งใน Cornelius Nepos และยิ่งกว่านั้นยังสอดคล้องกับมุมมองของพลูทาร์กผู้อุทิศตนอย่างสุดใจให้กับอดีตของ ประชาชนของเขา แต่เต็มใจยอมรับถึงความแข็งแกร่งอันน่าทึ่งของรัฐโรมัน และมีเพื่อนสนิทของเขาทั้งชาวกรีกและโรมันเหมือนกัน

ในคู่ส่วนใหญ่เหตุผลของการเชื่อมโยงนั้นชัดเจนในตัวเอง (ตัวอย่างเช่นนักปราศรัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด - Cicero และ Demosthenes ผู้บัญญัติกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุด - Lycurgus และ Numa นายพลที่มีชื่อเสียงที่สุด - Alexander the Great และ Caesar) สำหรับคู่รัก 19 คู่ พลูทาร์กให้ข้อบ่งชี้โดยย่อเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปและความแตกต่างที่สำคัญของสามีที่เปรียบเทียบกันในตอนท้ายของชีวประวัติ ผู้เขียนไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ที่วิพากษ์วิจารณ์ข้อเท็จจริงอย่างมีวิจารณญาณ จุดประสงค์คือเพื่อให้มีลักษณะทางปรัชญา นำเสนอบุคคลที่ได้รับอย่างครอบคลุมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อวาดภาพที่ให้คำแนะนำ เพื่อส่งเสริมให้ผู้อ่านมีคุณธรรมและให้ความรู้แก่พวกเขาสำหรับกิจกรรมเชิงปฏิบัติ

เป้าหมายนี้อธิบายข้อเท็จจริงจำนวนมากจากชีวิตส่วนตัวของบุคคลในภาพ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยและคำพูดที่เฉียบแหลม การให้เหตุผลทางศีลธรรมมากมาย และคำพูดต่างๆ จากกวี การขาดการวิพากษ์วิจารณ์ทางประวัติศาสตร์และความคิดทางการเมืองเชิงลึกไม่ได้ป้องกันชีวประวัติของพลูทาร์กจากการค้นหาผู้อ่านจำนวนมากที่สนใจในเนื้อหาที่หลากหลายและให้คำแนะนำของพวกเขา และซาบซึ้งอย่างสูงในความรู้สึกอบอุ่นและมีมนุษยธรรมของผู้เขียน ราวกับว่าสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวประวัติคือ "Apothegmas of Kings and Generals" ซึ่งในต้นฉบับได้เพิ่มจดหมายปลอมจากพลูทาร์กถึงทราจันและปลอมแปลงคอลเลกชันเล็ก ๆ ของ "อะพอเฟกม์" อื่น ๆ อีกมากมายอย่างเท่าเทียมกัน

งานหลักของพลูทาร์ก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในผลงานวรรณกรรมโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุด คือผลงานชีวประวัติของเขา

“ชีวประวัติเปรียบเทียบ” ได้ดูดซับเนื้อหาทางประวัติศาสตร์จำนวนมหาศาล รวมถึงข้อมูลจากผลงานของนักประวัติศาสตร์สมัยโบราณที่ยังไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ความประทับใจส่วนตัวของผู้เขียนเกี่ยวกับอนุสรณ์สถานโบราณ คำพูดของโฮเมอร์ อักษรย่อ และคำจารึกบนจารึก เป็นเรื่องปกติที่จะตำหนิพลูทาร์กสำหรับทัศนคติที่ไม่วิจารณ์ต่อแหล่งที่มาที่เขาใช้ แต่ต้องคำนึงว่าสิ่งสำคัญสำหรับเขาไม่ใช่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นร่องรอยที่เหลืออยู่ในประวัติศาสตร์

สิ่งนี้สามารถยืนยันได้จากบทความเรื่อง "On the Malice of Herodotus" ซึ่งพลูทาร์กตำหนิเฮโรโดทัสเรื่องความลำเอียงและการบิดเบือนประวัติศาสตร์ของสงครามกรีก-เปอร์เซีย พลูทาร์กซึ่งมีชีวิตอยู่ในอีก 400 ปีต่อมา ในยุคที่เขากล่าวไว้ รองเท้าบู๊ตของโรมันถูกยกขึ้นเหนือศีรษะของชาวกรีกทุกคน ต้องการเห็นผู้บัญชาการที่ยิ่งใหญ่และ รัฐบุรุษไม่ใช่อย่างที่เคยเป็น แต่เป็นศูนย์รวมแห่งความกล้าหาญและความกล้าหาญในอุดมคติ เขาไม่ได้พยายามที่จะสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่โดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง แต่พบตัวอย่างที่โดดเด่นของภูมิปัญญา ความกล้าหาญ และการเสียสละตนเองในนามของบ้านเกิด ซึ่งออกแบบมาเพื่อรวบรวมจินตนาการของคนรุ่นราวคราวเดียวกัน

ในการแนะนำชีวประวัติของอเล็กซานเดอร์มหาราช พลูตาร์คกำหนดหลักการที่เขาใช้เป็นพื้นฐานในการเลือกข้อเท็จจริง: “ เราไม่ได้เขียนประวัติศาสตร์ แต่เป็นชีวประวัติและคุณธรรมหรือความเลวทรามไม่ได้ปรากฏให้เห็นในการกระทำอันรุ่งโรจน์ที่สุดเสมอไป แต่บ่อยครั้งที่การกระทำ คำพูด หรือเรื่องตลกเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเผยให้เห็นถึงลักษณะของบุคคลได้ดีกว่าการต่อสู้ที่มีผู้เสียชีวิตนับหมื่น การเป็นผู้นำของกองทัพขนาดใหญ่ และการล้อมเมือง"

ความเชี่ยวชาญทางศิลปะของพลูทาร์กทำให้ Comparative Lives เป็นหนังสือยอดนิยมสำหรับเยาวชน โดยเรียนรู้จากงานเขียนของเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของกรีซและโรม วีรบุรุษของพลูทาร์กกลายเป็นตัวตนของยุคประวัติศาสตร์: สมัยโบราณมีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของสมาชิกสภานิติบัญญัติที่ชาญฉลาด Solon, Lycurgus และ Numa และการสิ้นสุดของสาธารณรัฐโรมันดูเหมือนจะเป็นละครที่ยิ่งใหญ่ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการปะทะกันของตัวละครของ Caesar ปอมเปย์, แครสซัส, แอนโทนี, บรูตัส

โดยไม่ต้องพูดเกินจริงเราสามารถพูดได้ว่าต้องขอบคุณพลูทาร์กวัฒนธรรมยุโรปได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณในฐานะยุคกึ่งตำนานแห่งอิสรภาพและความกล้าหาญของพลเมือง นั่นคือเหตุผลที่ผลงานของเขาได้รับการยกย่องอย่างสูงจากนักคิดเรื่องการตรัสรู้ บุคคลสำคัญในการปฏิวัติฝรั่งเศสครั้งใหญ่ และคนรุ่น Decembrists

ชื่อของนักเขียนชาวกรีกกลายเป็นคำที่ใช้กันทั่วไป เนื่องมาจากชีวประวัติของบุคคลสำคัญหลายฉบับถูกเรียกว่า "พลูทาร์ก" ในศตวรรษที่ 19

ผลงานอื่นๆ

ฉบับมาตรฐานประกอบด้วยบทความ 78 ฉบับ ซึ่งหลายฉบับถือว่าไม่ใช่ของพลูทาร์ก

วรรณกรรม

ในข้อดีเชิงเปรียบเทียบของต้นฉบับของพลูทาร์ก โปรดดูเครื่องมือที่สำคัญสำหรับฉบับ Reiske (Lpts., 1774-82), Sintenis ("Vitae", 2nd ed., Lpts., 1858-64); Wyttenbach (“Moralia”, Lpc., 1796-1834), Bernardakes (“Moralia”, Lpc. 1888-95) รวมถึง Treu, “Zur Gesch. ง. เบอร์ลีเฟรุง ฟอน พลูต โมราเลีย" (Bresl., 1877-84) พจนานุกรมภาษาพลูตาร์เชียน - พร้อมชื่อ จัดพิมพ์โดย Wyttenbach สวิดาให้ข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับชีวิตของพลูทาร์ก จากปฏิบัติการใหม่ พุธ เวเซียร์มันน์, “เดอ พลูต. vita และ scriptis" (Lpts., 1855); Volkmann “Leben, Schriften und Philosophie des plutarch” (บี., 1869); Muhl, “Plutarchische Studien” (Augsburg, 1885) ฯลฯ จากนักแปลของ Plutarch สู่ New ภาษายุโรป Amio มีชื่อเสียงเป็นพิเศษ

พลูทาร์กในการแปลภาษารัสเซีย

พลูทาร์กเริ่มแปลเป็นภาษารัสเซียตั้งแต่ศตวรรษที่ 18: ดูงานแปลของ Pisarev, “Plutarch’s Instructions on Childhood” (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, 1771) และ “A Word about Persistent Curiosity” (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, 1786); Ivan Alekseev, “ผลงานทางศีลธรรมและปรัชญาของพลูตาร์ค” (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, 1789); E. Sferina, “เรื่องไสยศาสตร์” (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, 1807); S. Distounis และคณะ “ชีวประวัติเปรียบเทียบของพลูทาร์ก” (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, 1810, 1814-16, 1817-21); "ชีวิตของพลูตาร์ก" เอ็ด V. Guerrier (ม., 2405); ชีวประวัติของพลูทาร์กในฉบับราคาถูกโดย A. Suvorin (แปลโดย V. Alekseev, vols. I-VII) และภายใต้ชื่อ "ชีวิตและกิจการของผู้มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ" (M. , 1889, I-II); “การสนทนาเกี่ยวกับใบหน้าที่มองเห็นได้บนจานดวงจันทร์” (“Philological Review” vol. VI, book 2) พุธ. ศึกษาโดย Y. Elpidinsky “โลกทัศน์ทางศาสนาและศีลธรรมของพลูตาร์กแห่ง Chaeronea” (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, 1893)

ฉบับรัสเซียที่ดีที่สุด " ชีวประวัติเปรียบเทียบ" ซึ่งการแปลส่วนใหญ่ทำโดย S. P. Markish:

คำคมและคำพังเพย

การสนทนาควรจะเหมือนกัน ทรัพย์สินส่วนกลางงานเลี้ยงเหมือนเหล้าองุ่น

คนพูดพล่อยๆ ต้องการบังคับตัวเองให้เป็นที่รักและทำให้เกิดความเกลียดชัง ต้องการให้บริการ - ล่วงล้ำ ต้องการสร้างความประหลาดใจ - และกลายเป็นเรื่องตลก เขาดูถูกเพื่อนของเขา และรับใช้ศัตรูของเขา

เรื่องใด ๆ ระหว่างคู่สมรสที่สมเหตุสมผลจะตัดสินโดยความยินยอมร่วมกัน แต่ในลักษณะที่ทำให้สามีเป็นอันดับแรกได้ชัดเจนและคำพูดสุดท้ายยังคงอยู่กับเขา

ภูมิปัญญาสูงสุดคือการไม่ดูเหมือนเป็นนักปรัชญาในขณะที่กำลังปรัชญา และบรรลุเป้าหมายที่จริงจังด้วยเรื่องตลก

ทรัพย์สินหลักสองประการในธรรมชาติของมนุษย์คือสติปัญญาและเหตุผล

การเคลื่อนไหวคือคลังแห่งชีวิต

ถ้าเป็นการน่ายกย่องที่ทำดีต่อเพื่อนฝูง การได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย

มีสามวิธีในการตอบคำถาม: พูดในสิ่งที่จำเป็น ตอบด้วยความเป็นมิตร และพูดมากเกินไป

ภรรยาทนไม่ไหว เธอขมวดคิ้วเมื่อสามีไม่รังเกียจที่จะเล่นกับเธอและทำดีกับเธอ และเมื่อเขายุ่งกับงานหนักเธอก็สนุกสนานและหัวเราะ ประการแรกหมายความว่าสามีของเธอน่ารังเกียจกับเธอ ประการที่สอง - เธอไม่แยแสเขา

คุณไม่ควรแต่งงานด้วยตาและไม่ใช่ด้วยนิ้วเหมือนบางคนโดยคำนวณว่าสินสอดของเจ้าสาวจะเท่าไหร่แทนที่จะค้นหาว่าชีวิตคู่ของเธอจะเป็นอย่างไร

ภรรยาไม่ควรมีเพื่อนของตัวเอง เธอมีเพื่อนของสามีมามากพอแล้ว

ความโกรธและอารมณ์ร้อนไม่มีอยู่ในชีวิตแต่งงาน ความเข้มงวดเหมาะกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว แต่ขอให้ความรุนแรงนี้ดีต่อสุขภาพและหวานเหมือนไวน์ และไม่ขม เหมือนว่านหางจระเข้ และไม่เป็นที่พอใจเหมือนยา

ลิ้นใส่ร้ายทรยศคนโง่

การดื่มยาพิษจากถ้วยทองคำและการรับคำแนะนำจากเพื่อนที่ทรยศเป็นสิ่งเดียวกัน

ลูกที่ดุร้ายที่สุดออกมา ม้าที่ดีที่สุด- ถ้าเพียงแต่พวกเขาได้รับการศึกษาอย่างถูกต้องและถูกส่งออกไป

สามีและภรรยาและภรรยาและสามีของเธอควรหลีกเลี่ยงการปะทะกันทุกที่และเสมอ แต่ที่สำคัญที่สุดคืออยู่บนเตียงสมรส การทะเลาะวิวาท การวิวาทกัน และการดูหมิ่นกัน ถ้าเป็นการเริ่มต้นบนเตียง ย่อมไม่ยุติลงง่ายๆ ในเวลาอื่นและในที่อื่น

สั้นที่สุดหรือน่าพอใจที่สุด

นกกาโฉบโฉบลงมาจิกตาคนตายฉันใด บรรดาผู้สอพลอร่อนเร่ร่อนไปขโมยทรัพย์สมบัติของคนโง่ไปฉันนั้น

เราต้องระวังการใส่ร้ายและการใส่ร้ายเหมือนหนอนพิษบนดอกกุหลาบ - พวกมันถูกซ่อนอยู่ในวลีที่บางและขัดเกลา

เมื่อดวงอาทิตย์จากโลกไป ทุกอย่างก็มืดมน และการสนทนาที่ปราศจากความอวดดีก็ไม่มีประโยชน์เลย

เมื่อคุณดุผู้อื่น จงแน่ใจว่าตัวคุณเองอยู่ห่างจากสิ่งที่คุณตำหนิผู้อื่น

ผู้ใดประพฤติหยาบคายกับภริยาจนเกินไป โดยไม่แสดงตลกและเสียงหัวเราะ บังคับนางให้แสวงความเพลิดเพลินอยู่ฝ่ายข้าง

ใครก็ตามที่คาดหวังที่จะรักษาสุขภาพของตัวเองด้วยการขี้เกียจก็กำลังทำตัวโง่เขลาเหมือนกับคนที่คิดจะปรับปรุงเสียงของเขาด้วยความเงียบ

คำเยินยอเป็นเหมือนเกราะบาง ๆ ที่ทาสีด้วยสีมันดูน่าดู แต่ก็ไม่จำเป็น

การตกปลาด้วยยาพิษช่วยให้คุณจับปลาได้ง่ายและรวดเร็ว แต่จะทำลายมันทำให้กินไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ภรรยาที่พยายามให้สามีอยู่กับสามีด้วยเวทมนตร์หรือยาเสน่ห์ จะดึงดูดสามีด้วยกามราคะ แต่กลับใช้ชีวิตร่วมกับคนวิกลจริตและวิกลจริต

ความรักมีความหลากหลายอยู่เสมอ ทั้งในหลาย ๆ ด้านและในความจริงที่ว่าเรื่องตลกที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องนี้นั้นสร้างความเจ็บปวดสำหรับบางคนและทำให้พวกเขาขุ่นเคืองในขณะที่คนอื่น ๆ ก็น่ายินดี ที่นี่เราต้องปฏิบัติตามสถานการณ์ในขณะนั้น เช่นเดียวกับลมหายใจที่สามารถดับไฟที่โผล่ออกมาเนื่องจากความอ่อนแอของมันได้ และเมื่อมันลุกโชนขึ้นก็ให้อาหารและกำลังแก่มันฉันใด ความรักในขณะที่มันยังคงเติบโตอย่างลับๆ กลับขุ่นเคืองและขุ่นเคืองต่อการเปิดเผยและเมื่อมันลุกโชนฉันนั้น ด้วยเปลวไฟอันสว่างไสว มันพบอาหารล้อเลียนและโต้ตอบด้วยรอยยิ้ม

ฉันไม่ต้องการเพื่อนที่เห็นด้วยกับฉันในทุกสิ่งเปลี่ยนมุมมองกับฉันพยักหน้าเพราะเงาทำสิ่งเดียวกันได้ดีกว่า

ผู้คนต้องการความกล้าหาญและความแข็งแกร่งไม่เพียงแต่ต่ออาวุธของศัตรูเท่านั้น แต่ยังต้องต่อการโจมตีด้วย

เรามักจะถามคำถามโดยไม่ต้องการคำตอบ แต่พยายามฟังเสียงและแสดงความซาบซึ้งใจกับอีกฝ่ายโดยต้องการดึงเขาเข้าสู่การสนทนา การตอบคำถามนำหน้าผู้อื่น การพยายามจับหูคนอื่นและครอบงำความคิดของผู้อื่น ก็เหมือนกับการจูบคนที่กระหายที่จะจูบของผู้อื่น หรือการพยายามดึงดูดสายตาของใครบางคนที่จ้องมองไปที่ตัวเอง

เรียนรู้ที่จะฟังและคุณจะได้รับประโยชน์แม้กระทั่งจากคนที่พูดไม่ดีก็ตาม

ภรรยาไม่ควรพึ่งสินสอด ไม่ใช่ในความสูงส่ง ไม่ใช่ในความงามของเธอ แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผูกมัดสามีไว้กับเธอได้อย่างแท้จริง คือ ความสุภาพ ความมีน้ำใจ และการปฏิบัติตาม และคุณสมบัติเหล่านี้ควรแสดงให้เห็นทุกวัน ไม่ใช่โดยใช้กำลัง ประหนึ่งว่า ไม่เต็มใจแต่เต็มใจ ด้วยความยินดีและเต็มใจ

เฮโรโดทัสผิดเมื่อเขากล่าวว่าผู้หญิงคนหนึ่งถือความอับอายพร้อมกับเสื้อผ้าของเธอ ในทางกลับกันผู้หญิงที่บริสุทธิ์ถอดเสื้อผ้าออกสวมความอับอายและยิ่งสามีภรรยามีความสุภาพเรียบร้อยมากขึ้นเท่าใดความรักก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

ความชั่วร้ายเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้คุณธรรมหลายประการมืดมนลง

การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องฉันเข้าสู่วัยชรา

ไม่มีคำพูดสักคำเดียวที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากเท่ากับคำพูดที่ไม่ได้พูดมากมาย

ไม่มีร่างกายใดสามารถแข็งแกร่งได้จนไวน์ไม่สามารถทำลายมันได้

ผู้ชนะนอนหลับได้หวานกว่าผู้แพ้

ดุจไฟที่ลุกโชนขึ้นอย่างง่ายดายในกก ฟาง หรือขนกระต่าย แต่จะดับลงอย่างรวดเร็วหากไม่พบอาหารอื่น ความรักก็ลุกโชนด้วยความเยาว์วัยที่เบ่งบานและความน่าดึงดูดทางกาย แต่จะดับไปในไม่ช้าหากไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วยคุณธรรมทางจิตวิญญาณ และอุปนิสัยที่ดีของคู่สมรสที่อายุน้อย

บางครั้งการปิดปากผู้กระทำผิดด้วยการตำหนิอย่างมีไหวพริบก็ไม่มีประโยชน์ การตำหนิดังกล่าวควรสั้นกระชับและไม่แสดงอาการระคายเคืองหรือโกรธเคือง แต่ให้เธอรู้วิธีกัดเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มสงบและตอบโต้กลับ ลูกศรบินจากวัตถุแข็งกลับไปยังผู้ที่ส่งมันไปได้อย่างไร ดังนั้นการดูถูกดูเหมือนจะบินกลับจากผู้พูดที่ชาญฉลาดและควบคุมตนเองได้และโจมตีผู้ดูถูก

ในตอนแรกคู่บ่าวสาวควรระวังความขัดแย้งและการปะทะกันเป็นพิเศษโดยดูว่าหม้อที่ติดกาวเมื่อเร็ว ๆ นี้พังง่ายเพียงกดเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อที่ยึดแน่นขึ้น ไฟหรือที่ยึดก็ไม่เสียหาย

ผู้หญิงที่ดีไม่ควรอวดคำพูดของเธอด้วยซ้ำ และเธอควรละอายใจที่จะขึ้นเสียงต่อหน้าคนแปลกหน้าเหมือนกับเปลื้องผ้าต่อหน้าพวกเขา เพราะเสียงนั้นเผยให้เห็นลักษณะของผู้พูด ลักษณะของจิตวิญญาณของเธอ และ อารมณ์ของเธอ

เกียรติยศเปลี่ยนคุณธรรม แต่ไม่ค่อยดีขึ้น

สาเหตุที่แท้จริงหากระบุอย่างถูกต้องจะทำลายไม่ได้

ผู้ทรยศทรยศตัวเองก่อนอื่น

ภรรยาควรพูดคุยกับสามีของเธอเท่านั้นและกับคนอื่น ๆ - ผ่านทางสามีของเธอ และไม่ควรเสียใจกับสิ่งนี้

สุนทรพจน์ของรัฐบุรุษไม่ควรเป็นการแสดงละครอย่างกระตือรือร้นในวัยเยาว์ เหมือนกับสุนทรพจน์ของนักปราศรัยในพิธีที่ถักมาลัยด้วยถ้อยคำที่สง่างามและหนักแน่น พื้นฐานของสุนทรพจน์ของเขาควรมีความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ศักดิ์ศรีที่แท้จริง ความจริงใจด้วยความรักชาติ การมองการณ์ไกล ความเอาใจใส่และการดูแลที่สมเหตุสมผล เป็นเรื่องจริงที่การพูดจาไพเราะทางการเมืองมากกว่าการพูดจาไพเราะทางตุลาการ เอื้อให้เกิดหลักคำสอน ความคล้ายคลึงทางประวัติศาสตร์ การแต่งขึ้น และการแสดงออกเป็นรูปเป็นร่าง การใช้อย่างพอประมาณและเหมาะสมซึ่งส่งผลดีต่อผู้ฟังเป็นพิเศษ

พลังแห่งการพูดอยู่ที่ความสามารถในการแสดงออกได้มากด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ

สามีที่เย่อหยิ่งทำให้ภรรยาของเขาเร่าร้อนและมีราคะตัณหา ภรรยาของคนดีและมีคุณธรรมย่อมถ่อมตัวและบริสุทธิ์

ความกล้าคือจุดเริ่มต้นของชัยชนะ

การทำชั่วนั้นต่ำ การทำดีเมื่อไม่มีอันตรายเป็นเรื่องธรรมดา คนดีคือคนที่ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติแม้ว่าเขาจะเสี่ยงทุกอย่างก็ตาม

สามีที่ชอบธรรมสั่งภรรยาของเขาไม่ใช่ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน แต่เป็นวิญญาณของร่างกาย โดยคำนึงถึงความรู้สึกของเธอและมีเมตตาอยู่เสมอ

สหภาพการสมรสหากตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักซึ่งกันและกัน จะก่อให้เกิดความสมบูรณ์ที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ถ้าสรุปเพื่อประโยชน์ของสินสอดหรือการให้กำเนิดก็จะประกอบด้วยส่วนคอนจูเกต หากเป็นเพียงการนอนด้วยกันก็ถือว่าแยกส่วนกัน และการแต่งงานดังกล่าวถือว่าไม่ใช่การอยู่ร่วมกัน แต่เป็นการอาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน

ความเข้มงวดทำให้ความบริสุทธิ์ทางเพศของภรรยาเป็นที่รังเกียจ เช่นเดียวกับความไม่เป็นระเบียบทำให้ความเรียบง่ายของเธอน่ารังเกียจ

ผู้โลภคำสรรเสริญย่อมมีบุญ

ผู้ที่ถูกลงโทษไม่มีเหตุผลที่จะไม่ต่อต้านการแก้ไขหากเขาตระหนักว่าเขาถูกลงโทษไม่ใช่ด้วยความโกรธ แต่บนพื้นฐานของการเปิดเผยอย่างเป็นกลาง

ผู้หญิงถูกประดับประดาด้วยสิ่งที่ทำให้เธอสวยขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้เธอสวยขึ้นนั้นไม่ใช่มรกตและสีม่วง แต่เป็นความสุภาพเรียบร้อย ความเหมาะสม และความเขินอาย

ภรรยาที่ฉลาดคนหนึ่ง แม้ว่าสามีที่โกรธแค้นของเธอจะกรีดร้องและดุด่า แต่เธอก็นิ่งเงียบ และเฉพาะเมื่อเขาเงียบเท่านั้นที่เธอจะเริ่มต้นการสนทนากับเขาเพื่อทำให้เขาทำให้เขาใจเย็นลง

ตัวละครไม่มีอะไรมากไปกว่าทักษะระยะยาว

ภรรยาที่บริสุทธิ์ควรปรากฏตัวในที่สาธารณะเฉพาะกับสามีของเธอเท่านั้น และเมื่อเขาไม่อยู่ ก็อย่าให้ใครเห็นขณะนั่งอยู่ที่บ้าน

ผู้มีสติควรระวังความเกลียดชังและความขมขื่น

แหล่งที่มา

พลูทาร์ก ชีวประวัติเปรียบเทียบ ใน 2 เล่ม/เอ็ด. การตระเตรียม S. S. Averintsev, M. L. Gasparov, S. P. Markish ตัวแทน เอ็ด S.S. Averintsev. (ชุด “อนุสรณ์สถานวรรณกรรม”). ฉบับที่ 1 ใน 3 เล่ม M.-L. สำนักพิมพ์ของ USSR Academy of Sciences พ.ศ. 2504-2507. ฉบับที่ 2, ฉบับที่ 2 และเพิ่มเติม ม., วิทยาศาสตร์. พ.ศ. 2537 ต.1. 704 หน้า T.2. 672 หน้า

สำหรับผลงานด้านจริยธรรมฉบับต่างๆ ดูบทความ Moralia (Plutarch)

Losev“ พลูตาร์ก เรียงความเกี่ยวกับชีวิตและความคิดสร้างสรรค์”;

พลูทาร์ก บทความ

คูฟชินสกายา ไอ.วี. พลูทาร์ช // สารานุกรมที่ดี Cyril และ Methodius-2004

Botvinnik M.N. , Rabinovich M.B. , Stratanovsky G.A. ชีวิตของชาวกรีกและโรมันผู้โด่งดัง: หนังสือ สำหรับนักเรียน - อ.: การศึกษา, 2530. - 207 น.

ชาวกรีกและโรมันที่มีชื่อเสียง / 35 ชีวประวัติ บุคคลสำคัญกรีซและโรม รวบรวมโดยพลูทาร์กและนักเขียนโบราณคนอื่นๆ M.N. Botvinnik และ M.B. - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก: ยุค 2536 - 448 หน้า

ความรุ่งโรจน์แห่งยุคอันห่างไกล: จากพลูตาร์ค / จากกรีกโบราณ เล่าใหม่โดย S. Markish — ม.: เดช สว่าง., 1964. - 270 หน้า: ป่วย. - (โรงเรียน b-ka)

- (ประมาณคริสตศักราช 40-120) นักเขียน นักประวัติศาสตร์ และนักปรัชญาชาวกรีก มีชีวิตอยู่ในยุคเสถียรภาพของจักรวรรดิโรมัน เมื่อเศรษฐกิจ ชีวิตทางการเมือง และอุดมการณ์ของสังคมโบราณเข้าสู่ยุคแห่งความซบเซาและความเสื่อมโทรมที่ยืดเยื้อยาวนาน อุดมการณ์...... สารานุกรมวรรณกรรม

พลูตาร์ พลูทาร์ก

(ประมาณ 45 - ประมาณ 127) นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณ งานหลักคือ "ชีวิตเปรียบเทียบ" ของชาวกรีกและโรมันที่โดดเด่น (ชีวประวัติ 50 เล่ม) ผลงานที่เหลืออีกจำนวนมากที่มาหาเรานั้นรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อรหัสว่า "โมราเลีย"

พลูตาร์ช

พลูทาร์ช (ประมาณ 46 - ประมาณ 120) นักเขียน นักประวัติศาสตร์ ชาวกรีกโบราณ ผู้เขียนผลงานทางศีลธรรม ปรัชญา และประวัติศาสตร์-ชีวประวัติ จากมรดกทางวรรณกรรมอันมากมายของพลูทาร์ก มีผลงาน 250 ชิ้น ไม่เกิน 1 ใน 3 ของผลงานที่รอดมาได้ ซึ่งส่วนใหญ่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้ชื่อทั่วไปว่า "ศีลธรรม" อีกกลุ่มหนึ่ง - "ชีวิตเปรียบเทียบ" - รวมชีวประวัติของรัฐบุรุษที่โดดเด่นของกรีกโบราณและโรม 23 คู่เลือกตามความคล้ายคลึงกันของภารกิจทางประวัติศาสตร์และความคล้ายคลึงกันของตัวละคร
ชีวประวัติ
ประเพณีโบราณไม่ได้รักษาชีวประวัติของพลูทาร์กไว้ แต่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ด้วยความสมบูรณ์เพียงพอจากงานเขียนของเขาเอง พลูทาร์กเกิดในช่วงทศวรรษที่ 40 ของศตวรรษที่ 1 ในเมืองโบเอโอเทีย ในเมืองเล็กๆ ชื่อแชโรเนีย ซึ่งใน 338 ปีก่อนคริสตกาล จ. การสู้รบเกิดขึ้นระหว่างกองทหารของฟิลิปแห่งมาซิโดเนียและกองทหารกรีก ในสมัยพลูทาร์ก บ้านเกิดของเขาเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัด Achaia ของโรมัน และมีเพียงประเพณีโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างระมัดระวังเท่านั้นที่สามารถเป็นพยานถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตได้ พลูทาร์กมาจากครอบครัวเก่าแก่ที่ร่ำรวย และได้รับการศึกษาด้านไวยากรณ์และวาทศิลป์แบบดั้งเดิม ซึ่งเขาศึกษาต่อในกรุงเอเธนส์ และกลายเป็นนักเรียนในโรงเรียนของนักปรัชญาแอมโมเนียส ย้อนกลับไปใน บ้านเกิดเขาอยู่กับ วัยรุ่นปีเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหาร โดยมีผู้พิพากษาหลายท่าน รวมทั้งตำแหน่งที่โดดเด่นของอาร์คอน-คำพ้องด้วย (ซม.อักษรย่อ).
พลูทาร์กไปทำธุระทางการเมืองที่โรมหลายครั้งซึ่งเขาได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ฉันมิตรกับรัฐบุรุษหลายคนในนั้นเป็นเพื่อนของจักรพรรดิ Trajan กงสุล Quintus Sosius Senekion; พลูทาร์กอุทิศ "ชีวิตเปรียบเทียบ" และ "การพูดคุยบนโต๊ะ" ให้กับเขา ความใกล้ชิดกับแวดวงที่มีอิทธิพลของจักรวรรดิและชื่อเสียงทางวรรณกรรมที่เพิ่มขึ้นทำให้พลูตาร์คได้รับตำแหน่งกิตติมศักดิ์ใหม่: ภายใต้ Trajan (98-117) เขากลายเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดภายใต้ Hadrian (117-138) - ผู้แทนของจังหวัด Achaia คำจารึกที่ยังมีชีวิตอยู่จากยุคของเฮเดรียนบ่งชี้ว่าจักรพรรดิมอบสัญชาติโรมันให้กับพลูทาร์ก โดยจัดว่าเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเมสเตรียน
แม้จะเก่งกาจก็ตาม อาชีพทางการเมืองพลูทาร์กเลือกชีวิตที่เงียบสงบในบ้านเกิดของเขา รายล้อมไปด้วยลูกๆ และนักเรียนของเขา ซึ่งก่อตั้งสถาบันการศึกษาเล็กๆ ในแชโรเนีย “สำหรับฉัน” พลูทาร์กชี้ให้เห็นว่า “ฉันอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ และเพื่อไม่ให้เล็กลง ฉันจึงเต็มใจที่จะอยู่ในเมืองนั้น” กิจกรรมสาธารณะของพลูทาร์กทำให้เขาได้รับความเคารพอย่างสูงในกรีซ ประมาณอายุ 95 ปี เพื่อนร่วมชาติของเขาได้เลือกให้เขาเป็นสมาชิกของวิทยาลัยนักบวชแห่งวิหารอพอลโลแห่งเดลฟี รูปปั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาในเดลฟีซึ่งในระหว่างการขุดค้นในปี พ.ศ. 2420 พบแท่นที่มีการอุทิศบทกวี
ชีวิตของพลูทาร์กมีอายุย้อนกลับไปถึงยุค "เรอเนซองส์แบบเฮลเลนิก" ในช่วงต้นศตวรรษที่ 2 ในช่วงเวลานี้ แวดวงการศึกษาของจักรวรรดิเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะเลียนแบบชาวกรีกโบราณในทั้งสองประเพณี ชีวิตประจำวันและในการสร้างสรรค์วรรณกรรม นโยบายของจักรพรรดิเฮเดรียนซึ่งให้ความช่วยเหลือแก่เมืองกรีกที่ล่มสลายไม่สามารถปลุกเร้าในหมู่เพื่อนร่วมชาติของพลูตาร์คได้ แต่หวังว่าจะสามารถฟื้นฟูประเพณีของนโยบายอิสระของเฮลลาสได้
กิจกรรมทางวรรณกรรมของพลูทาร์กมีลักษณะเป็นการศึกษาและการศึกษาเป็นหลัก ผลงานของเขาส่งถึงผู้อ่านที่หลากหลายและมีการวางแนวทางศีลธรรมและจริยธรรมที่เด่นชัดซึ่งเกี่ยวข้องกับประเพณีของประเภทของการสอน - คำติเตียน (ซม.โรคเบาหวาน)- โลกทัศน์ของพลูทาร์กมีความกลมกลืนและชัดเจน เขาเชื่อในจิตใจที่สูงกว่าซึ่งควบคุมจักรวาล และเป็นเหมือนครูผู้ชาญฉลาดที่ไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะเตือนผู้ฟังถึงคุณค่าของมนุษย์นิรันดร์
งานเล็กๆ
หัวข้อต่างๆ มากมายที่กล่าวถึงในผลงานของพลูทาร์กสะท้อนถึงลักษณะสารานุกรมของความรู้ของเขา เขาสร้าง "คำแนะนำทางการเมือง" บทความเกี่ยวกับศีลธรรมในทางปฏิบัติ ("เกี่ยวกับความอิจฉาและความเกลียดชัง" "วิธีแยกแยะคนที่ประจบสอพลอจากเพื่อน" "ความรักต่อเด็ก" ฯลฯ ) เขาสนใจในอิทธิพลของวรรณกรรมเกี่ยวกับ บุคคล (“ ชายหนุ่มจะคุ้นเคยกับบทกวีได้อย่างไร”) และคำถามเกี่ยวกับจักรวาล ("เกี่ยวกับการสร้างจิตวิญญาณแห่งโลกตาม Timaeus")
ผลงานของพลูทาร์กเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของปรัชญาสงบ ผลงานของเขาเต็มไปด้วยคำพูดและการรำลึกถึงผลงานของนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่และบทความ "คำถามของเพลโต" ก็เป็นคำอธิบายที่แท้จริงเกี่ยวกับตำราของเขา พลูทาร์กเกี่ยวข้องกับปัญหาเนื้อหาทางศาสนาและปรัชญาซึ่งเป็นหัวข้อที่เรียกว่า บทสนทนาของ Pythian ("บนเครื่องหมาย "E" ที่ Delphi", "On theเสื่อมโทรมของ oracles"), บทความ "On the daimony of Socrates" และบทความ "On Isis และ Osiris"
กลุ่มบทสนทนาที่แต่งกายด้วย รูปแบบดั้งเดิมบทสนทนาระหว่างเพื่อนร่วมโต๊ะในงานเลี้ยง คือชุดข้อมูลความบันเทิงจากเทพนิยาย ข้อคิดเห็นเชิงปรัชญาเชิงลึก และแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่บางครั้งก็น่าสงสัย ชื่อเรื่องของบทสนทนาสามารถให้ความคิดเกี่ยวกับคำถามที่หลากหลายที่พลูตาร์คสนใจ: "ทำไมเราไม่เชื่อความฝันในฤดูใบไม้ร่วง", "มือของอโฟรไดท์คนไหนที่ได้รับบาดเจ็บจากไดโอมีดีส", "ตำนานต่าง ๆ เกี่ยวกับจำนวนมิวส์ ”, “ความหมายของความเชื่อของเพลโตที่ว่าพระเจ้ายังคงเป็นเรขาคณิตอยู่เสมอ” . “คำถามกรีก” และ “คำถามโรมัน” อยู่ในกลุ่มงานเดียวกันของพลูทาร์ก ซึ่งมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับที่มาของสถาบันของรัฐ ประเพณี และประเพณีสมัยโบราณ
ชีวประวัติเปรียบเทียบ
งานหลักของพลูทาร์ก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในผลงานวรรณกรรมโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุด คือผลงานชีวประวัติของเขา “ชีวประวัติเปรียบเทียบ” ได้ดูดซับเนื้อหาทางประวัติศาสตร์จำนวนมหาศาล รวมถึงข้อมูลจากผลงานของนักประวัติศาสตร์สมัยโบราณที่ยังไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ความประทับใจส่วนตัวของผู้เขียนเกี่ยวกับอนุสรณ์สถานโบราณ คำพูดของโฮเมอร์ อักษรย่อ และคำจารึกบนจารึก เป็นเรื่องปกติที่จะตำหนิพลูทาร์กสำหรับทัศนคติที่ไม่วิจารณ์ต่อแหล่งที่มาที่เขาใช้ แต่ต้องคำนึงว่าสิ่งสำคัญสำหรับเขาไม่ใช่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นร่องรอยที่เหลืออยู่ในประวัติศาสตร์
สิ่งนี้สามารถยืนยันได้จากบทความเรื่อง "On the Malice of Herodotus" ซึ่งพลูทาร์กตำหนิเฮโรโดทัสในเรื่องความลำเอียงและการบิดเบือนประวัติศาสตร์ของสงครามกรีก - เปอร์เซีย (ซม.สงครามกรีก-เปอร์เซีย)- พลูทาร์กซึ่งมีชีวิตอยู่ในอีก 400 ปีต่อมา ในยุคที่เขากล่าวไว้ รองเท้าบู๊ตของโรมันถูกยกขึ้นเหนือศีรษะของชาวกรีกทุกคน ต้องการเห็นผู้บัญชาการและนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่อย่างที่เคยเป็นจริงๆ แต่เป็นศูนย์รวมแห่งความกล้าหาญในอุดมคติ และความกล้าหาญ เขาไม่ได้พยายามที่จะสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่โดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง แต่พบตัวอย่างที่โดดเด่นของภูมิปัญญา ความกล้าหาญ และการเสียสละตนเองในนามของบ้านเกิด ซึ่งออกแบบมาเพื่อรวบรวมจินตนาการของคนรุ่นราวคราวเดียวกัน
ในการแนะนำชีวประวัติของอเล็กซานเดอร์มหาราช พลูตาร์คกำหนดหลักการที่เขาใช้เป็นพื้นฐานในการเลือกข้อเท็จจริง: “ เราไม่ได้เขียนประวัติศาสตร์ แต่เป็นชีวประวัติและคุณธรรมหรือความเลวทรามไม่ได้ปรากฏให้เห็นในการกระทำอันรุ่งโรจน์ที่สุดเสมอไป แต่บ่อยครั้งที่การกระทำ คำพูด หรือเรื่องตลกเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเผยให้เห็นถึงลักษณะของบุคคลได้ดีกว่าการต่อสู้ที่มีผู้เสียชีวิตนับหมื่น การเป็นผู้นำของกองทัพขนาดใหญ่ และการล้อมเมือง” ความเชี่ยวชาญทางศิลปะของพลูทาร์กทำให้ Comparative Lives เป็นหนังสือยอดนิยมสำหรับเยาวชน โดยเรียนรู้จากงานเขียนของเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของกรีซและโรม วีรบุรุษของพลูทาร์กกลายเป็นตัวตนของยุคประวัติศาสตร์: สมัยโบราณมีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของผู้บัญญัติกฎหมายที่ชาญฉลาดของโซลอน (ซม.โซลอน), ไลเคอร์กัส (ซม.ลีเคิร์ก)และนูมา (ซม.นูมา ปอมปิลิอุส)และการสิ้นสุดของสาธารณรัฐโรมันดูเหมือนเป็นละครที่งดงามซึ่งได้รับแรงหนุนจากการปะทะกันของตัวละครของซีซาร์ (ซม.ซีซาร์ กาอุส จูเลียส),ปอมเปอี (ซม.ปอมเปอี กเนียส), คราสซ่า (ซม.คริส), แอนโทนี, บรูตัส (ซม.บรูตัส เดซิมัส จูเนียส อัลบินัส).
โดยไม่ต้องพูดเกินจริงเราสามารถพูดได้ว่าต้องขอบคุณพลูทาร์กวัฒนธรรมยุโรปได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณในฐานะยุคกึ่งตำนานแห่งอิสรภาพและความกล้าหาญของพลเมือง นั่นคือเหตุผลที่ผลงานของเขาได้รับการยกย่องอย่างสูงจากนักคิดเรื่องการตรัสรู้ บุคคลสำคัญในการปฏิวัติฝรั่งเศสครั้งใหญ่ และคนรุ่น Decembrists ชื่อของนักเขียนชาวกรีกกลายเป็นคำที่ใช้กันทั่วไป เนื่องมาจากชีวประวัติของบุคคลสำคัญหลายฉบับถูกเรียกว่า "พลูทาร์ก" ในศตวรรษที่ 19

พจนานุกรมสารานุกรม . 2009 .

ดูว่า "พลูทาร์ก" ในพจนานุกรมอื่น ๆ คืออะไร:

จาก Chaeronea (ประมาณ 45 c. 127) ภาษากรีก นักเขียนและนักปรัชญาคุณธรรม เขาเป็นสมาชิกของ Platonic Academy และยอมรับลัทธิของเพลโตโดยแสดงความเคารพต่อผู้คนมากมาย อดทน, น่าเบื่อหน่าย และอิทธิพลของพีทาโกรัสในลักษณะวิญญาณสมัยนั้น... ... สารานุกรมปรัชญา

- (ประมาณคริสตศักราช 40 ค.ศ. 120) นักเขียน นักประวัติศาสตร์ และนักปรัชญาชาวกรีก มีชีวิตอยู่ในยุคเสถียรภาพของจักรวรรดิโรมัน เมื่อเศรษฐกิจ ชีวิตทางการเมือง และอุดมการณ์ของสังคมโบราณเข้าสู่ยุคแห่งความซบเซาและความเสื่อมโทรมที่ยืดเยื้อยาวนาน อุดมการณ์...... สารานุกรมวรรณกรรม

- (ราวปี 46 ก่อนคริสตศักราช 127) นักปรัชญา นักเขียน และนักประวัติศาสตร์ จาก Chaeronea (Boeotia) ภูมิปัญญาสูงสุดในการปรัชญาไม่ใช่การดูเหมือนเป็นนักปรัชญาและบรรลุเป้าหมายที่จริงจังด้วยเรื่องตลก การสนทนาควรเป็นทรัพย์สินส่วนรวมของผู้เลี้ยงเช่นเดียวกับเหล้าองุ่น หัวหน้า... ... สารานุกรมรวมของคำพังเพย

พลูทาร์ก- พลูทาร์ก พลูทาร์ช (ประมาณ 45 ประมาณ 127) นักเขียนชาวกรีก งานหลัก "ชีวประวัติเปรียบเทียบ" ของชาวกรีกและโรมันที่โดดเด่น (50 ชีวประวัติ) ผลงานที่เหลือมากมายที่มาหาเรานั้นรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อรหัสว่า "โมราเลีย"... พจนานุกรมสารานุกรมภาพประกอบ

และสามี. ดาว. เอ็ด รายงาน: Plutarkhovich, Plutarkhovna. Arya.Origin: (ชื่อกรีก Plutarchos จากความมั่งคั่งและอำนาจของดาวพลูโต) พจนานุกรมชื่อบุคคล พลูทาร์ก ก. สตาร์ หายาก รายงาน: พลูทาร์โควิช, พลูตาร์คอฟนา อนุพันธ์... พจนานุกรมชื่อบุคคล

พลูทาร์ก พลูทาร์โชส จากแชโรเนีย ก่อน 50 หลัง 120 n. e. นักปรัชญาและนักเขียนชีวประวัติชาวกรีก เขามาจากครอบครัวที่ร่ำรวยที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ในโบเอเทีย ในกรุงเอเธนส์ เขาศึกษาคณิตศาสตร์ วาทศาสตร์ และปรัชญา โดยวิชาหลังส่วนใหญ่มาจาก... ... นักเขียนโบราณ

พลูตาร์ช หนังสืออ้างอิงพจนานุกรมเกี่ยวกับกรีกโบราณและโรมเกี่ยวกับตำนาน

พลูตาร์ช- (ราวปี 46 – ประมาณปี 126) นักเขียนเรียงความและนักเขียนชีวประวัติชาวกรีก เกิดที่เมือง Chaeronea (Boeotia) ศึกษาที่กรุงเอเธนส์ เป็นนักบวชของ Pythian Apollo ในเมืองเดลฟี เดินทางไปอียิปต์ ประเทศอิตาลี อาศัยอยู่ในกรุงโรม ผลงานของพลูตาร์คส่วนใหญ่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์... ... รายชื่อชื่อกรีกโบราณ

- (c. 45 c. 127) นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณ งานหลัก: ชีวประวัติเปรียบเทียบของชาวกรีกและโรมันที่โดดเด่น (50 ชีวประวัติ) ผลงานที่เหลือมากมายที่มาหาเรานั้นรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อรหัส Moralia... พจนานุกรมสารานุกรมขนาดใหญ่

- (พลูทาร์คัส, Πλούταρχος). นักเขียนชาวกรีกผู้อาศัยอยู่ในเมืองโบเอโอเทียในช่วงคริสตศักราช 1 เดินทางบ่อยครั้งและใช้เวลาอยู่ในกรุงโรมบ้าง เขาเสียชีวิตประมาณปีคริสตศักราช 120 ผลงานที่โดดเด่นที่สุดได้แก่... ... สารานุกรมตำนาน

“ฉันไม่ต้องการเพื่อนที่เห็นด้วยกับฉันทุกเรื่อง เปลี่ยนความคิดเห็นกับฉัน พยักหน้า เพราะเงาจะทำให้สิ่งเดียวกันดีกว่า”
คำเหล่านี้เป็นของนักเขียนชีวประวัติ นักปรัชญา และนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณผู้มีชื่อเสียงชื่อพลูทาร์ก พวกเขาช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมชื่อและผลงานของบุคคลที่มีเอกลักษณ์และน่าสนใจอย่างแท้จริงนี้จึงยังคงเป็นที่รู้จักในปัจจุบัน แม้ว่าข้อเท็จจริงในชีวประวัติของพลูทาร์กจะสูญหายไปเป็นส่วนใหญ่ แต่ข้อมูลบางอย่างยังคงมีอยู่ต้องขอบคุณพลูทาร์กเอง ในงานเขียนของเขาเอง เขากล่าวถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นตามเส้นทางชีวิตของเขา

วัยเด็กของพลูตาร์ก

พลูทาร์กเกิดเมื่อปี 46 ในเมือง Chaeronea ในเมือง Boeotia ของกรีก ขอบคุณพ่อแม่ของเขาที่นักปรัชญาในอนาคตได้รับ การศึกษาที่ยอดเยี่ยมซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับกิจกรรมต่อไปของเขา การศึกษาของครอบครัวมีอิทธิพลอย่างมากต่อโลกทัศน์ของเขาช่วยให้พลูทาร์กเข้าใจความรู้มากมายและต่อมาก็กลายเป็นนักเขียนผลงานมากมาย

พ่อของเขา Avtobul และคุณปู่ Lampriy ได้รับการศึกษาที่ดีและ คนฉลาด- พวกเขาเล่าเรื่องที่น่าสนใจให้เขาฟัง ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์,เกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียงสามารถรองรับการสนทนาในทุกหัวข้อ การศึกษาของพ่อและปู่ของเขาทำให้พลูทาร์กได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษาที่บ้าน

เขามีน้องชายอีกสองคน - ผู้รู้แจ้งด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าแม้สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะได้รับการศึกษา แต่พวกเขาไม่ใช่ขุนนางแม้ว่าพวกเขาจะเป็นพลเมืองที่ร่ำรวยก็ตาม ทั้งหมดนี้ทำให้ครอบครัวของพวกเขาได้รับความเคารพนับถือจากคนรอบข้างเป็นอย่างมาก

วัยเยาว์ของพลูตาร์ก

เริ่มจากมาก ช่วงปีแรก ๆพลูทาร์กศึกษาอย่างต่อเนื่องและทำสิ่งนี้มาตลอดชีวิต เพื่อรับการศึกษาพิเศษ เขาไปที่กรุงเอเธนส์ ซึ่งเขาศึกษาวิทยาศาสตร์ เช่น วาทศาสตร์ คณิตศาสตร์ ปรัชญา และอื่นๆ ครูหลักของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือแอมโมเนียสซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างมุมมองเชิงปรัชญาของพลูตาร์ค

กิจกรรมของพลูตาร์ก

หลังจากสำเร็จการศึกษา พลูทาร์กก็กลับมาที่บ้านเกิดและอุทิศชีวิตที่เหลือเพื่อรับใช้แชโรเนีย ด้วยความรู้อันหลากหลายของเขา เขาจึงทำงานในตำแหน่งผู้บริหารมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากลักษณะของกิจกรรมของเขา เขามักจะต้องไปเยี่ยมจักรพรรดิทราจันแห่งโรมันด้วยตัวเองเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองบางอย่าง

ในระหว่างการเยือนกรุงโรมเพื่อทำธุรกิจ เขายังคงสามารถเข้าร่วมการบรรยายเชิงปรัชญาและประวัติศาสตร์ได้ และพูดคุยกับพวกเขาอย่างแข็งขัน ในระหว่างการสนทนาดังกล่าว เขาได้เป็นเพื่อนกับกงสุล Quintus Sosius Senecion - เพื่อนที่ดีที่สุดทราจัน. มิตรภาพกับ Senecion ควบคู่ไปกับชื่อเสียงที่เพิ่มมากขึ้นของพลูทาร์ก ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเขาให้ผ่านพ้นไปได้ บันไดอาชีพ- เขาดำรงตำแหน่งกงสุลจนถึงปี 117 และหลังจากการสิ้นพระชนม์ของ Trajan ภายใต้จักรพรรดิโรมันองค์ใหม่ Hadrian พลูทาร์กดำรงตำแหน่งผู้แทนของจังหวัด Achaia

ตำแหน่งเหล่านี้มีความรับผิดชอบและสำคัญมาก เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญทั้งหมดของพวกเขา ควรสังเกตว่าไม่มีการตัดสินใจเพียงครั้งเดียวในจังหวัด Achaia ที่จะมีผลได้หากปราศจากการมีส่วนร่วมของพลูทาร์ก ซึ่งหมายความว่าจะต้องประสานงานกับเหตุการณ์ใด ๆ กับเขา การตัดสินใจครั้งนี้หรือครั้งนั้นจะดำเนินการเฉพาะเมื่อได้รับการอนุมัติจากพลูทาร์กเท่านั้น

นอกจากการเมืองแล้ว เขายังให้ความสำคัญกับศาสนาและกิจกรรมทางสังคมอีกด้วย ดังนั้น เมื่ออายุประมาณ 95 ปี พลูทาร์กจึงได้รับเลือกเป็นปุโรหิตในวิหารอพอลโลที่เมืองเดลฟี สังคมเลือกนักบวชในเวลานั้น และความจริงข้อนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเคารพและความเคารพอย่างสุดซึ้งของพลูทาร์กในหมู่ประชาชน ผู้คนถึงกับสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

ผลงานของพลูทาร์ก

พลูทาร์กทิ้งผลงานสำคัญไว้มากมาย เขาสร้างบทความมากกว่าสองร้อยบทความในหัวข้อต่างๆ โดยหลักแล้วเนื้อหาเหล่านี้มีลักษณะเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และให้คำแนะนำ น่าเสียดายที่ผลงานของเขาเพียงส่วนเล็ก ๆ เท่านั้นที่มาถึงศตวรรษของเรา หนึ่งในนั้นคืองานหลักของเขา - "ชีวิตเปรียบเทียบ" ซึ่งเขาบรรยายชีวประวัติของผู้มีชื่อเสียง: ชาวโรมันและชาวกรีก

สาระสำคัญของ "ชีวิตเปรียบเทียบ" คือผู้เขียนนำชีวประวัติของบุคคลสองคนมาเปรียบเทียบ ดังนั้นในงานนี้คุณจะพบคำอธิบายเกี่ยวกับชีวิตของ Alexander the Great, Gaius Julius Caesar, เธเซอุส, โรมูลุส, ซิเซโรและคนอื่น ๆ งานนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเราเนื่องจากมีข้อมูลที่เชื่อถือได้และครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับบุคคลโบราณ ชีวประวัติของคู่รักยี่สิบสองคู่รอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนที่เหลือสูญหายไป

ในบรรดาผลงานอื่น ๆ ของพลูทาร์ก: "คำแนะนำทางการเมือง", "ความฉลาดของสัตว์", "ความรักของเด็ก", "ความพูดน้อย", "ความชั่วร้ายของเฮโรโดทัส", "ความอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป" และอื่น ๆ อีกมากมาย หัวข้อที่หลากหลาย สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือบทสนทนาของ Pythian ซึ่งเขากล่าวถึงประเด็นทางศาสนาและปรัชญาต่าง ๆ ในยุคของเขา

ลูกศิษย์ของพลูทาร์ก

แม้ว่าเขาจะเป็นนักการเมืองที่มีอิทธิพลมากและกระตือรือร้นก็ตาม กิจกรรมสังคมพลูทาร์กยังเป็นคนในครอบครัวและเป็นพ่อที่ดีของลูก ๆ ของเขาด้วย ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเขามีลูกกี่คน แหล่งข้อมูลบางแห่งกล่าวถึงลูกชายห้าคน

เช่นเดียวกับพ่อของพลูทาร์ก เขาสอนลูกๆ ของเขาเอง บ้านของเขาไม่เคยว่างเปล่า คนหนุ่มสาวได้รับการต้อนรับที่นี่เสมอ ในเรื่องนี้พลูทาร์กได้เปิด Academy ของเขาเองซึ่งเขาเป็นผู้นำและผู้บรรยาย ดังนั้นเขามีนักเรียนจำนวนมาก แต่น่าเสียดายที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้เงียบเกี่ยวกับชื่อของพวกเขา เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้ติดตามคนหนึ่งของพลูทาร์กคือหลานชายของเขา Sextus of Chaeronea ผู้ซึ่งเลี้ยงดู Marcus Aurelius เองซึ่งเป็นจักรพรรดิผู้โด่งดังในอนาคต

พลูทาร์กเสียชีวิตในปี ค.ศ. 127 เขามีชีวิตอยู่แปดสิบเอ็ดปี ในเวลานั้นนี่เป็นยุคที่น่านับถือมาก เขายึดมั่นในวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีอยู่เสมอและเตือนคนที่เขารักและทุกคนโดยทั่วไปอย่างต่อเนื่องด้วยคำว่า: “ไม่มีร่างกายใดสามารถแข็งแกร่งได้จนไวน์ไม่สามารถทำลายมันได้” แท้จริงแล้วเป็นคำ "ทองคำ" ที่ไม่สูญเสียความเกี่ยวข้องมาหลายศตวรรษ