ข้อเท็จจริงที่น่าเหลือเชื่อ
1. การสาธิตนี้จัดขึ้นโดยเกี่ยวข้องกับการเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้า (Reichserntedankfest) ซึ่งจัดขึ้นที่เมือง Buckeberg ในปี 1934
จำนวนผู้เข้าร่วมประมาณ 700,000 คน
ตามเรื่องราวของชาวเยอรมันที่ไม่สนับสนุนพวกนาซีแม้พวกเขาจะตกใจกับขนาดของเหตุการณ์ก็ตาม
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครเห็นอะไรแบบนี้
พยานและผู้ร่วมงานในครั้งนี้ได้พูดถึงความรู้สึก ความสามัคคีของชาติยกระดับอารมณ์ ความยินดีอย่างไม่น่าเชื่อ และอารมณ์สำหรับการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น
เมื่อชาวเยอรมันมุ่งหน้าไปยังเต็นท์ของตนหลังจากการสาธิต พวกเขายังคงสังเกตเห็นฟ้าแลบขนาดใหญ่บนท้องฟ้า
2. สตอร์มทรูปเปอร์ของนาซีในกรุงเบอร์ลินร้องเพลงใกล้ทางเข้าสาขา Woolworth Co. 1 มีนาคม พ.ศ. 2476 ในวันนี้ มีการดำเนินการเพื่อส่งเสริมการคว่ำบาตรการปรากฏตัวของชาวยิวในเยอรมนี
ทันทีที่พวกนาซีขึ้นสู่อำนาจ พวกเขาเริ่มเรียกร้องให้พลเมืองชาวเยอรมันทุกคนคว่ำบาตรองค์กรและธุรกิจของชาวยิว การรณรงค์โฆษณาชวนเชื่ออันยาวนานเริ่มขึ้น
เมื่อวันที่ 1 เมษายน รัฐมนตรีโจเซฟ เกิ๊บเบลส์กล่าวสุนทรพจน์โดยอธิบายถึงความจำเป็นในการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้ "การสมคบคิดต่อต้านเยอรมนีโดยชาวยิวทั่วโลก" ในสื่อต่างประเทศ
ร้านในภาพนี้เป็นของ Woolworth ซึ่งต่อมาฝ่ายบริหารได้ไล่พนักงานชาวยิวทั้งหมดออก
ทั้งนี้บริษัทได้รับสิทธิพิเศษ สัญลักษณ์ที่โดดเด่น"Adefa Zeichen" ซึ่งหมายถึงการเป็นของ "ธุรกิจของชาวอารยันล้วนๆ"
3. ทหาร SS พักผ่อนใกล้สนามกีฬาโอลิมปิกในกรุงเบอร์ลิน ในเดือนสิงหาคม 1936 ชาย SS เหล่านี้รับใช้ในกองพันทหารองครักษ์ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ความคุ้มครองส่วนบุคคลแก่ฮิตเลอร์และผู้คุ้มกันของเขาในระหว่างกิจกรรมสาธารณะ
ในเวลาต่อมา กองพันได้รับการขนานนามว่าเป็นดิวิชั่น 1 ชั้นยอด "ไลบ์สแตนดาร์เต เอสเอส "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" (ไลบ์สตานดาร์เต เอสเอส "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์") หน่วยนี้มีขนาดใหญ่มากและติดตามฮิตเลอร์ไปทุกที่ที่เขาไป
ในช่วงสงคราม ฝ่ายดังกล่าวมีส่วนร่วมในการสู้รบ ซึ่งพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในฝ่ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หน่วยที่ดีที่สุดตลอดทั้งสงคราม
4. ขบวนแห่ฟาสซิสต์ในปี พ.ศ. 2480 ใน "วิหารแห่งแสง" โครงสร้างนี้ประกอบด้วยไฟค้นหาอันทรงพลัง 130 ดวง เพื่อนที่ยืนอยู่ห่างกัน 12 เมตร และมองขึ้นไปในแนวตั้ง
ทำเช่นนี้เพื่อสร้างเสาไฟ เอฟเฟกต์นั้นน่าทึ่งมากทั้งภายในและภายนอกคอลัมน์ ผู้เขียนผลงานนี้คือสถาปนิก Albert Speer ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกที่เขาชื่นชอบ
ผู้เชี่ยวชาญยังคงเชื่อว่างานนี้ดีที่สุดที่ Speer สร้างขึ้นซึ่งฮิตเลอร์สั่งให้ตกแต่งจัตุรัสในนูเรมเบิร์กเพื่อเดินขบวน
5. ภาพถ่ายเมื่อปี 1938 ในกรุงเบอร์ลิน บนนั้นมีทหารองครักษ์ส่วนตัวของ Fuhrer เดินผ่านไป การฝึกอบรมเจาะ- หน่วยนี้ตั้งอยู่ในค่ายทหาร Lichterfelde
ทหารติดอาวุธด้วยปืนสั้น Mauser Kar98k และสัญลักษณ์รูปสายฟ้าบนปกเสื้อเป็นจุดเด่นของหน่วย SS
6. "ห้องโถงผู้บัญชาการบาวาเรีย" ในมิวนิก, 2525 คำสาบานประจำปีของกองทัพ SS ข้อความในคำสาบานมีดังนี้: “ฉันขอสาบานต่อคุณ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จะเป็นนักรบที่กล้าหาญและซื่อสัตย์ตลอดไป ฉันขอสาบานต่อคุณและผู้บัญชาการที่จะแต่งตั้งให้ฉันซื่อสัตย์ไปจนตาย ขอพระเจ้าช่วยฉันด้วย”
7. สโลแกน SS อ่านว่า: “เกียรติของเราคือความภักดีของเรา”
8. คำทักทายจาก Fuhrer หลังจากการประกาศผนวกออสเตรียสำเร็จ การกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 1938 ในอาคาร Reichstag หลักที่สำคัญที่สุดของอุดมการณ์นาซีคือการรวมชาวเยอรมันทุกคนที่เกิดหรืออาศัยอยู่นอกเขตแดนของเยอรมนีเข้าด้วยกันเพื่อสร้าง "จักรวรรดิไรช์แบบเยอรมันทั้งหมด"
นับตั้งแต่วินาทีที่ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจ ฟูเรอร์ประกาศว่าเขาจะบรรลุการรวมเยอรมนีกับออสเตรียไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม
9. อีกภาพจากเหตุการณ์ที่คล้ายกัน
10. ร่างกายถูกแช่แข็ง ทหารโซเวียตซึ่งจัดแสดงโดยฟินน์ในปี 1939 เพื่อข่มขู่กองทหารโซเวียตที่เข้าโจมตี ชาวฟินน์มักใช้วิธีมีอิทธิพลทางจิตวิทยานี้
11. ทหารราบโซเวียตถูกแช่แข็งจนตายใน "หลุมจิ้งจอก" ในฟินแลนด์เมื่อปี 1940 กองทหารถูกบังคับให้ย้ายไปยังแนวรบฟินแลนด์จากพื้นที่ห่างไกล ทหารจำนวนมากไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับความสุดโต่งเลย ฤดูหนาวที่รุนแรงโดยเดินทางมาถึงฟินแลนด์จากทางใต้
นอกจากนี้ผู้ก่อวินาศกรรมชาวฟินแลนด์ยังติดตามการทำลายบริการด้านหลังเป็นประจำ กองทหารโซเวียตประสบความยากลำบากอย่างมากเนื่องจากขาดอาหาร เครื่องแบบฤดูหนาว และการฝึกอบรมที่เหมาะสม
ดังนั้นทหารจึงคลุมสนามเพลาะด้วยกิ่งไม้และโปรยหิมะไว้ด้านบน ที่พักพิงดังกล่าวเรียกว่า "หลุมสุนัขจิ้งจอก"
สงครามโลกครั้งที่สอง: ภาพถ่าย
12. รูปถ่ายของโจเซฟ สตาลิน จากห้องเอกสารของตำรวจ ถ่ายระหว่างการจับกุมโดยตำรวจลับในปี 1911 นี่เป็นการจับกุมครั้งที่สองของเขา
ชาวโอฮรานาเริ่มสนใจเขาเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2451 เพราะเขา กิจกรรมการปฏิวัติ- จากนั้นสตาลินถูกจำคุกเจ็ดเดือนและหลังจากนั้นเขาถูกส่งไปที่เมือง Solvychegodsk เป็นเวลาสองปีเพื่อเนรเทศ
อย่างไรก็ตามผู้นำไม่ได้อยู่ที่นั่นตลอดวาระเพราะหลังจากนั้นไม่นานเขาก็หลบหนีโดยปลอมตัวเป็นผู้หญิงและไปที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
13. ภาพถ่ายอย่างไม่เป็นทางการนี้ถ่ายโดย Vlasik บอดี้การ์ดส่วนตัวของสตาลิน ในปี 1960 เมื่อสิ่งนี้และผลงานอื่น ๆ ของ Vlasik ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรก ทั้งหมดนี้กลายเป็นที่ฮือฮา จากนั้นนักข่าวโซเวียตคนหนึ่งก็พาพวกเขาออกจากดินแดนโซเวียตและขายให้กับสื่อต่างประเทศ
14. ภาพถ่ายเมื่อปี 1940 ภาพนี้แสดงให้เห็นสตาลิน (ขวา) และเฟลิกซ์ ดาดาเอฟ ฝาแฝดของเขา มาก เป็นเวลานานในสหภาพโซเวียตมีข่าวลือที่ไม่ยืนยันว่าผู้นำมีสองเท่าซึ่งเข้ามาแทนที่เขาภายใต้สถานการณ์บางอย่าง
หลังจากผ่านไปหลายทศวรรษ ในที่สุดเฟลิกซ์ก็ตัดสินใจลดม่านแห่งความลับลง Dadaev อดีตนักเต้นและนักเล่นกลได้รับเชิญให้ไปที่เครมลิน ซึ่งเขาได้รับการเสนอให้ทำงานเป็นนักเรียนของสตาลิน
เป็นเวลากว่า 50 ปีที่เฟลิกซ์ยังคงนิ่งเงียบเพราะเขากลัวความตายเนื่องจากละเมิดสนธิสัญญา แต่เมื่อเขาอายุ 88 ปีในปี 2551 โดยได้รับอนุญาตจากทางการ Dadaev ได้ตีพิมพ์หนังสือซึ่งเขาอธิบายอย่างละเอียดว่าเขามีโอกาส "เล่น" ผู้นำในการสาธิตต่างๆ ขบวนพาเหรดทหาร และการถ่ายทำได้อย่างไร
15. แม้แต่เพื่อนร่วมงานและสหายที่ใกล้ชิดที่สุดของสตาลินก็ไม่สามารถแยกแยะพวกเขาได้
16. เฟลิกซ์ ดาดาเยฟ เข้ามา ชุดเครื่องแบบเต็มตัวพลโท
17. Yakov Dzhugashvili ลูกชายคนโตของ Stalin ถูกชาวเยอรมันจับตัวไปในปี 1941 ตามที่นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่ายาโคบเองก็ยอมจำนน ยังมีข่าวลือและตำนานที่ขัดแย้งกันมากมายเกี่ยวกับชีวิตของลูกชายของผู้นำ
18. หลังจากได้รับพัสดุจากเยอรมนี สตาลินได้ทราบข่าวการจับกุมลูกชายของเขา จากนั้นวาซิลี ลูกชายคนเล็กผู้นำได้ยินจากพ่อของเขา: "ช่างโง่เขลา เขายิงตัวเองไม่ได้เลย!" พวกเขายังกล่าวอีกว่าสตาลินตำหนิยาโคฟที่ยอมจำนนต่อศัตรูเหมือนคนขี้ขลาด
ภาพถ่ายสงครามโลกครั้งที่สอง
19. ยาโคฟเขียนถึงพ่อของเขา: “พ่อที่รัก ฉันสบายดี ในไม่ช้าฉันจะไปเข้าค่ายเพื่อเชลยศึกในเยอรมนี พวกเขาปฏิบัติต่อฉันอย่างดี . ยาชา”
ต่อมาไม่นาน ชาวเยอรมันได้รับข้อเสนอให้แลกเปลี่ยนยาโคบกับจอมพลฟรีดริช ฟอน เปาลัส ( ฟรีดริช ฟอนพอลลัส) ซึ่งถูกจับที่สตาลินกราด
มีข่าวลือว่าสตาลินปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวโดยบอกว่าเขาจะไม่แลกเปลี่ยนจอมพลทั้งหมดกับทหารธรรมดา
20. ไม่นานมานี้ เอกสารบางฉบับถูกไม่เป็นความลับอีกต่อไป ตามที่ยาโคฟถูกเจ้าหน้าที่ค่ายยิงหลังจากที่เขาปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้
ในระหว่างการเดินยาโคฟได้รับคำสั่งจากผู้คุมให้กลับไปที่ค่ายทหาร แต่เขาปฏิเสธและผู้คุมก็สังหารเขาด้วยการยิงที่ศีรษะ เมื่อสตาลินรู้เรื่องนี้ เขาก็รู้สึกอ่อนใจต่อลูกชายอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพิจารณาว่าสมควรตาย
21. ทหารเยอรมันแบ่งปันอาหารกับผู้หญิงและเด็กชาวรัสเซีย ในปี 1941 ท่าทางของเขาไร้ผล เพราะบทบาทของเขาคือประณามแม่หลายล้านคนที่ต้องอดอยาก ภาพนี้ถ่ายโดยช่างภาพของ Georg Gundlach แผนก Wehrmacht ที่ 29
ภาพถ่ายนี้พร้อมกับภาพอื่น ๆ รวมอยู่ในคอลเลกชันอัลบั้ม "The Battle of Volkhov" สารคดีสยองขวัญปี 1941-1942
22. สายลับรัสเซียที่ถูกจับหัวเราะ มองเข้าไปในดวงตาแห่งความตายของเขา ภาพนี้ถ่ายเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2485 ทางตะวันออกของคาเรเลีย ก่อนเรา วินาทีสุดท้ายชีวิตมนุษย์. เขารู้ว่าเขากำลังจะตายและหัวเราะ
23. 1942. บริเวณใกล้เคียงของ Ivanograd หน่วยลงโทษของเยอรมันประหารชีวิตชาวยิวในเคียฟ ในภาพนี้ ทหารเยอรมันยิงผู้หญิงคนหนึ่งมีลูก
ปืนไรเฟิลของกองกำลังลงโทษอื่นๆ มองเห็นได้ทางด้านซ้ายของภาพ ภาพถ่ายนี้ถูกส่งจากแนวรบด้านตะวันออกไปยังเยอรมนีทางไปรษณีย์ แต่ถูกสกัดกั้นในโปแลนด์โดยสมาชิกกลุ่มต่อต้านวอร์ซอ ซึ่งกำลังรวบรวมหลักฐานอาชญากรรมสงครามของนาซีทั่วโลก
ปัจจุบัน ภาพนี้ถูกเก็บไว้ในวอร์ซอ ในเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์
24. ก้อนหินแห่งยิบรอลตาร์ 2485 ลำแสงค้นหาที่ช่วยพลปืนต่อต้านอากาศยานยิงใส่เครื่องบินทิ้งระเบิดของฟาสซิสต์
25. พ.ศ. 2485 ชานเมืองสตาลินกราด เคลื่อนพลที่ 6 กองทัพ. พวกทหารไม่คิดด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปสู่นรกจริงๆ เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะไม่เห็นฤดูใบไม้ผลิหน้า
ทหารคนหนึ่งสวมแว่นกันแดดของตัวเอง นี้ ของแพงซึ่งออกให้เฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และทหารของ Afrika Korps
26. ตกนรก
ภาพถ่ายจากสงครามโลกครั้งที่สอง
27. สตาลินกราด 2485 เตรียมโจมตีโกดัง ทหารเยอรมันถูกบังคับให้ต่อสู้เพื่อยึดคืนอาคารทุกหลังและถนนทุกสายกลับคืนมา ตอนนั้นเองที่พวกเขาค้นพบว่าความได้เปรียบทางยุทธวิธีที่พวกเขามี เปิดช่องว่างได้จมลงสู่การลืมเลือนเนื่องจากความแออัดยัดเยียดของเมือง
รถถังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองในการรบบนท้องถนนได้ น่าแปลกที่นักแม่นปืนเล่นได้มากกว่านี้มากในสภาพเช่นนี้ บทบาทสำคัญเมื่อเทียบกับรถถังและปืนใหญ่
หนัก สภาพอากาศการขาดเสบียงและเครื่องแบบในระดับที่เหมาะสม รวมถึงการต่อต้านอย่างดื้อรั้นของทหารของเรานำไปสู่ การทำลายล้างอย่างสมบูรณ์กองทัพนาซีที่สตาลินกราด
28. พ.ศ. 2485 สตาลินกราด ทหารเยอรมันพร้อมตราจู่โจมทหารราบเงิน เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้มอบให้แก่ทหารหน่วยทหารราบที่เข้าร่วมปฏิบัติการจู่โจมอย่างน้อยสามครั้ง
สำหรับทหาร รางวัลดังกล่าวมีเกียรติไม่น้อยไปกว่า Iron Cross ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับแนวรบด้านตะวันออก
29. ทหารเยอรมันจุดบุหรี่จากเครื่องพ่นไฟ
30. 1943. วอร์ซอ. ศพชาวยิวที่ถูกสังหารและตำรวจยูเครน ภาพนี้ถ่ายในสลัมวอร์ซอระหว่างการปราบปรามการจลาจล คำบรรยายภาพต้นฉบับภาษาเยอรมันเขียนว่า “ตำรวจก็มีส่วนร่วมในปฏิบัติการด้วย”
31. 1943. ตอนจบ การต่อสู้ของสตาลินกราด- ทหารโซเวียตพร้อมปืนไรเฟิลจู่โจม PPSh-41 คุ้มกันชาวเยอรมันที่ถูกจับ กองทัพของฮิตเลอร์ใกล้สตาลินกราดเมื่อถูกล้อมรอบพวกเขาก็พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
การต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้ที่โหดร้ายและนองเลือดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสงครามทั้งหมด มันอ้างว่าชีวิตของผู้คนมากกว่าสองล้านคน
32. ฤดูร้อน พ.ศ. 2487 ยุทธศาสตร์เบลารุส ก้าวร้าว"บาเกรชัน". ผลจากการปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้ German Army Group Center พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
แนวหน้าระยะทาง 1,100 กิโลเมตรถูกเคลื่อนย้ายไปทางทิศตะวันตก 600 กิโลเมตรในช่วงสองเดือนของการสู้รบ กองทหารเยอรมันพ่ายแพ้ห้าครั้งในการรบครั้งนี้ ผู้คนมากขึ้นมากกว่าพวกโซเวียต
ภาพถ่ายสงครามโลกครั้งที่ 2
33. 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2487 ถนนในมอสโก เดือนมีนาคมของชาวเยอรมันที่ถูกจับนับหมื่นคน Operation Bagration ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดช่วงสงคราม
โจมตี แนวรบด้านตะวันออกเริ่มขึ้นทันทีหลังจากการยกพลขึ้นบกของพันธมิตรในนอร์ม็องดี มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับปฏิบัติการนี้ โดยเฉพาะในโลกตะวันตก มีนักประวัติศาสตร์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คุ้นเคยกับรายละเอียดนี้
34. 1944. ค่าย Nonant le Pin เชลยศึกชาวเยอรมัน ในฝรั่งเศส ระหว่างปฏิบัติการฟาเลซของกองกำลังพันธมิตร ทหารเยอรมันมากกว่าสามหมื่นคนถูกจับกุม
ผู้คุมค่ายขับรถไปตามลวดหนามเป็นประจำและยิงขึ้นไปในอากาศเพื่อแสร้งทำเป็นหยุดความพยายามหลบหนีอีกครั้ง แต่ไม่มีความพยายามที่จะหลบหนี เพราะแม้ว่าพวกเขาจะสามารถหลบหนีจากผู้คุมได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงการประหารชีวิตได้
35. 1944. ฝรั่งเศส. Simone Segouin สมาชิกขบวนการต่อต้านวัย 18 ปี ชื่อเล่นของเธอคือนิโคลไมน์
ภาพถ่ายนี้ถ่ายระหว่างการต่อสู้ด้วย โดยกองทหารเยอรมัน. รูปร่างเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางนั้นน่าประหลาดใจอย่างแน่นอน แต่รูปถ่ายนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการมีส่วนร่วมของผู้หญิงฝรั่งเศสในการต่อต้าน
36. ซิโมนในภาพถ่ายสี หายากในสมัยนั้น
37. ซิโมนกับอาวุธที่เธอชอบ - ปืนกลเยอรมัน
38. 9 มีนาคม พ.ศ. 2488 นักสู้รุ่นเยาว์ของ Hitler Jugend ได้รับรางวัล Iron Cross จากการให้บริการของเขาระหว่างการป้องกันเมือง Lauban ใน Silesia Goebbels แสดงความยินดีกับเขา
วันนี้เลาบาน่าเป็น เมืองโปแลนด์ลิวบัน.
39. 1945. ระเบียงของทำเนียบรัฐบาลไรช์ ทหารของกองทัพพันธมิตรเยาะเย้ยฮิตเลอร์ ทหารของกองทัพอเมริกา โซเวียต และอังกฤษ เฉลิมฉลองชัยชนะร่วมกัน
ภาพถ่ายนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 สองเดือนหลังจากการมอบตัว เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนเหตุระเบิดที่ฮิโรชิมา
40. ฮิตเลอร์พูดบนระเบียงเดียวกัน
41. 17 เมษายน พ.ศ. 2488 ค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซ่น การปลดปล่อย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย - ชาย SS ทหารอังกฤษถูกบังคับให้ขุดหลุมศพของนักโทษและบรรทุกขึ้นรถ
42. 1942. ทหารเยอรมันชมภาพยนตร์เกี่ยวกับ ค่ายฝึกสมาธิ- ภาพถ่ายแสดงปฏิกิริยาของเชลยศึกต่อ วัสดุสารคดีจากค่ายมรณะ รูปนี้ตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แห่งสหรัฐอเมริกา
43. แถวสุดท้ายของโรงหนัง ฉากเดียวกัน
ทุกปีครั้งที่สอง สงครามโลกหนึ่งในการทดลองที่ยากที่สุดที่เกิดขึ้นกับมนุษยชาติในศตวรรษที่ 20 กำลังกลายเป็นเรื่องในอดีต ดูเหมือนว่าเราจะรู้เกือบทุกอย่างเกี่ยวกับการต่อสู้ของเธอ เราจำใบหน้าของฮีโร่ของเธอได้ สงครามครั้งใหญ่ครั้งนั้นมีทุกสิ่ง ทั้งความสุขและความเจ็บปวด ความสุขและน้ำตา คือ การสูญเสียอย่างหนักและการกลับมาอย่างไม่คาดคิด ปฏิบัติการทางทหารที่ไม่เหมือนใครเกิดขึ้น และพบกับทหารที่ไม่ธรรมดา เราอยากจะพูดถึงหนึ่งในนั้น ไพรเวทวอจเทค
(ทั้งหมด 34 รูป)
Wojtek ซึ่งเป็นทหารส่วนตัวใน Polish Second Corps ได้เริ่มสงครามในตะวันออกกลาง เขาได้รับมอบหมายให้อยู่ในหน่วยจัดหา กองทหารปืนใหญ่และร่วมกับเพื่อนทหารเดินไปตามถนนหน้าจนได้รับชัยชนะ
2. Wojtek กับทหารโปแลนด์
เกี่ยวกับเขา การหาประโยชน์อันรุ่งโรจน์มีตำนานในหมู่กองกำลังพันธมิตร: Wojtek ครั้งหนึ่งเคยต่อต้านสายลับอาหรับเยอรมันที่อันตราย ว่ากันว่าสายลับชาวเยอรมันผู้โชคร้ายถูกบังคับให้ปีนต้นปาล์มเพื่อหนีการโจมตีอย่างรวดเร็วของเอกชนผู้กล้าหาญ และต่อมา ในระหว่างการสู้รบอย่างดุเดือดในอิตาลี ทหาร Wojtek ได้แสดงปาฏิหาริย์แห่งความกล้าหาญขณะส่งมอบกระสุนให้กับปืนใหญ่ ภายใต้ลูกหลงเขาไม่ได้ออกจากตำแหน่งการต่อสู้และช่วยสหายของเขาปฏิบัติตามคำสั่ง
เมื่อมองแวบแรกไม่มีอะไรผิดปกติในเรื่องนี้ ท้ายที่สุดแล้วผู้มีชื่อเสียงหลายพันคนและ ทหารที่ไม่รู้จักในแนวรบของสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาปฏิบัติภารกิจวันแล้ววันเล่า การทำงานอย่างหนักซึ่งปัจจุบันเราเรียกว่าเป็นความสำเร็จ สิ่งที่ผิดปกติคือพลทหาร Wojtek เคยเป็น... หมี
หมีสีน้ำตาลซีเรีย ( Ursus arctos syriacus) พบในอิหร่านและได้รับความช่วยเหลือจากทหารของกองทัพโปแลนด์แห่งอันเดอร์ส (ที่เรียกว่ากองพลที่สอง) ในสมรภูมิมอนเตกัสซิโนในอิตาลี เขาได้ช่วยทหารปืนใหญ่ชาวโปแลนด์ขนกล่องบรรจุกระสุนและยังถือกระสุนระหว่างการรบ ซึ่งทำให้ชื่อของเขาเป็นอมตะ
6. Wojtek ที่ subbotnik
7. Wojtek ในรถ (สังเกตเครื่องหมายด้านข้าง)
8. การแข่งขันซ้อม กรรมการตัวน้อยกระดิกหางไปด้านข้าง
Wojtek ทารกแรกเกิดถูกค้นพบในปี 1942 โดยเด็กชายชาวอิหร่าน จากนั้นซื้อจากเขาเพื่อแลกกับอาหารกระป๋องหลายกระป๋องโดยทหารโปแลนด์ที่เดินทางมาถึงอิหร่านจากสหภาพโซเวียต
ลูกหมีมีขนาดเล็กมากและไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ด้วยตัวเองซึ่งส่งผลให้ทหารให้อาหารมัน นมวัวจากจุกนมหลอกที่ทำจากขวด ลูกหมีได้รับชื่อโปแลนด์ - Wojtek หลังจากนั้นไม่นาน หมีก็กลายเป็นมาสคอตอย่างไม่เป็นทางการของบริษัทจัดหาปืนใหญ่แห่งที่ 22 และยังได้รับมอบหมายให้ดูแลอย่างเป็นทางการอีกด้วย ในไม่ช้า กองพลที่ 2 ก็ถูกย้ายจากอิหร่านไปยังปาเลสไตน์ จากนั้นไปยังแอฟริกาเหนือ และต่อมาไปยังอิตาลี และ Wojtek เดินทางไปพร้อมกับทหารโปแลนด์ตลอดเส้นทางนี้
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา Wojtek เติบโตขึ้นอย่างมากและยังได้ลิ้มรสความสุข "ของมนุษย์" มากมาย - ทหารมอบผลไม้ แยมผิวส้ม น้ำผึ้ง และน้ำเชื่อมให้เขา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมที่ดีพวกเขาเสิร์ฟเบียร์แก้วโปรดของ Voytek ตามรายงานบางฉบับ หมีถูกสอนให้สูบบุหรี่ด้วยซ้ำ
11. วอยเต็ก. ประติมากรรมของ David Harding ในพิพิธภัณฑ์ Sikorsky ในลอนดอน
นอกจากนี้ทหารโดยที่ไม่รู้ตัวกลับกลายเป็นผู้ฝึกสอนที่ไม่เหมือนใคร: ภายใต้การนำของพวกเขาหมีเรียนรู้ที่จะทักทายผู้อาวุโสและต่อสู้กับผู้คนโดยไม่ทำให้พวกเขาได้รับอันตรายใด ๆ และรู้ว่าเมื่อใดควรหยุด (อย่างไรก็ตามได้รับชัยชนะเสมอ จากการต่อสู้แบบกึ่งล้อเล่นเหล่านี้) บูธแยกต่างหากถูกสร้างขึ้นสำหรับ Wojtek ในค่ายสนามของบริษัทเสมอ แต่หมีเกลียดความเหงาและมักจะใช้เวลาทั้งคืนกับทหารคนหนึ่งในเต็นท์
“การบัพติศมาด้วยไฟ” ของ Wojtek คือการต่อสู้ที่ Monte Cassino ในอิตาลี จากนั้นเขาไม่เพียงแต่ช่วยทหารขนถ่ายรถบรรทุกด้วยกระสุนเท่านั้น แต่ยังนำกระสุนไปยังแนวหน้าโดยตรงอีกด้วย เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ กองร้อยที่ 22 ได้เลือกภาพเงาของหมีที่ถือกระดองอยู่ในอุ้งเท้าเป็นสัญลักษณ์ใหม่ และยังคงรักษาสัญลักษณ์นี้ไว้จนถึงทุกวันนี้
14. Wojtek ถือกระสุนบนสัญลักษณ์ของบริษัทจัดหาปืนใหญ่ที่ 22 แห่งกองทัพโปแลนด์
ในปีพ.ศ. 2488 หน่วยของกองทัพ Anders ไม่สามารถกลับไปยังบ้านเกิดได้ ถูกส่งไปยังบริเตนใหญ่ ซึ่งในไม่ช้าพวกเขาก็ถูกยุบ Wojtek ก็ไปด้วย และได้รับที่พักพิงจากสวนสัตว์เอดินบะระในสกอตแลนด์
ในปีพ.ศ. 2501 ที่ประเทศโปแลนด์ เวลาอันสั้นการรณรงค์ที่แท้จริงเริ่มต้นขึ้นเพื่อ "การกลับมา" ของ Wojtek (แม้ว่าหมีจะไม่เคยไปโปแลนด์ก็ตาม) อย่างไรก็ตาม สวนสัตว์เอดินบะระระบุว่าพร้อมที่จะส่งมอบ Wojtek ให้กับทางการโปแลนด์โดยได้รับความยินยอมจากอดีตผู้พิทักษ์ของเขาเท่านั้น - ทหารของ Anders' Army ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามอย่างแข็งขันของระบอบสังคมนิยมในโปแลนด์ได้ตอบโต้ด้วยการปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
วันนี้ในเมืองเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ พวกเขาตัดสินใจที่จะสานต่อความทรงจำของ Wojtek ชาวเมืองยอมรับแนวคิดนี้อย่างกระตือรือร้นและในไม่ช้า อนุสาวรีย์ของทหารที่แปลกประหลาดที่สุดของสงครามโลกครั้งที่สอง Private Wojtek ผู้กล้าหาญก็จะปรากฏบนจัตุรัสแห่งหนึ่งของเมือง
คำแปล – หลอมละลาย
เอกสารสำคัญ!
แกรี่ ฮิงเคิล
ประเทศใดมีทหารที่มีทักษะมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง? หลายครั้งที่ฉันได้ยินมาว่ากองทัพฟินแลนด์เก่งที่สุด ในที่สุดพวกเขาก็บดขยี้กองกำลังรัสเซียที่มีอำนาจเหนือกว่าในสงครามฤดูหนาว
โรงแรมเอนด์
นี่เป็นคำถามที่จะไม่มีวันได้รับคำตอบ
ในด้านหนึ่งคำตอบอาจจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงหากเปรียบเทียบการกระทำของกองทัพชาติหรือการกระทำของหน่วยที่เลือกภายในแต่ละกองทัพ แม้แต่กองทัพที่มีประสิทธิภาพต่ำก็ยังต้องมีกองกำลังชั้นยอดจำนวนหนึ่งซึ่งแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมไว้คอยบริการ
บางทีมากที่สุด ทหารที่ดีที่สุดสงครามมีทหารกูร์ข่าอยู่ กองทัพอังกฤษ- แต่พวกเขาก็เป็นเพียงกองกำลังเล็กๆ
ในทางกลับกัน จะต้องคำนึงถึงประเด็นเรื่องอาวุธและการสนับสนุนด้วย กองทหารอเมริกันชนะมาก ชัยชนะที่เด็ดขาดบดขยี้กองกำลังฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด - แต่นักวิจารณ์บางคนกล่าวว่านี่เป็นเพียงเพราะกองทหารสหรัฐฯ มีอาวุธและรถถังมากกว่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระสุนมากกว่า ซึ่งพวกเขาใช้อย่างไม่เห็นแก่ตัว
โดยส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็น- ทางที่ดีการเข้าร่วมสงคราม - แทนที่จะแสดงความกล้าหาญ ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ฯลฯ คำพูดของนายพลแพตตัน: คุณชนะสงครามด้วยการทำให้ไอ้เวรคนอื่นตายเพื่อประเทศของพวกเขา
นอกจากนี้ เรากำลังพูดถึง "ทักษะ" ประเภทใด? เชี่ยวชาญการใช้อาวุธทหารราบในสงครามขนาดเล็กเหรอ? หรือความชำนาญในระบบอาวุธที่หลากหลาย เช่น เครื่องบิน รถถัง ปืนใหญ่ที่ควบคุมด้วยวิทยุ? ทักษะในการสร้างถนน สะพาน หรือสนามบินในสถานที่ที่เข้าถึงยากนั้นมีความสำคัญพอๆ กับทักษะในการเคลื่อนย้ายเสบียงจำนวนมหาศาลไปแนวหน้า
กองกำลังฟินแลนด์ถูกผลักกลับอย่างต่อเนื่อง กองทัพโซเวียตในระหว่าง สงครามฤดูหนาวแต่ก็คงจะจริงไม่แพ้กันถ้าจะบอกว่ากองทหารโซเวียตบดขยี้ กองทัพฟินแลนด์- ท้ายที่สุดแล้ว กองทัพโซเวียตเองที่รุกเข้าสู่ฟินแลนด์ ไม่ใช่ในทางกลับกัน กองหลังชาวฟินแลนด์ถูกทำลายโดยโซเวียตรอบๆ เมืองวิปูริ และ รัฐบาลฟินแลนด์สร้างสันติภาพตามเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อสหภาพโซเวียต
ฟินแลนด์มาถึงแล้ว ชัยชนะทางศีลธรรมยึดครองสหภาพโซเวียตที่เหนือกว่ามากเป็นเวลาหลายเดือน และรักษาเอกราชของมันไว้ แต่ในแง่ที่แน่นอนก็คือสหภาพโซเวียต
เบรนด้า วิคส์
ถ้ามนุษย์ต่อต้านมนุษย์ ก็แทบจะเป็นชาวเยอรมันอย่างแน่นอน ได้รับการฝึกอบรมดีกว่า มีการจัดการดีกว่า มีระเบียบวินัยดีกว่า (ฯลฯ) มากกว่าที่อื่นๆ กองทัพแห่งชาติ- สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในเรื่องนี้ IMHO คือความสามารถในการปะติดปะต่อและจัดกลุ่มรูปแบบที่ "สร้างขึ้นเป็นพิเศษ" อย่างเร่งรีบจากความพ่ายแพ้ที่ทำลายล้าง เช่น การทำลาย Army Group Center และความพ่ายแพ้ที่ Mortein/Falais
นอกจากนี้รายการของฉันที่สูงที่สุดคือหกแผนก นาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก
แบรด เมเยอร์ "นี่คือเรื่องราวที่สอนเราถึงความหวัง"
โอเค หากจะอธิบายให้สั้นและเข้าใจง่าย ฉันคิดว่าเป็นการยากที่จะบอกว่าประเทศใดมีทหารที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง มันขึ้นอยู่กับด้วย ปัจจัยต่างๆ: คุณมีอะไรอยู่ในใจ? ทหารราบ, กองทัพอากาศ, ขบวนรถถัง? ทหารธรรมดาหรือผู้นำทหาร? ปัจจัยเหล่านี้ส่วนใหญ่ ทหารเยอรมันดีที่สุด - พวกเขามีอาวุธ (จำนวน) น้อยกว่าคู่ต่อสู้มากและมีคนไม่มากนัก อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ พวกเขาสามารถปกป้องตัวเองได้เป็นเวลาหลายปี พวกเขายังสามารถก้าวหน้าได้แม้จะมีอุปสรรคขวางทางก็ตาม (ใน แอฟริกาเหนือตัวอย่างเช่น). ชาวเยอรมันอาจมีผู้บัญชาการทางยุทธวิธีที่ดีที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่พวกเขาขาดผู้นำทางยุทธศาสตร์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ยังไงซะก็เป็นอย่างนี้ คำถามที่ยากเพราะชาวโปแลนด์ก็เหมือนกับชาวฟินน์ต่อสู้อย่างกล้าหาญมาก กองทหารอิตาลีมักจะต่อสู้อย่างกล้าหาญเช่นกัน แต่พวกเขามีอาวุธที่น่าสงสารและผู้นำที่ไม่ดี (บางครั้งปู่ของเพื่อนของฉันบอกว่าถ้าชาวอิตาลีต่อสู้เพื่อรัสเซีย เราคงจะชนะสงคราม) กองทหารสหรัฐฯ มีทักษะมากในการบรรลุเป้าหมายโดยไม่ต้องมี ปริมาณมากการสูญเสียในส่วนของพวกเขา ชาวเยอรมันเป็นผู้นำในแง่ของจำนวนผู้เสียชีวิตในปฏิบัติการของยุโรป สำหรับหนึ่งในนั้น ทหารที่ตายแล้วเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากสงครามส่วนใหญ่ - แต่คุณต้องจำไว้ว่ามีผู้คนจำนวนมากถูกฆ่าตายหลังจากถูกคุมขังและไม่ใช่ในระหว่างการสู้รบ และจากนั้นก็อ้างว่าพวกเขาถูกฆ่าระหว่างการสู้รบ ดังนั้น ฉันจะบอกว่ามันขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณ คำถามนั้นมีลักษณะทางอารมณ์ เช่น การถกเถียงว่าเครื่องบินรบลำใดเป็นเครื่องบินสปิตไฟร์/เฮอริเคนที่ดีที่สุด หรือเมสเซอร์ชมิตต์/ฟอคค์ วูล์ฟ
ขอแสดงความนับถือ,
แฟรงค์ แพลมบอค
ฮีธ แพทรี
กองทัพแดงใน สงครามฟินแลนด์แทบจะจินตนาการไม่ออก องค์กรทางทหาร- หากมนุษย์ต่อต้านมนุษย์: เยอรมันและอังกฤษ
dfc2soft
เช่นเดียวกันกับกลุ่มสำรวจกองพันในปี พ.ศ. 2483
ฉันจะเลือกโซเวียต พวกเขาต่อสู้จนจวนจะถูกทำลายล้างเพื่อปลดปล่อยประเทศของตนและยุโรปตะวันออกทั้งหมด จากนั้นจึงไปยึดเมืองหลวงของประเทศที่พยายามจะทำลายพวกเขา
ลาลาลาลาร์
ว่ากันว่ารอมเมลเคยพูดถึงกองพันชาวเมารีจากนิวซีแลนด์ว่าเป็นกองกำลังต่อสู้ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เขาเคยเผชิญมา
แน่นอนว่าฟินน์เก่งที่สุด ฮิตเลอร์ประทับใจมากจนเรียกพวกเขาว่าอารยันกิตติมศักดิ์ ชาวอเมริกันเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของสงครามฤดูหนาว สตาลินไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ความเหนือกว่าสามารถตรวจสอบได้ด้วยสถิติ ฉันมีอคติ!
ข้อโต้แย้งทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นแบบฝึกหัดในการแสดงให้เห็นถึงความไร้สาระของความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะวิธีการประเมินผลที่เป็นรูปธรรม (หรือแม้แต่อัตนัย)
ประการแรก จุดสูงสุดของความโง่เขลาคือการถกเถียงกันเกี่ยวกับธรรมชาติของแอปเปิ้ลและส้ม... ทำไมเราถึงเปรียบเทียบทหารแต่ละคนแบบตัวต่อตัวราวกับว่าพวกเขาเป็นกลาดิเอเตอร์ในสนามประลอง เหมือนทหารราบธราเซียนกับสลิงเกอร์แบลีแอริก?
ไร้สาระ ท้ายที่สุดแล้ว เห็นได้ชัดว่าการเปรียบเทียบทหารคนหนึ่งนั้นไม่มีความหมาย จงวางอาวุธของคุณทิ้ง แล้วโกลิอัทของผมจะทุบตีดาวิดของคุณ เพิ่มอาวุธและนโปเลียนหนักแปดปอนด์* ( ผู้เขียนเห็นได้ชัดว่าหมายถึงปืนใหญ่เก่า - ประมาณ มิกซ์นิวส์) เดวิดของฉันจะไม่ให้โอกาสคุณด้วยหอกขนาด 18 นิ้วแม้แต่จะปีนขึ้นไปบนเนินเขาและมีส่วนร่วมในการต่อสู้น้อยมาก
ตอนนี้เราเอาคนโง่ประจำหมู่บ้านจากกองพันเมารีไปสู้กับหน่วยรักษาความปลอดภัยกึ่งทหาร เป็นอีกครั้งที่การเปรียบเทียบดังกล่าวไม่มีความหมาย ชาวเมารีและกูร์ข่ามีประวัติความกล้าหาญและทักษะพื้นฐานในการใช้อาวุธอันสูงส่งและน่าจดจำ แต่รายชื่อนักบินเก่งๆ ของกุรข่านั้นสั้นพอๆ กับรายชื่อเรือดำน้ำชาวเมารี
ในความหมายพื้นฐานที่สุด สิ่งที่กล่าวคือข้อโต้แย้งแบบคลาสสิก (แสดงได้ดีที่สุดโดยการละเล่นของ Ponty-Python) ที่สามารถเปรียบเทียบกับข้อโต้แย้งเกี่ยวกับขนาดของลึงค์ เด็ก ๆ เถียงกันว่าใครสูงกว่า และวัยรุ่นอันธพาลทะเลาะกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกประการตั้งแต่ผู้บังคับกองเรือ (นิมิตซ์) ไปจนถึงผู้บังคับบัญชา กลุ่มกองทัพ(ไอเซนฮาวร์) และนักบินทิ้งระเบิดตอร์ปิโดเอาชนะความสูญเสียต่อไป ชั้นต้น(บุช "41" ( ประธานาธิบดีสหรัฐฯ - ประมาณ มิกซ์นิวส์) บุกโจมตีความสูงที่ต้องห้าม (หางเดอร์, ปองต์ ดู ฮอก) สิ่งสำคัญจริงๆ ก็คือพวกเขาเกิดหรือเคยอาศัยอยู่ในเท็กซัส
แต่ในทางกลับกัน ชาวออสเตรเลียก็มีบทบาทสำคัญ
กลุ่มทหารอาสาออสเตรเลียตีกลับญี่ปุ่นในอัตราห้าต่อหนึ่ง แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นทหารที่ดีกว่าทหารอาสาพลเรือนออสเตรเลียก็ตาม
จากผู้แปล:
เนื่องจากผู้เขียนโพสต์บางคนไม่สนใจเครื่องหมายวรรคตอน การสะกดคำ และการนำเสนอที่สอดคล้องกัน หรืออาจไม่ใช่เจ้าของภาษาในภาษาเป้าหมาย บางครั้งปัญหาในการแปลจึงเกิดขึ้น และส่งผลให้โพสต์ที่ไม่สอดคล้องกันทั้งหมด
คำให้การของเหยื่อหญิงจากบันทึกคำให้การอย่างเป็นทางการในสภาผู้แทนราษฎรของรัฐสภาอิตาลี การประชุมเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2495:
“มาลินารี เวเกลีย ณ เวลาที่เกิดเหตุ เธออายุ 17 ปี มารดาของเธอให้การเป็นพยานเกี่ยวกับเหตุการณ์วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 วาเลกอร์ซา
พวกเขากำลังเดินไปตามถนน Monte Lupino เมื่อพวกเขาเห็น "ชาวโมร็อกโก" นักรบเข้ามาหาผู้หญิง พวกเขาสนใจมาลินารีในวัยเยาว์อย่างชัดเจน พวกผู้หญิงเริ่มอ้อนวอนว่าอย่าทำอะไร แต่ทหารกลับไม่เข้าใจ ขณะที่ทั้งสองจับแม่ของเด็กผู้หญิง คนอื่นๆ ก็ผลัดกันข่มขืนเธอ เมื่อครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น "ชาวโมร็อกโก" คนหนึ่งหยิบปืนพกออกมายิงมาลินารี
Elisabetta Rossi วัย 55 ปี Farneta เล่าว่าเธอได้รับบาดเจ็บที่ท้องด้วยมีดได้อย่างไร เธอเฝ้าดูลูกสาวสองคนของเธออายุ 17 และ 18 ปีถูกข่มขืน เธอได้รับบาดแผลเมื่อเธอพยายามปกป้องพวกเขา “ชาวโมร็อกโก” กลุ่มหนึ่งทิ้งเธอไว้ใกล้ ๆ เหยื่อรายต่อไปคือ เด็กชายอายุห้าขวบซึ่งรีบวิ่งเข้ามาหาพวกเขาโดยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กถูกโยนลงไปในหุบเขาพร้อมกระสุน 5 นัดในท้อง หนึ่งวันต่อมาทารกก็เสียชีวิต
Emanuella Valente 25 พฤษภาคม 1944 ซานตาลูเซีย อายุ 70 ปี หญิงสูงอายุคนหนึ่งเดินอย่างสงบไปตามถนน โดยคิดว่าอายุของเธอจะปกป้องเธอจากการถูกข่มขืนได้อย่างจริงใจ แต่เขากลับกลายเป็นคู่ต่อสู้ของเธอ เมื่อเธอถูกกลุ่มวัยรุ่น "โมร็อกโก" พบเห็น Emanuella พยายามวิ่งหนีจากพวกเขา พวกเขาตามทันเธอ กระแทกเธอล้ม และข้อมือของเธอหัก หลังจากนั้นเธอก็ถูกทำร้ายแบบกลุ่ม เธอติดเชื้อซิฟิลิส เธอรู้สึกละอายใจและยากที่จะบอกแพทย์อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ข้อมือยังคงได้รับบาดเจ็บไปตลอดชีวิต เธอรับรู้ถึงความเจ็บป่วยอื่นๆ ของเธอว่าเป็นการพลีชีพ”
พันธมิตรหรือฟาสซิสต์คนอื่นรู้เกี่ยวกับการกระทำของกองกำลังฟรังโก-แอฟริกันหรือไม่? ใช่ เนื่องจากพวกเยอรมันบันทึกสถิติของตนดังที่กล่าวไว้ข้างต้น และพวกอเมริกันก็เสนอให้ “หาโสเภณี”
ตัวเลขสุดท้ายของเหยื่อของ “สงครามต่อต้านสตรี” นั้นแตกต่างกันไป: นิตยสาร DWF ฉบับที่ 17 ประจำปี 1993 อ้างอิงข้อมูลของนักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับผู้หญิงหกหมื่นคนที่ถูกข่มขืนในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี อันเป็นผลมาจาก “ชาวโมร็อกโก” ที่มีบทบาทเป็น ตำรวจทางตอนใต้ของอิตาลี ตัวเลขนี้อิงตามคำให้การของเหยื่อ นอกจากนี้ ผู้หญิงหลายคนที่หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่สามารถแต่งงานหรือใช้ชีวิตตามปกติได้อีกต่อไป ได้ฆ่าตัวตายและกลายเป็นบ้าไปแล้ว นี่เป็นเรื่องราวที่อุกอาจ Antoni Collicki ซึ่งอายุ 12 ปีในปี 1944 เขียนว่า: "... พวกเขาเข้าไปในบ้าน จับมีดจ่อคอผู้ชาย มองหาผู้หญิง..." ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของพี่สาวสองคนที่ถูก “ชาวโมร็อกโก” สองร้อยคนทำร้าย ส่งผลให้พี่สาวคนหนึ่งเสียชีวิต ส่วนอีกคนเข้าโรงพยาบาลจิตเวช
วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2490 ผู้นำอิตาลีออกมาประท้วง รัฐบาลฝรั่งเศส- คำตอบคือความล่าช้าของระบบราชการและการหลอกลวง ปัญหานี้ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งในปี 1951 และในปี 1993 มีการพูดคุยเกี่ยวกับภัยคุกคามของศาสนาอิสลามและการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม คำถามนี้ยังคงเปิดอยู่จนถึงทุกวันนี้
โดดเด่นด้วยความเรียบง่ายและฟังก์ชันการใช้งาน ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม มีการใช้อุปกรณ์ก่อนสงครามคุณภาพสูง
ต่อมาการออกแบบอุปกรณ์ก็ง่ายขึ้นและคุณภาพก็ลดลง สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับ เครื่องแบบทหารแวร์มัคท์ ลดความซับซ้อนของการตัดเย็บ การเปลี่ยนวัสดุธรรมชาติด้วยวัสดุเทียม การเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบที่มีราคาถูกลงเป็นเรื่องปกติสำหรับทั้งสองกองทัพ ทั้งโซเวียตและเยอรมัน
อุปกรณ์ของทหารโซเวียตรุ่นปี 1936 มีความทันสมัยและรอบคอบ กระเป๋าดัฟเฟิลมีกระเป๋าเล็กด้านข้างสองช่อง ช่องกระเป๋าหลักและช่องกระเป๋าด้านข้างปิดด้วยสายหนังพร้อมตัวล็อคโลหะ ที่ด้านล่างของกระเป๋า Duffel มีสายรัดสำหรับยึดหมุดเต็นท์ สายสะพายไหล่มีแผ่นบุนวม ภายในช่องหลัก ทหารกองทัพแดงเก็บชุดผ้าปูที่นอน ผ้ารองรองเท้า อาหาร หม้อใบเล็ก และแก้วน้ำไว้ เครื่องใช้ในห้องน้ำและอุปกรณ์ทำความสะอาดปืนไรเฟิลถูกพกพาไว้ในกระเป๋าด้านนอก เสื้อคลุมและเสื้อกันฝนพับและดึงพาดไหล่ สามารถเก็บของเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ไว้ภายในลูกกลิ้งได้
อุปกรณ์ของทหารโซเวียตในรุ่นปี 1941
เข็มขัดคาดเอวกว้าง 4 ซม. ทำจากหนังสีน้ำตาลเข้ม ที่ทั้งสองด้านของหัวเข็มขัด มีกระเป๋าแบบตลับติดอยู่กับเข็มขัดคาดเอวออกเป็นสองช่อง โดยแต่ละช่องมีคลิปหนีบมาตรฐาน 5 รอบ 2 อัน ดังนั้นกระสุนที่พกพาได้คือ 40 รอบ ถุงผ้าใบถูกแขวนไว้ที่ด้านหลังของเข็มขัดเพื่อใส่กระสุนเพิ่มเติมซึ่งประกอบด้วยคลิปห้ารอบหกอัน นอกจากนี้ยังสามารถสวม bandoleer ผ้าใบซึ่งสามารถรองรับคลิปได้อีก 14 คลิป บ่อยครั้งแทนที่จะใส่กระเป๋าเพิ่มเติม กลับสวมถุงผ้าแคนวาสสำหรับซื้อของชำ พลั่วและขวดของทหารช่างก็ถูกห้อยลงมาจากเข็มขัดเอวที่สะโพกขวา หน้ากากป้องกันแก๊สพิษถูกถือไว้ในกระเป๋าพาดไหล่ขวา ภายในปี 1942 การสวมหน้ากากป้องกันแก๊สพิษเกือบจะถูกทิ้งร้างไปทั่วโลก แต่ยังคงถูกเก็บไว้ในโกดังต่อไป
รายการอุปกรณ์ของทหารรัสเซียในสงครามโลกครั้งที่สอง
อุปกรณ์ก่อนสงครามส่วนใหญ่สูญหายไประหว่างการล่าถอย ฤดูร้อนฤดูใบไม้ร่วงพ.ศ. 2484 เพื่อชดเชยความสูญเสีย จึงมีการผลิตอุปกรณ์แบบเรียบง่ายขึ้น แทนที่จะใช้หนังฟอกคุณภาพสูง กลับใช้ผ้าใบกันน้ำและหนังเทียม สีของอุปกรณ์ยังหลากหลายตั้งแต่สีน้ำตาลเหลืองจนถึงมะกอกเข้ม เข็มขัดผ้าใบกว้าง 4 ซม. เสริมด้วยแผ่นหนังกว้าง 1 ซม. ยังคงผลิตกระเป๋าตลับหนัง แต่ถูกแทนที่ด้วยกระเป๋าที่ทำจากผ้าใบและหนังเทียมมากขึ้น การผลิตถุงใส่ระเบิดมือสำหรับระเบิดสองหรือสามลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว กระเป๋าเหล่านี้ยังสวมอยู่ที่เข็มขัดคาดเอว ถัดจากกระเป๋าใส่ตลับ บ่อยครั้งทหารกองทัพแดงไม่มี ชุดที่สมบูรณ์อุปกรณ์สวมใส่สิ่งที่เราหามาได้
กระเป๋าดัฟเฟิลรุ่นปี 1941 เป็นกระเป๋าผ้าแคนวาสเรียบง่ายผูกด้วยเชือกรูด ที่ด้านล่างของกระเป๋าดัฟเฟิลมีสายรัดรูปตัวยูผูกไว้ตรงกลางโดยมีปมที่คอเป็นสายสะพายไหล่ เสื้อกันฝน ถุงอาหาร และกระเป๋าใส่กระสุนเพิ่มเติม กลายเป็นเรื่องปกติน้อยลงมากหลังเริ่มสงคราม แทนที่จะเป็นขวดโลหะ กลับกลายเป็นขวดแก้วที่มีจุกไม้ก๊อก
ในกรณีที่ร้ายแรง ไม่มีกระเป๋าดัฟเฟิล และทหารกองทัพแดงก็นำทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดของเขาใส่ไว้ในเสื้อคลุมแบบม้วน บางครั้งทหารกองทัพแดงไม่มีกระเป๋าใส่กระสุนปืนด้วยซ้ำ และต้องพกกระสุนติดตัวไปด้วย
อุปกรณ์ของทหารและเจ้าหน้าที่สำหรับมหาสงครามแห่งความรักชาติ
ในกระเป๋าเสื้อคลุม นักสู้ถือถุงแต่งตัวที่ทำจากผ้าสีเทาอ่อนและมีกากบาทสีแดง ชุดของใช้ส่วนตัวอาจมีผ้าเช็ดตัวผืนเล็กและ แปรงสีฟัน- ผงฟันถูกนำมาใช้ในการทำความสะอาดฟัน ทหารอาจมีหวี กระจก และมีดโกนก็ได้ ใช้ถุงผ้าขนาดเล็กที่มีห้าช่องสำหรับเก็บอุปกรณ์เย็บผ้า ไฟแช็คทำจากตลับขนาด 12.7 มม. ไฟแช็ก การผลิตภาคอุตสาหกรรมพวกมันหายาก แต่ไม้ขีดธรรมดาก็ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย มีการใช้ชุดอุปกรณ์เสริมพิเศษเพื่อทำความสะอาดอาวุธ น้ำมันและตัวทำละลายถูกเก็บไว้ในกล่องดีบุกที่มีช่องสองช่อง
องค์ประกอบอุปกรณ์และอุปกรณ์ของทหารรัสเซีย
อุปกรณ์ของทหารโซเวียตในสงครามโลกครั้งที่สอง
กะลาก่อนสงครามมีการออกแบบคล้ายกับของเยอรมัน แต่ในช่วงสงครามปีกะลาแบบเปิดธรรมดาที่มีที่จับลวดเป็นเรื่องธรรมดามากกว่า ทหารส่วนใหญ่มีชามและแก้วเคลือบโลหะเช่นเดียวกับช้อน โดยปกติช้อนจะเก็บซ่อนไว้ที่ด้านบนของรองเท้าบู๊ต ทหารจำนวนมากมีมีดที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือ มีดและมิใช่เป็นอาวุธ มีดฟินแลนด์ (puukko) ที่มีใบมีดสั้นกว้างและปลอกหนังลึกที่ใส่มีดได้ทั้งหมดรวมทั้งด้าม ได้รับความนิยม
เจ้าหน้าที่สวมเข็มขัดหนังคุณภาพดี พร้อมด้วยหัวเข็มขัดทองเหลืองและเข็มขัดดาบ กระเป๋า แท็บเล็ต กล้องส่องทางไกล B-1 (6x30) เข็มทิศข้อมือ นาฬิกาข้อมือ และซองปืนพกหนังสีน้ำตาล