หัวข้อที่ 1
งานนอกหลักสูตรในเรื่อง
วางแผน
1. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของ VR ในภาษาต่างประเทศ
2. ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง VR และการศึกษา
3. ข้อกำหนดสำหรับ VR ในภาษาต่างประเทศ
วรรณกรรม:
Mokrousova G.I. , Kuzovleva N.E. องค์กร VR ในภาษาเยอรมัน - ม., 2532. หน้า 5-7; 17-25. Rogova G.V., Rabinovich F.M., Sakharova T.E. วิธีการสอนภาษาต่างประเทศในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น - อ.: การศึกษา, 2534. หน้า 258-263. Savina S.N. งานนอกหลักสูตรในภาษาต่างประเทศในโรงเรียนมัธยม - ม., 1991.1. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของ VR ในภาษาต่างประเทศ
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาได้นำความแปลกใหม่มาสู่พื้นที่การศึกษาของรัสเซียมากกว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมา สถาบันการศึกษารูปแบบใหม่ การศึกษารูปแบบใหม่ หลักสูตรและโปรแกรมใหม่เกิดขึ้น
การคิดเชิงการสอนแบบใหม่นั้นพิจารณาจากทัศนคติที่มีต่อนักเรียนเป็นหลัก ตามอุดมการณ์มาร์กซิสต์ที่นำมาใช้ในสหภาพโซเวียต นักเรียนถูกมองว่าเป็นเป้าหมายของการศึกษา เป้าหมายของการฝึกอบรมและการศึกษาถูกกำหนดโดยคำสั่งทางสังคม ความคิดแบบเทคโนแครตที่ครอบงำในเวลานั้นทำให้เป็นการยากที่จะเข้าใจว่าเป้าหมายของการฝึกอบรมและการศึกษานั้นถูกกำหนดโดยนักเรียนด้วย นี่คือสาระสำคัญของแนวทางสมัยใหม่สำหรับเด็กซึ่งเป็นแบบอัตนัยซึ่งควรนำมาพิจารณาในวิธีการทำงานนอกหลักสูตรในวิชาใดก็ได้ ครูสอนภาษาต่างประเทศจะต้องได้รับคำแนะนำจากทั้งวิชาเฉพาะและลักษณะเฉพาะของภูมิภาคในงานนอกหลักสูตรและจำสิ่งสำคัญ - ทั้งการศึกษาและการพัฒนาของนักเรียนจะต้องดำเนินการผ่านวิชาเป็นหลัก
กิจกรรมนอกหลักสูตรเป็นระบบกิจกรรมนอกหลักสูตรการศึกษาที่มีเนื้อหา วัตถุประสงค์ วิธีการ และรูปแบบต่างกัน
ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างงานนอกหลักสูตรและงานในชั้นเรียนทำให้มั่นใจได้ถึงความยืดหยุ่นและความคล่องตัวของระบบกิจกรรมการศึกษาทั้งหมดในโรงเรียนโดยรวม งานนอกหลักสูตรซึ่งเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับห้องเรียน ช่วยให้นักเรียนมองเห็นความเป็นไปได้ที่แท้จริงของภาษาต่างประเทศ และทำให้พวกเขามั่นใจว่าพวกเขากำลังเรียนภาษาต่างประเทศ “ไม่ใช่เพื่อโรงเรียน แต่เพื่อชีวิต” ด้วยการสร้างอารมณ์เชิงบวกให้กับนักเรียน VR ส่งเสริมแรงจูงใจในการเรียนรู้ เช่น ทำให้นักเรียนมีความจำเป็นในการเรียนวิชานี้
วัตถุประสงค์งานนอกหลักสูตรคือการสร้างเงื่อนไขสำหรับการดำเนินการตามเป้าหมายการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการศึกษาการศึกษาทั่วไปและการพัฒนาที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยสอดคล้องกับหลักสูตรภาคบังคับ
ในกระบวนการนำ VR ไปใช้ เป้าหมายต่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมายที่ซับซ้อนได้ ได้แก่ การศึกษา ความรู้ความเข้าใจ (การศึกษา) การพัฒนา และการฝึกอบรม (ภาคปฏิบัติ)
การเลือกรูปแบบของ VR และเนื้อหาจะเป็นตัวกำหนดว่าเป้าหมายใดจะเป็นเป้าหมายหลักในแต่ละกรณี: ความรู้ความเข้าใจ การพัฒนา หรือการศึกษา เช่น ในการจัดงาน “เกมเด็กจากประเทศต่าง ๆ” จะมีการกำหนดเป้าหมายดังนี้
1. เป้าหมายการพัฒนา - เพื่อพัฒนาความจำ ความสนใจ การคิดเชิงนามธรรม และความสามารถในการมีสมาธิของนักเรียน
2. เป้าหมายทางการศึกษาคือการปลูกฝังให้นักเรียนมีความสามารถในการทำงานเป็นทีม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และเคารพต่อประเพณีของประเทศอื่นๆ
เมื่อทำการศึกษาระดับภูมิภาคในช่วงเย็น:
1. เป้าหมายด้านความรู้ความเข้าใจ (การศึกษา) คือการเพิ่มพูนความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับ...
2. เป้าหมายทางการศึกษาคือการพัฒนาทักษะการพูดและการฟัง พัฒนาทักษะการออกเสียง
3. เป้าหมายทางการศึกษาคือการปลูกฝังความรู้สึกเคารพต่อวัฒนธรรมของประเทศของภาษาที่กำลังศึกษา
ดังที่เราเห็นการรวมกันของเป้าหมายเป็นปรากฏการณ์ที่มีพลวัตและไม่มั่นคง อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ครูจะต้องเข้าใจและกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นเป้าหมายที่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาและการเลือกรูปแบบของกิจกรรม
เกี่ยวกับ งานงานนอกหลักสูตรในเรื่องนี้ช่วยแก้ปัญหาหลักสองประการ:
1) การพัฒนาความสนใจในวิชานี้ เพิ่มพูนความรู้ พัฒนาและปรับปรุงทักษะและความสามารถทางภาษาต่างประเทศ
2) การจัดเวลาว่างของนักเรียนเพื่อการพัฒนาและการศึกษาโดยรวม
VR มีส่วนช่วยในการขยายสภาพแวดล้อมทางภาษา ถ้า VR มาพร้อมกับหลักสูตรการสอนภาษาต่างประเทศที่โรงเรียนทั้งหมด มันจะสร้างสิ่งที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ แรงจูงใจอย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีการสร้างเงื่อนไขสำหรับการประยุกต์ใช้ความรู้ทักษะและความสามารถที่ได้รับในบทเรียน
ความเป็นจริงในปัจจุบันก่อให้เกิดรูปแบบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องซึ่งสามารถนำมาใช้ได้สำเร็จเมื่อดำเนินการ VR ในภาษาต่างประเทศเช่นจากการปฏิบัติทางโทรทัศน์มาที่โรงเรียน "Starry Hour", "Field of Miracles", "KVN", "Clever Men" และ Clever Girls” เป็นต้น ด้วยรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้น ครูสอนภาษาต่างประเทศจึงสามารถขยายคลังเครื่องมือ VR ของเขาได้
งานนอกหลักสูตรในภาษาต่างประเทศควรดำเนินการในทุกขั้นตอนของการศึกษา การเปลี่ยนแปลงรูปแบบและเนื้อหาให้สอดคล้องกับอายุ ความต้องการ และความสนใจของนักเรียน ในการพิจารณาเนื้อหาของ VR คุณต้องเปลี่ยนจากความรู้ ทักษะ และความสามารถที่แท้จริงของนักเรียน (“โซนของการพัฒนาจริง”) ไปยัง “โซนของการพัฒนาที่ใกล้เคียง” นั่นคือ นำเสนอเนื้อหาที่มีความก้าวหน้าบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ ยังคงต้องมีการเรียนรู้ในห้องเรียน แอล.เอส. Vygotsky นักจิตวิทยาชาวรัสเซียที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ เขียนไว้ว่า “...การเรียนรู้ในวัยเด็กนั้นเป็นสิ่งที่ดีเท่านั้นที่จะก้าวนำหน้าการพัฒนาและนำไปสู่การพัฒนาเบื้องหลัง” (“Thinking and Speech,” Collected Works, vol. 2, p . 250 - ม., 1982). ข้อกำหนดนี้ใช้กับ VR ได้อย่างสมบูรณ์ เนื้อหา VR ควรน่าสนใจและอาจยากกว่าเนื้อหาหลักสูตรที่กำหนด
เมื่อเราพูดถึง VR ในภาษาต่างประเทศ เราหมายถึงไม่ใช่แค่ครูสอนภาษาต่างประเทศเท่านั้น หากต้องการดำเนินการ VR ในระดับสูง ครูจะต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับครูประจำวิชาอื่นๆ เช่น ครูสอนวาดรูป แรงงาน และดนตรี ขอแนะนำให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมใน VR มีคนที่น่าสนใจและมีความสามารถมากในหมู่พวกเขา
และประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่ง: เมื่อดำเนินการ VR คุณไม่สามารถทำได้หากไม่มีวิธีการทางเทคนิคที่ทันสมัย: คอมพิวเตอร์ เทปเสียงและวิดีโอ สไลด์ ด้วยความช่วยเหลือของกล้องหรือกล้องถ่ายภาพยนตร์ คุณสามารถจับภาพเหตุการณ์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดได้ ภายใต้การแนะนำของครู นักเรียนสามารถสร้างอัลบั้มภาพถ่ายระดับภูมิภาคและจัดทำภาพยนตร์ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในกระบวนการศึกษาได้ในภายหลัง
2. ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง VR และงานวิชาการ
แม้ว่าเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของงานวิชาการและนอกหลักสูตรจะตรงกัน แต่ก็มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในเนื้อหาและรูปแบบของงานหลัง
1. ลักษณะการมีส่วนร่วมของนักเรียนโดยสมัครใจ- นักเรียนตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตรตามความสนใจและความปรารถนาที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อศึกษาภาษาเพิ่มเติมโดยมีเป้าหมายเฉพาะ ดังนั้น ครูจะต้องตรวจจับความสนใจของนักเรียนในกิจกรรมบางประเภทโดยทันที และด้วยเหตุนี้จึงกระตุ้นความสนใจในกิจกรรมนั้น ข้อกำหนดนี้กำหนดเนื้อหาและรูปแบบของ VR โดยจะต้องสนับสนุน เจาะลึก และพัฒนาความสนใจในภาษาต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
2. ขาดกฎระเบียบที่เข้มงวดในส่วนของเวลา สถานที่ รูปแบบของกิจกรรมนอกหลักสูตร ไม่มีการบัญชีคะแนนการเรียนรู้เกรดเป็นคะแนนที่เข้มงวด การตรวจสอบผลลัพธ์ VR ดำเนินการในรูปแบบของการรายงานคอนเสิร์ต ตอนเย็น การออกหนังสือพิมพ์วอลล์ อัฒจันทร์ การออกอากาศทางวิทยุ ฯลฯ
3. มีความเป็นอิสระและความคิดริเริ่มมากขึ้นของนักเรียนในการปฏิบัติงานนอกหลักสูตรเช่น วี พื้นฐานของ VR คือการปกครองตนเองของเด็กนักเรียนนักเรียนที่เป็นวิชา VR เป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง ความปรารถนาและความสนใจของนักเรียนเป็นตัวกำหนดทางเลือกของรูปแบบและเนื้อหาของ VR
4. อย่างไรก็ตาม ควรจำไว้ว่า การจัดการตนเองเด็กนักเรียน ได้รับการควบคุมและนี่ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของครู ดังที่ทราบกันดีว่าในการสอนมีลักษณะความเป็นผู้นำสองแบบที่มีลักษณะเฉพาะของครู: เผด็จการและประชาธิปไตย สำหรับ VR จะยอมรับเฉพาะรูปแบบความเป็นผู้นำที่เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น รวมกับการปกครองตนเองของเด็กนักเรียน ซึ่งครูจะควบคุมกิจกรรมของเด็กนักเรียนทางอ้อม
3. ข้อกำหนดด้านระเบียบวิธีสำหรับ VR ในภาษาต่างประเทศ
คุณลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นของงานนอกหลักสูตรในสาขาวิชานี้สะท้อนให้เห็นในข้อกำหนดด้านระเบียบวิธีสำหรับเนื้อหา
1. การเชื่อมโยงระหว่างห้องเรียนกับงานนอกหลักสูตร- การสื่อสารนี้สามารถเป็นแบบสองทาง VR ขึ้นอยู่กับการทำงานในห้องเรียน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักเรียนใช้ความรู้ที่ได้รับในบทเรียนอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาและปรับปรุงความรู้เหล่านั้น ดังนั้น VR จึงส่งผลต่อกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนได้
การสื่อสารนอกหลักสูตรของนักเรียนในภาษาต่างประเทศในระดับหนึ่งใกล้เคียงกับการใช้ภาษาดังกล่าวโดยธรรมชาติ เพื่อให้ข้อกำหนดนี้ได้รับการปฏิบัติอย่างเต็มที่มากขึ้น จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้:
ก) หัวข้อและลำดับของการศึกษาสื่อภาษาเพื่อการศึกษาควรอำนวยความสะดวกในการใช้งานไม่เพียงแต่ในบทเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภายนอกบทเรียนด้วย หนังสือเรียนภาษาเยอรมันซึ่งมีเนื้อหาซ้ำซ้อนทำให้คุณสามารถรวมเนื้อหาในสถานการณ์การสื่อสารใหม่และในหัวข้อใหม่ระหว่าง VR ภายในขอบเขตข้อกำหนดของโปรแกรม
b) จำเป็นต้องมีการแนะนำเนื้อหาภาษาและคำพูดใหม่จำนวนหนึ่ง เนื่องจากจะทำให้ประสบการณ์การพูดของนักเรียนแต่ละคนในภาษาต่างประเทศดีขึ้นได้ ในเวลาเดียวกันมันไม่ยุติธรรมทั้งในด้านระเบียบวิธีและทางจิตวิทยาที่จะทำกิจกรรมนอกหลักสูตรมากเกินไปด้วยสื่อใหม่จำนวนมากซึ่งจะช่วยลดความสนใจของนักเรียนในกิจกรรมดังกล่าว (สโมสรการแข่งขัน ฯลฯ ) เนื่องจากความยากลำบาก
c) ความสนใจของนักเรียน เนื้อหาข้อมูล ความน่าดึงดูดของรูปแบบ VR สื่อที่ใช้ในการจัดทำกิจกรรมนอกหลักสูตรจำนวนมากควรคำนึงถึงความโน้มเอียงและระดับของการเตรียมตัวของนักเรียนในภาษาต่างประเทศ
2. ภาระผูกพันในการปฏิบัติตามคำแนะนำดำเนินการโดยสมัครใจโดยนักเรียน เช่น เป็นวงกลม เมื่อเตรียมคอนเสิร์ต ฯลฯ หากไม่มีสิ่งนี้ จะเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดต่อไปนี้
3. จุดสนใจและ ความสม่ำเสมอกิจกรรมนอกหลักสูตรตามลักษณะของประเภทงาน: รายสัปดาห์, รายเดือน, ทุกๆสองสัปดาห์, ทุกๆ 6 เดือนเป็นต้น
4. เข้าถึงนักเรียนให้ได้มากที่สุดด้วย VR ประเภทต่างๆ- นี่คือหนึ่งในวิธีการเพิ่มผลกระทบ
5. ความซับซ้อนของการศึกษาการสร้างบุคลิกภาพเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เช่น. Makarenko แย้งว่าบุคลิกภาพของมนุษย์ไม่ได้รับการศึกษาในส่วนต่างๆ ดังนั้นเมื่อดำเนินการ VR จำเป็นต้องจัดให้มีการแก้ปัญหาไม่ใช่ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่ในหลาย ๆ ทิศทางในเวลาเดียวกัน: การศึกษาด้วยความรักชาติ สิ่งแวดล้อม สุนทรียศาสตร์ แรงงาน ฯลฯ
ข้อกำหนดข้างต้นทั้งหมดสำหรับการจัดระเบียบ VR มีความหมายที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถให้ความสำคัญข้อใดข้อหนึ่งได้ เมื่อประกอบซึ่งกันและกัน พวกมันจะก่อให้เกิดความสามัคคีที่ไม่ละลายน้ำ และจำเป็นเมื่อดำเนินการ VR ในภาษาต่างประเทศ
หัวข้อที่ 2
แง่มุมทางจิตวิทยาและการสอนของการดำเนินการ VR ในภาษาต่างประเทศ
การคำนึงถึงลักษณะทางจิตวิทยาและการสอนของนักเรียนถือเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นในการสอน และกระบวนการดำเนินการ VR ในรายวิชาก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
เพื่อให้ดำเนินการ VR ได้สำเร็จ คุณต้องพิจารณา:
1. ลักษณะเฉพาะของนักเรียนทุกวัย
2. ลักษณะของชีวิตส่วนรวมในแต่ละช่วงระยะเฉพาะ
3. คุณลักษณะส่วนบุคคลของนักศึกษา
ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติทั้งหมดเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับ:
การเลือกรูปแบบงานที่เหมาะสม
องค์กรการทำงาน.
ในวรรณกรรมจิตวิทยาและการสอน มีการระบุลักษณะบุคลิกภาพของนักเรียนเกรด 5-11 จำนวนมาก หากปฏิบัติตามโครงสร้างบุคลิกภาพสี่ชั้นตามก.ก. Platonov (ระบบจิตวิทยาและทฤษฎีการสะท้อน M. , 1982, p. 196) จากนั้นคุณสมบัติบุคลิกภาพเหล่านี้สามารถแจกแจงได้ดังนี้:
จุดสนใจ: ความเชื่อ โลกทัศน์ การวางแนวคุณค่า ความโน้มเอียง ความสนใจ ความปรารถนา
ประสบการณ์:นิสัย ความสามารถ ทักษะ ความรู้
กระบวนการทางจิต: ความตั้งใจ ความรู้สึก การรับรู้ การคิด ความรู้สึก อารมณ์ ความทรงจำ
คุณสมบัติทางชีวจิต: อารมณ์ คุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับอายุ พยาธิวิทยา
การศึกษาแต่ละระดับมีลักษณะบุคลิกภาพของตนเองตามอายุของนักเรียน
บุคลิกภาพพัฒนาขึ้นในระหว่างการเปลี่ยนจากกลุ่มอายุหนึ่งไปอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเห็นได้จากแง่มุมนำ - การวางแนวซึ่งเนื้อหาจะเปลี่ยนไปตามระยะ เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบุคลิกภาพที่บังคับให้ครูเลือกเนื้อหาและรูปแบบของ VR ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา
การศึกษาภาษาต่างประเทศระดับจูเนียร์ (เกรด 5-6)
ทิศทาง เด็กนักเรียนมีความสนใจในโลกรอบตัว มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในงานสังคมสงเคราะห์ และพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในทีม พวกเขามีแนวโน้มที่จะมุ่งมั่นเพื่อกิจกรรมเฉพาะเจาะจงในระยะสั้นและผลลัพธ์ในทันที ผู้ตัดสินหลักในการประเมินกิจกรรมนี้คือเพื่อนร่วมงาน เด็กในวัยนี้มีความสนใจที่จะเล่นบทบาทต่างๆ (เกิดการยับยั้ง) พวกเขามีงานอดิเรกมากมาย การศึกษาถดถอยลง ความสนใจในชีวิตของโรงเรียนปรากฏขึ้น
การค้นหาเพื่อนอย่างเข้มข้นเริ่มต้นขึ้น เด็กมีความนับถือตนเองสูงในความสัมพันธ์กับตนเอง พวกเขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากพลังของการเป็นตัวอย่าง วัยรุ่นที่อายุน้อยกว่ามีแนวโน้มที่จะเลียนแบบ (ทั้งดีและไม่ดี) พวกเขาโดดเด่นด้วยความองอาจและทัศนคติที่ขี้เล่นอย่างไร้เดียงสาต่อทุกสิ่ง
ประสบการณ์. ความสนใจในการเรียนรู้ลดลงเนื่องจากบทบาทของนักเรียนได้รับการเรียนรู้แล้ว ในขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์ตรงกันข้าม - ความอยากรู้อยากเห็น (เราอยากรู้ทุกอย่าง) และทัศนคติที่มีสติต่อการเรียนรู้เพิ่มขึ้น ประสบการณ์ชีวิตนำไปสู่ความจริงที่ว่าเด็ก ๆ เริ่มเห็นคุณค่าของความรู้และความเข้มงวดในผู้คน ปริมาณการสื่อสารของพวกเขาเพิ่มขึ้น แต่เด็กนักเรียนยังคงไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนได้ และไม่สามารถมองเห็นตนเองจากภายนอกได้ นิสัยไม่ดีก็ปรากฏขึ้น
กระบวนการทางจิต เพิ่มความไว ความประทับใจ ความสามารถในการเรียนรู้สูง มีการพัฒนากระบวนการความจำ การรับรู้ การคิด และความสนใจอย่างเข้มข้น กิจกรรมทางอารมณ์
ในขณะเดียวกัน การรับรู้แบบกำหนดเป้าหมายยังอ่อนแอ พวกเขาให้ความสนใจกับช่วงเวลาที่ไม่สำคัญและมักจะวอกแวก ความสนใจโดยสมัครใจก็อ่อนแอเช่นกัน
ผู้นำไม่ได้อยู่ห่างไกล แต่เป็นแรงจูงใจในการทำกิจกรรมที่ใกล้เคียงกัน
ในยุคนี้ หน่วยความจำเชิงกลได้รับการพัฒนามากขึ้น แต่งานช่วยจำยังต้องได้รับการตั้งค่าด้วย: จะต้องทำอะไรและทำไม ปริมาณและความเร็วโดยรวมของการท่องจำเพิ่มขึ้น
ไม่เพียงแต่เป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่ยังพัฒนาความคิดเชิงนามธรรมด้วย
คุณสมบัติทางชีวจิต - วัยรุ่นที่อายุน้อยกว่ามีลักษณะความไม่สมดุล ขาดความยับยั้งชั่งใจ คล่องตัว มักควบคุมไม่ได้ อารมณ์เชิงลบ (โดยเฉพาะในช่วงบ่ายเนื่องจากความเหนื่อยล้าในระดับสูง) ความเกียจคร้าน (สิ่งนี้สามารถอธิบายไม่ได้ด้วยลักษณะนิสัย แต่โดยการปรับโครงสร้างทั่วไปใน ร่างกาย). การพัฒนาทางกายภาพอย่างเข้มข้นการปรับปรุงการพูด
เมื่อทราบถึงคุณลักษณะส่วนบุคคลของนักเรียนในระดับนี้แล้ว เราสามารถให้คำแนะนำได้ดังนี้
1. จดจำความสนใจที่หลากหลายของวัยรุ่น ให้พวกเขามีส่วนร่วมในการจัดเตรียมกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเกม การแข่งขัน
2. จัดระเบียบการทำงานของชมรมภาษาต่างประเทศตามความสนใจ เช่น ห้องสมุดของเล่น ละครหุ่น ชมรมละคร ฯลฯ
3. เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้ลองลงมือทำงาน รวมทั้งทำกิจกรรมประเภทต่างๆ โดยให้พวกเขาได้แสดงบทบาทต่างๆ
4. เปลี่ยนประเภทของงาน จำไว้ว่าคุณไม่เพียงแต่ต้องเปลี่ยนเท่านั้น แต่ยังต้องยุ่งและเต็มไปด้วยงานอีกด้วย
5. ใช้ความชัดเจนและ TSO โดยไม่ละเลยสิ่งเหล่านั้นมากเกินไป
6. สนทนาเกี่ยวกับความหมายของภาษาต่างประเทศ จัดนิทรรศการ “ภาษาต่างประเทศในชีวิตประจำวัน” “ภาษาต่างประเทศและอาชีพ” ฯลฯ เตรียมอัลบั้มกับนักเรียนเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียง เมือง หนังสือของประเทศที่เป็น ศึกษา ฯลฯ
7. ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการค้นหาข้อมูลภูมิภาคที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษาภาษาต่างประเทศ เกี่ยวกับคนที่พูดได้หลายภาษา
8. การรู้จักทัศนคติขี้เล่นไร้เดียงสาของนักเรียนต่อทุกสิ่ง รวมถึงการประเมินกิจกรรม และอาศัยพลังของผลกระทบของคำพูดของกลุ่ม ประเมินกิจกรรมของนักเรียนไม่ใช่ด้วยตัวเอง แต่ผ่านทางทีมเด็ก
9. โดยคำนึงถึงความเปิดกว้างและอารมณ์ความรู้สึก ความประทับใจและความอ่อนแอของความสนใจโดยสมัครใจของนักเรียนในระดับสูง ให้สร้างสถานการณ์สำหรับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในลักษณะที่จะสัมผัสอารมณ์ของเด็ก สิ่งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากดนตรี ดีไซน์สีสันสดใส อารมณ์ของผู้นำเสนอ เสน่ห์ในการพูดของพวกเขา: “พวกคุณคิดอย่างไร? คุณสามารถร้องเพลง (นับ พูด เขียน ฯลฯ) เป็นภาษาเยอรมันได้ไหม?” ฯลฯ
10. คำนวณระยะเวลาของกิจกรรม 30-40 นาที โดยคำนึงถึงปริมาณบทกวี การละเล่น เพลง ตัวอย่างเช่น ประโยคพูดคนเดียวในภาษาต่างประเทศไม่ควรยาวเกินสองนาที
11. บอกเด็กว่าต้องทำอย่างไรในแต่ละกรณีโดยเฉพาะ
12. อดทนต่ออาการเคลื่อนไหวและกลั้นไม่ได้ของวัยรุ่น เพื่อเตือนพวกเขา ให้วางแผนการร้องเพลงประสานเสียง เรื่องตลก เกมกลางแจ้ง และการฝึกพลศึกษา 1-2 ครั้งในแต่ละงาน
13. เชื่อใจเด็กๆ พัฒนาความสามารถเชิงสร้างสรรค์ในกระบวนการ VR เมื่อค้นพบความสามารถบางอย่างในตัวนักเรียนแล้ว - ดนตรี ศิลปะ ฯลฯ - พยายามอย่าเอาเปรียบพวกเขาเป็นเวลานาน ให้โอกาสเด็กได้แสดงออกในด้านอื่น
ระดับกลาง (เกรด 7-8)
ทิศทาง ปัญหาด้านศีลธรรมและจริยธรรมเป็นเรื่องใกล้ตัวกับวัยรุ่น แม้ว่าจะยังไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดทางศีลธรรมก็ตาม เด็กในวัยนี้ค่อนข้างเปิดกว้างต่อการซึมซับมาตรฐานทางศีลธรรม พวกเขาพัฒนาระบบคุณค่าส่วนบุคคล วัยรุ่นตระหนักดีถึงอุดมคติของตนเองและเลียนแบบในทุกสิ่ง ฮีโร่คนโปรดในวัยนี้คือคนที่กระตือรือร้นและเด็ดเดี่ยว เด็กในยุคนี้ชอบเล่นเกมตามบทบาท พวกเขาสนใจกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ที่ต้องมีการสื่อสาร
เด็กมักแสดงความปรารถนาที่จะเลียนแบบผู้ใหญ่และเข้ามาแทนที่ผู้ช่วยของเขา อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่มั่นคงในความชอบและไม่ชอบ ในความสัมพันธ์ พวกเขาต้องการความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และมีแนวโน้มที่จะยืนยันตนเอง สิ่งที่มีคุณค่าในตัวครูคือความเข้มงวด ความเป็นธรรม ความเป็นมิตร และความสามารถในการดึงดูดนักเรียนด้วยวิชาของตนเอง
ทัศนคติใหม่ต่อความรู้ปรากฏขึ้น: ความปรารถนาที่จะรู้และสามารถทำอะไรได้ดีจริงๆ วัยรุ่นส่วนใหญ่มีความอยากรู้อยากเห็น อยากรู้อยากเห็น และเปิดกว้างต่อสิ่งใหม่ๆ การได้รับความรู้มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเตรียมตัวสำหรับอนาคต
ในเวลาเดียวกัน เด็กนักเรียนบางคนพบว่าการดูดซึมในการศึกษาลดลงเนื่องจากการขยายการเชื่อมโยงอื่น ๆ กับโลกภายนอก ความสนใจและงานอดิเรกของเด็ก ๆ นั้นไม่แน่นอน - พวกเขาดูดซับสิ่งที่ถือว่าเป็นที่นิยม ทันสมัย และไม่ได้ทำในสิ่งที่จำเป็น แต่ทำสิ่งที่น่าสนใจ
ในยุคนี้มีความไม่สอดคล้องกัน: ในแง่หนึ่งความภาคภูมิใจในตนเองของเด็กนักเรียนจะสูงเกินจริงในกรณีส่วนใหญ่ ในทางกลับกัน มีแนวโน้มที่จะบอกตัวเองว่าไม่เหมาะสม - ฉันไม่รู้อะไรเลย ฉันทำไม่ได้ อะไรก็ตาม ฉันดูแย่มาก ฯลฯ
ประสบการณ์. ประสบการณ์ชีวิตของวัยรุ่นค่อนข้างแย่ จึงมีการกระทำและการตัดสินใจที่ตรงไปตรงมา ควบคุมตนเองไม่ได้ และทะเลาะวิวาทกันบ่อยครั้ง ในวัยนี้ เด็กๆ ดูเหมือนกำลังศึกษาตัวเอง และฝึกฝน "ฉัน" ของตนเอง แต่พวกเขาไม่สามารถอยู่นอกการสื่อสารกับเพื่อนฝูงได้
กระบวนการทางจิต ความสนใจของวัยรุ่นกระจัดกระจายและไม่มุ่งเน้น การท่องจำกลายเป็นเป้าหมายและควบคุมคำพูด ดังนั้นครูไม่ควรให้คำแนะนำเกี่ยวกับการท่องจำคำต่อคำเนื่องจากจะขัดขวางพัฒนาการของคำพูด
การคิดของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการขาดความรู้ เด็กนักเรียนมุ่งมั่นในการศึกษาด้วยตนเอง (พวกเขาให้ความสนใจกับการกระทำการเคลื่อนไหวรูปร่างหน้าตาของตนเองอยู่แล้ว) พวกเขามีลักษณะที่อ่อนแอและความเศร้าโศกเฉียบพลันเนื่องจากความล้มเหลว
การต่อต้านการจำกัดความเป็นอิสระเกิดขึ้น - ด้วยการควบคุมและข้อกำหนดทางวินัย การต่อต้านยังเกิดขึ้นเมื่อไม่คำนึงถึงความสนใจ ความคิดเห็น และความสัมพันธ์ของเด็กด้วย
คุณสมบัติทางชีวจิต วัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการเติบโต ในเรื่องนี้มีการสังเกตความผิดปกติของการทำงาน: ความไม่สมดุล, การแพ้, ความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้นและบางครั้งการระเบิด; ความเหนื่อยล้า ระยะเวลาของความเกียจคร้าน ไม่แยแส ลดประสิทธิภาพในการทำงาน มีกิจกรรมทางกายสูง ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่ปรากฏขึ้น
ขึ้นอยู่กับลักษณะอายุที่ระบุของวัยรุ่นเมื่อทำ VR ในภาษาต่างประเทศ:
1. มีความจำเป็นต้องคำนึงถึงปริมาณงานของนักเรียนแต่ละคนและกำหนดกำหนดเวลาในการทำงานให้เสร็จสิ้น
2. คำนึงถึงความเข้ากันได้ทางจิตวิทยาของวัยรุ่นเมื่อทำกิจกรรมใด ๆ ในกลุ่ม
3. หลีกเลี่ยงการยัดเยียดกิจกรรมใดๆ กับนักเรียน แม้ว่ากิจกรรมนั้นจะดูน่าสนใจและเป็นประโยชน์สำหรับครูก็ตาม กำจัดน้ำเสียงของผู้บังคับบัญชาโดยสิ้นเชิง
4. ให้นักเรียนมีอิสระมากขึ้น สิ่งนี้ช่วยพัฒนาความรู้สึกรับผิดชอบ
5. มีความจำเป็นต้องประเมินกิจกรรมของนักเรียน คิดหาวิธีและมาตรการการให้รางวัลและการลงโทษสำหรับงานที่ทำ ในขณะเดียวกัน จำไว้ว่าวัยรุ่นประสบกับความล้มเหลวอย่างรุนแรงและมีความเสี่ยง ครูต้องคาดการณ์ความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ไม่ให้นักเรียนเห็นหรือเตรียมพร้อมสำหรับพวกเขา
6. อย่าลืมว่ายุคนี้เอื้ออำนวยต่อการศึกษาคุณธรรม
7. คำนึงถึงความสนใจและงานอดิเรกของวัยรุ่น (การผจญภัย ชีวิตของเพื่อนฝูง เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ สัตว์ ฯลฯ) เมื่อจัดให้มีการอ่านในภาษาต่างประเทศ
8. ควรจำไว้ว่าความสนใจของเด็กในวัยนี้ยังกระจัดกระจายและไม่มุ่งเน้น ดังนั้นในระหว่างงานจึงจำเป็นต้องใช้เทคนิคที่ดึงดูดความสนใจ
9. ฟังความคิดเห็นของพวก คำนึงถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาเมื่อทำ VR
10. กำจัดการตัดสินที่รุนแรงเกี่ยวกับกิจกรรมและบุคลิกภาพของวัยรุ่น เนื่องจากความไม่สมดุล ความไม่อดทน และความฉุนเฉียวที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลเสียทั้งต่อกิจกรรมและการประเมินของนักเรียน (โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับดนตรี) และงานศิลปะประเภทอื่น ๆ ซึ่งรสนิยมของคนรุ่นต่าง ๆ มักจะตรงกันข้าม)
ระดับอาวุโส (เกรด 9-11)
ทิศทาง เด็กนักเรียนรุ่นพี่พยายามแสวงหาความรู้เชิงลึก กิจกรรมชีวิตของพวกเขาส่วนใหญ่จะถูกกำหนดโดยการเลือกเส้นทางชีวิตของพวกเขา ความสนใจในความหมายของชีวิตมนุษย์กำลังเพิ่มมากขึ้น และเครื่องมือทางแนวความคิดก็กำลังได้รับการเสริมแต่ง
บทเรียนจะน่าสนใจก็ต่อเมื่อนักเรียนมีส่วนร่วมในความสัมพันธ์ส่วนตัวที่กระตือรือร้นเมื่อพูดถึงปัญหา นักเรียนมัธยมปลายกำลังเผชิญกับกิจกรรมทางสังคมที่เพิ่มขึ้น พวกเขามีความสนใจในชีวิตของสังคมและปัญหาด้านมนุษยสัมพันธ์ งานอดิเรกของผู้ชายมีความหลากหลายมาก
เด็กนักเรียนที่มีอายุมากกว่าสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างความเป็นไปได้และสิ่งที่พึงประสงค์ และตัดสินใจได้โดยไม่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก พวกเขาแสดงความสนใจอย่างมากต่อปัญหาการศึกษาด้วยตนเอง พวกเขาตระหนักถึงตัวเองในฐานะบุคคลและอยู่ภายใต้การวิปัสสนา: ฉันจะทำอย่างไร? ความสามารถของฉัน...
อย่างไรก็ตาม: นักเรียนมัธยมปลายมีลักษณะเป็นแนวจินตนิยมและสิ่งนี้กระตุ้นให้พวกเขาทำสิ่งใหญ่ๆ เป็นหลัก (พวกเขายังไม่สามารถมองเห็นสิ่งใหญ่จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก) เด็กนักเรียนในยุคนี้มีลักษณะเฉพาะคือลัทธิสูงสุด ความปรารถนาในอุดมคติ แนวโน้มที่จะยึดติดกับแง่ลบ และเกรดและการกล่าวอ้างที่สูงเกินจริง
นักเรียนมัธยมปลายปฏิบัติต่อตนเองด้วยความนับถือตนเองต่ำ ประเมินตนเองและความสามารถของตนต่ำกว่าความเป็นจริง ต่างจากวัยรุ่นที่อายุน้อยกว่า พวกเขามีปัญหาในการสื่อสาร: พวกเขาจะคิดอย่างไรกับฉัน? ฉันจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร? ดังนั้นความแตกแยกและแตกแยกจึงมักเกิดขึ้นในทีมห้องเรียน
ประสบการณ์. มีรูปแบบกิจกรรมของแต่ละบุคคลเกิดขึ้น การสื่อสารกับผู้อื่นเป็นส่วนสำคัญของชีวิตของนักเรียนมัธยมปลาย เป็นช่องทางของข้อมูล และกิจกรรมที่สำคัญ
กระบวนการทางจิต - ปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น ความไม่สมดุลทางอารมณ์ การแสดงอารมณ์ที่รุนแรง
อารมณ์มีเสถียรภาพมากขึ้นมีสติ
นักเรียนมัธยมปลายมีลักษณะเฉพาะคือความปรารถนาที่จะมีลักษณะทั่วไปและความสามารถในการค้นหาและก่อให้เกิดปัญหา
คุณสมบัติทางชีวจิต การพัฒนาทางเพศแบบเข้มข้น การเปลี่ยนแปลงการทำงานในร่างกาย ความสนใจในเพศอื่น
ดังที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นในโครงสร้างบุคลิกภาพของเด็กนักเรียน ดังนั้นในโรงเรียนมัธยม ครูควรใส่ใจกับสิ่งต่อไปนี้:
1. คำนึงถึงความสนใจที่แตกต่างของนักเรียน
2. ในกระบวนการจัดกิจกรรม ให้กำหนดงานและปัญหาต่างๆ ให้กับนักศึกษา ซึ่งแนวทางแก้ไขจะช่วยให้นักศึกษาได้นำความรู้และทักษะของตนไปปฏิบัติจริง และรู้สึกเหมือนเป็นคนกระตือรือร้น
3. โดยคำนึงถึงวัยทางปรัชญาและโรแมนติกของนักเรียนมัธยมปลาย ให้มุ่งความสนใจไปที่เหตุการณ์ที่มีปัญหาด้านศีลธรรมและจริยธรรม
4. คัดเลือกคณะลูกขุนจากนักเรียนมัธยมปลายอย่างมีความรับผิดชอบสำหรับกิจกรรมในระดับกลางและระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
5. ส่งเสริมความคิดริเริ่มของนักเรียนในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ ให้โอกาสพวกเขาในการเตรียมกิจกรรมด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยขจัดผลที่ไม่พึงประสงค์จากการกล่าวอ้างของนักเรียนมัธยมปลายและความเป็นสูงสุดของพวกเขา
6. เมื่อวางแผนงานประจำปี ผู้ชายมักจะเสนองานจำนวนมาก แต่ต้องได้รับการสนับสนุนให้ประเมินความสามารถของตนอย่างถูกต้องเพื่อที่จะดำเนินกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. จำเกี่ยวกับแนวโน้มของนักเรียนมัธยมปลายที่จะใคร่ครวญ เห็นคุณค่าในตนเอง และชี้ให้พวกเขาเห็นว่าการมีส่วนร่วมในกิจกรรมบางประเภทให้ทุกคนอย่างไร สิ่งที่นักเรียนสามารถทดสอบตัวเองในกระบวนการนำไปปฏิบัติ
8. พยายามอย่าให้นักเรียนประเมินตัวเองและความสามารถต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเน้นที่แง่บวก
9. จดจำและคำนึงถึงมิตรภาพของนักเรียนในชั้นเรียน โดยเฉพาะนักเรียนจากชั้นเรียนต่างๆ รวมคู่ (กลุ่ม) ดังกล่าวไว้ในการทำงานร่วมกัน
10. พึ่งพาระบบกิจกรรมยามว่างที่หลากหลายสำหรับเด็กนักเรียนโต และกำจัดกิจกรรมที่ไม่ซ้ำใคร VR เกือบทุกรูปแบบในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งสามารถใช้ได้ในระดับอาวุโส เช่น สามารถกำกับการทำงานของโรงละครหุ่น ชมรมละคร ห้องสมุดเกม หรือมีส่วนร่วมในการทำงานของชมรมสนทนาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 -7.
11. ช่วยเหลือนักเรียนในการตัดสินใจด้วยตนเอง รู้ทิศทางวิชาชีพของนักเรียนมัธยมปลาย อภิปรายและสนทนาในหัวข้อ “ภาษาต่างประเทศและอาชีพ” “ภาษาต่างประเทศจะมีประโยชน์กับฉันในอนาคตหรือไม่” ฯลฯ จัดประชุมผู้ที่ใช้ภาษาต่างประเทศในกิจกรรมร่วมกับเจ้าของภาษา
เมื่อจัดงาน VR จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะทางจิตวิทยาของทีมในชั้นเรียนด้วย: ระดับการพัฒนา ระดับความสามัคคี การมุ่งเน้นของกิจกรรม (ความซื่อสัตย์ ความพยายามที่จะโดดเด่น ฯลฯ ); ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ สภาพทางอารมณ์ของชั้นเรียนในขณะที่ทำงาน
สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของนักเรียนแต่ละคนด้วย: ความสนใจ, ความคิดสร้างสรรค์, ความสามารถขององค์กร
ดังนั้นการคำนึงถึงลักษณะทางจิตวิทยาและการสอนของนักเรียนจึงเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการ VR ในภาษาต่างประเทศ การนำไปปฏิบัติไม่ต้องใช้เวลาและความพยายามจากครูมากนัก เมื่อวางแผนกิจกรรม คุณต้องอาศัยคุณสมบัติเหล่านี้โดยตอบคำถาม:
ก) เมื่อเลือกรูปแบบงาน: “รูปแบบใดที่เหมาะสมที่สุดในระดับอายุนี้”
b) เมื่อพิจารณาเนื้อหาของงานในหัวข้อ: “ นักเรียนสนใจอะไร, พวกเขามุ่งมั่นเพื่ออะไร?”
c) เมื่อจัดงาน: “ พวกเขาทำอะไรได้บ้าง? จำเป็นต้องพัฒนาอะไรบ้างในนั้น?
แนวทางนี้พิสูจน์ตัวเองและรับรองประสิทธิภาพของ VR ในหัวข้อนั้น
วรรณกรรม:
1. Zimnyaya I.A. จิตวิทยาการสอน: หนังสือเรียน - Rostov n/d.: สำนักพิมพ์ "Phoenix", 1997. หน้า 226-238. 2. Mokrousova G.I. , Kuzovleva N.E. องค์กร VR ในภาษาเยอรมัน - ม., 2532. หน้า 7-17.หัวข้อที่ 3
หน้าที่ของกิจกรรมนอกหลักสูตร
1. ฟังก์ชั่นการศึกษา (การเชื่อมโยงกิจกรรมนอกหลักสูตรกับหลักสูตรภาษาต่างประเทศที่โรงเรียน)ตามที่ระบุไว้แล้วมีความจำเป็นเร่งด่วนในการทำงานด้านการศึกษาและการศึกษาเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศในลักษณะที่ซับซ้อน ในฐานะวิชาวิชาการ ภาษาต่างประเทศมีพื้นฐานอันอุดมสมบูรณ์ในเรื่องนี้ - หัวข้อของหนังสือเรียนมีความหลากหลาย กล่าวถึงประเด็นหลักของชีวิตมนุษย์ในสังคม และให้โอกาสในการหารือกับนักเรียนเกี่ยวกับปัญหามากมายทั้งในชั้นเรียนและนอกหลักสูตร กิจกรรม.
ความจำเป็นในการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดระหว่างห้องเรียนและกิจกรรมนอกหลักสูตรนั้นถูกกำหนดด้วยเหตุผลอื่น เป็นที่รู้กันว่าในเกรด 7-8 ความสนใจในภาษาต่างประเทศและระดับแรงจูงใจในการศึกษาวิชาลดลงด้วยเหตุผลหลายประการ เพื่อป้องกันไม่ให้ความสนใจในภาษาต่างประเทศลดลง ครูสามารถทำอะไรได้มากมาย และ VR ก็ครองตำแหน่งพิเศษในเรื่องนี้ เพราะ... ช่วยให้นักเรียนสามารถใช้ภาษาต่างประเทศเป็นวิธีการสื่อสารและแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการใช้งานอย่างกว้างขวาง แน่นอนว่า VR บางรูปแบบไม่ได้มีส่วนช่วยในเรื่องนี้เท่าๆ กัน แต่ VR แต่ละรูปแบบมีความจำเป็นในแบบของตัวเอง และครูควรแสดงให้เห็นในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ใน VR ว่าภาษาต่างประเทศสามารถนำมาใช้ในการสื่อสารได้อย่างไร
ในเวลาเดียวกัน เราไม่ควรทึกทักเอาว่าเป้าหมายของงานนอกหลักสูตรและงานในชั้นเรียนนั้นเหมือนกันโดยสิ้นเชิง ไม่ควรปล่อยให้ VR กลายเป็นกิจกรรมพิเศษ เป้าหมายหลักในบทเรียนจะเป็นเป้าหมายทางการศึกษา (เชิงปฏิบัติ การสื่อสาร) เสมอ ในกิจกรรมนอกหลักสูตร การเน้นจะเปลี่ยนไปที่เป้าหมายด้านการศึกษา การพัฒนา และการรับรู้ (การศึกษา) ขึ้นอยู่กับรูปแบบและลักษณะของเหตุการณ์ เช่น ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 กำลังศึกษาหัวข้อ “สุขภาพจิตที่ดีในร่างกายที่แข็งแรง” ในหัวข้อนี้คุณสามารถเสนอกิจกรรมนอกหลักสูตรในรูปแบบของธีมตอนเย็น "กีฬาในชีวิตของเรา" หรือ "นักกีฬาที่มีชื่อเสียงในยุคของเรา" หรือในหัวข้อเกรด 8 “เที่ยวเยอรมนี” ครูจัดแบบทดสอบ “คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเยอรมนีบ้าง” ฯลฯ
ครูจะแจ้งเกี่ยวกับกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นล่วงหน้าและแต่ละบทเรียนจะมุ่งเป้าไปที่งานนั้น ดังนั้น นักเรียนจึงอ่านเนื้อหาอย่างละเอียดมากขึ้นและจดบันทึกข้อมูลที่จำเป็น เมื่อเด็กๆ เห็นความหมายของความพยายามด้านการศึกษาของพวกเขา พวกเขาจะทำงานอย่างมีสติและกระตือรือร้นมากขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อเผยแพร่หนังสือพิมพ์วอลล์ฉบับถัดไป บทความที่ดีที่สุดในหัวข้อนั้นจะถูกวางไว้ในนั้น หรือ: เมื่อทำแบบทดสอบการศึกษาระดับภูมิภาค ในกระบวนการส่งหัวข้อ ความสนใจในข้อความและงานจะเน้นไปที่ชื่อ วันที่ กิจกรรมที่อาจเป็นประโยชน์ในแบบทดสอบ ครูแนะนำให้นักเรียนค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมในหัวข้อนี้ หลังจากแบบทดสอบ คุณสามารถสร้างอัลบั้มตามเนื้อหาในอัลบั้มได้ ซึ่งจะรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประเทศไว้ด้วย
หรือคุณสามารถทำอย่างอื่นได้ ตั้งแต่ VR ไปจนถึงการทำงานในชั้นเรียน ข้อความที่จัดทำขึ้นในแวดวงการสนทนาจะแสดงในตอนต้นของบทเรียนในชั้นเรียนคู่ขนานสำหรับงานต่อไปในเนื้อหานี้ นี่คือวิธีที่งานทั้งสองด้านในเรื่องนี้เชื่อมโยงถึงกัน
2. ฟังก์ชั่นการศึกษาของ VR
ลองพิจารณาความเป็นไปได้เฉพาะสำหรับการนำการศึกษาที่สามารถนำไปใช้ใน VR ในภาษาต่างประเทศได้
1) การศึกษาความรักชาติ- สิ่งสำคัญคือการพัฒนาความรู้สึกรักต่อประเทศของตนและต่อบ้านเกิดเล็กๆ ของตน การศึกษาเกี่ยวกับความรักชาติควรแทรกซึมอยู่ใน VR ทุกรูปแบบ เช่น ในการเตรียมอัฒจันทร์ นิทรรศการ หนังสือพิมพ์ติดผนัง กิจกรรม ฯลฯ เมื่อจัดกิจกรรม คุณควรใส่ใจกับกิจกรรมและการกระทำที่คล้ายกันของผู้คนในประเทศของเราและประเทศของภาษาที่กำลังศึกษา และเปรียบเทียบประเพณีและคุณค่าทางวัฒนธรรมของพวกเขา
2) การศึกษาระหว่างวัฒนธรรม- คือการปลูกฝังทัศนคติที่ให้ความเคารพต่อประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของประเทศอื่น การไม่ยอมรับการแสดงออกถึงลัทธิชาตินิยมและลัทธิชาตินิยม ภาษาต่างประเทศมีโอกาสในการศึกษาด้านนี้มากกว่าวิชาทางวิชาการอื่นๆ โดยทำหน้าที่เป็นช่องทางหนึ่งของการศึกษาระหว่างวัฒนธรรม โอกาสเหล่านี้เห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดำเนินโครงการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ในระหว่างรูปแบบการทำงาน เช่น งานแถลงข่าว การประชุมทางไกล และระหว่างการประชุมกับเจ้าของภาษา
3) การศึกษาด้านจริยธรรมเกี่ยวข้องกับการสร้างศีลธรรม ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ VR ในภาษาต่างประเทศ VR จะช่วยสร้างวัฒนธรรมพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างการซ้อมและกิจกรรมต่างๆ และยังส่งเสริมมิตรภาพและการรวมกลุ่มอีกด้วย
ขั้นตอนการสรุปผลหลังแต่ละเหตุการณ์มีความสำคัญอย่างยิ่งในด้านศีลธรรม พฤติกรรมของครูที่นี่เป็นตัวอย่างให้กับนักเรียน พฤติกรรมของนักเรียนยังขึ้นอยู่กับว่าเขาประเมินงานของนักเรียนอย่างเป็นกลางเพียงใด และเขาตอบสนองต่อการประเมินของครูคนอื่น ๆ ในคณะลูกขุนอย่างไร โดยปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม
4) การศึกษาด้านสุนทรียภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารสนิยมทางศิลปะ พัฒนาความสามารถและความสามารถในการมองเห็นและเข้าใจความงามในธรรมชาติ ศิลปะ ในชีวิต ให้กับเด็กอย่างถูกต้อง เช่น เมื่อเตรียมห้องสำหรับงานต่างๆ เมื่อทำเครื่องแต่งกายหรือสิ่งของอื่น ๆ จำเป็นต้องดึงดูดความสนใจของเด็ก ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างได้รับการคิดออกมาเรียบร้อยและสวยงาม ในการเตรียมคอนเสิร์ต ควรสอนเด็กๆ ให้ประพฤติตนอย่างถูกต้องบนเวที และแสดงเพลงและบทกวีอย่างสวยงาม
5) การศึกษาด้านแรงงาน- ใน VR หมายความว่านักเรียนจะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดอย่างอิสระ โดยเมื่อเตรียมกิจกรรม นักเรียนจะต้องสร้างสิ่งของเพิ่มเติมด้วยมือของตนเอง (เครื่องแต่งกาย ของตกแต่ง ของขวัญ โปสเตอร์ หนังสือพิมพ์ติดผนัง ฯลฯ)
ควรย้ำอีกครั้งว่าการศึกษาโดยใช้ภาษาต่างประเทศไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางที่แยกจากกันและแบ่งเขตอย่างเคร่งครัด แต่ผ่านความสามัคคีและการเชื่อมโยงระหว่างกัน ตัวอย่างเช่น ในการจัดการเทศกาลทางภาษาและวัฒนธรรม ภารกิจหลักคือการปลูกฝังการเคารพวัฒนธรรมของประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม งานนี้จะได้รับการแก้ไขโดยขึ้นอยู่กับความรักชาติของวัสดุ การออกแบบงานที่สวยงามสอดคล้องกัน การปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของนักเรียน และการใช้ทักษะการทำงานของพวกเขา ในทางปฏิบัติ ครูสอนภาษาต่างประเทศจำนวนมากถือว่าการศึกษาระหว่างวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับตนเอง โดยไม่สนใจด้านอื่น ๆ และปล่อยให้การศึกษาด้านสุนทรียศาสตร์เป็นครูสอนดนตรีหรือวาดรูป การศึกษาด้านจริยธรรมเป็นครูประจำชั้น การศึกษาด้านแรงงานเป็นครูด้านเทคโนโลยี ฯลฯ ส่งผลให้งานมีการตกแต่งอย่างไม่ระมัดระวัง ไม่มีดนตรีประกอบ (หรืออยู่ในระดับต่ำ) ไม่มีเครื่องแต่งกาย ฯลฯ และข้อเสียเปรียบที่สำคัญที่สุดคือครูทำทุกอย่างเองโดยไม่ต้องพึ่งนักเรียน ซึ่งเป็นที่ยอมรับไม่ได้ในแง่การศึกษา
3. ฟังก์ชั่นการพัฒนาของ VR
การพัฒนาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้ การศึกษาเพื่อการพัฒนาขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เสนอโดย L.S. Vygotsky ว่าการเรียนรู้ควรนำไปสู่การพัฒนา สำหรับการพัฒนาบุคคลเพื่อสร้างคุณสมบัติบุคลิกภาพของเขาจำเป็นต้องกำหนดงานใหม่ ๆ ให้เขาอย่างต่อเนื่องและทำให้งานซับซ้อนขึ้น
การกำหนดงานประเภทนี้ให้กับนักเรียนควรเกิดขึ้นใน TL ในภาษาต่างประเทศ ซึ่งมีโอกาสมากมาย เช่น VR ก็เหมือนกับบทเรียนที่ต้องใช้ความพยายามทั้งทางจิตและความตั้งใจจากนักเรียน ความทรงจำ และความสนใจ และนี่ก็เป็นการพัฒนาความคิดเจตจำนงและคุณสมบัติอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับบุคคล
ดังนั้นโดยการเข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตร นักเรียนจะทำกิจกรรมประเภทต่างๆ ที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาลักษณะนิสัยบางประการและการพัฒนาความสามารถและลักษณะบุคลิกภาพ นี่แสดงพร้อมตัวอย่าง
รูปแบบการแข่งขันของงาน (การแข่งขัน แบบทดสอบ เกม ฯลฯ) พัฒนาขึ้นเป็นหลัก: ความรู้สึกของความสนิทสนมกันและลัทธิร่วมกัน ความสามารถในการยึดผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อผลประโยชน์ของทีม การช่วยเหลือซึ่งกันและกันและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความสนใจ; ความรู้สึกยุติธรรม ปัญญา; ความสามารถในการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว กลไกการคาดเดา การสังเกต; หน่วยความจำ.
เมื่อทำงานกับสื่อ (นิตยสารโรงเรียน หนังสือพิมพ์ติดผนัง บูธ โฆษณา ฯลฯ) สิ่งต่อไปนี้จะเกิดขึ้นและพัฒนา: การทำงานหนัก; ความเข้มข้น; ความแม่นยำ; ความอดทน; ความสามารถในการทำงานกับสื่อข้อมูลต่างๆ รสนิยมและความสามารถทางศิลปะ การคิดเชิงนามธรรมและเชิงตรรกะ ความสามารถในการแยกแยะระหว่างหลักและรอง จินตนาการ.
รูปแบบวัฒนธรรมของงาน (ตอนเย็นและรอบบ่าย) ช่วยพัฒนา: ความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย; มุมมองทั่วไป ทัศนคติที่สร้างสรรค์ต่อการทำงาน ความสามารถด้านละครและดนตรี กิจกรรม ความเป็นอิสระ กลไกการพูด ความทรงจำและการรับรู้
การรู้ว่ารูปแบบงานใดพัฒนาคุณสมบัติบางอย่างของนักเรียนได้ดีที่สุดช่วยให้ครูทำให้กระบวนการพัฒนาและการศึกษาของนักเรียนมีสมาธิมากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วรรณกรรม:
Mokrousova G.I. , Kuzovleva N.E. องค์กร VR ในภาษาเยอรมัน - ม., 2532. หน้า 33-37.หัวข้อที่ 4
ข้อกำหนดสำหรับผู้จัดกิจกรรมนอกหลักสูตรครู
หลายคนเชื่อว่าการดำเนินกิจกรรมขององค์กรให้ประสบความสำเร็จคุณต้องมีความสามารถและความสามารถพิเศษ ดังนั้นเมื่องานนอกหลักสูตรดำเนินไปอย่างไม่สม่ำเสมอและไม่น่าสนใจเพื่อ "ติ๊ก" ครูจึงหาข้อแก้ตัวสำหรับการขาดความสามารถดังกล่าว
อย่างไรก็ตามการพัฒนาความสามารถขององค์กรนั้นขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเป็นส่วนใหญ่ ในการทำเช่นนี้คุณต้องรู้ก่อนว่าครูและผู้จัดงานควรมีคุณสมบัติอย่างไร
คุณสมบัติทั่วไป(ทั้งผู้จัดงานที่ดีและผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมขององค์กรสามารถมีได้):
ความเป็นกันเอง; ระดับการพัฒนาทั่วไป (สติปัญญา); การปฏิบัติจริงของจิตใจ (ความสามารถในการใช้ความรู้และประสบการณ์อย่างรวดเร็วในการแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติ); การสังเกต; ผลงาน; กิจกรรมส่วนตัว วิริยะ; การควบคุมตนเอง ความตรงต่อเวลา; ความสามารถในการรักษาคำพูด ความทรงจำที่ดี; มั่นใจในความแข็งแกร่งของคุณ การเปิดกว้าง (ความอดทนต่อมุมมองและคำพูดของนักเรียน)
ความสามารถพิเศษ: ความสามารถของครูในการเข้าใจจิตวิทยาของนักเรียน และเปลี่ยนน้ำเสียง รูปแบบการสื่อสาร วิธีการ และวิธีการดำเนินการตามความเข้าใจนี้ เมื่อมีความสามารถนี้ ครูสามารถกำหนดได้อย่างง่ายดายว่านักเรียนมีความสามารถอะไร งานใดที่เขาต้องการและสามารถทำสำเร็จ เขาสนใจ VR อย่างไร วิธีที่ดีที่สุดที่จะจัดกลุ่มนักเรียนเพื่อทำงาน ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของพวกเขา ฯลฯ ครูแบบนี้เพื่อ. ทุกคนกำหนดแรงจูงใจสำหรับความสนใจในงานที่ได้รับมอบหมาย (สามารถดุเป็นการส่วนตัว, อีกอย่างสามารถดุเล็กน้อย, หนึ่งในสามต้องได้รับคำชมต่อหน้าทุกคน ฯลฯ ) ครู-ผู้จัดการแข่งขันที่มีความสามารถสามารถสื่อสารได้ง่ายและยุติธรรมกับนักเรียน ซึ่งเด็กๆ ชื่นชมเป็นพิเศษ
เมื่อพูดถึงความเข้มงวดของครู-ผู้จัดงาน หมายถึง ความสม่ำเสมอของข้อกำหนดโดยใช้รูปแบบงานต่างๆ ครูไม่อาจบังคับหรือสั่งให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตรได้ ข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดคือภัยคุกคามต่ออุปสงค์ โดยการกำหนดเงื่อนไข ครูสามารถบรรลุผลได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งต่อไปเขาจะไม่รวบรวมนักเรียนหลังเลิกเรียน ดังนั้นควรแสดงข้อเรียกร้องในรูปแบบของคำแนะนำ คำขอร้อง คำใบ้ การอนุมัติ หรือการลงโทษ ผู้สอนจะต้องเรียกร้องจากตนเองก่อน
คุณสมบัติที่สำคัญอีกประการหนึ่งของผู้จัดงานคือการวิพากษ์วิจารณ์ตนเองและนักเรียนนั่นคือความสามารถในการประเมินกิจการและการกระทำของนักเรียนอย่างเป็นกลางโดยเสนอแนะมาตรการแก้ไขข้อผิดพลาด คุณสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้เฉพาะประเด็นเท่านั้น (ไม่ใช่ทุกอย่างโดยทั่วไป) กล่าวกับนักเรียนแต่ละคนอย่างกรุณาและด้วยความเคารพ เพื่อไม่ให้เกิดความขุ่นเคืองและความรู้สึกรุนแรง และยิ่งกว่านั้นคือเสียงหัวเราะจากเด็กคนอื่นๆ
โดยทั่วไปแล้วครูควรจะมีสิ่งต่อไปนี้ ทักษะการจัดองค์กรที่สำคัญที่สุด:
1) ความสามารถในการกำหนดงานและให้คำแนะนำที่เป็นไปได้แก่ทุกคน
2) ความสามารถในการระบุงานหลักและกำหนดลำดับของงาน
3) ความสามารถในการกำหนดเงื่อนไขในการเตรียมและจัดงาน
4) ความสามารถในการรวมกิจกรรมของเด็กนักเรียนและกระจายบทบาทระหว่างพวกเขา
5) สามารถเลือกผู้รับผิดชอบและกำหนดหน้าที่ได้ชัดเจน
6) ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
7) ความสามารถในการควบคุมการปฏิบัติตามคำแนะนำและช่วยเหลือโดยไม่รบกวนงานอิสระของเด็ก
การพัฒนาทักษะเหล่านี้ในครูควรกลายเป็นองค์ประกอบที่เท่าเทียมกันในการฝึกอบรมวิชาชีพของพวกเขา
ความเป็นมืออาชีพของครูยังถูกกำหนดโดยทักษะเสริมด้วย: ความสามารถในการวาด ร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรีใด ๆ เล่นกีฬาบางประเภท งานฝีมือ สะสม ฯลฯ ทักษะเหล่านี้ไม่ได้รวมอยู่ในทักษะด้านระเบียบวิธีของครูโดยตรง แต่เป็นทักษะพื้นฐานสำหรับการสอนและการศึกษาอย่างแท้จริง
คุณสมบัติส่วนบุคคลมีความสำคัญมากสำหรับครู อย่างไรก็ตาม ตามที่ N.V. ระบุไว้ ครู Soroka-Rosinsky ไม่ใช่ที่นอนที่อัดแน่นไปด้วยคุณธรรม บุคลิกภาพและสไตล์ของคุณเองเป็นสิ่งสำคัญ คุณสมบัติที่สำคัญสำหรับครูคือความรักต่อเด็ก ความสนใจในวิชาชีพ ความปรารถนาที่จะพัฒนาตนเอง ความฉลาด และที่สำคัญที่สุดคือการมองโลกในแง่ดี การมองโลกในแง่ดีต่อครูคือ "ตำแหน่งพลเมือง" ของเขา ซึ่งสามารถสร้างขึ้นและรักษาไว้ในตัวเขาเอง
วรรณกรรม:
Passov E.I. ทักษะด้านระเบียบวิธีของครูสอนภาษาต่างประเทศ // สถาบันภาษาต่างประเทศ พ.ศ. 2527 หมายเลข 6 หน้า 24-29หัวข้อที่ 5
ระบบ VR สำหรับภาษาต่างประเทศในโรงเรียนมัธยม
กระบวนการจัด VR ในภาษาต่างประเทศที่โรงเรียนถือได้ว่าเป็นระบบที่การศึกษาแต่ละระดับสอดคล้องกับรูปแบบเฉพาะที่สะท้อนเนื้อหาของ VR ได้ครบถ้วน
ภายใต้ ระบบ VR ในภาษาต่างประเทศ เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นชุดของรูปแบบองค์กร วิธีการ และประเภทของกิจกรรมนอกหลักสูตรที่สัมพันธ์กัน ซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกันโดยเป้าหมายร่วมกัน
จากมุมมองของแนวทางที่เป็นระบบในการสร้างบุคลิกภาพมันเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกความแตกต่างระหว่างงานของกระบวนการศึกษาและการศึกษาดังนั้นรูปแบบองค์กรแต่ละรูปแบบจะต้องมีมัลติฟังก์ชั่นและมีผลกระทบต่อบุคลิกภาพหลาย ๆ ด้าน ตัวอย่างเช่น เมื่อทำงานเกี่ยวกับการอ่านบทกวีที่แสดงออกในภาษาต่างประเทศ เราไม่สามารถจำกัดตัวเองอยู่เพียงการสร้างเทคนิคการอ่านที่แสดงออกเท่านั้น จำเป็นต้องขยายขอบเขตอันไกลโพ้นของนักเรียน ปลูกฝังทัศนคติเชิงสุนทรีย์ต่อวรรณกรรมและภาษาต่างประเทศ พัฒนาความสามารถบนเวที และแน่นอน ทักษะในการสื่อสาร
เมื่อสร้างระบบควรคำนึงถึงความต่อเนื่องของช่วงอายุที่แตกต่างกันด้วย ระดับการฝึกภาษาของนักเรียนและลักษณะทางจิตสรีรวิทยาจะกำหนดทางเลือกของเนื้อหา รูปแบบ และวิธีการทำงาน รวมถึงลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน
เมื่อพูดถึงระบบ VR สำหรับภาษาต่างประเทศ คุณต้องคำนึงถึงสองประเด็น: เนื้อหาและการจัดองค์กร
ด้านเนื้อหาของ VRเป็นแบบฟอร์มที่ควรทำในโรงเรียน ในวรรณกรรมการสอน VR ทุกรูปแบบจะรวมกันเป็น 3 กลุ่ม: มวลกลุ่ม(มีองค์ประกอบถาวรและเปลี่ยนแปลง) และ รายบุคคล.การจำแนกประเภทนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียน อย่างไรก็ตาม จะสะท้อนให้เห็นเฉพาะภายนอกของงานเท่านั้น และไม่คำนึงถึงเนื้อหา เช่น VR ในรูปแบบมวลชน เช่น ตอนเย็น การแข่งขัน โอลิมปิก เป็นต้น
รูปแบบงานกลุ่มคือวงกลมซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวนจำกัดและมีความสนใจที่เป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น
งานส่วนบุคคลของนักเรียนส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคำแนะนำในการเตรียมหรือดำเนินกิจกรรม
มีรูปแบบ VR อีกประเภทหนึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อหา ในกรณีนี้มีความโดดเด่นดังต่อไปนี้:
1) การแข่งขันรูปแบบการทำงาน (การแข่งขัน, เกม, แบบทดสอบ, KVN, โอลิมปิก)
2) รูปแบบทางวัฒนธรรม(รอบบ่าย ช่วงเย็น เทศกาล โปรโมชั่น ฯลฯ);
3) สื่อมวลชน(หนังสือพิมพ์ติดผนัง บูธ นิทรรศการ โฆษณา วิทยุกระจายเสียง ภาพยนตร์สมัครเล่น ฯลฯ)
วงกลมอยู่ รูปแบบสังเคราะห์ของ BPเนื่องจากสามารถรวมกิจกรรมหลายประเภทได้ (การพูด ละครหุ่น การแปล การแสดงละคร ฯลฯ )
องค์กรลักษณะของระบบ VR ในภาษาต่างประเทศเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่รูปแบบงานที่มีอยู่ตามระดับการศึกษาและชั้นเรียน
ในระดับจูเนียร์ (เกรด 5-6) คุณสามารถใช้เกมในภาษาต่างประเทศ นิทรรศการภาพวาดและของเล่น นิทรรศการระดับภูมิภาค - เกี่ยวกับชีวิตของเด็ก ๆ ในประเทศของภาษาที่กำลังศึกษา รอบบ่าย - วันหยุดที่อุทิศให้กับวันสีแดงของปฏิทิน, หนังสือพิมพ์วอลล์, การแข่งขัน (อ่านบทกวี, ร้องเพลง)
ในระดับกลาง - KVN แบบทดสอบ ธีมและความบันเทิงยามเย็น การแข่งขัน (ละคร เพลงพื้นบ้านหรือป๊อป สำหรับการแปลบทกวีที่ดีที่สุด ฯลฯ)
ในระดับอาวุโส - โต๊ะกลม ตอนเย็น โอลิมปิก งานแถลงข่าว แบบทดสอบ เทศกาล การประชุมทางไกล การอภิปราย ฯลฯ
VR ในภาษาต่างประเทศจะมีผลก็ต่อเมื่อกิจกรรมแต่ละอย่างสอดคล้องกับกระบวนการศึกษาของโรงเรียนเท่านั้น
ตามที่ระบุไว้ข้างต้น, เป้าหมายสูงสุดของ VR ในวิชานี้ เป็น:
1) การขยายและเจาะลึกความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารภาษาต่างประเทศ
2) กระตุ้นความสนใจของนักเรียนในการศึกษาวิชา;
3) ส่งเสริมการพัฒนาบุคคลอย่างครอบคลุม
เป้าหมายของ VR ในภาษาต่างประเทศเป็นแนวทางในการทำกิจกรรมของเด็ก ๆ หากสอดคล้องกับเป้าหมายส่วนตัวของพวกเขา: “ฉันต้องการเรียนรู้ที่จะพูดภาษาต่างประเทศ” “ฉันต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศของภาษาที่กำลังศึกษา” “ฉันต้องการ ให้เข้าใจเนื้อร้องของเพลงเป็นภาษาต่างประเทศ” เป็นต้น หากเป้าหมายของ VR และเป้าหมายของเด็กนักเรียนไม่ตรงกัน หากเด็กนักเรียนไม่มีแรงจูงใจในการทำกิจกรรม ระบบงานทั้งหมดจะกลายเป็นทางการ เนื่องจากเด็ก ๆ ไม่ได้รับการยอมรับและไม่มีอิทธิพลต่อพวกเขา
ลักษณะความสมัครใจของ VT ในภาษาต่างประเทศความยากลำบากในการเตรียมการและการนำไปใช้จะกำหนดความจำเป็นในการพัฒนามาตรการจูงใจที่ซับซ้อนของแต่ละบุคคล การดำเนินการตามเป้าหมายของระบบ VR ยังถูกกำหนดโดย: บุคลิกภาพของครู ระดับทักษะการสอน และทักษะที่หลากหลายของเขา
เมื่อสร้างระบบ VR โดยใช้ภาษาต่างประเทศ จำเป็นต้องพิจารณาด้วย เนื้อหาวีอาร์ นั่นคือ สิ่งที่ต้องสอนให้กับเด็กนักเรียน เนื้อหาของ VR แบ่งออกเป็นสามส่วน:
1) ในทางปฏิบัติ- การพัฒนาทักษะและทักษะในการสื่อสารของนักเรียนทักษะที่เข้าถึงได้และความสามารถของกิจกรรมทางศิลปะ
2) ญาณวิทยา- การสื่อสารความรู้เกี่ยวกับประเทศของภาษาที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในโลก ฯลฯ
3) ตามสัจวิทยา- การพัฒนาแนวทางคุณค่าและแรงจูงใจในการทำกิจกรรมในเด็ก
ปฏิสัมพันธ์ของพื้นที่เหล่านี้ช่วยรับประกันการพัฒนาที่กลมกลืนของแต่ละบุคคลในระบบ VR ในภาษาต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ระบบ VR ในภาษาต่างประเทศที่มีการคิดมาอย่างดีและมีพื้นฐานทางทฤษฎีจะไม่มีประสิทธิภาพหากไม่คำนึงถึงสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปในชีวิตของชั้นเรียน เหตุการณ์ปัจจุบันในโลก ทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อพวกเขา และอื่นๆ ปัจจัย. มีความจำเป็นต้องจัดระเบียบ VR ในวิชาในลักษณะที่กิจกรรมประเภทใดก็ตามที่ครูเสนอเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักเรียน ไม่ซ้ำซากจำเจ และไม่ทำให้เกิดการทำงานหนักเกินไป
การรายงานกิจกรรม เช่น ชมรม ช่วยประหยัดเวลา การดำเนินการดังกล่าวช่วยให้มั่นใจในการประชาสัมพันธ์และการวางแนวทางทางสังคมและการปฏิบัติของกิจกรรมของนักเรียน
ในการเตรียมงานใดๆ จำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนขององค์กร:
ก) หารือกับนักเรียนและผู้บริหารโรงเรียนถึงลักษณะและเนื้อหาของงาน เวลาและสถานที่ในการจัดงาน
b) เลือกเนื้อหาที่จำเป็น พัฒนาบท แจกจ่ายบทบาทให้กับนักเรียน แต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านดนตรีและศิลปะ ฯลฯ
c) เขียนประกาศและกำหนดการ ส่งการ์ดเชิญ
d) กำหนดองค์ประกอบของคณะลูกขุนและเงื่อนไขในการสรุปผลการแข่งขันและเกม
e) ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์วอลล์หรือวิทยุกระจายเสียง
g) จัดระเบียบงานเกี่ยวกับสคริปต์โดยใช้ TSO การซ้อม ฯลฯ
นอกจากนี้จำเป็นต้องฝึกฝนสื่อภาษาที่จะใช้ในงานด้วย ดังนั้นงานในชั้นเรียนและนอกหลักสูตรในสาขาวิชานี้ควรสร้างระบบที่เป็นหนึ่งเดียว ความจำเป็นในการเชื่อมโยงห้องเรียนและกิจกรรมนอกหลักสูตรถูกกำหนดโดยการพิจารณาอีกประการหนึ่ง เป็นที่ทราบกันดีว่าในระยะกลาง ความสนใจในภาษาต่างประเทศและระดับแรงจูงใจลดลงทั้งด้วยเหตุผลเชิงวัตถุประสงค์และเชิงอัตวิสัย เพื่อป้องกันสิ่งนี้ ครูสามารถทำอะไรได้หลายอย่างด้วยความช่วยเหลือของ VR ในวิชานั้นๆ ซึ่งจำเป็นในกรณีที่ไม่มีสภาพแวดล้อมทางภาษา
วรรณกรรม:
Mokrousova G.I. , Kuzovleva N.E. องค์กร VR ในภาษาเยอรมัน - ม., 2532. 25-28. ซาวิน่า เอส.เอ็น.การวางแผน VR เป็นภาษาต่างประเทศ
งานการศึกษานอกหลักสูตรมีพื้นฐานมาจากระบบการวางแผนที่รอบคอบและชัดเจน
แผนการทำงานนอกหลักสูตรในวิชานี้จัดทำขึ้นโดยครูเมื่อต้นปีการศึกษาโดยคำนึงถึงแผนทั่วทั้งโรงเรียน ครูสอนภาษาต่างประเทศควรวางแผนกิจกรรมควบคู่ไปกับหัวข้อที่เรียนในบทเรียน
ศูนย์จัดงาน TL ทั้งหมดในภาษาต่างประเทศที่โรงเรียนอาจเป็น Foreign Language Lovers Club แผนงานประจำปีได้มีการหารือกันในการประชุมของสมาคมระเบียบวิธีของครูภาษาต่างประเทศ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากฝ่ายบริหารของโรงเรียน และเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานด้านการศึกษาของโรงเรียน
การจัดทำแผนเริ่มต้นด้วยการระบุเป้าหมายที่จะต้องทำให้สำเร็จ แต่ละงานมีเป้าหมายของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ได้ถูกกำหนดไว้ในแผนงานทั่วไป แต่อยู่ที่การพัฒนาเฉพาะของแต่ละงาน
แผนการจัดงานเฉพาะเจาะจงระบุเป้าหมายต่อไปนี้:
การปฏิบัติ: ทักษะและความสามารถใดบ้างที่ต้องได้รับการพัฒนาหรือปรับปรุงในระหว่างกิจกรรม เช่น การรวบรวมคำศัพท์ในหัวข้อในเกม พัฒนาทักษะการอ่านในระหว่างการแข่งขัน ฯลฯ
การศึกษา: การก่อตัวของลักษณะนิสัยลักษณะบุคลิกภาพใดที่ได้รับการอำนวยความสะดวกโดยการมีส่วนร่วมของเด็กนักเรียนในเหตุการณ์นี้
ทางการศึกษา: นักเรียนจะได้รับความรู้ใหม่อะไรบ้าง (ขยายขอบเขตความรู้ทางปรัชญาทั่วไป)
พัฒนาการ: ทักษะทางปัญญาอะไร, การทำงานของจิตใจอะไร, อารมณ์ไหนที่ควรพัฒนา
แต่ละเหตุการณ์ต้องผ่านสามขั้นตอน: ก) การเตรียมการ; b) การจัดงาน; c) สรุป (การวิเคราะห์) ในแต่ละขั้นตอน ครูจะต้องกำหนดประเภทของงานที่จำเป็น งานหรือคำแนะนำที่รับผิดชอบในการทำงานให้เสร็จสิ้น กำหนดเวลา
ในส่วน "การจัดกิจกรรม" จะมีการเขียนสคริปต์โดยละเอียด และในส่วน "การสรุป" - วิธีทำเครื่องหมายผู้เข้าร่วมที่กระตือรือร้นมากที่สุด
ทุกปี การพัฒนากิจกรรมที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้จะได้รับการแก้ไข ขึ้นอยู่กับระดับการเตรียมตัว ความสามารถ และความสนใจของนักเรียนในชั้นเรียนที่กำหนด บ่อยครั้งที่ต้องมีการอัปเดตและเสริมเนื้อหา ดังนั้น VR จึงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
หลักการจัด VR เป็นภาษาต่างประเทศ
หลักการ (ละติน Principium - พื้นฐาน, ต้นกำเนิด) คือตำแหน่งพื้นฐานที่เป็นจุดเริ่มต้นซึ่งกิจกรรมหรือทฤษฎีบางประเภทถูกสร้างขึ้น
การทำงานของระบบ VR ในเรื่องใดก็ตามจะขึ้นอยู่กับหลักการและข้อกำหนดเฉพาะหลายประการ ที่สำคัญที่สุด:
1. หลักการเชื่อมโยงกับชีวิต การนำหลักการนี้ไปใช้ทำให้สามารถรับประกันความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดระหว่าง VR ในภาษาต่างประเทศกับสภาพความเป็นอยู่และกิจกรรมของเด็ก จำเป็นต้องใช้หลักการนี้:
ก) แนะนำนักเรียนอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันในประเทศของเราและประเทศของภาษาที่กำลังศึกษา จัดธีมตอนเย็นและการประชุมวันครบรอบ ฯลฯ
b) การใช้สื่อประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างกว้างขวางในการเปิดเผยหัวข้อต่างๆ เช่น "ผู้คนที่โดดเด่นในเมืองของเรา", "ประวัติศาสตร์เมืองของเรา", "อาชีพในอนาคตของฉัน", "ถนนตั้งชื่อตามพวกเขา" ฯลฯ การจัดทัศนศึกษา ในภาษาต่างประเทศ (ไปสวนสาธารณะ, พิพิธภัณฑ์, รอบเมือง);
c) จัดการประชุมกับผู้ที่ใช้ภาษาต่างประเทศในกิจกรรมทางวิชาชีพกับเจ้าของภาษา การอ่านและการฟังข้อความเกี่ยวกับการใช้ภาษาต่างประเทศของบุคคลที่โดดเด่น - ในอดีตและร่วมสมัยของเรา
d) การรวมเนื้อหาเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศไว้ในกิจกรรมทั่วทั้งโรงเรียน
f) ดึงดูดวัสดุจากการโต้ตอบกับเพื่อนต่างชาติ
ปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดของพื้นที่ทั้งหมดเหล่านี้กับกระบวนการศึกษาทำให้ระบบ VR ทำงานได้ในภาษาต่างประเทศ
2. หลักกิจกรรมการสื่อสารของนักเรียน การสื่อสารในกิจกรรมนอกหลักสูตรแตกต่างจากการสื่อสารในบทเรียนภาษาต่างประเทศ - นี่เป็นเพราะความแตกต่างในเป้าหมายและสภาพการปฏิบัติงาน กระบวนการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศรวมถึงการสอนสื่อคำพูดภาษาต่างประเทศ (วิธีการสื่อสาร) และการเรียนรู้ที่จะสื่อสารด้วยตัวมันเอง ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องเป็นตัวแทนในกระบวนการศึกษา VR เน้นทักษะการพูดที่มีอยู่แล้วเป็นหลักและมีส่วนช่วยในการพัฒนาต่อไป
ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับกิจกรรมการสื่อสารที่สูงขึ้นของนักเรียนใน VR คือโอกาสในการเลือกประเภทกิจกรรมที่น่าสนใจและเข้าถึงได้มากขึ้น: การอ่านหนังสือในภาษาต่างประเทศ การอภิปรายเกี่ยวกับพวกเขา การมีส่วนร่วมในการผลิตละคร การเรียนรู้เพลง ฯลฯ
กิจกรรมประเภทต่างๆ ไม่เพียงกระตุ้นกิจกรรมการสื่อสาร แต่ยังรวมถึงเนื้อหาด้วย การใช้สื่อใหม่ๆ คุณค่าทางการศึกษา และความบันเทิงทำให้เกิดความจำเป็นในการสื่อสารระหว่างนักเรียน
สำหรับ VR จะมีการเลือกสื่อภาษาและคำพูดที่มีความสำคัญส่วนบุคคลสำหรับนักเรียน การแสดงภาพและ TSO ประเภทต่างๆ ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย มอบโอกาสในการยืนยันตนเองทางสติปัญญาและอารมณ์ การทำเช่นนี้ครูจะต้องแบ่งบทบาทในงานเพื่อให้ทุกคนได้แสดงด้านที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเอง สังเกตเห็นความสำเร็จของนักเรียนทันเวลาและให้กำลังใจเขา
คุณต้องจำเกี่ยวกับหลักการของกิจกรรมการสื่อสาร อายุลักษณะของนักเรียน
ในเกรด 5-6 กิจกรรมการสื่อสารของนักเรียนได้รับการสนับสนุนจากความแปลกใหม่ของวิชา ความยินดีในการเข้าร่วมกิจกรรม การประเมินผล และการให้กำลังใจ ในขณะเดียวกัน นักเรียนก็ไม่ค่อยสนใจเนื้อหาของคำกล่าวนี้
ในเกรด 7-8 นักเรียนวิพากษ์วิจารณ์ความสามารถในการพูดภาษาต่างประเทศแบบดั้งเดิมที่ถูกบังคับ พวกเขาสังเกตเห็นว่าสถานการณ์ในการสื่อสารนั้นผิดทางจิตวิทยา ช่วงของคำพูดในภาษาแม่และภาษาต่างประเทศแตกต่างกันมาก และคำพูดในภาษาต่างประเทศนั้นไม่ได้ให้ข้อมูลมากนัก การไม่สามารถแสดงความคิดและความรู้สึกเป็นภาษาต่างประเทศได้อย่างเต็มที่และการแลกเปลี่ยนที่ผิดธรรมชาติทำให้วัยรุ่นผิดหวัง
วัยเรียนระดับมัธยมปลายมีลักษณะที่ขัดแย้งกันระหว่างความต้องการการสื่อสารที่พัฒนาขึ้นและข้อจำกัดในการพูด เนื่องจากกลัวที่จะทำผิดพลาด เนื่องจากการประเมินความสามารถทางภาษาของตนเองอย่างมีวิจารณญาณ กิจกรรมการสื่อสารของนักเรียนมัธยมปลายถึงระดับสูงสุดในด้านความสนใจด้านความรู้ความเข้าใจและวิชาชีพ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีแนวทางที่แตกต่างในการจัดการ RD ประเภทต่างๆ สำหรับนักเรียนในภาษาต่างประเทศ
การปฏิบัติตามหลักการของกิจกรรมการสื่อสารเกี่ยวข้องกับการคำนึงถึงความแตกต่างในโครงสร้างบุคลิกภาพของนักเรียน ลักษณะเฉพาะของนักเรียนที่แสดงใน RD มีความหลากหลาย: บางคนมีการได้ยินที่พัฒนามาอย่างดีและมีความสามารถในการเลียนแบบ คนอื่น ๆ มีความจำเชิงตรรกะหรือเชิงกล พวกเขาจำเนื้อหาจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย นักเรียนบางคนอยู่ในประเภทสัญชาตญาณ-ไวต่อความรู้สึก ส่วนคนอื่นๆ อยู่ในประเภทมีเหตุผล-ตรรกะ ต้องใช้ลักษณะทางจิตที่กำหนดไว้แล้วของเด็กให้สูงสุดเพื่อที่จะเชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการ VR ในภาษาต่างประเทศควรมีส่วนช่วยในการพัฒนาข้อได้เปรียบส่วนบุคคลของนักเรียนแต่ละคน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หากครูไม่ปรับให้เข้ากับคุณลักษณะส่วนบุคคลโดยการลดความซับซ้อนของกิจกรรมนอกหลักสูตร แต่มองเห็นโอกาสในการพัฒนานักเรียนสร้างเงื่อนไขสำหรับการดำเนินการและปรับปรุงคุณลักษณะส่วนบุคคล
กิจกรรมการสื่อสารของนักเรียนใน VR ส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยความสามารถของครูในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเด็กๆ และให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขา
3. หลักการคำนึงถึงระดับความพร้อมทางภาษาของนักเรียนและความต่อเนื่องในการเรียนภาษาต่างประเทศ เช่นเดียวกับในห้องเรียน ใน VR จำเป็นต้องบรรลุการใช้ทักษะการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอย่างมีสติ การก่อตัวของความสนใจของเด็กในเรื่องนั้นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจเนื้อหาของเนื้อหาและความเต็มใจของนักเรียนที่จะรวมเนื้อหานั้นไว้ในข้อความของพวกเขา
การปรากฏตัวของความยากลำบากมากเกินไปในเนื้อหาภาษา (คำที่ไม่คุ้นเคยมากมาย ปรากฏการณ์ทางไวยากรณ์) ทำให้เด็ก ๆ เบื่อหน่าย และลดคุณค่าทางการศึกษาของ VR ในระหว่างชั้นเรียนชมรม ครูควรรู้สึกถึงระดับความยากที่ยอมรับได้เสมอ ซึ่งเกินกว่าจะเปลี่ยนกิจกรรมนอกหลักสูตรให้เป็นบทเรียน
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางภาษาในกิจกรรมนอกหลักสูตร จำเป็นต้องมีการเชื่อมต่ออย่างใกล้ชิดกับบทเรียนภาษาต่างประเทศ VR ควรเป็นวิธีหนึ่งในการจัดระบบเนื้อหาและปรับปรุงประสบการณ์กิจกรรมภาษาต่างประเทศของนักเรียน ความต่อเนื่องระหว่างงานในชั้นเรียนและงานนอกหลักสูตรผสมผสานแรงจูงใจของกิจกรรมการศึกษาและกิจกรรมนอกหลักสูตรและทำให้สามารถนำความรู้ที่ได้รับในชั้นเรียนไปใช้จริงได้
เมื่อระบุข้อบกพร่องของนักเรียนในการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ครูได้จัดกิจกรรมใน VR โดยมีเป้าหมายเพื่อกำจัดข้อบกพร่องเหล่านี้ เช่น การแข่งขันสัทศาสตร์ต่างๆ การเรียนรู้สุภาษิต การบิดลิ้น และบทกวี จะช่วยขจัดข้อผิดพลาดในการออกเสียง ความเข้าใจในการฟังคำพูดภาษาต่างประเทศที่ไม่ดีจะถูกกำจัดออกไปโดยการฟังข้อความที่น่าสนใจอย่างกว้างขวางพร้อมคำศัพท์ที่สนับสนุน การสร้างภาพ การใช้การแสดงละคร ฯลฯ ความรู้คำศัพท์ในหัวข้อที่ไม่ดีสามารถแก้ไขได้โดยการจัดเกม การแข่งขัน ฯลฯ
ใน VR มีโอกาสที่แท้จริงในการชดเชยข้อบกพร่องในเนื้อหาของบทเรียน ตัวอย่างเช่น ในหัวข้อ “ประเทศของภาษาที่กำลังศึกษา” สามารถดำเนินกิจกรรมชุดหนึ่งเพื่อพัฒนาองค์รวมและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับประเทศของภาษาที่กำลังศึกษาจากข้อเท็จจริงและข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และเพื่อ สร้างทัศนคติบางอย่างต่อสิ่งนั้น
ความต่อเนื่องของบทเรียนภาษาต่างประเทศและความเป็นจริงเสมือนในวิชานี้ไม่ได้หมายถึงการทำซ้ำหัวข้อรูปแบบและวิธีการทำงาน ภายในหัวข้อโปรแกรมแต่ละหัวข้อ คุณสามารถระบุหัวข้อย่อยที่น่าสนใจที่สุดสำหรับนักเรียนเพื่อใช้นอกบทเรียนได้
4. หลักการคำนึงถึงลักษณะอายุของนักเรียน ประสิทธิผลของ VR ในภาษาต่างประเทศนั้นขึ้นอยู่กับความสอดคล้องของเนื้อหา รูปแบบ และวิธีการกับขั้นตอนของการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศและลักษณะทางจิตสรีรวิทยาของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่
ระยะเริ่มแรกของการจัด TS เป็นภาษาต่างประเทศตรงกับช่วงวัยรุ่นตอนต้น เด็กนักเรียนในวัยนี้ไม่สามารถทนต่อสิ่งเร้าที่ซ้ำซากจำเจที่แข็งแกร่งและยาวนานหรือควบคุมกระบวนการกระตุ้นและการยับยั้งได้ องค์ประกอบที่เป็นรูปธรรมและเป็นรูปเป็นร่างยังคงมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างการคิด ในบางกรณี การแสดงความรู้สึกมีผลกระทบมากกว่าการแสดงด้วยวาจา บางครั้งเด็กนักเรียนมีปัญหาในการแยกความหมายของคำที่มองเห็นได้ กิจกรรมและความหุนหันพลันแล่นของนักเรียนมักนำไปสู่ความไม่แน่นอนของความสนใจและทำให้เสียสมาธิอย่างรวดเร็ว ความสนใจมักเกิดขึ้นโดยไม่สมัครใจ เพื่อจัดระเบียบความสนใจของนักเรียนใน VR มีการใช้เกมโดยเฉพาะเกมที่ใช้งานอยู่ในตอนท้ายของบทเรียน นาทีพลศึกษาเมื่อมีสัญญาณของความเหนื่อยล้าปรากฏขึ้น การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมบ่อยครั้ง และการใช้อุปกรณ์ช่วยการมองเห็นประเภทต่างๆ: ภาพ ( รูปภาพ ภาพถ่าย การทำสำเนา ฯลฯ) อิงตามวัตถุ (ของเล่น) เค้าโครง วัตถุ ฯลฯ) จลน์ศาสตร์ (การเคลื่อนไหว ท่าทาง การแสดงสีหน้า ฯลฯ) ตลอดจนวิธีการทางโสตทัศนอุปกรณ์
สำหรับนักเรียนวัยนี้ แรงจูงใจในการทำกิจกรรมไม่ได้ถูกกำหนดโดยสำนึกในหน้าที่หรือแผนชีวิต แต่โดยความสนใจในกิจกรรมนั้นเอง ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบายอย่างลึกซึ้งเกินไปถึงความสำคัญทางสังคมและส่วนบุคคลของภาษาต่างประเทศ การให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า เพื่อให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้รับ
VR ประเภทโปรดสำหรับเด็กนักเรียนในยุคนี้: การอ่านบทกวีที่สื่อความหมาย การเรียนรู้เพลงในภาษาต่างประเทศ บทสนทนาและนิทานที่เป็นละคร การแสดงเกม การแข่งขัน การแข่งขันเป็นทีม การดูสไลด์ การทำงานในโรงละครหุ่นกระบอก ฯลฯ ตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัย จำเป็นต้องสลับกิจกรรมที่ต้องมีกิจกรรมกับช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลาย และลดความเร็วและความเข้มข้นของกิจกรรมในช่วงท้ายบทเรียน
ขั้นตอนที่สองในการทำ VR เป็นภาษาต่างประเทศเกิดขึ้นพร้อมกับช่วงเวลาที่ยากลำบากทางการศึกษาและเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุด มีลักษณะเฉพาะคือความปรารถนาของนักเรียนในความเป็นอิสระ ความเป็นผู้ใหญ่ และความสามารถที่ไม่เพียงพอ (ขอบเขตอันแคบ ทักษะการรับรู้และการปฏิบัติที่ไม่สมบูรณ์ ความสามารถที่ยังไม่พัฒนาในการประเมินจุดแข็งของตนเองอย่างมีวิจารณญาณ) ในเวลาเดียวกันการก่อตัวของแนวคิดอุดมคติการพัฒนาจิตสำนึกทางศีลธรรมและการตระหนักรู้ในตนเองก็เกิดขึ้น
วัยรุ่นที่มีอายุมากกว่ามีความอ่อนไหวต่อพิธีการและทัศนคติแบบเหมารวมในการทำงาน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพิจารณาด้านเนื้อหาของ VR อย่างรอบคอบ (การเลือกข้อความ หนังสือ การจัดทำโปรแกรมสำหรับกิจกรรมนอกหลักสูตร) เมื่อสื่อสารกับเด็กในวัยนี้ จำเป็นต้องมีไหวพริบพิเศษ: เมื่อประเมินผลกิจกรรมของนักเรียน สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงการก้าวก่าย การดูแลเล็กๆ น้อยๆ ความต้องการที่หยาบคาย และคำสั่งเด็ดขาด ขณะเดียวกันก็ต้องมีการควบคุมและคำแนะนำที่มั่นคงและสม่ำเสมอจากครู เพื่อสร้างการติดต่อทางธุรกิจและอารมณ์กับวัยรุ่น จำเป็นต้องพูดคุยกับเขาอย่างเท่าเทียมกัน คำนึงถึงความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองที่เพิ่มมากขึ้น และแสดงความสนใจและความเคารพในบุคลิกภาพของเขา
เมื่อวางแผน VR คุณต้องจำไว้ว่าความสนใจของวัยรุ่นนั้นกว้างมาก ไม่มั่นคง และผิวเผิน ซึ่งบางครั้งก็ส่งผลเสียต่อกิจกรรมการศึกษา นี่เป็นเพราะความปรารถนาของวัยรุ่นที่จะรู้จักตัวเอง ทดสอบความแข็งแกร่งของเขา และกำหนดความสนใจหลักของเขา จึงไม่เต็มใจของวัยรุ่นที่จะเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่น่าสนใจสำหรับพวกเขา วัยรุ่นสามารถหลงใหลในเกมสวมบทบาทที่เลียนแบบสถานการณ์การสื่อสารที่แท้จริง ซึ่งต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และด้นสด ซึ่งก็คือสิ่งที่มีส่วนช่วยในการยืนยันตนเอง นี่อาจเป็นเกมการแถลงข่าว การมาถึงของนักท่องเที่ยวจากประเทศภาษาที่กำลังศึกษา การแข่งขัน การแข่งขันโดยใช้ TSO และทัศนวิสัย งานศิลปะและวรรณกรรม
VR ในภาษาต่างประเทศในขั้นตอนนี้มีลักษณะเป็นใจความ - นี่เป็นเพราะการสะสมของเนื้อหาทางภาษาและการจัดระเบียบเฉพาะเรื่อง
VR ขั้นตอนที่สามในภาษาต่างประเทศตรงกับช่วงวัยรุ่นตอนต้นซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเจริญเติบโตและการสร้างบุคลิกภาพ นี่เป็นยุคที่มีการถกเถียงกันมาก การเติบโตของวุฒิภาวะทางสังคมล้าหลังการพัฒนาทางกายภาพ การขาดประสบการณ์ชีวิตและความปรารถนาในการยืนยันตนเอง ความขัดแย้งระหว่างแรงบันดาลใจของแต่ละบุคคลกับความสามารถ ลักษณะและความสามารถของเขา ระหว่างความต้องการส่วนบุคคลและความรับผิดชอบทางศีลธรรมเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาจิตใจของแต่ละบุคคล
การก่อตัวของบุคลิกภาพของนักเรียนมัธยมปลายนั้นถูกกำหนดโดยความปรารถนาในการตัดสินใจด้วยตนเองและการสร้างมุมมองแบบองค์รวมของโลกรอบตัวเขา แรงจูงใจที่มั่นคงที่สุดที่ให้ความหมายที่สำคัญแก่กิจกรรมทั้งหมดของนักเรียนมัธยมปลายนอกชั้นเรียนคือแนวคิดเรื่องอาชีพในอนาคต
โอกาสในการตอบสนองความสนใจทางปัญญาผ่านภาษาต่างประเทศและการพึ่งพา "การแข่งขัน" หรือแรงจูงใจเชิงบวกส่วนบุคคลล้วนๆ (คำชมเชย การให้กำลังใจ รางวัล) กระตุ้นนักเรียน ในขั้นตอนนี้เองที่นักเรียนได้รับความสนใจเป็นพิเศษในด้านการปฏิบัติของการเรียนภาษาต่างประเทศ: ความสามารถในการเข้าใจคำแนะนำในการใช้เครื่องใช้ในครัวเรือน คำอธิบายประกอบยา เครื่องสำอาง เนื้อหาของเพลง บทความในนิตยสารพิเศษ ฯลฯ ความรู้ที่ดีเกี่ยวกับความสนใจของนักเรียนทำให้พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรม VR - ชั้นเรียนของสโมสร ธีมตอนเย็น แบบทดสอบ ดิสโก้ ฯลฯ
วิธีปฐมนิเทศนักเรียนมัธยมปลายให้รู้จักการใช้ภาษาต่างประเทศในสาขาวิชาเฉพาะที่ตนเลือก ได้แก่:
พบปะผู้เชี่ยวชาญที่ต้องการความรู้ภาษาต่างประเทศ นักสะสม นักท่องเที่ยว เจ้าของภาษา ฯลฯ
การออกแบบจุดแนะแนวอาชีพ
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการแปลวรรณกรรมและเทคนิคประเภทต่างๆ
วิธีการสร้างแรงจูงใจอย่างมืออาชีพทั้งหมดนี้สามารถนำไปใช้ในการทำงานของแวดวงภาษาต่างประเทศได้
การรู้และคำนึงถึงลักษณะอายุโดยทั่วไปของนักเรียนทำให้สามารถวางแผนระยะยาวของ TL ในภาษาต่างประเทศ กำหนดงานและวิธีการจัดองค์กรในแต่ละขั้นตอน
5. หลักการรวมรูปแบบการทำงานเป็นกลุ่ม กลุ่ม และรายบุคคล การเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับการสื่อสารภาษาต่างประเทศกับพันธมิตรที่หลากหลายในสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นงานที่สำคัญที่สุดของงานด้านการศึกษาและนอกหลักสูตรในภาษาต่างประเทศ
สนใจใน กิจกรรมร่วมกันแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วในวัยรุ่นรุ่นเยาว์ ความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับในทีม ความจำเป็นในการสื่อสารและมิตรภาพ มีส่วนทำให้พวกเขามีส่วนร่วมในการทำงานของสโมสรและในการเตรียมกิจกรรมนอกหลักสูตร ในยุคนี้ ความไว้วางใจและการสนับสนุนความคิดริเริ่มของนักเรียนมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ในวัยมัธยมปลาย มีการสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยมากขึ้นสำหรับการสื่อสารระหว่างบุคคล ความสนใจและงานอดิเรกร่วมกัน ความจำเป็นในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับครูมีส่วนทำให้เกิดความสามัคคีในทีม
ปัญหาบุคลิกภาพในทีมและปัญหาในการจัดการสื่อสารมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด รูปแบบการทำงานโดยรวมโดยไม่คำนึงถึงอายุของผู้เข้าร่วมมีอิทธิพลต่อการสร้างบุคลิกภาพและกำหนดการพัฒนาของทีมเอง นักเรียนจะเอาชนะข้อจำกัดทางจิตใจและแสดงให้เห็นถึงความโน้มเอียงและความสามารถของตนเองโดยทำกิจกรรมร่วมกัน
การจัดทำกิจกรรมรวมประกอบด้วยงานกลุ่มและงานเดี่ยว เมื่อจัดงาน กิจกรรมกลุ่มในงานนอกหลักสูตรมีความจำเป็นต้องคำนึงว่าบางครั้งกิจกรรมสร้างสรรค์ของนักเรียนและความสมดุลทางจิตใจของเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับการยอมรับจากทั้งทีม แต่ขึ้นอยู่กับความเห็นอกเห็นใจของเพื่อนสนิทของเขา ดังนั้นเมื่อจัดตั้งกลุ่มนักศึกษาจึงควรจัดให้มีเสรีภาพในการเลือกคู่ครอง อีกวิธีในการจัดตั้งกลุ่มคือการจัดกิจกรรมต่างๆ ตามความสนใจ ในระหว่างกิจกรรมร่วมกันจำเป็นต้องจัดให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันของผู้เข้าร่วมในกลุ่ม
กิจกรรมส่วนบุคคลนักเรียนในเงื่อนไข TL ในภาษาต่างประเทศมักจะมีลักษณะที่เป็นอิสระ ดังนั้นระบบการเตรียมนักเรียนให้พร้อม การใช้ TSO และการตรวจสอบคุณภาพของการดำเนินการจึงเป็นสิ่งจำเป็น ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการพัฒนาการควบคุมตนเองของนักเรียน พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการสอนเทคนิคที่มีเหตุผลและวิธีการทำกิจกรรม แสดงเป้าหมายและโอกาสเพื่อสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อการศึกษาเชิงลึกของวิชา
การทำให้ VT เป็นรายบุคคลในภาษาต่างประเทศเกี่ยวข้องกับการพัฒนางานที่ซ้ำซ้อนสำหรับผู้เข้าร่วม โดยเปลี่ยนงานเหล่านี้โดยคำนึงถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและเงื่อนไข เพื่อกระตุ้นกิจกรรมของนักเรียน ครูให้สิทธิ์ประเภทของกิจกรรมและเนื้อหา (บทบาทในการละเล่น หนังสืออ่าน บทกวีสำหรับการแข่งขัน ฯลฯ) ให้พวกเขามีส่วนร่วมในการจัดทำโปรแกรม กิจกรรมแต่ละรายการ การวางแผน VR ระบุ "ความสามารถพิเศษ" (ทักษะการร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรี อ่านอย่างชัดแจ้ง แปลบทกวีและร้อยแก้ว ฯลฯ) และใช้สิ่งเหล่านี้
กิจกรรมส่วนบุคคล กลุ่ม และส่วนรวมควรผสมผสานกันอย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งที่ดีที่สุดคือการรวมไว้ในขั้นตอนหนึ่งของกิจกรรมส่วนบุคคลและกลุ่มในกิจกรรมรวมซึ่งเป็นผลมาจากการที่แรงจูงใจส่วนบุคคลถูกรวมเข้ากับแรงจูงใจของทีม
6. หลักการเชื่อมโยงสหวิทยาการในการทำ VR ความสำคัญของหลักการนี้เกิดจาก:
ก) ความสามัคคีของเป้าหมายสูงสุดของกระบวนการศึกษาทั้งหมด - การพัฒนาบุคลิกภาพของนักเรียน
b) ความสามัคคีของแก่นแท้ทางจิตวิญญาณของบุคคลที่ไม่สามารถศึกษาและสอนได้บางส่วน
ในการดำเนินการเชื่อมโยงสหวิทยาการ ข้อกำหนดประการหนึ่งของแนวทางการฝึกอบรมและการศึกษาอย่างเป็นระบบได้รับการยอมรับ เมื่อคำนึงถึงข้อกำหนดนี้ VT ในภาษาต่างประเทศควรดำเนินการอย่างใกล้ชิดกับวิชาวิชาการอื่น ๆ การใช้สื่อที่น่าสนใจเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี และวิชาอื่นๆ ในงานของชมรมภาษาต่างประเทศและการจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรช่วยเพิ่มการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศและช่วยเพิ่มความสนใจของนักเรียน
ความสัมพันธ์แบบสหวิทยาการได้รับความสำคัญเป็นพิเศษในระดับกลางและระดับสูงของการศึกษา สื่อภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่น ตัวแทนวรรณกรรมและศิลปะ ผลงานของพวกเขา ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศของภาษาที่กำลังศึกษานั้นมีคุณค่าอย่างยิ่งหากพวกเขาเสริมและเพิ่มพูนความรู้ที่ได้รับจากนักเรียนในระหว่างการศึกษาวิชาอื่น
หลักการที่ระบุทั้งหมดมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การนำหลักการหนึ่งไปปฏิบัตินั้นเป็นไปไม่ได้หากไม่สังเกตหลักการอื่น - นี่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่เป็นระบบ นอกจากหลักการเหล่านี้แล้ว ยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้:
การมีส่วนร่วมโดยสมัครใจของเด็ก ๆ ใน VR ในภาษาต่างประเทศ
การผสมผสานระหว่างความคิดริเริ่มและความคิดริเริ่มของเด็กกับบทบาทชี้นำของครู
การจัดองค์กรที่ชัดเจนและการเตรียมงานกิจกรรมที่วางแผนไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
การแสดงออกทางสุนทรีย์ ความบันเทิงและความแปลกใหม่ของเนื้อหา รูปแบบ และวิธีการทำงาน
ความพร้อมของเป้าหมายและโอกาสในการดำเนินกิจกรรม
การใช้วิธีการกระตุ้นการสอนกิจกรรมของนักเรียนอย่างกว้างขวาง
รูปแบบการดำเนินการ VR เป็นภาษาต่างประเทศ
รูปแบบของงานจำนวนมากอาจเป็นแบบเป็นตอนและเป็นช่วงๆ และแบบถาวรก็ได้
ตอนเย็น, รอบบ่าย, โอลิมปิก, การแข่งขัน, KVN, แบบทดสอบเป็นรูปแบบตอน ขึ้นอยู่กับหัวข้อ วัตถุประสงค์ และเงื่อนไขของงาน
ใจความ;
การพบปะกับผู้คนที่น่าสนใจ
รายงานสร้างสรรค์ของชมรม วิชาเลือก ชมรมคนรักภาษาต่างประเทศ
ร้านวรรณกรรมหรือดนตรี
สนุกสนานไปกับคอนเสิร์ตภาษาต่างประเทศ
ตอนเย็นจะจัดขึ้นทุกๆ หกเดือน โดยจะรวมอยู่ในแผนงานของโรงเรียน เนื่องจากมักจะจัดแบบขนานหรือสำหรับชั้นเรียนที่อยู่ติดกัน: เกรด 7-8, 10-11 เป็นต้น การเตรียมการหลักสำหรับช่วงเย็นดำเนินการโดย คณะกรรมการจัดงานประกอบด้วยครูและนักเรียนมัธยมปลาย
ในขั้นตอนการเตรียมการ มีการระบุธีม เวลา และสถานที่จัดงาน ร่างสคริปต์ เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ประกอบฉาก ดนตรีประกอบ และรางวัลต่างๆ เพื่อมอบรางวัลให้กับผู้ชนะ
ในขั้นตอนที่สอง มีการเตรียมการแสดงหลักตามโปรแกรม มีการซ้อม งานเดี่ยวจะดำเนินการกับเด็กนักเรียนที่แสดง มีการเตรียมประกาศและคำเชิญสำหรับแขก
ในขั้นตอนที่สาม - การดำเนินการตามโปรแกรมโดยให้รางวัลแก่ผู้เข้าร่วม
ในขั้นตอนสุดท้าย - การอภิปรายเกี่ยวกับผลลัพธ์ (อะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล ทำไม) กับคณะกรรมการจัดงานและครูสอนภาษาต่างประเทศ
โปรแกรมภาคค่ำในภาษาต่างประเทศควรมีความหลากหลาย ยามเย็นควรจัดขึ้นในบรรยากาศรื่นเริง หัวข้อของกิจกรรมควรมีความเกี่ยวข้องและตรงตามความสนใจด้านความรู้ความเข้าใจของนักเรียน สื่อภาษาควรเสริมสร้างประสบการณ์ทางภาษาของนักเรียนและในขณะเดียวกันก็ควรเข้าใจได้ เพื่อปลุกพลังนักศึกษา การแข่งขัน การแข่งขัน และแบบทดสอบจะจัดขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศ
มีประสิทธิผลในการกระตุ้นความสนใจในภาษาต่างประเทศ เควีเอ็นการประชุมถือเป็นวาระสุดท้ายหลังจากศึกษาหัวข้อเฉพาะหรือหลายหัวข้อแล้ว โปรแกรม KVN รวมถึงการแข่งขันต่างๆ: การร้องเพลง, บทกวี, ภาพประกอบสุภาษิตและคำพูด, การเขียนเรื่องราวร่วมกัน, การไขปริศนาอักษรไขว้ด้วยความเร็ว ฯลฯ KVN แตกต่างจากการแข่งขันอื่น ๆ ในคุณลักษณะบางอย่าง: ชื่อและคำขวัญของทีม คำทักทายจาก กัปตัน การบ้าน ฯลฯ
กิจกรรมมวลชน ได้แก่ “ สัปดาห์ (ทศวรรษ) ของภาษาต่างประเทศ» ที่โรงเรียน ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งทุกปี เช่น หลังวันหยุดฤดูหนาวหรือฤดูใบไม้ผลิ เมื่อเร็วๆ นี้ มักจะตรงกับวันที่ 26 กันยายน ซึ่งเป็นวันภาษายุโรป
มีการพัฒนาโปรแกรมพิเศษสำหรับแต่ละคลาสและคู่ขนาน ในช่วงวัน "สัปดาห์" อาจมีรายการวิทยุกระจายเสียงในภาษาต่างประเทศที่เรียนที่โรงเรียน นิทานตอนเย็น วรรณกรรมและดนตรีตอนเย็น การแข่งขัน แบบทดสอบ เปิดชั้นเรียนของชมรมในภาษาต่างประเทศ การประชุม ของชมรมคนรักภาษาต่างประเทศและเปิดบทเรียนภาษาต่างประเทศรูปแบบใหม่ “สัปดาห์/ทศวรรษของภาษาต่างประเทศ” จบลงด้วยคอนเสิร์ตยามเย็นหรือเทศกาลทั่วทั้งโรงเรียน
รูปแบบงานเป็นวงกลมเป็นรูปแบบองค์กรหลักของ VT ในภาษาต่างประเทศและโดดเด่นด้วยความมั่นคงขององค์ประกอบของผู้เข้าร่วมลักษณะงานที่เป็นระบบและวางแผนไว้ในห้องเรียน
งานวงกลมประเภทหนึ่งก็คือ เลขที่(สมาคมวิทยาศาสตร์ของนักเรียน) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 9-11 ที่แสดงความสนใจในการเรียนภาษาต่างประเทศเป็นพิเศษ บ่อยครั้งที่งานนี้ดำเนินการโดยความร่วมมือกับอาจารย์มหาวิทยาลัย ชั้นเรียนจัดขึ้นเดือนละสองครั้งและเน้นไปที่การศึกษาระดับภูมิภาคหรือภาษาศาสตร์ สมาชิกของ NOU เขียนบทคัดย่อ พัฒนาโครงการของตนเอง หรือมีส่วนร่วมในโครงการกลุ่ม สมาชิกของ NOU นำเสนอผลงานในการประชุมนักศึกษาประจำปี
รูปแบบการทำงานของสโมสรมีหลายอย่างเหมือนกันกับวงกลม ความแตกต่างอยู่ที่ว่าได้รวมงานกลุ่ม งานมวล และงานบุคคลทุกประเภทเข้าไว้ในระบบที่เชื่อมโยงกัน ชมรมภาษาต่างประเทศสมัครเล่นเป็นศูนย์จัดระเบียบและประสานงานด้าน VR ในการทำงาน สโมสรอาศัยกิจกรรมของส่วนต่างๆ ซึ่งแต่ละส่วนถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความสนใจร่วมกันของผู้เข้าร่วม: ส่วนของนักแปล การติดต่อทางจดหมาย คนรักศิลปะ ฯลฯ
รูปแบบการทำงานส่วนบุคคลมีส่วนช่วยในการระบุและพัฒนาความสามารถและความโน้มเอียงส่วนบุคคลของนักเรียน แบบฟอร์มนี้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ การใช้งานทั่วไปในงานแต่ละชิ้น ได้แก่ ท่องจำบทกวีและเพลง การเขียนบันทึก การทำงานตามบทบาท การออกแบบสื่อสำหรับนิทรรศการ การทำอัลบั้ม อุปกรณ์ช่วยการมองเห็น การจัดเตรียมรายงาน การแข่งขัน การแสดงในรายการช่วงเย็นและกิจกรรมอื่น ๆ
ทัศนศึกษา- หนึ่งในงานนอกหลักสูตรประเภทกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ ทัศนศึกษาภาษาต่างประเทศช่วยให้คุณใช้ภาษากับข้อความของนักเรียนที่เตรียมไว้และไม่ได้เตรียมตัวไว้ การทัศนศึกษาช่วยเพิ่มพูนคำศัพท์ของพวกเขา
การไปทัศนศึกษาภาษาต่างประเทศต้องมีการเตรียมการอย่างรอบคอบ ซึ่งรวมถึง:
1) การเลือกและการตรวจสอบวัตถุทัศนศึกษา
2) การเลือกคำศัพท์ที่นักเรียนคุ้นเคยและคำศัพท์ใหม่
3) การเชื่อมต่อเนื้อหาคำพูดที่ศึกษากับสถานการณ์ที่จะใช้ระหว่างการเดินทาง
4) ทำความคุ้นเคยกับนักเรียนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการทัศนศึกษาและแผนการดำเนินการ
5) การทำซ้ำเนื้อหาที่จำเป็น
6) การพัฒนางานบุคคลและงานกลุ่ม
7) การฝึกอบรมมัคคุเทศก์
การทำซ้ำเนื้อหาที่ศึกษาก่อนหน้านี้จะดำเนินการในบทเรียนหรือในชั้นเรียนแบบวงกลม
เมื่อสิ้นสุดการท่องเที่ยวแต่ละครั้ง ครูเตือนว่านักเรียนต้องเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่บ้านและให้การสนับสนุนในรูปแบบคำถาม หากนักเรียนถ่ายรูประหว่างทัศนศึกษา คุณสามารถเตรียมหนังสือพิมพ์หรืออัลบั้มติดผนังได้ ผลลัพธ์ของการทัศนศึกษาสามารถใช้เป็นหัวข้อสนทนาในชั้นเรียนหรือระหว่างเซสชั่นวงกลม
ระยะเวลาของการทัศนศึกษาภาษาต่างประเทศไม่ควรเกิน 45 นาที
ทัศนศึกษาสวนสาธารณะ (เกรด 6-7)
ส่งเสริมการพัฒนาคำพูดในหัวข้อ "ฤดูใบไม้ร่วง"
วันก่อน ครูจัดทำแผนการเดินทาง:
แนะนำนักเรียนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการทัศนศึกษาและงานต่างๆ
การสังเกตธรรมชาติและการสนทนาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เห็น
การรวบรวมใบไม้และดอกไม้สำหรับหอพรรณไม้
เดินในสวนสาธารณะ;
แลกเปลี่ยนความประทับใจ
รวบรวมเรื่องราวรวม “ฤดูใบไม้ร่วงในสวนสาธารณะ”
งานกลุ่มและงานเดี่ยวก่อนการเดินทาง:
1) รวบรวมวัสดุสำหรับสมุนไพร กาวใบไม้และดอกไม้ลงบนกระดาษหนา
2) เตรียมบันทึกสภาพอากาศ (หลายวันก่อนการเดินทาง)
3) ถ่ายภาพวัตถุทัศนศึกษาและนักเรียนระหว่างทัศนศึกษา;
4) เขียนบันทึกสำหรับหนังสือพิมพ์ติดผนัง (ปล่อยหนังสือพิมพ์ติดผนัง)
5) งานทั่วไป - ตอบคำถามหลังทัศนศึกษา:
War der Weg zum Park เป็นยังไงบ้าง?
Wie war das Wetter เป็นแท็ก Diesem?
Welche Bäume มีเรื่องอะไรบ้าง? คุณตายแล้ว Bäume im Park เหรอ?
คุณตายแล้ว Blumen และ das Gras เหรอ?
Habt ihr V ögel gesehen ? เอิร์ซ เอห์ลท์ ดาร์ อูเบอร์
หมวกนั่นเป็น Park gefallen เหรอ?
ความคืบหน้าของการทัศนศึกษา ระหว่างทางไปสวนสาธารณะ มัคคุเทศก์ (จากนักเรียนที่เก่งที่สุด) หรืออาจารย์เองเสนอให้พูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศในวันนั้น เกี่ยวกับสภาพอากาศในฤดูใบไม้ร่วงโดยทั่วไป เกี่ยวกับการเดินป่า ในสวนสาธารณะ และสอบถาม คำถามเช่น:
Gefällt euch das Wetter heute? Gehst du oft ใน den Wald หรือใน den Park? มิตรเราเหรอ? มัคสท์ ดู ดอร์ทเหรอ? ฯลฯ
ในสวนสาธารณะ โดยให้ความสนใจกับวัตถุแต่ละชิ้น ครูถามคำถาม: Ist der Park im Herbst sch ön? แล้วคุณล่ะ ? ตายบลูเมนเหรอ? คุณต้องการจะพูดอะไร? คุณสนใจ Wasser im Teich ไหม? และอื่น ๆ.
การแนะนำคำศัพท์ใหม่ ครูชี้ไปที่ต้นไม้เป็นภาษาเยอรมัน นักเรียนพูดซ้ำ: Das ist eine Birke (eine Espe, eine Pappel, eine L ärche ฯลฯ) จากนั้นครูขอให้นำใบไม้ของต้นไม้เหล่านี้มาให้เขา: Bringt mir ein Birkenblatt ฯลฯ เมื่อรับใบไม้ ครูถามว่า: Wie hei ßt dieses Blatt? Das Birkenblatt sch ön หรือเปล่า? Das Birkenblatt gelb ober gr ün ใช่หรือไม่ ? ฯลฯ
ระหว่างเดินนักเรียนเก็บใบไม้และดอกไม้ ครูตั้งชื่อเป็นภาษาเยอรมัน คำพูดซ้ำกันในการขับร้องและเป็นรายบุคคล ครูสนับสนุนให้นักเรียนถามกันเกี่ยวกับสิ่งที่ค้นพบ ในขณะที่เขาสามารถถามคำถามกับทั้งกลุ่มได้: Welche Blumen hat Dima gefunden? เป็น f ür ein Blatt ist das หรือไม่? Wie ตายแล้ว Blatt เหรอ? แล้วไงล่ะ? Welche Blumen หมวก Ira gepflückt? -ด้วยวิธีนี้ นักเรียนจะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ
ในระหว่างการเดิน ครูจะใช้สถานการณ์ที่กระตุ้นให้นักเรียนพูดออกมา คินเดอร์, ich habe eine sch öne Blume gefunden, seht her! ดาส ไอน์เน คามิลล์. - Aber das ist keine Kamille, das ist eine Asterมัน. ง.
เพื่อให้ได้รับข้อความที่มีรายละเอียดมากขึ้น ครูกระตุ้นพวกเขา: Kennt ihr die B äume gut? คุณคิดอย่างไรกับมัน ? ไหน เฮ่ย เซิน ซี่? Kennt ihr die V ögel ? คุณต้องการอะไรจาก Dieser Vogel? เฟรสเซ่นตายแล้ว วี โอเกลเหรอ? ไหน เฮ้ อิส ดาส บอม เหรอ? Welche Pilze kann มีใครคนหนึ่งชื่อ Bäumen im Wald ค้นพบบ้างไหม? ฉันคิดอย่างไรกับ Herbst gern และใช่หรือไม่? คุณคิดอย่างไรกับ Herbst gern?
ครูให้ความสนใจกับสัญญาณแห่งฤดูใบไม้ร่วง:
คุณชอบสวนสาธารณะหรือ Herbst ไหม? ตายแล้ว Blätter der Bäume เหรอ? แล้วคุณล่ะเป็นซอมเมอร์หรือเปล่า? คุณสนใจไหม? แล้วคุณล่ะ ฮิมเมล อิม ซอมเมอร์ล่ะ? วีใช่ Das Gras ใน Herbst หรือไม่? ฉันคือซอมเมอร์เหรอ? Wohin fliegen ตายแล้ว Vögel im Herbst? และอื่น ๆ.
เมื่อสิ้นสุดการทัศนศึกษา ครูสรุปผล เขาถามว่าพวกเขาสนุกกับการเดินเล่นในสวนสาธารณะหรือไม่ ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ อะไรบ้าง และพูดคุยเกี่ยวกับอะไรในสวนสาธารณะ ครูทำเครื่องหมายผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษารัสเซียในการตอบและผู้ที่ตอบคำถามได้ดีกว่า
ที่บ้าน นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับการทัศนศึกษา และเด็กกลุ่มหนึ่งตีพิมพ์หนังสือพิมพ์วอลล์เกี่ยวกับเรื่องนี้ สำหรับงานที่ดีระหว่างทัศนศึกษา เกรดจะรวมอยู่ในบันทึกด้วย
รูปแบบการแข่งขัน VR
ซึ่งรวมถึงการแข่งขัน แบบทดสอบ โอลิมปิก เกม KVN ฯลฯ VR ประเภทเหล่านี้รวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยความจริงที่ว่าในระหว่างกิจกรรมต่างๆ เด็กนักเรียนจะแสดงความคิดริเริ่ม ความปรารถนาที่จะรู้และสามารถทำได้มากกว่าคนอื่นๆ และความอยากรู้อยากเห็น การดำเนินการในรูปแบบการแข่งขันของ VR ช่วยให้ครูเน้นการทำซ้ำเนื้อหาที่เรียนไปก่อนหน้านี้ รวบรวมเนื้อหา และทำให้การเรียนเป็นเรื่องสนุก เมื่อเตรียมตัวสำหรับแบบทดสอบและการแข่งขัน คุณสามารถจัดงานอิสระของนักเรียนและกิจกรรมของนักเรียนที่มีลักษณะเป็นแรงจูงใจอย่างมีสติ ทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยในการจดจำที่ดีขึ้นและการประยุกต์ใช้สื่อภาษาต่างประเทศในทางปฏิบัติ
การเตรียมงานดังกล่าวไม่ต้องใช้เวลามากจึงสามารถจัดขึ้นเป็นประจำหลังจากจบหัวข้อสนทนาแล้ว การแข่งขันแต่ละรายการสามารถมีรูปแบบต่างๆ ได้ เช่น การแข่งขันด้านสัทศาสตร์หรือนักแปลที่เก่งที่สุด เป็นต้น ดังนั้นเป้าหมายของงานจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเนื้อหา
แบบทดสอบ (Wissentoto แบบทดสอบ)
นี่คือเกมตอบคำถาม ซึ่งมักจะเป็นหัวข้อทั่วไป ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพในการจัดการงานอิสระของนักเรียนในภาษาต่างประเทศ
แบบทดสอบจะจัดขึ้นในทุกขั้นตอนของการฝึกอบรม อาจขึ้นอยู่กับความรู้ในระดับภูมิภาค บางครั้งเป็นภาษาที่มีองค์ประกอบของภาษาศาสตร์ในระดับภูมิภาค แบบทดสอบยังสามารถพึ่งพาการเชื่อมต่อแบบสหวิทยาการ ไม่ว่าในกรณีใด เนื้อหาจะถูกกำหนดโดยชีวิตและประสบการณ์ทางการศึกษาของนักเรียน
ด้วยการค้นหาคำตอบสำหรับคำถาม นักเรียนจะขยายขอบเขตความรู้ทั่วไป ได้รับความรู้ในภูมิภาคเพิ่มเติม และในขณะเดียวกันก็พัฒนาทักษะทางภาษาของพวกเขา
เนื้อหาสำหรับแบบทดสอบอาจอยู่ในรูปแบบของปริศนา ปริศนา การทดสอบ ปริศนาอักษรไขว้ ฯลฯ ขอแนะนำว่าควรทำแบบทดสอบเป็นภาษาต่างประเทศ แต่หากอาจรบกวนการค้นพบความรู้ ก็ยอมรับการใช้ภาษาแม่ได้
แบบทดสอบเริ่มต้นด้วยการประกาศเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ในการประเมินคำตอบ จุดสนใจหลักของการประเมินอยู่ที่เนื้อหาของคำตอบ พิธีกรตอบคำถามอาจเป็นครูและนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง (ทำเครื่องหมายคำตอบบนกระดาน) คำตอบของนักเรียนต่อคำถามแบบทดสอบจะได้รับการประเมินโดยคณะลูกขุน ซึ่งโดยปกติจะประกอบด้วยนักเรียนมัธยมปลาย เมื่อเตรียมแบบทดสอบ ครูจะคิดเกินระดับการให้คะแนน: หนึ่งคำตอบ - หนึ่งคะแนนหากคำถามมีระดับความยากเท่ากัน หรือจำนวนคะแนนสำหรับคำถามกลุ่มต่างๆ จะแตกต่างกัน คำถามที่ยากที่สุดจะได้รับคะแนนสูงสุดและจะถูกเน้นในข้อความของแบบทดสอบด้วยเครื่องหมายดอกจันหรือแบบอักษร ผลลัพธ์จะถูกสรุปและประกาศต่อคณะลูกขุนหลังจากคำถามแต่ละกลุ่ม ในระหว่างการหยุดชั่วคราวนี้ คุณสามารถเดาปริศนา ร้องเพลง จำคำบิดเบี้ยว ฯลฯ
ในระยะเริ่มแรกของการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ขอแนะนำให้ทำแบบทดสอบการศึกษาทั่วไปที่ขยายความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับขอบเขตของภาษาต่างประเทศ ความแพร่หลายในโลก การโต้ตอบกับภาษารัสเซีย (การยืม คำศัพท์ต่างประเทศ ฯลฯ ). วัตถุประสงค์ของแบบทดสอบดังกล่าวคือเพื่อพัฒนาความสนใจทางภาษาโดยทั่วไปของนักเรียน ดึงดูดนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 นอกจากนี้ยังมีแบบทดสอบความบันเทิงและเกมอีกด้วย
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 8 “โรงเรียนในประเทศเยอรมนี”, “ประเทศที่พูดภาษาเยอรมัน”, “สถานที่ท่องเที่ยวของเมืองในเยอรมนี”
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 9 “ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของเยอรมนี”, “กวีและนักเขียนชาวเยอรมัน”
เกรด 10-11 “ศิลปะ (วรรณกรรมร่วมสมัย ดนตรี ทัศนศิลป์ ภาพยนตร์) แบบทดสอบสำหรับนักเรียนมัธยมปลายควรรวบรวมตามความสนใจทางวิชาชีพที่มีอยู่ในชั้นเรียน เช่น “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศที่กำลังศึกษา” “บุคคลดีเด่น” “กีฬาแห่งชาติ” ความสำเร็จด้านกีฬา” ฯลฯ
ไม่ว่าอายุจะเป็นอย่างไร ขอแนะนำให้รวมคำถามจากแบบทดสอบเกมเมื่อจัดงานช่วงเย็น การประชุมของชมรมภาษา หรือระหว่างชั้นเรียนของชมรม: ใครมากกว่ากัน...? ใครเร็วกว่า…? ใครแม่นกว่ากัน...? ฯลฯ ตัวอย่างเช่น ใครจะเป็นคนแรกที่ตั้งชื่อผู้แต่งบทกวี (ฟัง)? ใครจะเดาได้เร็วกว่าว่าเพลงนี้มาจากเพลงไหน? ใครสามารถบอกชื่อสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ (เมือง ประเทศ) และอื่น ๆ.
เมื่อใช้แบบทดสอบหัวข้อ นักเรียนสามารถเตรียมการสนทนาหรือรายงานหัวข้อของโปรแกรมได้ ข้อมูลใหม่ที่ได้รับระหว่างการเตรียมแบบทดสอบช่วยกระตุ้นการสื่อสารด้วยวาจา
หากคำถามต้องการคำตอบที่กว้างขวาง นักเรียนควรได้รับรายการคำและสำนวนที่สามารถใช้ได้ ก่อนที่จะทำแบบทดสอบ คุณจะต้องทบทวนเนื้อหาด้านไวยากรณ์และคำศัพท์ในหัวข้อนั้น
สามารถตอบคำถามด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เข้าร่วม เมื่อทำแบบทดสอบด้วยปากเปล่า จะมีการประเมินอัตราการพูด การออกเสียง ความถูกต้องทางไวยากรณ์ และคำศัพท์ - นี่เป็นการประเมินแยกต่างหาก ความถูกต้องของคำตอบ (จริง) จะถูกให้คะแนนแยกกัน ดังนั้นผู้เข้าร่วมแต่ละคนจะได้รับผลลัพธ์สองรายการสำหรับคำตอบของตน ทำเช่นนี้เพื่อให้เด็กนักเรียนที่มีความรู้ภาษาต่างประเทศทุกระดับสามารถมีส่วนร่วมในการตอบคำถามได้
ในโรงเรียนที่มีการศึกษาภาษาต่างประเทศอย่างเจาะลึก นักเรียนสามารถตอบคำถามแบบทดสอบโดยละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรได้ (พัฒนาการเขียน) ในขณะเดียวกัน คุณภาพของคำตอบที่เป็นลายลักษณ์อักษร (ความถูกต้องทางไวยากรณ์และการสะกดคำ การใช้คำศัพท์) จะได้รับการประเมินแยกกัน
การออกแบบแบบทดสอบมีความสำคัญอย่างยิ่งในการปลุกเร้าความสนใจของนักเรียนในแบบทดสอบ โดยควรดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาที่จะค้นหาคำตอบสำหรับคำถาม เพื่อจุดประสงค์นี้โสตทัศนูปกรณ์ประเภทต่าง ๆ ถูกนำมาใช้เพื่อให้นักเรียนทราบถึงประเทศของภาษาที่กำลังศึกษา (ภูมิประเทศ วันหยุด ประเพณีและประเพณี วิถีชีวิต ฯลฯ ) เพื่อเตรียมตัวสอบ นักเรียนจะได้รับรายการข้อควรอ่านที่แนะนำหากจำเป็น
สิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อกระบวนการศึกษาคือแบบทดสอบที่นักเรียนรวบรวมเองโดยอิงจากเนื้อหาจากตำราเรียนและวรรณกรรมเพิ่มเติม
ตัวอย่างคำถามตอบคำถามเกี่ยวกับบทบาทและความสำคัญของภาษาต่างประเทศในชีวิตมนุษย์และสังคม (เกรด 7-8)
วัตถุประสงค์ทางการศึกษา: ขยายขอบเขตทางปรัชญาของนักศึกษา
วัตถุประสงค์ทางการศึกษา: เรียนรู้การทำงานอย่างระมัดระวังกับแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม (วรรณกรรม อินเทอร์เน็ต)
1. Cipollino และ Pinnochio พูดภาษาอะไร Sherlock Holmes? นักดนตรีเมืองเบรเมน? สามทหารเสือ? มิกกี้เมาส์? ดอน กิโฆเต้? บารอน มันเชาเซ่น? เคานต์แห่งมอนเตคริสโต? จนถึง Eulenspiegel? (9 คะแนน)
2. ตัวละครที่คุณชื่นชอบพูดภาษาอะไร? พวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศอะไร?
3. Stirlitz พูดภาษาอะไรได้อย่างสมบูรณ์แบบ? (1 คะแนน)
4. ภาษาต่างประเทศภาษาใดที่นักเดินเรือจากทั่วโลกใช้บ่อยที่สุด และเพราะเหตุใด (1 คะแนน)
5. คำที่มาจากภาษารัสเซียมาจากภาษาใด: กระเป๋าเป้สะพายหลัง, แรลลี่, รักบี้, นักบัญชี, เน็คไท, ฟุตบอล, ยุติธรรม, หมุนหมายเลข, สิ่งกีดขวาง, อันธพาล, แซนด์วิช? (11 คะแนน)
6. ผู้เชี่ยวชาญควรทำงานภาษาต่างประเทศภาษาใด: ก) ปริญญาโทในอินเดีย? b) ในคิวบา; ค) ในแคนาดา ง) ในออสเตรเลีย ง) ในออสเตรีย? (5บ.)
7. ใครสามารถบอกชื่อนักร้องต่างประเทศชื่อดังที่แสดงเพลงเป็นภาษาเยอรมัน (อังกฤษ) ได้มากกว่านี้?
8. ภาษาที่คุณกำลังศึกษาอยู่ในประเทศใด ก) ภาษาราชการ; b) แพร่หลาย?
9. ผู้คนจำเป็นต้องรู้ภาษาต่างประเทศที่คุณกำลังเรียนอยู่มีความเชี่ยวชาญพิเศษอะไรบ้าง?
10. บอกชื่อนักเขียน (นักวิทยาศาสตร์ นักแต่งเพลง ศิลปิน) ที่พูด (พูด) ภาษาที่คุณกำลังศึกษา ใครจะตั้งชื่อเพิ่มเติม?
11. ทำไมคุณถึงคิดว่าคำที่มาจากต่างประเทศปรากฏเป็นภาษารัสเซีย? มีคำอะไรบ้างที่ปรากฏเมื่อเร็ว ๆ นี้? (5บ.)
12. ภาษาที่คุณกำลังศึกษาถือเป็นภาษาสากลหรือไม่? ทำไม (5บ.)
คำตอบสำหรับคำถามที่ 2, 7, 8, 9, 10 จะได้รับคะแนนขึ้นอยู่กับปริมาณของคำตอบ: แต่ละชื่อมีค่าหนึ่งคะแนน
งานภาคปฏิบัติ:พัฒนาแบบทดสอบตามย่อหน้าหนึ่งของหนังสือเรียนสำหรับเกรด 7-11 กำหนดเป้าหมายของแบบทดสอบและเสนอระดับคะแนน
วรรณกรรม:
Mokrousova G.I. , Kuzovleva N.E. องค์กร VR ในภาษาเยอรมัน - ม., 2532. หน้า 86-89.
Rogova G.V., Rabinovich F.M., Sakharova T.E. วิธีการสอนภาษาต่างประเทศในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น - อ.: การศึกษา, พ.ศ. 2534 หน้า 271-272.
Savina S.N. งานนอกหลักสูตรในภาษาต่างประเทศในโรงเรียนมัธยม - ม., 1991.
การประกวด (เวทท์เบียร์บ )
การแข่งขันจะจัดขึ้นเป็นกิจกรรมอิสระหรือรวมอยู่ในโปรแกรมช่วงเย็นหรือรอบบ่าย สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเรื่องขำขัน ขี้เล่น หรือถือเป็นเหตุการณ์สำคัญก็ได้ ตามอัตภาพพวกเขาสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม:
ก) การแข่งขันภาษา - เปิดเผยระดับความสามารถในภาษาต่างประเทศ
b) การแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ - พัฒนากิจกรรมศิลปะสมัครเล่นในภาษาต่างประเทศ
การแข่งขันภาษา:
สำหรับผู้เชี่ยวชาญในด้านคำศัพท์ ไวยากรณ์
เพื่อความเข้าใจเนื้อหาที่ดีขึ้น (ฟังหรืออ่าน)
สำหรับจดหมายที่ดีที่สุดถึงเพื่อน เรียงความ (คำพูดที่เป็นลายลักษณ์อักษร);
สำหรับคู่สนทนาที่ดีที่สุด (คำพูดบทสนทนา) ข้อความที่ดีที่สุดในหัวข้อ (คำพูดคนเดียว) ฯลฯ
การแข่งขันสร้างสรรค์:
สำหรับการแปลวรรณกรรมที่ดีที่สุด (บทกวี ร้อยแก้ว)
เพื่อการแสดงละครที่ดีที่สุด
การอ่านบทกวีที่แสดงออก
การแสดงเพลงเป็นภาษาต่างประเทศ ฯลฯ
การแข่งขันที่ทีมจากชั้นเรียนและโรงเรียนต่างๆ เข้าร่วมมีความสำคัญอย่างยิ่ง - เพื่อการออกแบบห้องเรียนภาษาต่างประเทศที่ดีที่สุด ย่อมาจากใจความ; สำหรับเวทีเพลง การแสดง รายการคอนเสิร์ต ฯลฯ ที่ดีที่สุด
เมื่อจัดการแข่งขัน คุณต้องคำนึงถึงขั้นตอนการฝึกซ้อมด้วย:
เกรด 5-7 - การแข่งขันคำศัพท์และการออกเสียง สำหรับการอ่านที่แสดงออก สำหรับบทเพลงและบทกวีที่ดีที่สุด การแสดงฉาก บทละคร บทสนทนา
เกรด 8-9 - การแข่งขันเพื่อเรื่องราวที่ดีที่สุด คำอธิบายรูปภาพ การแสดงเพลง สำหรับจดหมายที่ดีที่สุดถึงเพื่อนชาวต่างชาติ หนังสือพิมพ์ติดผนังเฉพาะเรื่องที่ดีที่สุด ฯลฯ
เกรด 10-11 - การแข่งขันเพื่อการแปลที่ดีที่สุด (วาจาและการเขียน) ภาพต่อกันและข้อความที่ดีที่สุดในหัวข้อ บทคัดย่อเรียงความที่ดีที่สุด เพื่อการเจรจาที่ดีขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ที่มีปัญหา ฯลฯ
ในระหว่างการแข่งขัน นักเรียนจะได้เรียนรู้ที่จะประเมินผลงานของตนเองและของเพื่อนๆ และวิธีการรับรู้คำวิจารณ์อย่างเหมาะสม
ข้อกำหนดในการเตรียมและจัดการแข่งขัน
2) นักศึกษาต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งขันล่วงหน้า ทำความคุ้นเคยกับเงื่อนไขและเกณฑ์การประเมินพร้อมตัวอย่างการปฏิบัติงานที่คล้ายคลึงกัน ระบุวัสดุที่จะทำซ้ำ หากจำเป็น ให้จัดการให้คำปรึกษา - ไม่กี่นาทีระหว่างหรือหลังเลิกเรียน
3) การแข่งขันควรมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาในทางปฏิบัติ - การพัฒนาทักษะใน RD ประเภทต่างๆ งานการแข่งขันจะต้องเน้นการสื่อสาร
ในขณะเดียวกันงานด้านการศึกษาก็ได้รับการแก้ไขด้วย:
1) เพื่อสร้างความจำเป็นในการศึกษาภาษาต่างประเทศเพื่อการประยุกต์ใช้ทักษะความรู้ในทางปฏิบัติ
2) ขยายขอบเขตอันไกลโพ้นทั่วไปของนักเรียน
3) ส่งเสริมการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การเคารพซึ่งกันและกัน ความร่วมมือเมื่อทำงานเป็นทีม
โดยปกติแล้วจะมีหลายทีมเข้าร่วมการแข่งขัน เนื้อหาของงานเขียนบนการ์ดขนาดใหญ่ ถ้อยคำของงานควรมีความชัดเจนและไม่คลุมเครือ ในการจัดการแข่งขัน จะมีการจัดสรรผู้นำเสนอสองคน (นักเรียนมัธยมปลาย) จำนวนผู้ช่วยขึ้นอยู่กับจำนวนทีม คณะลูกขุนประกอบด้วยสมาชิกจำนวนคี่ (ครูและนักเรียนมัธยมปลาย) ห้องที่มีการแข่งขันจะต้องได้รับการตกแต่งตามเทศกาลและติดตั้งทุกสิ่งที่จำเป็น (TSO, บอร์ดสำหรับบันทึกผลการแข่งขัน)
การแสดงจะได้รับการประเมินไม่เพียงแต่โดยคณะลูกขุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ชมทุกคนด้วยคะแนนเต็ม 10 คะแนน ก่อนการแข่งขัน พวกเขาจะได้รับกระดาษพร้อมชื่อผู้เข้าร่วม (ชื่อทีม) และพารามิเตอร์การประเมิน นักเรียนแต่ละคนเขียนนามสกุลของตนลงในกระดาษแล้วมอบให้คณะกรรมการตัดสินหลังการแข่งขัน ความคิดเห็นของผู้ชมจะถูกนำมาพิจารณาในการตัดสินผู้ชนะ
ผู้ชนะจะได้รับรางวัล (ใบรับรอง) ผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่กระตือรือร้นที่สุดจะได้รับการประเมินในนิตยสาร
การแข่งขันสัทศาสตร์ (เกรด 5-6)
รอบแรกดำเนินการในชั้นเรียนสุดท้ายของไตรมาสที่ 2 หรือต้นไตรมาสที่ 3 (นักเรียนได้สะสมสื่อการสอนเพียงพอแล้ว)
เนื้อหาสำหรับการแข่งขันอาจเป็นเพลงเล็ก บทกวี บทสนทนาที่สามารถนำมาทำเป็นละคร ละครหุ่นกระบอก ฯลฯ ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 คุณสามารถจำกัดตัวเองให้อยู่ใน quatrain, สุภาษิต, twisters ลิ้น ซึ่งเรียนรู้ระหว่างการฝึกออกเสียงในชั้นเรียน
การแสดงของผู้เข้าร่วมได้รับการประเมินในระบบ 5 คะแนนโดยครูและนักเรียนในชั้นเรียน ก่อนเริ่มการแข่งขัน ประธานคณะลูกขุนจะแจกโต๊ะซึ่งคุณต้องกรอกหมายเลขของผู้เข้าร่วม นามสกุล คะแนนการออกเสียง การแสดงออก และจำนวนคะแนนทั้งหมด หลังการแข่งขัน จะมีการรวบรวมตารางและจัดทำระเบียบปฏิบัติทั่วไป ผู้เข้าร่วมที่ได้อันดับ 1-3 จะเข้าร่วมในรอบที่สอง (ขนานกัน)
รอบที่สองจัดขึ้นนอกเวลาเรียน มีการเลือกสื่อที่ใช้ธีมร่วมกัน บทกวีและร้อยแก้วไม่ควรยาวเกินไป นักเรียนเลือกจากที่อาจารย์เสนอ
การแข่งขันสัทศาสตร์ดังกล่าวสามารถเป็นส่วนสำคัญของโครงการที่อุทิศให้กับบทกวีสำหรับเด็ก ผู้เข้าร่วมสามารถแสดงผลงานการแข่งขันของตนเองได้ การออกแบบเชิงศิลปะได้รับคะแนนเพิ่มเติม
ในตอนท้ายของการแข่งขัน จะมีการจัดเกมการออกเสียงเพื่อแยกแยะระหว่างเสียงของภาษาแม่และภาษาต่างประเทศ ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบน้ำเสียง และความสามารถในการใช้อย่างถูกต้องในสถานการณ์การสื่อสาร
การแข่งขันคำศัพท์ (เกรด 5-6)
ก่อนที่จะเกิดขึ้น นักเรียนจะได้รับมอบหมายให้ท่องคำศัพท์ในหัวข้อนั้นซ้ำ (หลายรายการ) ครูกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วม จัดทีม เชิญนักเรียนมัธยมปลายเข้าร่วมคณะลูกขุน และพัฒนาเกณฑ์การประเมิน
โปรแกรมการแข่งขันได้รับการออกแบบเพื่อให้งานที่ง่ายกว่านั้นถูกเตรียมสำหรับงานที่ยากขึ้น ตัวอย่างเช่น พวกเขาเริ่มต้นด้วยการไขปริศนาอักษรไขว้ ไข Wortschlange หรือ Wortsalat จำคำในหัวข้อในบางกลุ่ม จากนั้นจึงไปแต่งข้อความเป็นละคร เล่าเรื่องข้อความที่พวกเขาได้ยินหรืออ่านเป็นลูกโซ่ บรรยายภาพ ฯลฯ
การแข่งขันคำศัพท์สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ดูในคู่มือโดย S.N. Savina, หน้า 129-130.เกมการแข่งขัน
เป็นที่นิยมมากในช่วงเริ่มต้นของการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โปรแกรมประกอบด้วยเกมภาษา เกมกลางแจ้ง การแสดงสัมผัส การแข่งขัน เช่น การแข่งขันวิ่งผลัด: ผู้เข้าร่วมจะถูกแบ่งออกเป็นสองทีม ขึ้นอยู่กับจำนวนงานผู้นำเสนอวาดแถบ 5-7 แถบบนพื้นขนานกันสำหรับแต่ละทีม
เมื่อได้รับสัญญาณจากผู้นำ สมาชิกในทีมชุดแรกจะวิ่งไปที่กระดานทีละคนและทำงานให้เสร็จสิ้น:
แทรกตัวอักษรที่หายไปในคำ
สร้างคำจากตัวอักษรของตัวอักษรแยก
สร้างประโยคจากคำที่เขียนบนการ์ด
แก้ไขข้อผิดพลาดในคำพูด ในประโยค;
แปลงประโยคยืนยันเป็นประโยคคำถามและในทางกลับกัน
สร้างประโยคตามภาพ
ทีมแลกเปลี่ยนคำถามในหัวข้อ ฯลฯ
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ผู้เข้าร่วมจะรีบกลับมาที่ทีมอย่างรวดเร็ว และผู้เข้าร่วมคนต่อไปจะเข้ามาแทนที่ กระบองรีเลย์-ชอล์ก หากงานเสร็จสิ้นอย่างถูกต้อง ทีมจะเคลื่อนไปหนึ่งเลน ทีมที่ถึงเส้นชัยเร็วกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ
ทั้งงานและของกระจุกกระจิกควรสร้างบรรยากาศที่ร่าเริง ผ่านการใช้ภาพตลก เพลง ของเล่น ตุ๊กตา เชือกกระโดด ลูกบอล ลูกโป่ง ฯลฯ
การแข่งขันนักอ่านที่ดีที่สุด (เกรด 7-8)
การแข่งขันครั้งนี้เผยให้เห็นการออกเสียงที่ถูกต้องและการแสดงออกโดยรวมของคำพูด ปกติจะจัดหลายรอบ
Round I - อ่านข้อความที่คุ้นเคยจากหนังสือเรียน
รอบที่ 2 - การอ่านเนื้อหาใหม่: ข้อร้อยแก้ว บทกวี (ตามข้อกำหนดของโปรแกรมสำหรับชั้นเรียนนี้)
รอบที่ 3 - นักเรียนเลือกเนื้อหาการอ่านจากรายการที่เสนอด้วยตนเอง: เรื่องสั้นบทกวีการละเล่นที่มีผู้เข้าร่วม 2-3 คน
ก่อนการแข่งขัน - ข้อความสั้น ๆ เกี่ยวกับกวีหรือนักเขียน การแข่งขันจบลงด้วยแบบทดสอบวรรณกรรม การแสดงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจะถูกบันทึกลงบนแผ่นฟิล์ม จากนั้นจึงนำไปใช้ในชั้นเรียนหรือใน VR ได้ จำเป็นต้องมีการบันทึกเสียงเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีปัญหาข้อขัดแย้ง
การแข่งขันเพื่อนักเล่าเรื่องที่ดีที่สุด - เผยให้เห็นความสามารถในการสร้างข้อความที่สอดคล้องกัน มีการนำเสนอสถานการณ์ด้วยวาจาหรือด้วยสายตา
เกณฑ์การประเมิน: ความสมบูรณ์ของข้อความ การเชื่อมโยงกัน ตรรกะ ความถูกต้องทางภาษา
การแข่งขันเพื่อคู่สนทนาที่ดีที่สุด - เผยให้เห็นความสามารถในการดำเนินการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีลักษณะแตกต่างออกไป สถานการณ์ที่กระตุ้นการสนทนาถูกกำหนดโดยครู
เมื่อประเมินจะคำนึงถึงความเท่าเทียมกันของคู่ค้า - การใช้คำพูดกระตุ้นแบบอื่น การใช้ถ้อยคำโบราณ; ความตรงไปตรงมาของคำพูด (กำหนดโดยจำนวนคำศัพท์กิริยาอารมณ์) ปริมาณคำพูด (จำนวนหน่วยบทสนทนา) ความถูกต้องทางภาษา
ในเกรด 8-9 สามารถดำเนินการได้ การแข่งขันบนพื้นฐานของการใช้เกมเล่นตามบทบาทอย่างแพร่หลาย:
การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งไกด์นำเที่ยวที่ดีที่สุด
การแข่งขันสำหรับนักข่าวที่ดีที่สุด (ใครจะจัดการประชุมได้ดีกว่า ใครจะถามคำถามเพิ่มเติม ใครจะเขียนบันทึกได้ดีกว่า ฯลฯ)
การแข่งขันสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากรู้อยากเห็นมากที่สุด (การสนทนากับไกด์ กับชาวเมือง สรุปความประทับใจ การเปรียบเทียบกับประเทศของตนเอง ฯลฯ)
เป็นที่นิยมในทุกระดับการศึกษา การป้องกันโครงการ ประเภทต่างๆ
ในเกรด 10-11 สามารถดำเนินการได้ การแข่งขันการแปล
การแข่งขันเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด ล่ามพร้อมกัน- เผยความเข้าใจในการฟัง: นักเรียนแปลข้อความเสียง
ฉันปัด - จากเสียงของครู ครั้งที่สอง - จากเสียงของผู้พูดในการบันทึกเสียง (เจ้าของภาษา) เงื่อนไขของการแข่งขันอาจแตกต่างกันไปโดยการสร้างขั้นตอนเพิ่มเติม: ในรอบแรกและรอบที่สองคุณสามารถรวมการฟังข้อความทั้งหมดโดยให้ผู้เข้าร่วมถ่ายทอดความหมาย หรือคุณสามารถเสนอให้ฟังข้อความโดยย่อ ตามด้วยการแปลที่ถูกต้อง ตัวเลือกนี้จะระบุชื่อของการแข่งขันได้ดีกว่า เนื่องจากล่ามจริงมักจะแปลเป็นส่วนที่มีความหมาย ปริมาณเนื้อหาจะเพิ่มขึ้นในแต่ละทัวร์ เช่นเดียวกับจังหวะการพูดของผู้พูด
มีการประเมินความถูกต้องและครบถ้วนของความเข้าใจในข้อความเสียง
การแข่งขันเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด ผู้แปลอ้างอิงการแข่งขันครั้งนี้เผยให้เห็นความสามารถในการเข้าใจข้อความภาษาต่างประเทศเมื่ออ่าน
งานนี้จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร มีวัตถุประสงค์เพื่อแปลและรวบรวมการบีบอัดข้อความบางอย่าง: คำอธิบายประกอบ บทคัดย่อ บทสรุป บทวิจารณ์ในภาษารัสเซียหรือภาษาต่างประเทศ นักเรียนสามารถใช้พจนานุกรมได้ แต่มีเวลาจำกัดในการทำงานให้เสร็จสิ้น ดังนั้นการใช้พจนานุกรมจึงน้อยมาก
สื่อที่ใช้ในการแข่งขันคือ ข้อความที่มีรูปแบบการใช้งานต่างๆ ตั้งแต่ตำราเรียน หนังสืออ่าน หนังสือพิมพ์เยาวชน และนิตยสาร แต่ละรอบต่อมาเกี่ยวข้องกับการเพิ่มความซับซ้อนของเนื้อหาและงานตามการอ่านประเภทต่างๆ
Round I - มีข้อความในตำราเรียนที่ยังไม่ได้อ่านสำหรับการแปลเป็นลายลักษณ์อักษร (ประมาณ 1,500 ตัวอักษรต่อชั่วโมง)
รอบที่ 2 - มีการเสนอข้อความสำหรับนามธรรมในภาษาพื้นเมืองหรือภาษาต่างประเทศโดยมีปริมาณประมาณ 2,000 อักขระ (ขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนในชั้นเรียน ขึ้นอยู่กับพื้นฐานภาษาของนักเรียน) โดยปกติจะเป็นข้อความที่มีลักษณะทางวิทยาศาสตร์หรือวารสารศาสตร์ที่เป็นที่นิยม
เมื่อประเมินนามธรรม จะคำนึงถึงความสอดคล้องของเหตุการณ์สำคัญเชิงความหมาย (ข้อเท็จจริง) ที่มีอยู่ในข้อความต้นฉบับกับเหตุการณ์สำคัญเชิงความหมายของข้อความรองตลอดจนคุณภาพของการนำเสนอนามธรรม (การใช้ถ้อยคำที่เบื่อหู)
รอบที่ 3 - มีการเสนอข้อความหลายฉบับที่มีอักขระที่พิมพ์ออกมาทั้งหมดประมาณ 2,000 ตัวในหัวข้อเดียวหรือหัวข้อที่คล้ายกันสำหรับคำอธิบายประกอบ
การประเมินคำนึงถึงขอบเขตที่เป็นไปได้ในการระบุหัวข้อของบทความและกำหนดว่าใครสามารถพูดถึงได้ เช่นเดียวกับการออกแบบคำอธิบายประกอบตามข้อกำหนด
ในชั้นเรียนที่เตรียมไว้อย่างดี คุณสามารถเสนอให้เขียนบทวิจารณ์อีกรอบได้ (ในข้อความหรือหนังสือสำหรับอ่านที่บ้าน)
การแข่งขันในรูปแบบของงานที่มีการแข่งขันสูงประกอบด้วยแบบทดสอบ Olympiads, KVN และเกม "อะไรนะ? ที่ไหน? เมื่อไร?” ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นรูปแบบหนึ่งของการแข่งขันและทดสอบความรู้ของนักเรียนอย่างสนุกสนาน ส่งผลให้กิจกรรมของพวกเขาถูกระดม VR ประเภทนี้มุ่งเป้าไปที่ "โซนของการพัฒนาในอนาคต" ของนักเรียน ซึ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา ไม่พอใจกับระดับความสำเร็จในการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
วรรณกรรม
S. Mokrousova G. I. , Kuzovleva N. E. องค์กร VR ในภาษาเยอรมัน - ม., 2532. หน้า 68-71.
Rogova G.V., Rabinovich F.M., Sakharova T.E. วิธีการสอนภาษาต่างประเทศในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น - อ.: การศึกษา, พ.ศ. 2534 หน้า 269-271.
Savina S.N. งานนอกหลักสูตรในภาษาต่างประเทศในโรงเรียนมัธยม - ม., 2534. ส.วงกลมเป็นรูปแบบงานสังเคราะห์
วงกลมคือรูปแบบกลุ่มของ VR เมื่อสอนวิชาใด ๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง: นักเรียนพัฒนาความรู้, เชื่อมั่นในความสำคัญเชิงปฏิบัติของภาษาต่างประเทศ, รับข้อมูลเพิ่มเติม, และใช้เวลาว่างอย่างมีกำไร ตามกฎแล้ววงกลมจะรวบรวมคนที่มีใจเดียวกันที่ต้องการมีส่วนร่วมในการทำงานส่วนรวม
ชั้นเรียนของสโมสรไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของโปรแกรม ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ดีสำหรับความคิดสร้างสรรค์ของครู กิจกรรมของชมรมทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างบทเรียนกับ VR รูปแบบต่างๆ
มีหลายทางเลือกในการจัดงานกลุ่ม
กลุ่มแรกเป็นการรวมตัวของนักเรียนทุกวัยที่สนใจกิจกรรมบางประเภท ได้แก่ การอ่าน นาฏศิลป์ ร้องเพลง งานออกแบบ การแสดงศิลปะสมัครเล่นในภาษาต่างประเทศ
การทำงานเป็นวงกลมต้องการให้ครูมีความแม่นยำ สามารถกระจายความสนใจ และควบคุมคุณภาพของงานมอบหมายได้ วงกลมดังกล่าวจะสะดวกหากมีครูสอนภาษาต่างประเทศเพียงคนเดียวในโรงเรียน เพื่อนำกลุ่มย่อยภายในวงกลมที่สร้างขึ้นเพื่อทำงานบางอย่าง ขอแนะนำให้นักเรียนมัธยมปลายมีส่วนร่วม
ตัวเลือกที่สองคือการรวมนักเรียนที่มีพื้นฐานภาษาเดียวกันโดยประมาณ ซึ่งมักจะเป็นแวดวงการสนทนาหรือการแปล เช่น "การพูดภาษาเยอรมัน" "ทำความรู้จักกับเยอรมนี" "แวดวงวรรณกรรม" เป็นต้น
สโมสรที่สะดวกที่สุดสำหรับโรงเรียนคือประเภทรวมซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมประเภทต่างๆ: เกม การเรียนรู้บทกวีและเพลง การอภิปรายเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอ่านและฟัง การชมภาพยนตร์และวิดีโอ การตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ติดผนัง การแสดงละคร การเตรียมตัวนอกหลักสูตร กิจกรรม. วงกลมดังกล่าวมีประสิทธิภาพเนื่องจากคำนึงถึงความสนใจที่หลากหลายของนักเรียนและประหยัด
เมื่อจัดวงกลม ครูจะต้องคำนึงถึงสิ่งจูงใจหลักที่สนับสนุนให้นักเรียนเข้าร่วม:
สำหรับเกรด 5-6 ซึ่งเป็นความแปลกใหม่ของวิชา ความหลากหลาย และเสน่ห์ของรูปแบบและกิจกรรม
สำหรับเกรด 7-9 นี่เป็นโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศของภาษาที่กำลังศึกษา เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมและประเพณีของประเทศนั้น
สำหรับเกรด 10-11 นี่เป็นโอกาสที่จะได้รับความรู้ ทักษะ และความสามารถที่จำเป็นสำหรับอาชีพที่เลือก
ในทุกขั้นตอนของการเรียนรู้ นักเรียนควรมีความสนใจในการสื่อสารกับครูและเพื่อนนอกชั้นเรียน
1) การมีส่วนร่วมในงานของวงกลมนั้นเป็นไปโดยสมัครใจโดยสิ้นเชิง
2) แต่ละแวดวงจะได้รับมอบหมายงานเฉพาะที่สื่อสารกับผู้เข้าร่วม
3) แวดวงการพูดประกอบด้วยนักเรียนที่มีพื้นฐานภาษาเดียวกัน ดังนั้นในแนวขนานหนึ่งอาจมีวงกลมหลายวงที่มีแผนงานต่างกันขึ้นอยู่กับความรู้ของนักเรียน
4) จำเป็นต้องมีองค์กรที่ชัดเจนในการทำงานของวงกลม:
ในบทเรียนแรกจะมีการเลือกอาจารย์ใหญ่และผู้ช่วยครู
กำหนดเวลาและวันทำงานที่แน่นอน
หารือเกี่ยวกับแผนการทำงานของวงกลมประจำปี
ข้อกำหนดเบื้องต้นคือไม่ควรขาดงานโดยไม่มีเหตุผลที่ดี ผู้ใดก็ตามที่ไม่เข้าชั้นเรียนชมรมเป็นประจำจะไม่รวมอยู่ด้วย
5) การทำงานเป็นวงกลมควรคำนึงถึงอายุของนักเรียน จำเป็นต้องค้นหารูปแบบงานที่น่าสนใจเพื่อไม่ให้ชั้นเรียนมีลักษณะเหมือนบทเรียน
6) ความถี่ของการเรียน - อย่างน้อยทุกสองสัปดาห์
7) จำนวนผู้เข้าร่วมในแวดวงขึ้นอยู่กับเนื้อหาของงาน: ในแวดวงการพูด - 10-12 คน, ในแวดวงการแปล, ละคร, เกม ฯลฯ อาจมีผู้เข้าร่วมมากขึ้น
8) ระยะเวลาของบทเรียนประมาณหนึ่งชั่วโมง
9) ผลงานของวงกลมจะต้องสะท้อนให้เห็นในชีวิตของโรงเรียน - การรายงานกิจกรรม, หนังสือพิมพ์ติดผนัง, การแสดงผลงาน, ช่วงเย็น ฯลฯ
10) ไม่มีการบ้าน; นักเรียนไม่สามารถถูกลงโทษด้วยวิธีการบริหารใด ๆ
แต่ละแวดวงมีหน้าที่เฉพาะของตัวเอง แต่เป้าหมายทั่วไปของงานคือการปรับปรุงความสามารถทางภาษา มาดูการจัดแวดวงแต่ละประเภทให้ละเอียดยิ่งขึ้น
ชมรมสนทนา ( สปราชเซอร์เคิล , การสนทนาzirkel )
โดยปกติแล้วเด็กนักเรียนที่มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะสื่อสารด้วยภาษาต่างประเทศมักใช้วิธีนี้ ดังนั้นคุณสามารถใช้เทคนิคที่มีอยู่ในวิธีการที่เข้มข้นได้:
พื้นฐานสถานการณ์การเรียนรู้
ปฐมนิเทศส่วนบุคคล;
พฤติกรรมตามบทบาท
การใช้รูปแบบงานกลุ่มและส่วนรวมอย่างเหมาะสมที่สุด
แผนงานของวงกลมอาจรวมถึงหัวข้อที่เสริมหรือปรับเปลี่ยนเนื้อหาการศึกษาตลอดจนหัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับบทเรียนภาษาต่างประเทศ เนื่องจากชั้นเรียนมักจะจัดขึ้นทุกๆ สองสัปดาห์ จึงไม่จำเป็นต้องมีหัวข้อมากเกินไป ในทางกลับกัน เพื่อให้เกิดความหลากหลาย คุณไม่จำเป็นต้องอ้อยอิ่งอยู่กับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งเป็นเวลานาน โดยเฉลี่ยแล้วคุณสามารถเรียนได้ 4-6 หัวข้อต่อปี
แนวคิดของ "การกระทำจากต้นทางถึงปลายทาง" ช่วยให้คุณสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาหลักสูตรภาคบังคับกับเนื้อหาเพิ่มเติมได้อย่างเป็นธรรมชาติ การพัฒนาโครงเรื่องสนับสนุนให้นักเรียนใช้เนื้อหาที่เรียนรู้ในบทเรียน เปลี่ยนแปลงและเสริมเนื้อหา “การกระทำจากต้นทางถึงปลายทาง” เป็นลักษณะของเงื่อนไขการสื่อสารที่แท้จริง: เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่หนึ่งจะถูกพูดคุยในภายหลังในที่อื่น และที่นี่เราต้องพูดถึงเกมเล่นตามบทบาทอย่างแน่นอน มันเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงออกในฐานะปัจเจกบุคคล ในระหว่างเกม นักเรียนเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อคำพูดและน้ำเสียงของคู่หูอย่างรวดเร็ว และคำนึงถึงอารมณ์ของเขาด้วย
ในชั้นเรียนชมรม คุณไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการใช้ภาษาแม่ของคุณในบางกรณี หากเด็กๆ มีความหลงใหลในเกมและไม่มีทักษะทางภาษาเพียงพอ การหยุดชั่วคราวและข้อผิดพลาดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในบทสนทนา ในกรณีนี้ จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากครู ในขณะเดียวกันเกมเล่นตามบทบาทไม่ควรลากยาวเพื่อไม่ให้ผู้เข้าร่วมหมดความสนใจ
ก่อนเกมเล่นตามบทบาทแต่ละเกม จะมีการจัดเกมภาษาและเกมการสื่อสารแบบมีเงื่อนไขเพื่อเตรียมนักเรียนให้ใช้สื่อภาษา
หลังจากเรียน 1-2 บทเรียนในหัวข้อนี้แล้ว (ทำงานเกี่ยวกับเนื้อหาภาษา) คุณสามารถไปยังการเขียนบทสนทนาตามบทสนทนาขนาดเล็กได้ ในหัวข้อเดียว คุณสามารถเสนอสถานการณ์ต่างๆ ให้เลือกได้ พวกเขาเลือกบทบาทและคู่พูดของพวกเขา งานบทสนทนาต้องผ่านหลายขั้นตอน ขั้นแรก นักเรียนเขียนบทสนทนาเป็นลายลักษณ์อักษร ครูตรวจสอบ จากนั้นนักเรียนจึงเปล่งเสียงบทสนทนา ให้ได้น้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติและการออกเสียงที่ถูกต้อง และสุดท้ายก็แสดงบทสนทนาออกมา
ตัวอย่างเกมสวมบทบาท - มาทำความรู้จักกัน"(ชั้นประถมศึกษาปีที่ 8 หลังจากจบหัวข้อ "ชีวประวัติ") นักเรียนวาดภาพอาคารอพาร์ตเมนต์ทันสมัยบนกระดาษแผ่นใหญ่ รูปภาพของผู้อยู่อาศัยที่มีคุณสมบัติตามอาชีพของพวกเขาจะถูกแทรกเข้าไปในช่องหน้าต่าง นักเรียนร่วมกันคิดเรื่องราวเกี่ยวกับผู้อยู่อาศัยหรือพูดคุยเกี่ยวกับตัวเองในนามของผู้อยู่อาศัย ตัวเลือก: เกมในรูปแบบของงานปาร์ตี้ขึ้นบ้านใหม่ซึ่งมีนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นหรือโทรทัศน์อยู่ เขาพบกับผู้อยู่อาศัยใหม่และถามเกี่ยวกับครอบครัวของพวกเขา
เกม "เทศกาลถนน" บนกระดาษม้วนยาว นักเรียนจะวาดบ้านที่คนรู้จัก เพื่อน หรือญาติอาศัยอยู่และพูดคุยเกี่ยวกับพวกเขา ภาพวาดและข้อความที่ดีที่สุดจะอยู่ที่สำนักงานฟลอริดา
ในระหว่างชั้นเรียนของชมรม จะมีการท่องจำบทกลอน ลิ้นพันกัน สุภาษิต และบทกวี ซึ่งนักเรียนจะใช้ในชั้นเรียน
นักเรียนจะพัฒนาทักษะการพูดโดยการทำงานกับสุภาษิต สุภาษิตภาษาต่างประเทศเปรียบเทียบกับภาษารัสเซีย ความหมายของสุภาษิตถูกเปิดเผย จากนั้นสุภาษิตจะถูกอธิบายโดยสถานการณ์ที่สามารถนำมาใช้ได้
คุณสามารถเลือกสุภาษิตได้ 3-4 ข้อ และรวบรวมเรื่องราว บทบรรยาย หรือบทสรุปซึ่งอาจเป็นหนึ่งในสุภาษิตก็ได้ เรื่องราวโดยรวมและบทสนทนาที่ประสบความสำเร็จสูงสุดดังกล่าวถูกเขียนลงใน "สมุดบันทึกสร้างสรรค์ของวงกลม" เมื่อทำงานกับสถานการณ์ (คำพูดบทสนทนา) หรือกับสุภาษิต (คำพูดคนเดียว) ครูจะต้องพัฒนานักเรียนให้มีรสนิยมในการด้นสดโดยเลือกเนื้อหาตามความสามารถของนักเรียน
วงการแปล
เป้าหมายของงานของเขาคือการพัฒนาความสามารถในการแปลด้วยวาจาหรือการเขียนจากภาษาต่างประเทศเป็นภาษาแม่ เมื่อฝึกทักษะการแปล คุณต้องเริ่มต้นด้วยการพัฒนาความสามารถในการเข้าใจข้อความเมื่ออ่านหรือฟัง จากนั้นเด็กนักเรียนจะได้รับการสอนให้ถ่ายทอดเนื้อหาของข้อความเป็นภาษาแม่ของตน
เมื่อรับรู้ข้อความภาษาต่างประเทศจะเกิดปัญหาด้านคำศัพท์และไวยากรณ์ ก่อนที่จะอ่านข้อความควรขจัดปัญหาเหล่านี้ออกโดยใช้คำอธิบาย งานแปลไม่ได้ดำเนินการในประโยคแยก แต่ดำเนินการในข้อความ
งานในแวดวงเริ่มต้นในชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 เนื่องจากนักเรียนในวัยนี้เข้าใจแล้วว่าแต่ละภาษามีรูปแบบการแสดงออกทางความคิดของตัวเองและรูปแบบเหล่านี้ในภาษาแม่และภาษาต่างประเทศสามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกัน - จากนั้นจึงใช้การแปลตามตัวอักษร แต่ มักจะแตกต่างกันมากขึ้น จากนั้นจึงใช้คำแปลที่เพียงพอ
ในบทเรียนแรกของวงกลม ความสามารถของนักเรียนในการทำงานกับพจนานุกรมได้รับการทดสอบ: พวกเขารู้จักตัวอักษร คำย่อ และสัญลักษณ์ในพจนานุกรมได้อย่างไร จากนั้นนักเรียนจะคุ้นเคยกับข้อความที่จะแปล ครูพูดถึงยุคสมัยที่เขียนผลงานเผยให้เห็นคุณลักษณะของสไตล์ของผู้แต่ง - สิ่งนี้จะต้องนำมาพิจารณาเมื่อแปลและจะต้องรักษาคุณลักษณะของสไตล์เหล่านี้ไว้ หากข้อความมีขนาดใหญ่ จะแบ่งออกเป็นหลายคลาส
ช่วงครึ่งหลังของแต่ละบทเรียนมีไว้เพื่อตรวจสอบการแปล นักเรียนควรจดลงในสมุดบันทึก ไม่ใช่คำแปล แต่เป็นคำที่ไม่คุ้นเคย จำเป็นต้องสอนให้นักเรียนทำงานกับบริบท พัฒนาการเดาและความรู้สึกของภาษา พจนานุกรมจะค้นหาเฉพาะคำที่รบกวนการทำความเข้าใจความหมายของประโยคทั้งหมด
งานที่ยากที่สุดคือการแปลวรรณกรรมเมื่อจำเป็นต้องบรรลุผลไม่เพียงแต่การแปลที่เพียงพอเท่านั้น แต่ยังต้องถ่ายทอดคุณลักษณะของลักษณะสไตล์ของผู้เขียนคนนี้และยุคนี้ด้วย ดังนั้นในระหว่างชั้นเรียนขอแนะนำให้อ่านคำแปลคลาสสิกของข้อความที่มีอยู่ในภาษารัสเซียโดยวิเคราะห์โดยเปรียบเทียบการแปลข้อความหรือบทกวีหลายฉบับ
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ขอแนะนำให้ใช้การแปลโดยรวม: นักเรียนร่วมกันเลือกสำนวนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเพื่อถ่ายทอดแนวคิดอย่างถูกต้อง หากพวกเขาทำงานเป็นรายบุคคล ตัวเลือกทั้งหมดจะถูกกล่าวถึงโดยเปรียบเทียบกับต้นฉบับ และเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุด (สำหรับ "สมุดบันทึกเชิงสร้างสรรค์")
วิธีการทำงานเป็นวงกลมควรมีความหลากหลายเช่นเมื่อเริ่มงานให้การ์ด 1-2 ประโยคเพื่อการแปลที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างรวดเร็วในขั้นต่อไปการแปลจะกระทำโดยหู จากนั้น - ถ่ายโอนไปยังความเร็ว ฯลฯ
เกมต่อไปนี้สามารถใช้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน
การแข่งขันวิ่งผลัด “ใครใส่ใจมากกว่า?”ดำเนินการหลังจากอ่านเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่อง กระดานจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน (สำหรับแต่ละทีม) ในแต่ละส่วนจะมีการเขียนคำถามหลายข้อและเหลือช่องว่างสำหรับคำตอบ
ทีมมีจำนวนผู้เข้าร่วมเท่ากัน ที่ป้ายผู้นำ ผู้เข้าร่วมผลัดกันเขียนคำตอบของคำถามหนึ่งคำตอบ หากเขาไม่ทราบคำตอบ เขาก็รีบดำเนินการ แต่ละคำตอบที่ถูกต้องคือ 1 คะแนน แต่ละคำตอบที่ไม่ถูกต้องคือ 0
« ใครเร็วกว่ากัน- นักเรียนจะได้รับการ์ดพร้อมประโยคเป็นภาษารัสเซีย การบ้าน: ค้นหาสิ่งที่เทียบเท่าในภาษาเยอรมันในข้อความแล้วจดลงในสมุดบันทึก ใครทำได้เร็วกว่าและถูกต้องมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ
« เดา» ครูเขียนประโยคจากเรื่องที่อ่านบนกระดาน นักเรียนจะต้องตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ว่าประโยคนั้นนำมาจากเรื่องใด
« เรื่องนี้เกี่ยวกับใคร?- คำคุณศัพท์และกริยาบนกระดาน (หรือบนการ์ด) เขียนเป็นสองคอลัมน์ การมอบหมาย: กำหนดอักขระที่คำเหล่านี้ใช้เพื่ออธิบาย สร้างประโยคกับพวกเขา
« ตัดข้อความ“นักเรียนได้รับการ์ดที่มีส่วนของข้อความ การบ้าน: 1) เขียนข้อความเดียวจากข้อความ; 2) พิจารณาว่าประโยคเหล่านี้มาจากข้อความใด
สำหรับการแปล คุณสามารถรับการแปลที่มีลักษณะแตกต่างออกไปได้: สังคม-การเมือง, วิทยาศาสตร์ยอดนิยม, นิยาย ขั้นแรก การแปลเสร็จสิ้นโดยไม่คำนึงถึงจำนวนอักขระที่แปล จากนั้นจึงกำหนดจำนวนอักขระจำนวนหนึ่งไว้ระยะหนึ่ง และจำนวนนี้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
หลังจากที่นักเรียนเชี่ยวชาญทักษะการแปลจากภาษาต่างประเทศแล้ว ก็สามารถแปลจากภาษารัสเซียได้
วงเวียนคนรักบทกวี
รวมเด็ก ๆ ที่รักบทกวีในภาษาแม่ของพวกเขาเข้าด้วยกัน มีการเสนอบทกวีที่มีเนื้อหาคล้ายกับเด็กนักเรียนเพื่อการท่องจำ
ในระยะเริ่มแรกจะมีการเรียนรู้บทกลอนและบทกวี ในระดับกลางและระดับสูง - ตัวอย่างบทกวีโคลงสั้น ๆ เสียดสีและมหากาพย์ แม้แต่นักเรียนที่อายุน้อยกว่าก็ควรได้รับการสนับสนุนให้แปลบทกวีเป็นภาษาแม่ของตนในรูปแบบบทกวี
สถานที่ขนาดใหญ่ในวงกลมนี้ควรถูกครอบครองโดยงานที่มีการบันทึกท่วงทำนองอ้างอิง เพื่อการควบคุมตนเอง นักเรียนบันทึกการบรรยายลงในเทป จากนั้นจึงวิเคราะห์การบันทึกร่วมกับครู
ระหว่างทาง นักเรียนจะคุ้นเคยกับชีวิตและผลงานของกวี (เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับ "บริบทใหญ่" ของบทกวี)
ชมรมการแสดง
แวดวงนี้มีศักยภาพทางการศึกษาและการศึกษาที่ยอดเยี่ยมเนื่องจากมีการสังเคราะห์งานศิลปะหลายประเภท - การอ่านเชิงศิลปะการร้องเพลงการเต้นรำ
เวทีนี้จะสอนให้ถูกต้อง ชัดเจน และแสดงออกถึงคำพูด บทพูด บทสนทนา และบทกวีที่จดจำได้ช่วยจดจำอุปมาอุปไมย อารมณ์ความรู้สึกของฉากเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ภาษาให้เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ
เมื่อจัดแวดวง ผู้เข้าร่วมจะถูกเลือกตามอายุและระดับภาษาเดียวกันโดยประมาณ ภารกิจหลักของชมรมละครคือการจัดให้มีการฝึกฝนภาษาให้กับเด็กจำนวนมาก การศึกษาสามารถนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อให้สมาชิกทุกคนในแวดวงมีงานยุ่ง
งานละครมีระยะเวลาค่อนข้างนาน อันดับแรกมาถึง "ช่วงเวลาตาราง" - การเรียนรู้ความหมายของการเล่นและเนื้อหาภาษา ในช่วงเวลานี้จะเป็นประโยชน์ในการทำแบบฝึกหัดน้ำเสียง: การออกเสียงวลีด้วยน้ำเสียงที่ใจดี โกรธ ร่าเริง เศร้า ฯลฯ คู่หูจะต้องตอบสนองต่อคำพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมาะสม แบบฝึกหัดนี้สอนให้คุณวิเคราะห์สถานการณ์การสื่อสารและตอบสนองอย่างเหมาะสม
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มการซ้อม พวกเขาฝึกการเคลื่อนไหวบนเวที ท่าทาง และระดับเสียง นักเรียนเตรียมทิวทัศน์ เครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ประกอบฉากที่จำเป็นด้วยตนเอง
การแสดงหุ่นกระบอก เป็นชมรมละครประเภทหนึ่ง เป็นที่นิยมโดยเฉพาะในช่วงเริ่มแรกของการศึกษา ในการจัดระเบียบวงกลม พวกเขาจะต้องเรียนรู้: - สามารถทำตุ๊กตา ฉากกั้น ของตกแต่ง และอุปกรณ์ประกอบฉากได้ - เชี่ยวชาญเทคนิคการทำงานกับตุ๊กตา ดูบทความโดย ละครหุ่นโรงเรียน Kasatkina N.M. ในสถาบันโรงเรียนนิวเคลียร์ ครั้งที่ 1 หน้า 64-66ชมรมเกม
ออกแบบมาสำหรับเด็กวัยประถมศึกษา แผนงานประกอบด้วยเกมภาษา (สัทศาสตร์ คำศัพท์ ไวยากรณ์) เกมการพูด (เพื่อพัฒนาทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน) ควรมีเกมเพื่อพัฒนาความจำ การคิด ความสนใจ และกระบวนการทางจิตอื่นๆ เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสาร และเกมเล่นตามบทบาท
คำอธิบายของเกมและวิธีการดำเนินการสามารถพบได้ในวารสาร ILS ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำหรับแต่ละช่วงชั้นเรียน กลุ่มจะเลือกเกม 2-3 เกม เมื่อสิ้นสุดบทเรียน เด็กๆ ควรสรุปสิ่งที่เรียนรู้ผ่านเกม
วงการคนรักหนัง
สิ่งกระตุ้นในการพัฒนาการสื่อสารในแวดวงดังกล่าวคือวิดีโอและภาพยนตร์ สไลด์ หลักสูตรวิดีโอเพื่อการศึกษา โดยจะถูกเลือกขึ้นอยู่กับพื้นฐานภาษาของนักเรียน
นักเรียนดูวิดีโอ จากนั้นบางตอนก็สามารถเล่นตามบทบาทได้ คุณสามารถพากย์หนังสั้นได้ โอนเนื้อหาของภาพยนตร์เป็นภาษาต่างประเทศ
การอภิปรายเกี่ยวกับเนื้อหาของภาพยนตร์ ในการดำเนินการนี้ บทวิจารณ์ภาพยนตร์จะถูกอ่านและอภิปรายกันอย่างเป็นระบบในแวดวง ศึกษาเนื้อหาภาษา - จดจำรูปแบบคำพูด ซึ่งนักเรียนจะใช้ในข้อความของพวกเขา
ปัจจุบัน นักเรียนสามารถสร้างภาพยนตร์ของตนเองได้โดยใช้กล้องฟิล์มหรือคอมพิวเตอร์แอนิเมชั่นของโรงเรียน ในการทำเช่นนี้จะมีการเขียนสคริปต์ในวงกลมและเลือกดนตรีประกอบ ผลงานที่ประสบความสำเร็จถูกนำมาใช้เป็นสื่อการสอนในบทเรียน
วรรณกรรม
S. Mokrousova G. I. , Kuzovleva N. E. องค์กร VR ในภาษาเยอรมัน - ม., 2532. 177-184.
Rogova G.V., Rabinovich F.M., Sakharova T.E. วิธีการสอนภาษาต่างประเทศในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น - อ.: การศึกษา, พ.ศ. 2534 หน้า 272-275.
Savina S.N. งานนอกหลักสูตรในภาษาต่างประเทศในโรงเรียนมัธยม - ม., 2534. ส.": มีบทเรียนที่ยอดเยี่ยมและยอดเยี่ยมอยู่ที่นั่น
ที่มีสิ่งอัศจรรย์อย่างอื่นนอกจากบทเรียน
ซึ่งมีหลากหลาย
รูปแบบการพัฒนานักเรียนนอกชั้นเรียน ".
วี.เอ. สุคมลินสกี้
ความจำเป็นในการปรับปรุงการศึกษาในโรงเรียนเป็นตัวกำหนดการศึกษากิจกรรมการเรียนรู้ของเด็กนักเรียนอย่างเข้มข้นและการค้นหาวิธีสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้
วิธีหนึ่งในการสร้างแรงจูงใจคือการให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการกิจกรรมนอกหลักสูตร เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญในทางปฏิบัติ การศึกษา การศึกษาทั่วไป และการพัฒนาของงานนอกหลักสูตรในด้านการศึกษาและการเลี้ยงดูของนักเรียน ครูทุกคนรู้ดีว่างานนอกหลักสูตรให้ประโยชน์มากมายเพียงใด และมีศักยภาพมหาศาลอยู่ในงานนั้น
กิจกรรมนอกหลักสูตรที่โรงเรียน- ส่วนสำคัญของกระบวนการศึกษาของโรงเรียนซึ่งเป็นโปรแกรมการศึกษาหลักที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหากิจกรรมการศึกษาและกิจกรรมนอกหลักสูตรที่ซับซ้อนซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบการจัดกิจกรรมของนักเรียน
ความต่อเนื่องระหว่างงานในห้องเรียนและงานนอกหลักสูตรไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นกิจกรรมของนักเรียนโดยเพิ่มความพร้อมที่จะมีส่วนร่วม แต่ยังรวมเอาแรงจูงใจของกิจกรรมด้านการศึกษาและกิจกรรมนอกหลักสูตรและทำให้สามารถนำความรู้ ทักษะ และความสามารถไปใช้ในทางปฏิบัติได้ ผลลัพธ์ของการรักษาความต่อเนื่องคือการปรับปรุงและรวบรวมความรู้ ทักษะ และความสามารถที่ได้รับในบทเรียน
วัตถุประสงค์ของกิจกรรมนอกหลักสูตร- การพัฒนาแรงจูงใจในการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ของเด็กการส่งเสริมการตัดสินใจส่วนบุคคลและวิชาชีพของนักเรียนการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในสังคมการแนะนำวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี
ภารกิจหลักในการจัดกิจกรรมนอกหลักสูตร:
การระบุความสนใจ ความโน้มเอียง ความสามารถและความสามารถของนักเรียนในกิจกรรมประเภทต่างๆ
การสร้างเงื่อนไขเพื่อการพัฒนาเด็กแต่ละคนในกิจกรรมนอกหลักสูตรที่เลือก
การสร้างระบบความรู้ ทักษะ และความสามารถของนักศึกษา
การพัฒนาประสบการณ์ในกิจกรรมสร้างสรรค์ ความสามารถเชิงสร้างสรรค์ของเด็ก
การสร้างเงื่อนไขสำหรับนักเรียนในการใช้ความรู้ ทักษะ และความสามารถที่ได้รับ
ขยายขอบเขตการสื่อสารระหว่างเด็กนักเรียนกับสังคม
งานแก้ไขกับเด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้
กิจกรรมนอกหลักสูตรช่วยขยายขอบเขตของนักเรียน พัฒนาความสามารถในการสร้างสรรค์ ฯลฯ นักเรียนพัฒนาระเบียบวินัยและความรับผิดชอบ ความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับการเรียน การเพิ่มประสิทธิภาพในห้องเรียน และความปรารถนาดีต่อครูและเพื่อนของพวกเขา
อาจมีตัวเลือกมากมายสำหรับการจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรที่โรงเรียน ในแต่ละกรณีจำเป็นต้องดำเนินการต่อจากงานที่ระบุไว้ในโปรแกรมการศึกษาหลักของโรงเรียนและเกี่ยวข้องกับทุกส่วน (โปรแกรมสำหรับการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้สากลสำหรับนักเรียน, โปรแกรมสำหรับการก่อตัวของ วัฒนธรรมของการดำเนินชีวิตที่มีสุขภาพดีและปลอดภัย ฯลฯ)
มาตรฐานแห่งรัฐของรัฐบาลกลางสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วไปรุ่นที่สอง ระบุรูปแบบการจัดกิจกรรมนอกหลักสูตร เช่น ชมรม หมวด โต๊ะกลม การอภิปราย โอลิมปิก การประชุม ฯลฯ
ในวิทยาศาสตร์การสอนและการปฏิบัติ การแบ่งรูปแบบของงานนอกหลักสูตรที่พบบ่อยที่สุดคือ: บุคคล, วงกลม, มวล
งานส่วนบุคคลเป็นกิจกรรมอิสระของนักเรียนแต่ละคนที่มุ่งเป้าไปที่การศึกษาด้วยตนเอง เช่น การเตรียมการแสดงสมัครเล่น การสร้างแบบจำลองและการออกแบบ การเตรียมบทคัดย่อและรายงาน วิธีนี้ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนสามารถค้นหาจุดยืนของตนเองในเรื่องที่มีร่วมกันได้ กิจกรรมนี้ต้องการให้ครูทราบลักษณะเฉพาะของนักเรียนในหมวดอายุนี้
กิจกรรมนอกหลักสูตรของชมรมมีส่วนช่วยในการระบุและพัฒนาความสนใจและความสามารถเชิงสร้างสรรค์ในสาขาวิทยาศาสตร์บางสาขา ความคิดสร้างสรรค์ประยุกต์ ศิลปะ หรือกีฬา รูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดที่นี่คือกลุ่มงานอดิเรกและส่วนกีฬา (วิชา เทคนิค กีฬา ศิลปะ) วงกลมมีชั้นเรียนหลายประเภท: การอภิปรายเกี่ยวกับงานวรรณกรรม, ทัศนศึกษา, ชั้นเรียนห้องปฏิบัติการ, การทำงานฝีมือ ฯลฯ รายงานผลงานของวงกลมประจำปีนั้นดำเนินการในรูปแบบของนิทรรศการ การทบทวน หรือเทศกาลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ฯลฯ
รูปแบบของงานมวลชนเป็นกลุ่มที่พบได้บ่อยที่สุดในโรงเรียน ได้รับการออกแบบมาเพื่อเข้าถึงนักเรียนหลายคนพร้อมกัน โดยมีลักษณะเป็นสีสัน ความเคร่งขรึม ความสดใส และผลกระทบทางอารมณ์อย่างมากต่อเด็กและวัยรุ่น งานมวลชนมีโอกาสที่ดีในการกระตุ้นนักเรียน
ดังนั้นการแข่งขันโอลิมปิกการแข่งขันเกมจึงจำเป็นต้องมีกิจกรรมโดยตรงของทุกคนการมีมิตรภาพและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทีมเด็กขนาดใหญ่ (เจ๋ง) เมื่อดำเนินการสนทนา ช่วงเย็น และช่วงเช้า มีเด็กนักเรียนเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดงานและนักแสดง ในกิจกรรมต่างๆ เช่น การเยี่ยมชมการแสดงหรือพิพิธภัณฑ์ การพบปะผู้คนที่น่าสนใจ ผู้เข้าร่วมจะกลายเป็นผู้ชม ความเห็นอกเห็นใจที่เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมในสาเหตุเดียวกัน ความรู้สึกมีประโยชน์ต่อทีม ทำหน้าที่เป็นวิธีการสำคัญในการรวมทีมในชั้นเรียน แวดวง หรือชมรมที่สนใจเข้าด้วยกัน
งานมวลชนรูปแบบดั้งเดิมคือช่วงปิดเทอม สิ่งเหล่านี้มีไว้สำหรับวันที่ในปฏิทิน วันครบรอบของนักเขียน บุคคลสำคัญทางวัฒนธรรม นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ วันหยุดอาจเป็นเพื่อการศึกษา ความบันเทิง หรือนิทานพื้นบ้าน ในช่วงปีการศึกษาสามารถจัดวันหยุดได้ 4-5 วัน พวกเขาขยายขอบเขตอันไกลโพ้นของเด็กและวัยรุ่นและทำให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของประเทศและประชาคมโลก
การแข่งขัน โอลิมปิก และการแสดงต่างๆ มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เมื่อเร็ว ๆ นี้การแข่งขันทางปัญญาและโอลิมปิกการประชุมทางวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติขนาดเล็กในหมู่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2-4 ได้กลายเป็นที่นิยม กิจกรรมดังกล่าวช่วยกระตุ้นกิจกรรมของเด็กๆ และพัฒนาความคิดริเริ่ม ในส่วนของการแข่งขันหรือการแสดง มักจะจัดนิทรรศการที่สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ของเด็กนักเรียน เช่น ภาพวาด บทความ งานฝีมือ สิ่งประดิษฐ์ โครงการ ฯลฯ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกของโรงเรียนจัดขึ้นตามวิชาวิชาการ เป้าหมายของพวกเขาคือการดึงดูดเด็กจำนวนมากที่สุด โดยคัดเลือกเด็กที่มีความสามารถและมีพรสวรรค์มากที่สุด
เป็นปีที่สองแล้วที่การประชุมเชิงปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ (SPC) จัดขึ้นในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2-4 ของโรงเรียนของเรา ในปีแรก มีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เท่านั้นที่เข้าร่วม จากนั้นก็มีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และ 3 เข้าร่วมด้วย
NPK ประกอบด้วยสองรอบ รอบแรกเป็นรอบคัดเลือกจะจัดขึ้นในห้องเรียน รอบที่สองเป็นรอบสุดท้ายในระดับโรงเรียน นักวิจัยที่เก่งที่สุดจะมีส่วนร่วมด้วย จากนั้น ผู้ชนะจะได้ลองเข้าร่วมการแข่งขันทางวิทยาศาสตร์และการฝึกอบรมระดับภูมิภาคสำหรับเด็กนักเรียนระดับต้น
หัวข้องานของเด็กขยายตัวทุกปี ดังนั้นในปีนี้จึงมีการนำเสนอการศึกษาในสาขาภาษาศาสตร์และประวัติศาสตร์ "ใครคือบราวนี่" วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ - "ความสำคัญของน้ำสำหรับโลกของเรา" "ความลับของหัวหอมสีเขียวคืออะไร" "โจ๊กเป็นของเรา อาหาร” เป็นต้น อีกทั้งคุณภาพในการเตรียมและป้องกันงานก็ดีขึ้นด้วย มีการใช้การนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์มากขึ้น
การประชุมในปีนี้มีผู้เข้าร่วมโดยตรง สมาชิกคณะลูกขุน ตัวแทนจากชั้นเรียนต่างๆ รวมถึงผู้ปกครองของผู้เข้าร่วมของเรา ความช่วยเหลือและการสนับสนุนอย่างแข็งขันของผู้ปกครองถือเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการประสบความสำเร็จในการพัฒนาเด็กนักเรียนระดับต้นในสาขาการวิจัย
การประชุมประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังต่อไปนี้:
1. แผ่นดินเกิดอันเป็นที่รักตลอดไป
2. โลกรอบตัวเรา
3. เพราะเหตุใดและเพราะเหตุใด?
4. ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต
5. ทัศนศึกษาในประวัติศาสตร์
6. สิ่งนี้น่าสนใจ
เกณฑ์การปฏิบัติงาน:
ความสมบูรณ์ของการนำเสนอหัวข้อสุนทรพจน์การปฏิบัติตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์
การมีอยู่ขององค์ประกอบของการวิจัย (กิจกรรมการค้นหา) หรือลักษณะทั่วไปของเนื้อหา
การใช้วิธีอธิบายอย่างมีประสิทธิผลและมีความสามารถ
- คุณภาพของคำตอบสำหรับคำถาม (ความรู้)
- การปฏิบัติตามกฎระเบียบสุนทรพจน์ (สูงสุด 7 นาที)
ผู้ชนะของรอบ NPK ทั้งโรงเรียนถูกส่งไปเข้าร่วมการแข่งขัน NPK ระดับภูมิภาค "Znayka -2011"
รูปแบบการทำงานมวลชนกับเด็กๆ ที่พบได้บ่อยและเข้าถึงได้มากที่สุดคือห้องเรียน ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนดและเป็นส่วนสำคัญของกิจกรรมการศึกษาของทั้งครูประจำชั้นและสถาบันการศึกษาทั้งหมด
งานนอกหลักสูตรทุกรูปแบบควรเต็มไปด้วยเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ คุณลักษณะเฉพาะของงานนอกหลักสูตรคือใช้หลักการเรียนรู้ร่วมกันอย่างเต็มที่ที่สุดเมื่อนักเรียนหรือผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่าหรือมีประสบการณ์มากกว่าถ่ายทอดประสบการณ์ของตนให้กับคนที่อายุน้อยกว่า นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการนำฟังก์ชันการศึกษาของทีมไปใช้
บ่อยครั้งที่ลำดับความสำคัญสำหรับเด็กในสถาบันการศึกษาทั่วไปคือการเล่นเกม การแสดงละคร การอภิปราย จิตวิทยา และรูปแบบการแข่งขันของงานด้านการศึกษาและนอกหลักสูตรที่ช่วยให้นักเรียนได้ตระหนักรู้ในตนเอง
ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่ากิจกรรมนอกหลักสูตรรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ:
สัปดาห์วิชาในวิชาวิชาการของวงจรสังคม มนุษยธรรม คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ( ภาคผนวก 1 ; ภาคผนวก 2, ภาคผนวก 3).
สัปดาห์หัวเรื่องที่มีธีมของบทเรียนแบบดั้งเดิมและที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม
ในโรงเรียนสมัยใหม่ รูปแบบของงานการศึกษาเชิงเนื้อหามีความสำคัญเป็นพิเศษเมื่อเนื้อหาที่เรียนในชั้นเรียนพบข้อสรุปเชิงตรรกะในงานนอกหลักสูตร เช่น รูปแบบของงานที่รวมการสอนและการศึกษาเป็นกระบวนการเดียว: บทเรียนเชิงสร้างสรรค์ การระดมความคิด มหาวิทยาลัย ของนักเรียนมัธยมปลาย, การพบปะด้วยความหลงใหล, ผู้สังเกตการณ์โต๊ะกลม, นิทานเกี่ยวกับการสอน, การเดินทางสู่วิชา, การประมูลความรู้, โรงละครการสอน, การเดินทางสู่ดินแดนแห่งความลึกลับที่ยังไม่ไข, วงแหวนเรื่อง, การจัดนิทรรศการส่วนตัวของครูและนักเรียน, การป้องกันตัว ความคิด, การวิ่งมาราธอนทางปัญญา, ปฏิทินประวัติศาสตร์, ชีวิตของความคิดที่ยอดเยี่ยม, KVN ในหัวข้อนี้, การทบทวนความรู้โดยสาธารณะ, เวิร์กช็อปเชิงสร้างสรรค์, เวิร์กช็อปของขวัญ, สัปดาห์หัวเรื่อง
ลักษณะเฉพาะของระบบโรงเรียนในปัจจุบันคือการบูรณาการกิจกรรมทางวิชาการและกิจกรรมนอกหลักสูตรในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมีการนำเสนออย่างชัดเจนในช่วงสัปดาห์เฉพาะเรื่อง
สัปดาห์วิชาเฉพาะเรื่อง (ทศวรรษ) อาจกลายเป็นแบบดั้งเดิมในทุกโรงเรียน ซึ่งจัดขึ้นสำหรับนักเรียนทุกกลุ่มอายุ อาจรวมถึงการดำเนินงานในรูปแบบต่างๆ เช่น เป็นกลุ่ม กลุ่ม บุคคล ฯลฯ
ขั้นตอนการเตรียมการ
- การเตรียมและการดำเนินการตามแผนงานสัปดาห์เฉพาะเรื่องของบทเรียนแบบดั้งเดิมและที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม
การเตรียมและดำเนินกิจกรรมวันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในแต่ละชั้นเรียน
จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์ติดผนังเฉพาะเรื่อง จัดการแข่งขันชิงหนังสือพิมพ์ติดผนังที่ดีที่สุดทั่วทั้งโรงเรียน
การแข่งขันเรียงความในหัวข้อ
การประกวดทบทวนโมเดลและงานฝีมือที่นักเรียนทำขึ้น
- เปิดตัวธีมสัปดาห์อย่างยิ่งใหญ่
ทำความคุ้นเคยกับแผนปฏิบัติการ "โต๊ะกลม". นิทรรศการหนังสือและจำหน่ายวรรณกรรม การประกวดผู้เชี่ยวชาญ Crossword
หัวข้อวารสารปากเปล่า:
- "ในโลกของสิ่งที่น่าสนใจ"
- "ในโลกแห่งการค้นพบอันมหัศจรรย์"
- "วิทยาศาสตร์เพื่อคน"
- “ในโลกของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
- “จะเรียนรู้การอ่านอย่างรวดเร็วได้อย่างไร?”
- "การถ่ายทอดความคิดในระยะไกล"
- "ลานตาแห่งความรู้และข้อเท็จจริง"
- "จากกินเนสบุ๊คออฟเรคคอร์ด"
หัวข้อสนทนา:"เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวเรา" "ประวัติศาสตร์การค้นพบ" "หน้าแห่งอดีต".
หัวข้อการประกวดเรียงความและผลงานสร้างสรรค์:ชีวิตของฉันเชื่อมโยงกับคณิตศาสตร์อย่างไร? (ประวัติศาสตร์วรรณกรรม ฯลฯ )
การเดินทางเข้าไปในเรื่อง เรื่องราวของครอบครัวของฉัน บทเรียนเชิงปฏิบัติ: "การทดลองที่น่าสนใจ" ทัวร์นาเมนต์: ผู้รอบรู้ อัศวิน - ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาท การประมูลทางประวัติศาสตร์หรือวรรณกรรม การแข่งขันของนักวิชาการ ซึ่งอาจรวมถึงการแข่งขัน: นักทฤษฎี; นักประวัติศาสตร์ในเรื่อง; เข้าใจ; นักทดลองและนักออกแบบ อยากรู้อยากเห็น; “คุณรู้สูตรหรือเปล่า” ชมรมการประชุมที่น่าสนใจ: "พวกประหลาดที่ประดับโลก!"
วันหยุดเฉพาะเรื่อง: "การเดินทางสู่เทพนิยาย (อดีตของวิทยาศาสตร์)"
1. เมื่อจัดวันหยุดเฉพาะเรื่อง บทกวี เพลงที่นักเรียนจัดทำในกลุ่มย่อย ปริศนาอักษรไขว้ ปริศนา ข้อเท็จจริงการแสดงละครจากชีวิตของนักวิทยาศาสตร์ สามารถใช้การเผชิญหน้าระหว่างฮีโร่เชิงบวกและเชิงลบได้
2. กิจกรรมด้านการศึกษาและความรู้ความเข้าใจ: โอลิมปิกวิชาทั่วทั้งโรงเรียนและการทบทวนความรู้โดยสาธารณะ การให้เกียรติผู้ชนะรางวัลและผู้ชนะเลิศทั่วทั้งโรงเรียน เมือง (เขต) โอลิมปิกและการแข่งขันวิชาระดับภูมิภาค การประชุมทางวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติขนาดเล็กสำหรับนักเรียนเกรด 2-4 (ทั่วทั้งโรงเรียน เขตการศึกษา) เทศกาลของโครงการสร้างสรรค์และการวิจัย การแข่งขันทั่วทั้งโรงเรียน "นักเรียนที่ดีที่สุด" (ตามชั้นเรียนคู่ขนาน), "ผลงานนักเรียนที่ดีที่สุด" ฯลฯ
3. กิจกรรมกีฬาฮีโร่ผู้รักชาติและการทหาร: งานพิพิธภัณฑ์ของโรงเรียน ธีมตอนเย็น และวันหยุด การจัดและดำเนินการทัศนศึกษาและทริปทัศนศึกษาเฉพาะเรื่องการแข่งขัน "Safe Wheel" เป็นต้น
วันหยุดมวลชน (กิจกรรมสร้างสรรค์โดยรวม): วันหยุดตามธีม เทศกาลแห่งความคิดสร้างสรรค์และแฟนตาซี การแข่งขัน "สวัสดี เรากำลังมองหาผู้มีความสามารถ", KVN, การแข่งขันทางปัญญาของผู้เชี่ยวชาญ; การแสดงละคร การแข่งขันทำเอง การแข่งขันการอ่าน ภาพวาดและโปสเตอร์
4. กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและมีความสำคัญทางสังคม: วันทำความสะอาด (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3-4) ไอโบลิทและการตรวจค้นความสะอาด การค้นหาและงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การดำเนินการ "ของขวัญสำหรับเพื่อนที่อยู่ห่างไกล", "ของขวัญสำหรับทหารผ่านศึก"; แคมเปญการกุศล "ช่วยเหลือเด็กพิการ", "ของขวัญของเราเพื่อสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า"
5. กิจกรรมกีฬา: การจัดและจัดการแข่งขันกีฬาในโรงเรียนประถมศึกษา Fun Starts การแข่งขันวอลเลย์บอล หมากรุกและหมากฮอส การแข่งขันวิ่งผลัดกีฬา (กับนักเรียนและผู้ปกครอง) การแข่งขัน "แม่และฉันเป็นครอบครัวกีฬา", "คลาสนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"
รูปแบบการสื่อสารยามว่างที่พบบ่อยที่สุด: "ไฟ", "โต๊ะกลม", "ตอนเย็น, การเดินทางออกนอกเมือง, การประชุมตอนเย็นกับผู้คนที่น่าสนใจ, การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์, งานของกลุ่มงานอดิเรกและชมรม, ส่วนกีฬา การอภิปรายและแบบฟอร์มโต้ตอบ
รูปแบบเกมใหม่กำลังได้รับความนิยม: การฝึกอบรมแบบกำหนดเป้าหมาย เกมเพื่อการศึกษาและการพัฒนาทางปัญญาและจิตวิทยา เกมเพื่อการสื่อสาร (การสนทนา เกมธุรกิจ เกมเล่นตามบทบาท) ฯลฯ
วรรณกรรม
- เอ็น.เอฟ. กระเจี๊ยว. เรากำลังดำเนินการในรูปแบบใหม่ รอสตอฟ-ออน-ดอน: ฟีนิกซ์, 2009.
- อี.เอ็น. สเตปานอฟ. กระบวนการศึกษา: ศึกษาประสิทธิผล - อ.: การศึกษา, 2554.
- เอ็น.เอฟ. กระเจี๊ยว. คู่มือรองผู้อำนวยการโรงเรียนประถมศึกษาและครูชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-4 - รอสตอฟ-ออน-ดอน: ฟีนิกซ์, 2551.
- ยู.เอ็ม. Kolyagin และคณะ วิธีการสอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศึกษา - อ.: การศึกษา, 2520.
วัตถุประสงค์ของงานนอกหลักสูตรนั้นพิจารณาจากงานด้านการศึกษาและการศึกษาเฉพาะซึ่งงานหลักคือ:
1) การรวมเนื้อหาของโปรแกรมเป็นภาษารัสเซีย
2) การเพิ่มพูนและขยายความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับภาษารัสเซียและรูปแบบของภาษานั้นให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
3) การพัฒนาคำพูดที่สอดคล้องกันทั้งวาจาและลายลักษณ์อักษรของนักเรียนพร้อมกับการพัฒนาการคิดเชิงตรรกะไปพร้อม ๆ กัน
4) การพัฒนาทักษะการสะกดคำ การสะกดคำ และเครื่องหมายวรรคตอนเบื้องต้น
5) การตื่นตัวและรักษาความสนใจในการเรียนรู้ภาษารัสเซีย
6) ส่งเสริมความสนใจในการอ่านหนังสือในภาษารัสเซีย พัฒนาทักษะเบื้องต้นในการทำงานกับพจนานุกรม ปลูกฝังทักษะพื้นฐานในการทำงานอย่างอิสระกับหนังสือ
7) การพัฒนาความสามารถส่วนบุคคลของนักเรียน
8) การบำรุงเลี้ยงความรู้สึกรักชาติ การก่อตัวของจิตสำนึกสากล การพัฒนาอุดมคติทางศีลธรรมและสุนทรียภาพ ฯลฯ ซึ่งเมื่อรวมกันเป็นแก่นแท้ของการศึกษาของนักเรียน
งานนอกหลักสูตรที่ระบุไว้ในภาษารัสเซียสามารถสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติตามหลักการระเบียบวิธีเฉพาะขององค์กรและกำหนดเนื้อหาได้สำเร็จ
หลักการจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรในภาษารัสเซีย
พื้นฐานสำหรับการจัดงานนอกหลักสูตรในภาษารัสเซียในโรงเรียนแห่งชาติตลอดจนพื้นฐานสำหรับการสร้างบทเรียนคือหลักการสอนทั่วไปของลักษณะทางวิทยาศาสตร์ การเข้าถึง ระบบและความสม่ำเสมอในการสอน ความเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติ จิตสำนึกและ กิจกรรม การมองเห็น ความต่อเนื่อง และโอกาส นอกจากนี้ยังมีหลักการด้านระเบียบวิธีเฉพาะที่กำหนดเนื้อหาและอีกด้านหนึ่งในรูปแบบประเภทและวิธีการดำเนินงานนอกหลักสูตรในภาษารัสเซีย สิ่งสำคัญมีดังต่อไปนี้:
หลักการเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมนอกหลักสูตรกับบทเรียนภาษารัสเซียสาระสำคัญอยู่ที่ความจริงที่ว่าพื้นฐานสำหรับงานนอกหลักสูตรควรเป็นความรู้ที่นักเรียนได้รับในบทเรียนภาษารัสเซีย จากความรู้นี้ ครูจะพัฒนาทักษะการพูดของนักเรียน เช่นเดียวกับบทเรียนภาษารัสเซีย กิจกรรมภาษารัสเซียนอกหลักสูตรควรช่วยพัฒนาทักษะการพูดภาษารัสเซียเชิงปฏิบัติ เพื่อจุดประสงค์นี้จำเป็นต้องสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยสำหรับการฝึกพูดในกิจกรรมนอกหลักสูตร
หลักความเป็นระบบในการนำเสนอสื่อภาษาหลักการนี้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับหลักการก่อนหน้า: เนื้อหาของงานนอกหลักสูตรควรมีความสัมพันธ์กับโปรแกรมภาษารัสเซีย ลำดับการนำเสนอเนื้อหาภาษาที่เปิดใช้งานนอกเวลาเรียนควรสอดคล้องกับลำดับการศึกษาในชั้นเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมนอกหลักสูตรกับกิจกรรมในห้องเรียนทำให้มั่นใจในการเรียนรู้ภาษา สื่อการสอน และการพัฒนาทักษะการพูดอย่างเป็นระบบ
หลักการคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนบุคคลและความสามารถ นักเรียน.ตามหลักการนี้ เนื้อหาของงานนอกหลักสูตรควรเป็นสิ่งที่นักเรียนสนใจเป็นหลัก งานที่ได้รับมอบหมายควรหลากหลายเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของนักเรียนทั้งที่เข้มแข็งและอ่อนแอ งานนอกหลักสูตรแตกต่างจากบทเรียนตรงที่เนื้อหาถูกกำหนดโดยคำนึงถึงความสนใจและความต้องการของนักเรียนแต่ละคน งานดังกล่าวช่วยกระตุ้นกิจกรรมการรับรู้และการพูดของนักเรียน: นักเรียนแต่ละคนได้รับงานตามรสนิยมและความสามารถของเขา
หลักการของความบันเทิงซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขหลักในการตื่นตัวและรักษาความสนใจในกิจกรรมนอกหลักสูตร ความบันเทิงส่วนใหญ่เกิดขึ้นได้จากการใช้สื่อไวยากรณ์เพื่อความบันเทิง เช่น เกม ปริศนาทายปริศนา ปริศนา ตลอดจนการใช้อุปกรณ์ช่วยการมองเห็นอย่างแพร่หลาย เช่น ภาพวาด ภาพวาด สไลด์ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ความบันเทิงไม่ควรจำกัดอยู่เพียงความบันเทิงเท่านั้น ความบันเทิง -- นี้สิ่งที่สนองความต้องการทางปัญญาของนักเรียน พัฒนาความอยากรู้อยากเห็น และความหลงใหลในงานที่พวกเขาทำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาทุกสิ่งที่มีความสำคัญเชิงปฏิบัติซึ่งนำไปสู่ความเชี่ยวชาญด้านภาษารัสเซียเชิงปฏิบัตินั้นน่าสนใจ
หลักความหลากหลายของรูปแบบและประเภทของกิจกรรมนอกหลักสูตรความสนใจในกิจกรรมนอกหลักสูตรไม่เพียงได้รับการสนับสนุนจากเนื้อหาของกิจกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความหลากหลาย รูปแบบและประเภทที่ผิดปกติ แตกต่างจากบทเรียนตลอดจนการกำหนดหัวข้อบทเรียนที่ผิดปกติ รูปแบบการนำเสนอภาษาและ วัสดุคำพูด ยิ่งรูปแบบและประเภทของงานนอกหลักสูตรมีความหลากหลายมากเท่าใด ความสนใจในงานก็จะยิ่งมีเสถียรภาพมากขึ้นเท่านั้น
หลักการของความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมนอกหลักสูตรบางประเภทโดยยึดหลักการนี้จึงได้ถูกสร้างขึ้น ทั่วไประบบกิจกรรมนอกหลักสูตรในภาษารัสเซียที่ไหน แต่ละเหตุการณ์มีความเฉพาะเจาะจงของตัวเอง สถานที่.
หลักการของความสมัครใจการเข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตรของนักเรียนควรเป็นไปโดยสมัครใจและไม่ถูกบังคับ แต่เพื่อให้นักเรียนมีความปรารถนาที่จะเรียนภาษารัสเซียโดยสมัครใจในช่วงเวลานอกหลักสูตร จำเป็นต้องทำกิจกรรมนอกหลักสูตรในรูปแบบที่น่าตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และน่าสนใจ
หลักการมีส่วนร่วมของมวลชนเมื่อคำนึงถึงความจริงที่ว่าการมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตรในภาษารัสเซียมีผลดีต่อการพัฒนาคำพูดของนักเรียนและเร่งกระบวนการเชี่ยวชาญภาษารัสเซียในทางปฏิบัติจึงเป็นที่พึงปรารถนาที่จะให้นักเรียนมีส่วนร่วมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในหลักสูตรนอกหลักสูตร กิจกรรม. ในการทำเช่นนี้มีความจำเป็นต้องส่งเสริมในหมู่เด็กนักเรียนอย่างกว้างขวางถึงความเป็นไปได้ในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตรและอธิบายประโยชน์ของสิ่งหลังในการเรียนรู้ภาษารัสเซียในทางปฏิบัติ
เหล่านี้เป็นหลักการพื้นฐานของระเบียบวิธีสำหรับการจัดงานนอกหลักสูตรในภาษารัสเซียซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดเบื้องต้นที่กำหนดความสำเร็จของงานนี้
เนื้อหาของงานนอกหลักสูตรเกี่ยวกับภาษารัสเซียประกอบด้วยคำถามสองวง: 1) คำถามที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของโปรแกรมซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มพูนความรู้ภาษารัสเซียของนักเรียนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและมีส่วนช่วยในการปลูกฝังทักษะการปฏิบัติในการพูดภาษารัสเซีย; 2) คำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับสื่อการเรียนรู้ที่จัดทำโดยโปรแกรม ซึ่งช่วยขยายขอบเขตความรู้ทั่วไปของนักเรียน ซึ่งเป็นสื่อเพิ่มเติมสำหรับการฝึกพูดในภาษารัสเซีย
คำถามช่วงแรกค่อนข้างกว้าง: ครอบคลุมทุกส่วนของหลักสูตรโรงเรียนสอนภาษารัสเซีย โดยทั่วไปหัวข้อของพวกเขาสอดคล้องกับหัวข้อที่ศึกษาในบทเรียน แต่เพื่อปลุกความสนใจของนักเรียนในตัวพวกเขา จึงมีการกำหนดรูปแบบที่แตกต่างกันบ้าง เช่น: "มีกี่คำในภาษารัสเซีย" (บทสนทนาเกี่ยวกับความมั่งคั่งของคำศัพท์ในภาษารัสเซียซึ่งสามารถจัดขึ้นในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หรือ 4), "ในโลกแห่งคำศัพท์", "ในพิพิธภัณฑ์คำศัพท์" (การสนทนาเกี่ยวกับที่มาของคำ), "อย่างไร มีคำศัพท์ใหม่เกิดขึ้นไหม”, “คลังคำศัพท์” (บทสนทนาเกี่ยวกับพจนานุกรม)
คำถามชุดที่สองแตกต่างจากชุดแรกในเรื่องความแปลกใหม่และเนื้อหาข้อมูล รวมถึงข้อมูลที่นักเรียนไม่พบในชั้นเรียน ดังนั้น ไม่เพียงแต่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักเรียนระดับมัธยมต้นด้วยความสนใจในการสนทนาในหัวข้อ: “ผู้คนเรียนรู้ที่จะพูดได้อย่างไร”, “ทำไมผู้คนจึงพูดภาษาที่แตกต่างกัน”, “ภาษารัสเซียบนโลก”, “ได้อย่างไร ผู้คนเรียนรู้ที่จะเขียน?” , “ภาษาและผู้คน”, “สัตว์พูดได้ไหม” และอื่น ๆ.
รูปแบบของงานนอกหลักสูตรดังต่อไปนี้มีความโดดเด่น: ตามวิธีการนำเสนอเนื้อหาภาษา - วาจาและลายลักษณ์อักษร; ตามความถี่ - เป็นระบบ (คงที่) และแบบเป็นตอน (ครั้งเดียว); ตามจำนวนผู้เข้าร่วม - บุคคล, กลุ่ม, มวล
บรรทัดฐานของการประเมินตาม RY
จะได้รับเกรด "5" หากนักเรียน:
1) นำเสนอเนื้อหาที่ศึกษาอย่างครบถ้วนให้คำจำกัดความที่ถูกต้องของแนวคิดทางภาษา 2) แสดงความเข้าใจในเนื้อหา สามารถยืนยันการตัดสินของเขา ใช้ความรู้ในทางปฏิบัติ ให้ตัวอย่างที่จำเป็นไม่เพียง แต่จากตำราเรียนเท่านั้น แต่ยังรวบรวมอย่างอิสระด้วย
3) นำเสนอเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอและถูกต้องจากมุมมองของบรรทัดฐานของภาษาวรรณกรรม
จะได้รับเกรด "4" หากนักเรียนให้คำตอบที่ตรงตามข้อกำหนดเดียวกันกับเกรด "5" แต่ทำผิดพลาด 1-2 ข้อซึ่งเขาแก้ไขเองและมีข้อบกพร่อง 1-2 ข้อในลำดับและภาษาศาสตร์ การออกแบบสิ่งที่นำเสนอ
ให้คะแนน "3" หากนักเรียนแสดงความรู้และความเข้าใจในบทบัญญัติหลักของหัวข้อนี้ แต่:
1) นำเสนอเนื้อหาที่ไม่สมบูรณ์และทำให้เกิดความไม่ถูกต้องในคำจำกัดความของแนวคิดหรือการกำหนดกฎ
2) ไม่รู้ว่าจะยืนยันคำตัดสินของเขาอย่างลึกซึ้งและน่าเชื่อถือได้อย่างไรและยกตัวอย่างของเขา
3) นำเสนอเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกันและทำผิดพลาดในภาษาของการนำเสนอ
จะมีการให้คะแนน "2" หากนักเรียนเผยให้เห็นความไม่รู้ในส่วนที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ของเนื้อหาที่กำลังศึกษา ทำผิดพลาดในการกำหนดคำจำกัดความและกฎเกณฑ์ที่บิดเบือนความหมาย และนำเสนอเนื้อหาในลักษณะที่ไม่เป็นระเบียบและไม่แน่นอน คะแนน "2" หมายถึงข้อบกพร่องในการเตรียมตัวของนักเรียนซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสำเร็จในการเรียนรู้เนื้อหาที่ตามมา
การให้เกรด (“5”, “4”, “3”) สามารถให้ได้ไม่เพียงแต่สำหรับคำตอบครั้งเดียวเท่านั้น (เมื่อมีการจัดสรรเวลาที่แน่นอนเพื่อตรวจสอบการเตรียมตัวของนักเรียน) แต่ยังสำหรับคำตอบที่กระจัดกระจายเมื่อเวลาผ่านไปด้วย คือ สำหรับผลรวมของคำตอบที่นักเรียนให้ระหว่างบทเรียน (แสดงคะแนนบทเรียน) โดยมีเงื่อนไขว่าในระหว่างบทเรียน คำตอบของนักเรียนไม่เพียงแต่ได้ยินเท่านั้น แต่ยังมีการทดสอบความสามารถในการนำความรู้ไปใช้ในทางปฏิบัติด้วย
การเขียนตามคำบอกจะมีคะแนนหนึ่งเครื่องหมาย
จะมีการให้คะแนน "5" สำหรับงานที่ไม่มีข้อผิดพลาด รวมถึงหากมีการสะกดคำเล็กน้อยหรือมีข้อผิดพลาดเครื่องหมายวรรคตอนเล็กน้อยหนึ่งรายการ
การให้เกรดเป็น "4" หากมีข้อผิดพลาดในการสะกดคำ 2 ครั้งและเครื่องหมายวรรคตอน 2 ครั้งในการเขียนตามคำบอก หรือการสะกดผิด 1 ครั้งและข้อผิดพลาดเครื่องหมายวรรคตอน 3 ครั้ง หรือข้อผิดพลาดเครื่องหมายวรรคตอน 4 ครั้งในกรณีที่ไม่มีข้อผิดพลาดในการสะกดคำ สามารถให้คะแนน "4" สำหรับการสะกดผิด 3 ครั้งหากมีข้อผิดพลาดที่คล้ายกัน
การให้เกรดเป็น "3" สำหรับการเขียนตามคำบอกซึ่งมีข้อผิดพลาดในการสะกดคำ 4 ครั้งและเครื่องหมายวรรคตอน 4 ครั้ง หรือการสะกดผิด 3 ครั้งและข้อผิดพลาดเครื่องหมายวรรคตอน 5 ครั้ง หรือข้อผิดพลาดเครื่องหมายวรรคตอน 7 ครั้งในกรณีที่ไม่มีการสะกดผิด ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 อนุญาตให้ใช้เกรด "3" สำหรับการเขียนตามคำบอกโดยมีข้อผิดพลาดในการสะกด 5 ครั้งและเครื่องหมายวรรคตอน 4 ครั้ง สามารถให้คะแนนเป็น "3" ได้หากมีข้อผิดพลาดในการสะกด 6 รายการและเครื่องหมายวรรคตอน 6 รายการ หากทั้งสองรายการมีข้อผิดพลาดที่คล้ายกันและไม่ใช่ทั้งหมด
จะมีการให้คะแนนเป็น "2" สำหรับการเขียนตามคำบอกซึ่งมีข้อผิดพลาดในการสะกดและเครื่องหมายวรรคตอน 7 รายการ หรือข้อผิดพลาดในการสะกดและเครื่องหมายวรรคตอน 6 รายการ หรือข้อผิดพลาดในการสะกดและเครื่องหมายวรรคตอน 5 รายการ หรือข้อผิดพลาดการสะกดและเครื่องหมายวรรคตอน 8 รายการ
หากมีข้อผิดพลาดเพิ่มเติม การเขียนตามคำบอกจะมีคะแนนเป็น "1"
หากมีความแปรปรวนในจำนวนข้อผิดพลาดที่นำมาพิจารณาเมื่อกำหนดเครื่องหมายสำหรับการเขียนตามคำบอกเราควรคำนึงถึงขีด จำกัด ซึ่งเกินกว่านั้นไม่อนุญาตให้ทำเครื่องหมายที่กำหนด ขีดจำกัดนี้ใช้สำหรับข้อผิดพลาดในการสะกดคำระดับ "4" 2 สำหรับระดับ "3" - ข้อผิดพลาดในการสะกดคำ 4 ครั้ง (สำหรับข้อผิดพลาดในการสะกดคำระดับ 5 - 5) สำหรับระดับ "2" - ข้อผิดพลาดในการสะกดคำ 7 ครั้ง
ในการทดสอบที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยการเขียนตามคำบอกและงานเพิ่มเติม (การออกเสียง คำศัพท์ การสะกดคำ ไวยากรณ์) จะมีการให้คะแนน 2 คะแนนสำหรับงานแต่ละประเภท
เมื่อประเมินความสมบูรณ์ของงานเพิ่มเติม แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
ให้คะแนน "5" หากนักเรียนทำภารกิจทั้งหมดถูกต้อง
หากนักเรียนทำภารกิจถูกต้องอย่างน้อย 3/4 ของงาน จะได้รับคะแนน "4"
ให้คะแนน "3" สำหรับงานที่ทำสำเร็จอย่างน้อยครึ่งหนึ่งอย่างถูกต้อง
งานที่ยังทำไม่เสร็จเกินครึ่งจะให้คะแนน "2"
ให้คะแนน "1" หากนักเรียนยังทำงานไม่เสร็จมากกว่าหนึ่งงาน
บันทึก. ข้อผิดพลาดในการสะกดและเครื่องหมายวรรคตอนที่เกิดขึ้นเมื่อทำงานเพิ่มเติมให้เสร็จสิ้นจะถูกนำมาพิจารณาเมื่อคำนวณเกรดสำหรับการเขียนตามคำบอก
เมื่อประเมินการเขียนตามคำบอกคำศัพท์ควบคุม ขอแนะนำให้ปฏิบัติตามสิ่งต่อไปนี้:
การเขียนตามคำบอกจะให้คะแนน "5" โดยไม่มีข้อผิดพลาด
จะมีการให้คะแนน "4" สำหรับการเขียนตามคำบอกซึ่งนักเรียนทำผิด 1-2 ข้อ
จะมีการให้คะแนน "3" สำหรับการเขียนตามคำบอกซึ่งมีข้อผิดพลาด 3-4 ข้อ
จะมีการให้คะแนน "2" สำหรับการเขียนตามคำบอกซึ่งมีข้อผิดพลาดถึง 7 ข้อ หากมีข้อผิดพลาดเพิ่มเติม การเขียนตามคำบอกจะมีคะแนนเป็น "1"
ข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์เป็นการละเมิดบรรทัดฐานของการสร้างคำและรูปแบบ (ตัวอย่าง: สำนักพิมพ์ vm. imprint แทนที่จะเป็น vm. แทนที่จะเป็น; การดูที่รอบคอบ vm. การมองที่รอบคอบ) รวมถึงบรรทัดฐานของการเชื่อมโยงทางวากยสัมพันธ์ระหว่างคำในวลีและ ประโยค.
ข้อบกพร่องด้านคำพูดไม่ใช่ข้อผิดพลาดในการก่อสร้าง ไม่ใช่ในโครงสร้าง แต่อยู่ที่การใช้หน่วยทางภาษา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่การใช้คำ โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นการละเมิดบรรทัดฐานคำศัพท์ ข้อผิดพลาดในการพูดยังรวมถึงข้อผิดพลาดที่เกิดจากการละเมิดลำดับของคำ การใช้คำ วลีและประโยคซ้ำอย่างไม่สมเหตุสมผล และข้อผิดพลาดในการสร้างข้อความ
ข้อผิดพลาดด้านโวหารยังเป็นข้อบกพร่องในการพูดประเภทหนึ่ง: การผสมคำที่มีสีโวหารต่างกันอย่างไม่สมเหตุสมผล, การใช้คำและสำนวนที่แสดงออกทางอารมณ์ไม่ประสบความสำเร็จ, การใช้คำและสำนวนภาษาถิ่นและภาษาพูดอย่างไม่มีแรงจูงใจ, คำศัพท์ที่ล้าสมัย
ในสารานุกรมการสอนของรัสเซีย "งานนอกหลักสูตร" หมายถึง "ส่วนสำคัญของกระบวนการศึกษาที่โรงเรียน ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดเวลาว่างของนักเรียน"
กิจกรรมนอกหลักสูตรได้รับความสนใจอย่างใกล้ชิดจากครู นักระเบียบวิธีการ และนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากมาโดยตลอด ในวรรณกรรมระเบียบวิธีมีคำจำกัดความมากมายของกิจกรรมนอกหลักสูตร ผู้เขียนส่วนใหญ่เชื่อว่างานนอกหลักสูตรเป็นกระบวนการศึกษาที่ดำเนินการนอกเวลาเรียนนอกเหนือจากหลักสูตรและโปรแกรมภาคบังคับโดยทีมครูและนักเรียนหรือพนักงานและนักเรียนของสถาบันการศึกษาเพิ่มเติมตามความสมัครใจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของ ผู้เข้าร่วมทั้งหมดถือเป็นกระบวนการศึกษาส่วนสำคัญ
สาระสำคัญของงานนอกหลักสูตรถูกกำหนดโดยกิจกรรมของเด็กนักเรียนในช่วงเวลานอกหลักสูตรโดยมีบทบาทในการจัดระเบียบและชี้แนะของครู แต่องค์กรนี้ดำเนินการในลักษณะที่ความคิดสร้างสรรค์และความคิดริเริ่มของนักเรียนควรมาก่อนเสมอ L.M. Pancheshnikova เชื่อว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่างานนอกหลักสูตรในสาขาวิชานี้มีบทบาทอย่างมากสำหรับโรงเรียนยุคใหม่ ในบริบทของการปรับโครงสร้างชีวิตทางสังคมและเศรษฐกิจของสังคม บทบาทของกิจกรรมนอกหลักสูตรในการศึกษาบุคลิกภาพใหม่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก งานนี้มีส่วนช่วยในคุณสมบัติบุคลิกภาพ เช่น ความคิดริเริ่ม กิจกรรม ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการพัฒนาตนเอง การศึกษาด้วยตนเอง และการศึกษาด้วยตนเอง ในด้านหนึ่งงานนอกหลักสูตรเป็นระบบการสอนที่มีคุณสมบัติและรูปแบบการทำงานที่สำคัญและในทางกลับกันก็เป็นส่วนสำคัญของระบบการศึกษาภายในประเทศ ด้วยเหตุนี้ ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของวิธีการทำงานนอกหลักสูตรคือปัญหาของความสัมพันธ์ระหว่างห้องเรียนและกิจกรรมนอกหลักสูตรอยู่เสมอ ซึ่งเป็นกรณีพิเศษของปัญหาการสอนพื้นฐานของความสมบูรณ์ของกระบวนการศึกษา
ในวรรณคดีมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของงานนอกหลักสูตรมากมายในหัวข้อนี้ซึ่งได้รับจากผู้เขียนดังต่อไปนี้: A. I. Nikishov, I. Ya. Lanina, A. V. Usova, S. N. Savina มีคำจำกัดความมากมายของเป้าหมายนอกหลักสูตรสำหรับวิชาต่างๆ (ดูตาราง 1.1)
ตารางที่ 1.
|
วิชาวิชาการ |
การกำหนดเป้าหมายของกิจกรรมนอกหลักสูตรในสาขาวิชา |
|
ภูมิศาสตร์ |
การขยายและเพิ่มพูนความรู้และทักษะพื้นฐานของเด็กนักเรียนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การพัฒนาความสามารถของนักเรียน การพัฒนาความสนใจทางปัญญาของนักเรียน ให้เด็กนักเรียนมีส่วนร่วมในงานวิจัย การจัดกิจกรรมทางสังคมของนักเรียน |
|
การก่อตัวของบุคลิกภาพของนักเรียน การพัฒนากิจกรรมอิสระและสร้างสรรค์ การขยายและเพิ่มพูนความรู้ทางฟิสิกส์อย่างลึกซึ้ง |
|
|
ชีววิทยา |
การเพิ่มพูนและขยายความรู้ของนักเรียนในสาขาวิชานี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น กระชับความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การพัฒนาความเป็นอิสระและกิจกรรมสร้างสรรค์ของนักเรียน |
|
ปลูกฝังความสนใจในวิชาเคมี พัฒนาและปรับปรุงทักษะการทดลองทางเคมี การพัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์ การเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับกิจกรรมภาคปฏิบัติ การจัดนันทนาการสำหรับนักเรียนผสมผสานกับการศึกษาด้านสุนทรียภาพและคุณธรรม |
ดังที่เห็นได้จากเป้าหมายที่ระบุไว้ของงานนอกหลักสูตรในวิชาต่างๆ ของโรงเรียน การขยายและเพิ่มพูนความรู้ในวิชานี้เป็นเป้าหมายร่วมกันที่จำเป็นสำหรับงานนอกหลักสูตรในวิชาที่ระบุไว้ทั้งหมด
นอกจากนี้ยังสามารถสังเกตได้ว่างานนอกหลักสูตรมีเป้าหมายที่สำคัญมากนั่นคือการก่อตัวและพัฒนาบุคลิกภาพที่สร้างสรรค์ของนักเรียน อย่างไรก็ตาม ในบรรดาเป้าหมายที่ระบุไว้ของงานนอกหลักสูตร จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภายในกรอบของวิชาที่นำเสนอในโรงเรียนบางวิชา มีเป้าหมายที่มีลักษณะเฉพาะของวิชานี้เท่านั้น เป้าหมายของงานนอกหลักสูตรในหัวข้อนี้จำเป็นต้องมีการแก้ปัญหาหลายประการซึ่งผู้เขียนมีดังต่อไปนี้: การก่อตัวของความสนใจทางปัญญาในเรื่อง; การเชื่อมโยงวิชาในโรงเรียนเข้ากับชีวิต เจาะลึกและขยายเนื้อหาของวิชาที่กำลังศึกษา การพัฒนาความสามารถของนักเรียน การดำเนินการตามแนวทางเฉพาะบุคคล การจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรวิชาชีพในสาขาวิชา พัฒนาทักษะการใช้แหล่งข้อมูล อย่างไรก็ตาม N.M. Verzilin ตั้งข้อสังเกตว่าครูสามารถระบุและเปลี่ยนแปลงเป้าหมายสุดท้ายของงานนอกหลักสูตรได้ตามลักษณะเฉพาะและความสามารถของวิชานั้น ในวรรณกรรมด้านระเบียบวิธีสามารถค้นหาสูตรต่างๆ ของหลักการทำงานนอกหลักสูตรในวิชาต่างๆ ของโรงเรียนได้ เมื่อศึกษาแหล่งข้อมูลวรรณกรรมเหล่านี้ เป็นไปได้ที่จะพิสูจน์ว่ามีหลักการทั่วไปของงานนอกหลักสูตรที่เป็นลักษณะเฉพาะของวิชาในโรงเรียนตลอดจนหลักการที่เป็นลักษณะเฉพาะของระเบียบวินัยนี้เท่านั้น
เมื่อวิเคราะห์แหล่งวรรณกรรมได้มีการระบุหลักการทั่วไปของงานนอกหลักสูตรซึ่งเป็นลักษณะของวิชาในโรงเรียนทั้งหมด - ความสมัครใจ (หลักการที่คำนึงถึงความปรารถนาของเด็กนักเรียนที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตร) โดยคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของนักเรียน ( หลักการคำนึงถึงความแตกต่างในทิศทางความสนใจและลักษณะนิสัยของนักเรียน) มีหลักการของงานนอกหลักสูตรที่มีลักษณะเฉพาะในบางวิชาเท่านั้น - กิจกรรมการสื่อสาร (หลักการที่กระตุ้นและเกี่ยวข้องกับนักเรียนในการใช้วัสดุใหม่ที่ไม่รู้จักคุณค่าทางปัญญาและความบันเทิงที่สร้างความจำเป็นในการสื่อสารเพิ่มคุณภาพ ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาความสามารถในการสื่อสารของนักเรียน)
มาดูหลักการสำคัญของกิจกรรมนอกหลักสูตรกัน งานที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของงานนอกหลักสูตรคือการพัฒนาความสนใจทางปัญญาของนักเรียนในวิชานี้ ความสนใจดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากงานนั้นเสร็จสิ้นโดยปราศจากความปรารถนาและอยู่ภายใต้การบังคับขู่เข็ญ ดังนั้น A.V. Usova เชื่อว่าหลักการของความสมัครใจเป็นหนึ่งในหลักการที่สำคัญที่สุดของงานนอกหลักสูตร นักศึกษาจะต้องแสดงความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตรในรายวิชาโดยไม่มีการบังคับใดๆ เป็นที่ทราบกันดีว่านักเรียนมีความแตกต่างกันในแง่ของระดับการพัฒนาทั่วไป ความสนใจ และลักษณะนิสัย การเพิกเฉยต่อความแตกต่างเหล่านี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะประสบความสำเร็จในกิจกรรมนอกหลักสูตร I. Ya. Lanina ระบุว่าหลักการคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของนักเรียนเป็นสิ่งสำคัญเมื่อจัดกิจกรรมนอกหลักสูตร ช่วยให้คุณสามารถคำนึงถึงระดับการพัฒนาของนักเรียนแต่ละคนและปรับงานทุกประเภทที่ดำเนินการกับนักเรียนแต่ละคนได้จากสิ่งนี้
เช่นเดียวกับการสอนวิชาต่างๆ ในโรงเรียน ในกิจกรรมนอกหลักสูตร ปัจจัยกำหนดคือเนื้อหา ซึ่งจะถูกเลือกโดยพลการ หัวข้อกิจกรรมนอกหลักสูตรมีความหลากหลายมาก ในงานนอกหลักสูตร อิทธิพลของบุคลิกภาพของครู มุมมอง ความสนใจ ภาระทางทฤษฎีและศีลธรรมของครูแสดงให้เห็นมากกว่างานอื่นใด เนื้อหาของงานนอกหลักสูตรอยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด: เนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ (สร้างความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างเนื้อหาของวิชาในโรงเรียนและเนื้อหาของวิทยาศาสตร์) การเข้าถึง (เนื้อหาต้องสอดคล้องกับลักษณะอายุของนักเรียน ไม่ไกลจากหลักสูตรของโรงเรียน กระตุ้นความต้องการความรู้ ทำงานกับวรรณกรรมเพิ่มเติม และกิจกรรมการวิจัย) ความเกี่ยวข้องและความสำคัญเชิงปฏิบัติ (ความเชื่อมโยงกับชีวิต) ความบันเทิง (นักเรียนควรสนใจในระหว่างกิจกรรมนอกหลักสูตร)
งานหลักของกิจกรรมนอกหลักสูตร:
1. ปลูกฝังความสนใจในวิชาเคมี
2. การพัฒนาและปรับปรุงทักษะการทดลองทางเคมี
3. การพัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์ ความคิดริเริ่ม และความคิดริเริ่มของนักศึกษา
4. การเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับกิจกรรมภาคปฏิบัติ
5. การจัดนันทนาการสำหรับนักเรียนผสมผสานกับการศึกษาด้านสุนทรียภาพและคุณธรรม
การฝึกอบรมและการศึกษาเป็นกระบวนการสอนเดียวที่รับประกันการพัฒนาและการพัฒนาบุคลิกภาพของนักเรียนอย่างครอบคลุม ประสบการณ์แสดงให้เห็นว่างานการสอนสามารถแก้ไขได้สำเร็จด้วยการผสมผสานระหว่างการสอนและงานการศึกษาแบบออร์แกนิกระหว่างบทเรียนโดยมีผลกระทบต่อนักเรียนในช่วงเวลานอกหลักสูตรเท่านั้น ดังนั้นกิจกรรมนอกหลักสูตรจึงถือเป็นส่วนสำคัญของงานของโรงเรียนอย่างถูกต้อง
ดังที่คุณทราบ งานนอกหลักสูตรในวิชาหนึ่งคืองานวิชาการที่นักเรียนสมัครใจทำภายใต้คำแนะนำของครูนอกเวลาเรียน นอกเหนือจากหลักสูตร ความเป็นผู้นำจากครูอาจเป็นได้ทั้งโดยตรงหรือด้วยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับเชิญจากสถาบัน นักเรียน และนักเรียนมัธยมปลายเพื่อจุดประสงค์นี้
หลักสูตรมัธยมศึกษาใหม่จัดให้มีชั้นเรียนวิชาเลือกในวิชาต่างๆ รวมถึงวิชาเคมี เช่นเดียวกับกิจกรรมนอกหลักสูตร นักเรียนทุกคนไม่จำเป็นต้องมีกิจกรรมเหล่านี้ ชั้นเรียนวิชาเลือกแตกต่างจากกิจกรรมนอกหลักสูตรโดยดำเนินการตามโปรแกรมเฉพาะและมั่นคง ในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับบทเรียนปกติ เนื้อหาของบทเรียนเหล่านี้อาจไม่สนองความต้องการที่แตกต่างกันของนักเรียนแต่ละคนได้ครบถ้วน
งานที่สำคัญของชั้นเรียนเคมีนอกหลักสูตรคือการพัฒนาความสามารถของนักเรียนในการทำงานกับวรรณกรรมและทักษะการทำงานเชิงทดลองในห้องปฏิบัติการอย่างอิสระ ในที่สุด องค์ประกอบการศึกษาที่สำคัญของกิจกรรมนอกหลักสูตรคือการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ในระหว่างที่นักเรียนพัฒนาความรู้สึกรับผิดชอบ เคารพคุณค่าทางวัตถุ และเคารพในการทำงาน
ควรเน้นย้ำอีกประการหนึ่งที่สำคัญมากของงานนอกหลักสูตร ครูที่ยอดเยี่ยมในยุคของเรา V.A. Sukhomlinsky เขียนว่า:“ ตรรกะของกระบวนการศึกษานั้นเต็มไปด้วยอันตรายของการแยกตัวและการแยกตัวเพราะที่โรงเรียนมีการเน้นย้ำในทุกขั้นตอน: บรรลุความสำเร็จด้วยความพยายามของคุณเองอย่าพึ่งพาใครเลยและผลลัพธ์ของการทำงานทางจิตก็คือ ประเมินเป็นรายบุคคล เพื่อให้ชีวิตในโรงเรียนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการรวมกลุ่ม ไม่ควรจำกัดอยู่เพียงบทเรียนเท่านั้น” กิจกรรมนอกหลักสูตรจะรวมนักเรียนเข้าด้วยกันเป็นทีมที่เป็นมิตรซึ่งมีความสนใจและงานอดิเรกร่วมกัน ช่วยเอาชนะลักษณะนิสัยเชิงลบ เช่น ความโดดเดี่ยว ความเห็นแก่ตัว และการขาดวินัย การทำงานในทีมของนักเคมีรุ่นเยาว์ ไม่ว่าจะเป็นแวดวง สังคม หรือภาคส่วนต่างๆ ให้ความรู้แก่นักเรียนด้วยจิตวิญญาณของความสนิทสนมกัน ความมุ่งมั่น และความสนใจในวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้งและกระตือรือร้น
กิจกรรมนอกหลักสูตรได้รับการปรับให้เหมาะกับการพัฒนาความเป็นอิสระในการทำงาน ความเป็นอิสระในการสร้างสรรค์ และความเฉลียวฉลาดของนักเรียน มากกว่าบทเรียนและวิชาเลือก ช่วยให้นักเรียนมีความคุ้นเคยอย่างลึกซึ้งและเจาะจงมากขึ้นกับประเด็นต่างๆ ของการผลิตสารเคมี เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่าง เนื้อหาทางทฤษฎีที่กำลังศึกษาและการปฏิบัติในการใช้งานในเงื่อนไขการผลิตปลูกฝังและพัฒนาทักษะและความสามารถในทางปฏิบัติที่มีคุณค่ามากมาย กิจกรรมนอกหลักสูตรมีรูปแบบการจัดรูปแบบ วิธีการ และเนื้อหาจากบทเรียนที่แตกต่างกัน สำหรับงานดังกล่าว ครูสอนเคมีจะต้องมีความรู้ที่เหมาะสม ควรสังเกตว่ามีการให้ความสนใจอย่างมากกับองค์กรวิธีการและเนื้อหาของงานนอกหลักสูตรเคมีบางรูปแบบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการจัดประชุมและสัมมนา คู่มือการทำงานเป็นวงกลม โบรชัวร์พิเศษ และบทความที่อยู่ในบรรณานุกรม
ในปัจจุบัน เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปที่จะพอใจกับการจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรเป็นครั้งคราว แม้ว่าจะมีนักศึกษาลงทะเบียนจำนวนมากก็ตาม จำเป็นต้องมุ่งมั่นเพื่อองค์กรที่มีความคิดดีซึ่งเชื่อมโยงกับโปรแกรมและแผนปฏิทินโดยคำนึงถึงความสามารถของโรงเรียน ความโน้มเอียงของนักเรียนและในสาขาวิชานั้น งานนอกหลักสูตรวิชาเคมีควรเป็นส่วนหนึ่งของระบบกิจกรรมนอกหลักสูตรทั่วทั้งโรงเรียน โดยผสมผสานอย่างกลมกลืนกับงานที่คล้ายกันในวิชาอื่นๆ และโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้อง งานนอกหลักสูตรวิชาเคมีต้องอาศัยความช่วยเหลือจากฝ่ายบริหารและองค์กรสาธารณะของโรงเรียน ควรคำนึงถึงโอกาสที่ดีในการจัดงานนอกหลักสูตรที่โรงเรียนซึ่งเกิดขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของงานในโรงเรียน เช่น การเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกเคมี การแข่งขัน นิทรรศการความคิดสร้างสรรค์ทางเทคนิค และการทบทวนห้องเคมี .
ต้องมีการวางแผนงานนอกหลักสูตรวิชาเคมี: ล่วงหน้าสำหรับปีการศึกษาและรายละเอียดเพิ่มเติมเป็นเวลาครึ่งปีกับหนึ่งในสี่ ความต้องการนี้ถูกกำหนดไม่เพียงแต่โดยการเชื่อมโยงกิจกรรมนอกหลักสูตรเข้ากับหลักสูตรเคมีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการหลีกเลี่ยงไม่ให้นักเรียนมีกิจกรรมนอกหลักสูตรในวิชาเคมีและวิชาอื่นๆ มากเกินไป
แผนงานนอกหลักสูตรทั้งรายวิชาและโดยรวมของโรงเรียนจะมีการหารือกับนักศึกษา โดยได้รับอนุมัติจากผู้อำนวยการโรงเรียน จากนั้นจึงนำความสนใจของทั้งโรงเรียนไปไว้ในตารางเรียนพิเศษ โปสเตอร์ และประกาศต่างๆ นอกจากนี้จำเป็นต้องแจ้งให้นักศึกษาทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับงานมวลชนบางอย่างด้วย
ควรเน้นย้ำว่าไม่มีงานนอกหลักสูตรที่ประสบความสำเร็จหากไม่เริ่มในบทเรียนเคมี หลักความสามัคคีของห้องเรียนและงานนอกหลักสูตรเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดในการจัดกระบวนการศึกษา
ในระหว่างบทเรียนครูตั้งคำถามกับนักเรียนที่ควรกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและให้แรงกระตุ้นแรก
อ่านวรรณกรรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้กระตุ้นความปรารถนาที่จะทำสิ่งที่พูดในตำราเรียนและในหนังสือที่อ่านด้วยมือของตัวเอง เส้นทางสู่การจัดงานนอกหลักสูตรมวลชนและงานกลุ่มอยู่ที่การรวบรวมและอ่านข้อความเพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆ จากนักเรียนในชั้นเรียน การตีพิมพ์กระดานข่าวเคมี และการจัดกิจกรรมมวลชนเป็นตอนๆ แรก จากนั้นจึงจัดกิจกรรมมวลชนอย่างเป็นระบบมากขึ้นเรื่อยๆ การมีส่วนร่วมในงานนอกหลักสูตรแบบเข้มข้นในหัวข้อนี้จึงเป็นการดำเนินการตั้งแต่บทเรียนไปจนถึงงานจำนวนมาก จากนั้นจากจำนวนนักเรียนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับงานมวลชนจะมีการจัดตั้งกลุ่มที่กระตือรือร้นขึ้น - ผู้เข้าร่วมในแวดวงและนักเรียนแต่ละคนโดยเฉพาะการช่วยเหลือครูในการจัดงานมวลชนในวิชาเคมี ด้วยวิธีนี้ บรรยากาศของความหลงใหลในวิชานี้จะค่อยๆ ถูกสร้างขึ้นในโรงเรียน ทุกคนมีส่วนร่วมในกิจการของทั้งทีม และระบบการทำงานนอกหลักสูตรที่กลมกลืนกันก็เกิดขึ้น ซึ่งแต่ละองค์ประกอบไม่ได้แยกจากกัน ไม่ขนานกัน กับคนอื่นๆ แต่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาและกับงานในชั้นเรียน
ในทฤษฎีการสอน มีประเด็นทั่วไปหลายประการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิบัติงานนอกหลักสูตรในวิชาเคมี ก่อนอื่นประเด็นดังกล่าวควรรวมถึงการเลือกความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างกิจกรรมนักเรียนสองด้าน: การได้มาซึ่งความรู้จำนวนหนึ่งที่ครูสื่อสารหรือดึงมาจากตำราเรียนและงานอิสระหากเป็นไปได้หากเป็นไปได้ ตอบสนองภารกิจในการพัฒนาความสามารถเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนได้อย่างสูงสุด ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่ากิจกรรมนอกหลักสูตรเปิดโอกาสในวงกว้างโดยเฉพาะในการแก้ปัญหานี้เนื่องจากที่นี่มีตัวเลือกการวิจัยของกิจกรรมร่วมกันระหว่างครูและนักเรียนได้ง่ายที่สุด: นักเรียนในหลักสูตรการเรียนรู้เนื้อหาใหม่ก่อนอื่น รับข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุที่กำลังศึกษาอย่างอิสระ จากการสังเกตหรือประสบการณ์ จากนั้นชี้แจงและสรุปด้วยความช่วยเหลือจากครูในระหว่างการอภิปรายเกี่ยวกับการทดลองที่ทำ
จำเป็นต้องอาศัยแนวคิดเรื่อง "ความคิดสร้างสรรค์" ที่เกี่ยวข้องกับงานการศึกษาของนักเรียน เครื่องหมายที่ไม่ต้องสงสัยคือการสร้างผลิตภัณฑ์ซึ่งความแปลกใหม่สามารถเป็นได้ทั้งวัตถุประสงค์และอัตนัย คนที่มีความสามารถหลายคนได้ค้นพบการค้นพบที่มนุษยชาติรู้จักอยู่แล้วก่อนที่จะมีส่วนช่วยเหลืออย่างแท้จริงในสาขาวิทยาศาสตร์นี้หรือสาขานั้น และเพื่อการพัฒนาความสามารถในการสร้างสรรค์ของนักเรียนอย่างมาก ความแปลกใหม่ตามวัตถุประสงค์ของผลงานของพวกเขาไม่สำคัญ โดยธรรมชาติแล้ว พื้นฐานสำหรับการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนในสาขาเคมีควรเป็นข้อมูลที่ได้เรียนรู้อย่างดีภายในหลักสูตรของโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างปริมาณความรู้ที่นักเรียนมีและโอกาสในการทำงานสร้างสรรค์ของพวกเขา ในช่วงเริ่มต้นของการศึกษาวิชาเคมี เราสามารถและควรพยายามเพื่อให้แน่ใจว่าในระหว่างกิจกรรมนอกหลักสูตร พวกเขาจะได้รับงานที่เป็นไปได้ที่มีลักษณะสร้างสรรค์ ทำให้พวกเขาแสดงสติปัญญา ความเฉลียวฉลาดในทางปฏิบัติ และความเฉลียวฉลาด
การสร้างสถานการณ์ปัญหาในการประชุมทางวิทยาศาสตร์และเชิงปฏิบัติ การอภิปรายรายงานเกี่ยวกับงานที่ทำและบทคัดย่อ การจัดโอลิมปิก การแข่งขัน แบบทดสอบ งานอิสระพร้อมวรรณกรรม และสุดท้าย การปฏิบัติงานวิจัยที่เข้าถึงได้ - ทั้งหมดนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีและวิธีการในการพัฒนานักเรียน 'ความสามารถเชิงสร้างสรรค์. งานวิจัยที่โรงเรียนเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นในวรรณกรรมการสอนได้ไม่ดีนัก
ประเด็นสำคัญของปัญหาในการกระตุ้นการทำงานของนักเรียนคือการเลือกความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและการทดลองในกิจกรรมนอกหลักสูตรที่ถูกต้อง งานทดลองและการคำนวณเชิงปฏิบัติที่ดำเนินการในระหว่างนั้นมีส่วนช่วยให้ความรู้เป็นรูปธรรมและในขณะเดียวกันก็บังคับให้นักเรียนเจาะลึกเข้าไปในความหมายของแนวคิดทางเคมีพื้นฐาน ความเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่ของกิจกรรมนอกหลักสูตรในแง่ของการแสดงงานทดลองสำหรับนักเรียน และยิ่งไปกว่านั้น ในการวิจัย แทนที่จะเป็นภาพประกอบ ได้รับการสังเกตมานานแล้วโดยนักระเบียบวิธี
เมื่อคำนึงถึงลักษณะที่เกี่ยวข้องกับอายุของจิตวิทยาของนักเรียนและความปรารถนาของเขาที่จะได้รับผลทันทีและมองเห็นได้จากงานที่ทำเสร็จ ขอแนะนำให้ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเวลาทั้งหมดที่กำหนดสำหรับกิจกรรมนอกหลักสูตรเพื่ออุทิศให้กับงานทดลอง ขอแนะนำให้เลือกประเด็นทางทฤษฎีที่กล่าวถึงในชั้นเรียนรองจากความเป็นไปได้ในการตั้งค่าการทดลองในหัวข้อเฉพาะนี้ ดังนั้น ในทั้งสองหัวข้อ: “กัมมันตภาพรังสีและโครงสร้างของอะตอม” และ “หลักการของจลนศาสตร์เคมีและสมดุล” ควรให้ความสำคัญกับจลนศาสตร์และสมดุล เนื่องจากปัญหานี้สามารถเข้าใกล้ได้ด้วยการทดลอง แม้ว่าจะเป็นที่ชัดเจนว่าทั้งสองหัวข้อ ส่วนต่างๆ ของหลักสูตรนี้เป็นที่สนใจของนักเรียนเป็นอย่างมาก คำถามเชิงทฤษฎีทั่วไปจะเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อนำเสนอผ่านตัวอย่างเฉพาะที่ช่วยให้นำไปปฏิบัติได้ทันที ตัวอย่างเช่น เมื่อพูดคุยถึงผลกระทบของความเข้มข้นของสารตั้งต้นต่ออัตราของปฏิกิริยาทางโมเลกุล ค่อนข้างยากที่จะเลือกปฏิกิริยาเฟสก๊าซที่เหมาะสมซึ่งสามารถดำเนินการได้ในห้องปฏิบัติการเคมี ดังนั้น แม้ว่าตัวอย่างคลาสสิกของปฏิกิริยาของไฮโดรเจนกับไอโอดีนจะเรียบง่ายและชัดเจนในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็อาจดีกว่าถ้าเลือกปฏิกิริยาเฟสของเหลวที่ง่ายต่อการแสดงทันที
งานนอกหลักสูตรทั้งหมดที่โรงเรียนมีพื้นฐานอยู่บนหลักการของความสมัครใจ ดังนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรก สิ่งสำคัญมากคือต้องหาสิ่งจูงใจที่นักเรียนสนใจ ก่อนที่พวกเขาจะคุ้นเคยกับวิชานี้มากขึ้นในหลักสูตรของโรงเรียน สิ่งกระตุ้นดังกล่าวอาจเป็นองค์ประกอบของความบันเทิง ประสิทธิภาพภายนอกของการสาธิตต่างๆ องค์ประกอบของเกม และ
การแสดงละคร แน่นอนว่าไม่มีสถานที่สำหรับความเบื่อหน่ายในห้องเรียน แต่งานนอกหลักสูตรมอบโอกาสที่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษในการปลุกเร้าความสนใจของนักเรียนและแนะนำองค์ประกอบของความบันเทิงในกิจกรรมนอกหลักสูตร อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นไม่ควรเป็นจุดสิ้นสุดในตัวเอง แต่ควรอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ทั่วไปของการเรียนรู้
สำหรับนักเรียนที่มีความสนใจในวิชาเคมีได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้ว ความบันเทิงเช่นนี้จะค่อยๆ เปิดทางให้กับความสนใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในแก่นแท้ของงานที่กำลังทำอยู่ เหมาะสมที่จะจัดทำการทดลองที่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม สามารถกระตุ้นให้นักเรียนคิดและสรุป พัฒนาความสามารถในการเข้าใจหลักการทางเคมีที่พวกเขารู้จักจากหลักสูตรหลักเบื้องหลังปรากฏการณ์ภายนอกที่แตกต่างกัน และในบางกรณีพบว่า รูปแบบที่นอกเหนือไปจากหลักสูตรของโรงเรียน แต่นักเรียนสามารถเข้าถึงได้เพื่อความเข้าใจ ในงานนอกหลักสูตรจำนวนมากเช่น งานซึ่งไม่เพียง แต่ผู้เข้าร่วมในแวดวงเคมีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักเรียนคนอื่น ๆ ด้วย ความบันเทิงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญและจำเป็นที่สุดซึ่งยังคงมีความสำคัญในโรงเรียนมัธยม
งานนอกหลักสูตรในสาขาเคมีไม่เพียงแต่ติดตามเป้าหมายของการเรียนรู้การเรียนรู้วิชาเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ปัญหาในการเลี้ยงดูคุณสมบัติส่วนบุคคลบางอย่างอีกด้วย ในการปลูกฝังคุณสมบัติที่เข้มแข็งวินัยและสภาพแวดล้อมที่ดีในทีมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักการของการมีส่วนร่วมโดยสมัครใจของเด็กนักเรียนในการทำงานนอกหลักสูตรในสาขาเคมีเป็นสิ่งสำคัญ คำถามนี้ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างชั้นเรียนปกติ แต่สำหรับงานนอกหลักสูตรดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญมากซึ่งผู้จัดงานนอกหลักสูตรวิชาเคมีหลายคนตั้งข้อสังเกต หลักการนี้หมายความว่านักเรียนสามารถเลือกทำงานชิ้นนี้หรืองานนั้นได้ แต่ทำโดยไม่ล้มเหลวและตรงเวลา ความเข้าใจในความสมัครใจนี้เองที่ช่วยพัฒนาความรู้สึกรับผิดชอบ ทัศนคติที่มีสติต่อความรับผิดชอบที่ตนรับไปโดยสมัครใจ การให้กลุ่มนักเรียนมีส่วนร่วมในความเป็นอิสระขององค์กรและความคิดริเริ่มจะช่วยในการดำเนินการตามหลักการนี้ การให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการประเมินงานของตนเองจะเป็นประโยชน์ มันเกิดขึ้นที่การประเมินผลงานของเพื่อนผู้วิจารณ์ - นักเรียนและแม้แต่การประเมินตนเองของผู้เขียนในหลาย ๆ กรณีกลับกลายเป็นว่าเข้มงวดกว่าครูมาก
สถานที่สำคัญที่สุดในระบบการทำงานนอกหลักสูตรวิชาเคมีนั้นถูกครอบครองโดยความสำเร็จของงานที่มีการปฐมนิเทศที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
เราควรมุ่งมั่นที่จะให้แน่ใจว่ากิจกรรมนักเรียนทุกประเภทเมื่อปฏิบัติงานในลักษณะเฉพาะบุคคลสามารถนำไปใช้ในการทำงานของทีมโดยรวมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง: ไม่ใช่แค่อ่านหนังสือยอดนิยมเกี่ยวกับประเด็นที่สนใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึง บอกเพื่อนของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอ่านในชั้นเรียน สนใจพวกเขาในคำถามข้อใดข้อหนึ่ง ไม่เพียงแต่ทำการทดลองเท่านั้น แต่ยังแสดงในชั้นเรียน อธิบายแก่นแท้ของปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ และให้แน่ใจว่าการทดลองนั้นสะดวกต่อการสาธิตในห้องเรียน ประการแรกงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมควรรวมถึงงานของนักเรียนในการสร้างแบบจำลองการผลิต การทำเครื่องมือและการเตรียมห้องปฏิบัติการเคมี และการพัฒนาการทดลองสาธิตทางเคมี ความสามารถของนักศึกษาดังที่ครูสอนเคมีหลายคนแสดงให้เห็นนั้นยอดเยี่ยมมาก และงานของนักเรียนสามารถช่วยขยายฐานการทดลองของห้องปฏิบัติการเคมีได้อย่างจริงจัง โดยไม่ละสายตาจากแง่มุมที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงของงานของนักเรียน เราควรคำนึงถึงผลทางการศึกษามหาศาลของงานด้วย เพราะไม่มีอะไรมีส่วนช่วยในการพัฒนาความภาคภูมิใจในตนเอง การพัฒนาทักษะการทำงาน และทัศนคติที่ระมัดระวังต่อวัสดุ ค่านิยมมากกว่างานสร้างสรรค์ที่กระตือรือร้นซึ่งมีเป้าหมายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยเฉพาะ
สถาบันการศึกษางบประมาณของรัฐสำหรับการศึกษาวิชาชีพเพิ่มเติม
(มืออาชีพขั้นสูง)
"สถาบันการศึกษาสาธารณรัฐมอร์โดเวีย»
งานหลักสูตร
งานนอกหลักสูตรทางคณิตศาสตร์: รูปแบบและประเภทของงาน
เสร็จสิ้นโดย: Brovtseva A.V. ครูวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ MBOU "Kochkurovskaya Secondary School" ของเขต Dubensky ของสาธารณรัฐมอร์โดเวีย
หัวหน้า: Surodeeva O.N.
ซารานสค์ 2015
เนื้อหา
บทนำ………………………………………………………………………..…….2
1. เป้าหมายของกิจกรรมนอกหลักสูตรทางคณิตศาสตร์………………... 3
1.1. ลักษณะทั่วไปของงานนอกหลักสูตรทางคณิตศาสตร์…….….3
1.2. การจำแนกกิจกรรมนอกหลักสูตร…………...……… ……..4
2. บทบาทของงานนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์……..…………5
2.1. งานนอกหลักสูตรของนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์และวิธีการนำไปปฏิบัติ…………………………………………………………………………...5
2.2. บทบาทของกิจกรรมนอกหลักสูตรในการเตรียมนักเรียนที่ตามหลังผู้อื่นในสื่อการเรียนการสอน………………………...……………………………………………………… ……7
2.3. บทบาทของกิจกรรมนอกหลักสูตรในการเตรียมนักเรียนที่แสดงความสนใจและความสามารถในการเรียนคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้น……………………………………………………………………………………… ..8
3. ประเภทของงานนอกหลักสูตรทางคณิตศาสตร์……………………………..10
3.1. ชั้นเรียนของชมรมในวิชาคณิตศาสตร์และวิธีการนำไปปฏิบัติ……………………………………………………………………………………….....10
3.2. ชั้นเรียนเสริมในวิชาคณิตศาสตร์และวิธีการนำไปปฏิบัติ…… ………………………………………………………………....11
3.3. ลักษณะของชมรมและวิชาเลือกในประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์………………………………………………………………………… 15
4. รูปแบบงานนอกหลักสูตรวิชาคณิตศาสตร์…….…………………………………………………………...….....20
บทสรุป…………………………………………………………………………………24
รายการอ้างอิง………………………………………………………...26
การแนะนำ
งานนอกหลักสูตรในรูปแบบคณิตศาสตร์และพัฒนาความสามารถและบุคลิกภาพของเด็ก การจัดการกระบวนการนี้ไม่เพียงแต่หมายถึงการพัฒนาและปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ในตัวบุคคลโดยธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังสร้างความจำเป็นในการพัฒนาตนเองและการตระหนักรู้ในตนเองอย่างต่อเนื่องในตัวเขา เนื่องจากแต่ละคนให้ความรู้แก่ตนเองก่อนอื่นคือตัวเขาเอง
เป้าหมายของการสอนคณิตศาสตร์ถูกกำหนดโดยโครงสร้างของแต่ละบุคคล เป้าหมายทั่วไปของการศึกษา แนวคิดของวิชาคณิตศาสตร์ สถานะและบทบาทในวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และชีวิตของสังคม คุณค่าของการศึกษาคณิตศาสตร์ แนวคิดการศึกษาใหม่ ๆ ซึ่งการศึกษาเชิงพัฒนาการถือเป็นสถานที่สำคัญ
งานนอกหลักสูตรหมายถึงกิจกรรมเสริมที่เป็นระบบกับนักเรียนนอกเวลาเรียน โรงเรียนคณิตศาสตร์ วิชาเลือก วันหยุดทางคณิตศาสตร์ และชมรม ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางคณิตศาสตร์ของเด็กนักเรียนที่ได้ระบุความสนใจทางการศึกษาหลักๆ ของตนแล้ว เมื่อพิจารณาว่าขณะนี้ความต้องการนักคณิตศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญมีสูงมาก จึงจำเป็นต้องสร้างความสนใจที่สอดคล้องกันในโรงเรียน
ในบทเรียนคณิตศาสตร์มีโอกาสมากมายที่จะให้เด็กนักเรียนสนใจเนื้อหาของวิทยาศาสตร์นี้ ในเวลาเดียวกันเป้าหมายหลักของชั้นเรียนคือการสอนขั้นตอนบางอย่างที่มีลักษณะทางคณิตศาสตร์ลักษณะที่สนุกสนานของการนำเสนอนั้นอยู่ภายใต้เป้าหมายนี้การพัฒนาความสามารถของนักเรียนเกิดขึ้นภายในกรอบการศึกษาภาคบังคับ วัสดุ.
บ่อยครั้งที่การมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์อาจเป็นขั้นตอนแรกของการศึกษาคณิตศาสตร์เชิงลึกและนำไปสู่การเลือกวิชาเลือกในวิชาคณิตศาสตร์การเข้าศึกษาในโรงเรียนคณิตศาสตร์การศึกษาอิสระในเนื้อหาที่น่าสนใจ ฯลฯ
1. เป้าหมายของการดำเนินงานในชั้นเรียนวิชาคณิตศาสตร์
1.1. ลักษณะทั่วไปของกิจกรรมนอกหลักสูตรทางคณิตศาสตร์
เป้าหมายที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของการทำงานนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์คือการพัฒนาความสนใจของนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์และดึงดูดนักเรียนให้เข้าเรียนวิชาเลือก นักเรียนมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะทดสอบความแข็งแกร่ง ความสามารถทางคณิตศาสตร์ และความสามารถในการแก้ปัญหาที่ไม่ได้มาตรฐาน พวกเขาสนใจโอกาสที่จะเป็นอาสาสมัคร
การทำงานนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิธีการที่ดีเยี่ยมในการปรับปรุงคุณสมบัติของครู เป้าหมายประการหนึ่งคือการขยายเนื้อหาที่กำลังศึกษาในหลักสูตรคณิตศาสตร์ บางครั้งการขยายดังกล่าวอาจอยู่นอกเหนือขอบเขตของโปรแกรมภาคบังคับ การพิจารณาประเด็นดังกล่าวในชั้นเรียนเพิ่มเติมย่อมทำให้ครูจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับเนื้อหานี้อย่างละเอียดและวิธีการนำเสนอต่อนักเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ยังช่วยในการระบุนักเรียนที่มีความสนใจและความถนัดในการเรียนคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการแก้ปัญหาการฝึกอบรมบุคลากรด้านคณิตศาสตร์และระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ใหม่จำนวนมาก โรงเรียนสมัยใหม่ควรจัดการกระบวนการศึกษา และไม่ล้าหลัง การจัดการกระบวนการศึกษาหมายถึงไม่เพียงแต่การพัฒนาและปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ในตัวบุคคลโดยธรรมชาติ แก้ไขความเบี่ยงเบนทางสังคมที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นในพฤติกรรมและจิตสำนึกของเขา แต่ยังแจ้งให้เขาทราบถึงความจำเป็นในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การตระหนักรู้ในตนเองของพลังทางร่างกายและจิตวิญญาณ .
เป้าหมายหลักของงานนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์มีดังนี้:
1. กำหนดระดับความสนใจของนักเรียนและครูในงานนอกหลักสูตรทางคณิตศาสตร์
2. กำหนดระดับความบังเอิญของความสนใจของครูและนักเรียน
3. กำหนดสถานที่ทำงานนอกหลักสูตรคณิตศาสตร์ระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายในชีวิตในโรงเรียน
4. กำหนดจุดเน้นของกิจกรรมนอกหลักสูตรนี้
1.2. การจำแนกกิจกรรมนอกหลักสูตร
การจำแนกประเภทของงานนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์มีหลายประเภท โดยมีรายละเอียดครอบคลุมอยู่ในวรรณกรรมการสอนและระเบียบวิธีจำนวนมาก Yu.M. Kolyagin แยกแยะงานนอกหลักสูตรสองประเภทในวิชาคณิตศาสตร์
1. การทำงานร่วมกับนักเรียนที่ตามหลังผู้อื่นในสื่อการเรียนการสอน เช่น ชั้นเรียนเพิ่มเติมในวิชาคณิตศาสตร์
2. การทำงานร่วมกับนักเรียนที่สนใจวิชาคณิตศาสตร์
แต่เรายังสามารถแยกแยะงานประเภทที่สามได้
3. ทำงานร่วมกับนักเรียนเพื่อพัฒนาความสนใจในการเรียนคณิตศาสตร์
เป้าหมายหลักของงานนอกหลักสูตรประเภทแรกคือการเชื่อมช่องว่างและป้องกันความล้มเหลวทางวิชาการ มีความเห็นว่าหากมีการดำเนินงานเพิ่มเติมดังกล่าว ซึ่งหมายความว่างานในบทเรียนยังจัดระเบียบไม่เพียงพอ ไม่ว่าในกรณีใด งานนี้ควรมีลักษณะเฉพาะตัวที่เด่นชัดและต้องมีไหวพริบและลักษณะนิสัยพิเศษจากครู
เป้าหมายของงานนอกหลักสูตรประเภทที่สองในวิชาคณิตศาสตร์นั้นมีความหลากหลายมากและขึ้นอยู่กับสิ่งที่น่าสนใจและสิ่งที่นักเรียนต้องการเรียนรู้ใหม่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์เช่น:
1. การพัฒนาและเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของหลักสูตร
2. ปลูกฝังทักษะการวิจัยให้พวกเขา
3. ส่งเสริมวัฒนธรรมการคิดทางคณิตศาสตร์
4. การพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์เชิงปฏิบัติ ฯลฯ
กิจกรรมนอกหลักสูตรประเภทที่สามอาจมีเป้าหมายคล้ายกัน แต่จุดเน้นหลักคือการพัฒนาความสนใจของคณิตศาสตร์ตามความสามารถของนักเรียนกลุ่มนี้
กิจกรรมนอกหลักสูตรมีรูปแบบดังต่อไปนี้:
1. ชมรมคณิตศาสตร์
2. ไม่จำเป็น
3. การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกแบบทดสอบ
4. คณิตศาสตร์โอลิมปิก
5. การอภิปรายทางคณิตศาสตร์
6. สัปดาห์คณิตศาสตร์
7. การพิมพ์คณิตศาสตร์ของโรงเรียนและห้องเรียน
8. การผลิตแบบจำลองทางคณิตศาสตร์
9. ทัศนศึกษาคณิตศาสตร์
แบบฟอร์มเหล่านี้มักจะตัดกันดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะวาดขอบเขตที่คมชัดระหว่างสิ่งเหล่านี้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้องค์ประกอบหลายรูปแบบในการจัดงานใดงานหนึ่งได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อจัดงานคณิตตอนเย็น คุณสามารถใช้การแข่งขัน การแข่งขัน รายงาน ฯลฯ
2. บทบาทของงานพิเศษในวิชาคณิตศาสตร์
2.1. งานนอกหลักสูตรของนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์และวิธีการนำไปปฏิบัติ
ข้อกำหนดที่กำหนดโดยหลักสูตรคณิตศาสตร์ หนังสือเรียนของโรงเรียน และวิธีการสอนที่กำหนดขึ้น ได้รับการออกแบบมาสำหรับนักเรียนที่เรียกว่า "โดยเฉลี่ย" อย่างไรก็ตามตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 การแบ่งชั้นที่คมชัดของกลุ่มนักเรียนเริ่มต้นขึ้น: สำหรับผู้ที่เรียนรู้เนื้อหาโปรแกรมในวิชาคณิตศาสตร์ได้อย่างง่ายดายและมีความสนใจไปสู่ผู้ที่บรรลุผลการเรียนคณิตศาสตร์ที่น่าพอใจเท่านั้นและผู้ที่ประสบความสำเร็จในการศึกษาคณิตศาสตร์ มอบให้ด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง
ทั้งหมดนี้นำไปสู่ความจำเป็นในการสอนคณิตศาสตร์ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งรูปแบบหนึ่งคือกิจกรรมนอกหลักสูตร
งานนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์หมายถึงชั้นเรียนเสริมที่เป็นระบบของนักเรียนโดยมีครูอยู่นอกเวลาเรียน
จำเป็นต้องแยกแยะระหว่างงานนอกหลักสูตรสองประเภทในวิชาคณิตศาสตร์: ทำงานกับนักเรียนที่ล้าหลังผู้อื่นในการศึกษาเนื้อหาของโปรแกรม (กิจกรรมนอกหลักสูตรเพิ่มเติม); ทำงานร่วมกับนักเรียนที่แสดงความสนใจและความสามารถในการเรียนคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ (จริง ๆ แล้วเป็นงานนอกหลักสูตรในความหมายดั้งเดิมของความหมายของคำนี้)
เมื่อพูดถึงงานนอกหลักสูตรสาขาแรกควรสังเกตว่างานนอกหลักสูตรประเภทนี้กับนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ปัจจุบันเกิดขึ้นในทุกโรงเรียน ในเวลาเดียวกันการเพิ่มประสิทธิภาพในการสอนคณิตศาสตร์จะต้องทำให้ความสำคัญของงานด้านการศึกษาเพิ่มเติมกับนักเรียนที่ล้าหลังลดลง ตามหลักการแล้ว งานนอกหลักสูตรประเภทแรกควรมีลักษณะเฉพาะตัวที่ชัดเจนและปรากฏเฉพาะในกรณีพิเศษเท่านั้น (เช่น ในกรณีที่นักเรียนเจ็บป่วยระยะยาว การย้ายจากโรงเรียนประเภทอื่น เป็นต้น) อย่างไรก็ตามในปัจจุบันงานนี้ยังต้องได้รับความสนใจจากครูคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก
2.2. บทบาทของกิจกรรมนอกหลักสูตรในการเตรียมนักเรียนที่ตามหลังผู้อื่นในเนื้อหาโปรแกรมการเรียนรู้
เป้าหมายหลักคือการกำจัด (และป้องกัน) ช่องว่างด้านความรู้และทักษะของนักเรียนที่มีอยู่ในหลักสูตรคณิตศาสตร์อย่างทันท่วงที
ประสบการณ์ที่ดีที่สุดของครูคณิตศาสตร์เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงประสิทธิผลของข้อกำหนดต่อไปนี้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรและการปฏิบัติงานนอกหลักสูตรโดยล้าหลัง
1. ขอแนะนำให้จัดชั้นเรียนคณิตศาสตร์เพิ่มเติม (นอกหลักสูตร) โดยมีกลุ่มล้าหลังกลุ่มเล็ก ๆ (ครั้งละ 3-4 คน) นักเรียนกลุ่มนี้ควรจะมีความเป็นเนื้อเดียวกันทั้งในแง่ของช่องว่างความรู้ของนักเรียนและความสามารถในการเรียนรู้
2. ชั้นเรียนเหล่านี้ควรเป็นรายบุคคลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (เช่น เสนองานเดี่ยวที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแก่นักเรียนแต่ละคน และให้ความช่วยเหลือเฉพาะเจาะจงแก่แต่ละคนในกระบวนการทำให้สำเร็จ)
3. ขอแนะนำให้จัดชั้นเรียนที่มีนักเรียนล้าหลังในโรงเรียนไม่เกินสัปดาห์ละครั้ง โดยผสมผสานชั้นเรียนรูปแบบนี้กับการบ้านของนักเรียนตามแผนรายบุคคล
4. หลังจากศึกษาคณิตศาสตร์ส่วนใดส่วนหนึ่งในชั้นเรียนเพิ่มเติมแล้ว จำเป็นต้องทำการทดสอบขั้นสุดท้ายโดยให้คะแนนในหัวข้อนั้น
5. ตามกฎแล้วชั้นเรียนเพิ่มเติมในวิชาคณิตศาสตร์ควรมีลักษณะเป็นการศึกษา เมื่อดำเนินการชั้นเรียน จะเป็นประโยชน์ที่จะใช้ตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับงานอิสระหรืองานทดสอบจาก "สื่อการสอน" รวมถึงสื่อการสอน (และการมอบหมายงาน) ประเภทโปรแกรม
6. ครูคณิตศาสตร์จำเป็นต้องวิเคราะห์สาเหตุของความล่าช้าของนักเรียนแต่ละคนในการศึกษาคณิตศาสตร์อย่างต่อเนื่องเพื่อศึกษาข้อผิดพลาดทั่วไปที่นักเรียนทำเมื่อเรียนหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้ชั้นเรียนคณิตศาสตร์พิเศษมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.3. บทบาทของกิจกรรมนอกหลักสูตรในการเตรียมนักเรียนที่แสดงความสนใจและความสามารถในการเรียนคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้น
พื้นที่ที่สองของงานนอกหลักสูตรที่กล่าวถึงข้างต้นในวิชาคณิตศาสตร์ - ชั้นเรียนที่มีนักเรียนที่แสดงความสนใจในการศึกษาเพิ่มขึ้น - บรรลุเป้าหมายหลักดังต่อไปนี้:
1. ปลุกและพัฒนาความสนใจอย่างยั่งยืนของนักเรียนในด้านคณิตศาสตร์และการประยุกต์
2. การขยายและเพิ่มพูนความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาหลักสูตร
3. การพัฒนาความสามารถทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนอย่างเหมาะสมที่สุดและการปลูกฝังทักษะบางอย่างที่มีลักษณะการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แก่นักเรียน
4. ส่งเสริมวัฒนธรรมการคิดทางคณิตศาสตร์ระดับสูง
5. การพัฒนาเด็กให้มีความสามารถในการทำงานอย่างอิสระและสร้างสรรค์กับวรรณกรรมวิทยาศาสตร์ด้านการศึกษาและยอดนิยม
6. การขยายและเพิ่มความเข้าใจของนักเรียนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความสำคัญเชิงปฏิบัติของคณิตศาสตร์ในเทคโนโลยีและการปฏิบัติของการสร้างสังคมนิยม
7. การขยายและเพิ่มความเข้าใจของนักเรียนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของคณิตศาสตร์
8. ปลูกฝังให้นักเรียนมีความรู้สึกร่วมกันและความสามารถในการผสมผสานงานของแต่ละบุคคลเข้ากับงานส่วนรวม
9. สร้างการติดต่อทางธุรกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างครูคณิตศาสตร์และนักเรียน และบนพื้นฐานนี้ การศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความสนใจทางปัญญาและคำขอของเด็กนักเรียน
10. การสร้างสินทรัพย์ที่สามารถช่วยเหลือครูคณิตศาสตร์ในการจัดการสอนคณิตศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับเจ้าหน้าที่ทั้งหมดในชั้นเรียนที่กำหนด (ความช่วยเหลือในการผลิตอุปกรณ์ช่วยการมองเห็น ชั้นเรียนที่มีนักเรียนล้าหลัง และในการส่งเสริมความรู้ทางคณิตศาสตร์ในหมู่นักเรียนคนอื่นๆ)
สันนิษฐานว่าการดำเนินการตามเป้าหมายเหล่านี้ดำเนินการบางส่วนในห้องเรียน อย่างไรก็ตาม ในบทเรียนในชั้นเรียนที่ถูกจำกัดด้วยขอบเขตของเวลาและโปรแกรมการสอน ไม่อาจทำได้ด้วยความครบถ้วนเพียงพอ ดังนั้นการดำเนินการตามเป้าหมายเหล่านี้ขั้นสุดท้ายและสมบูรณ์จึงถูกโอนไปยังกิจกรรมนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์ประเภทนี้
3. ประเภทของงานพิเศษในวิชาคณิตศาสตร์
3.1. ชั้นเรียนชมรมคณิตศาสตร์และวิธีการดำเนินการ
งานนอกหลักสูตรประเภทหลักในวิชาคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนคือวิชาเลือกวิชาคณิตศาสตร์ โดยการกระตุ้นความสนใจของนักเรียนในวิชานี้ วิชาเลือกมีส่วนช่วยในการพัฒนามุมมองทางคณิตศาสตร์และความสามารถเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียน เสริมด้วยกิจกรรมที่จัดขึ้นเพียงครั้งเดียวที่โรงเรียน (ตอนเย็นคณิตศาสตร์ แบบทดสอบ โอลิมปิก KVN การแข่งขันแบบทีม ฯลฯ ) และนอกโรงเรียน (การแข่งขันคณิตศาสตร์ ชั้นเรียนในโรงเรียนฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ การแข่งขันการแก้ปัญหา ฯลฯ ).
ชมรมคณิตศาสตร์เป็นหนึ่งในกิจกรรมนอกหลักสูตรที่มีประสิทธิผลและประสิทธิผลมากที่สุด พื้นฐานของงานวงกลมคือหลักการของความสมัครใจที่เข้มงวด โดยปกติแล้ว ชั้นเรียนของสโมสรจะจัดขึ้นสำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนดี อย่างไรก็ตาม ควรระลึกไว้ว่าบางครั้งนักเรียนที่มีผลการเรียนต่ำก็แสดงความปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมในงานของแวดวงคณิตศาสตร์และมักจะเรียนที่นั่นอย่างประสบความสำเร็จ ครูคณิตศาสตร์ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ จำเป็นต้องให้ความสนใจกับนักเรียนเหล่านี้มากขึ้นเท่านั้น พยายามเสริมสร้างความสนใจในวิชาคณิตศาสตร์ที่มีอยู่ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าการทำงานในแวดวงคณิตศาสตร์เป็นไปได้สำหรับพวกเขา แน่นอนว่า การปรากฏตัวของนักเรียนที่มีผลการเรียนไม่ดีในหมู่สมาชิกในแวดวงคณิตศาสตร์ทำให้งานของครูยากขึ้น แต่ด้วยการแบ่งงานที่ครูเสนอให้กับสมาชิกในแวดวงเป็นรายบุคคล ความยากลำบากเหล่านี้สามารถบรรเทาได้ในระดับหนึ่ง สิ่งสำคัญคือการรักษาธรรมชาติของชั้นเรียนวงกลมในคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นผลมาจากความพร้อมในการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนวงกลมสำหรับทุกคน
เมื่อจัดวงกลมทางคณิตศาสตร์แล้ว จำเป็นต้องให้นักเรียนสนใจ แสดงให้พวกเขาเห็นว่างานในวงกลมไม่ใช่การทำซ้ำกิจกรรมในชั้นเรียน กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน และเปิดเผยลักษณะของงานที่จะทำ (สำหรับสิ่งนี้ แนะนำให้จัดสรร ส่วนหนึ่งของบทเรียนคณิตศาสตร์บทเรียนหนึ่งเพื่อส่งข้อความเกี่ยวกับการจัดวงกลมสำหรับทั้งชั้นเรียน)
ในบทเรียนแรกของวงกลมจำเป็นต้องร่างเนื้อหาหลักของงานเลือกหัวหน้าวงกลมเห็นด้วยกับนักเรียนเกี่ยวกับสิทธิและความรับผิดชอบของสมาชิกของวงกลมจัดทำแผนงานและแจกจ่าย การมอบหมายงานสำหรับกิจกรรมบางอย่าง (การตีพิมพ์หนังสือพิมพ์วอลล์คณิตศาสตร์ การดูแลเอกสารงานของวงกลม ฯลฯ )
ขอแนะนำให้จัดชั้นเรียนแบบวงกลมสัปดาห์ละครั้ง โดยจัดสรรหนึ่งชั่วโมงสำหรับแต่ละบทเรียน ขอแนะนำให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดระเบียบงานของวงกลมทางคณิตศาสตร์ (มอบหมายให้พวกเขาจัดทำรายงานสั้น ๆ ในหัวข้อที่กำลังศึกษาเลือกงานและแบบฝึกหัดในหัวข้อเฉพาะเตรียมข้อมูลอ้างอิงทางประวัติศาสตร์การสร้างแบบจำลองและภาพวาดสำหรับบทเรียนที่กำหนด ฯลฯ) ในชั้นเรียนคณิตศาสตร์ ครูจะต้องสร้าง "บรรยากาศ" ของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการอภิปรายอย่างกระตือรือร้น หัวข้อของชั้นเรียนวงกลมในวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียนสมัยใหม่มีความหลากหลายมาก หัวข้อของชั้นเรียนชมรมสำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-11 รวมถึงคำถามที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์ ชีวิตและผลงานของนักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซียและชาวต่างประเทศที่มีชื่อเสียง
3.2. ชั้นเรียนเสริมในวิชาคณิตศาสตร์และวิธีการดำเนินการ
เป้าหมายหลักของวิชาเลือกในวิชาคณิตศาสตร์คือการทำให้ลึกซึ้งและขยายความรู้ พัฒนาความสนใจของนักเรียนในวิชานี้ พัฒนาความสามารถทางคณิตศาสตร์ของพวกเขา ปลูกฝังให้เด็กนักเรียนมีความสนใจและรสนิยมในการศึกษาอิสระในวิชาคณิตศาสตร์ บำรุงและพัฒนาความคิดริเริ่มและความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา
โปรแกรมวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ร่วมกับหลักสูตรวิชาเลือกวิชาคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ถือเป็นหลักสูตรขั้นสูงในวิชานี้สำหรับนักเรียนชั้นนี้
โปรแกรมวิชาเลือกวิชาคณิตศาสตร์ได้รับการออกแบบในลักษณะที่สามารถศึกษาคำถามทั้งหมดพร้อมกันกับการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลักที่โรงเรียน ในกรณีที่ชั้นเรียนใดวิชาหนึ่งสอนวิชาคณิตศาสตร์หลักโดยครูคนเดียวและวิชาเลือกสอนต่อวิชาเลือก วิชาเลือกสามารถดำเนินการได้โดยอิสระจากวิชาหลักของหลักสูตร (ในกรณีนี้คือการศึกษาหัวข้อต่างๆ อาจมีความล่าช้าบ้างตามหลักสูตรหลักของโปรแกรม)
เพื่อให้วิชาเลือกวิชาคณิตศาสตร์มีประสิทธิภาพ จะต้องจัดชั้นเรียนที่มี:
1) ครูผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ ที่สามารถสอนชั้นเรียนในระดับวิทยาศาสตร์และระเบียบวิธีระดับสูง
2) มีนักศึกษาที่ประสงค์จะเรียนวิชาเลือกนี้อย่างน้อย 15 คน
หากโรงเรียนมีชั้นเรียนขนาดเล็ก (ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับโรงเรียนในชนบทบางแห่ง) กลุ่มนักเรียนสำหรับกิจกรรมนอกหลักสูตรอาจประกอบด้วยชั้นเรียนคู่ขนานหรือจากนักเรียนในชั้นเรียนที่อยู่ติดกัน (เกรด 8-9, เกรด 10-11 เป็นต้น) ).
นักศึกษาลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตรตามความสมัครใจตามความสนใจ นักศึกษาไม่ควรถูกบังคับให้เรียนวิชาเสริม ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับนักเรียนที่ประสบปัญหาในการเรียนรู้คณิตศาสตร์หรือผสมผสานการเรียนเข้ากับกิจกรรมอื่นๆ (กีฬา ดนตรี ฯลฯ) เมื่อสิ้นสุดวิชาเลือก นักเรียนจะทำการทดสอบ (มีเกรด) ซึ่งมีระบุไว้ในใบรับรอง ครูคณิตศาสตร์มีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อคุณภาพของกิจกรรมนอกหลักสูตร วิชาเลือกรวมอยู่ในตารางและจ่ายให้กับครู
การเรียนวิชาเสริมในวิชาคณิตศาสตร์ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งงานนอกหลักสูตรรูปแบบอื่น (ชมรมคณิตศาสตร์ ตอนเย็น โอลิมปิก ฯลฯ ) ควรเสริมรูปแบบการทำงานเหล่านี้กับนักเรียนที่สนใจวิชาคณิตศาสตร์
โอกาสในการทำงานเพิ่มเติม 1-2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์กับนักเรียนที่แสดงความสนใจและความสามารถทางคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งในการแสดงรูปแบบใหม่ของการสอนคณิตศาสตร์ - การเรียนรู้ที่แตกต่าง
โดยพื้นฐานแล้ว ชั้นเรียนวิชาเลือกเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างที่มีพลวัตมากที่สุด
ไม่ว่ารูปแบบและวิธีการที่ใช้ในการจัดวิชาเลือกวิชาคณิตศาสตร์ควรจะมีโครงสร้างในลักษณะที่น่าสนใจ น่าตื่นเต้น และบางครั้งก็ให้ความบันเทิงแก่นักเรียน จำเป็นต้องใช้ความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของนักเรียนเพื่อสร้างความสนใจในวิชาของเขาอย่างยั่งยืน
รูปแบบหลักของการเรียนวิชาเลือกวิชาคณิตศาสตร์ในปัจจุบันคือการนำเสนอประเด็นสำคัญของวิชาเลือกนี้โดยอาจารย์ (วิธีการบรรยาย) การสัมมนา การสัมภาษณ์ (การอภิปราย) การแก้ปัญหา บทคัดย่อของนักเรียน (ทั้งประเด็นทางทฤษฎีและการแก้ไขชุด ของปัญหา) เรียงความทางคณิตศาสตร์ รายงานของนักเรียน ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ครูไม่ควรให้ความสำคัญกับรูปแบบหรือวิธีการนำเสนอแบบใดแบบหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน โปรดจำไว้ว่าในวิชาเลือกวิชาคณิตศาสตร์ งานอิสระของนักเรียนควร "เป็นผู้นำ แต่ควรใช้การแก้ปัญหา บทคัดย่อ รายงาน การสัมมนา-การอภิปราย การอ่านวรรณกรรมด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์ยอดนิยม ฯลฯ บ่อยขึ้น .
รูปแบบหนึ่งที่เป็นไปได้ในการจัดวิชาเลือกวิชาคณิตศาสตร์คือการแบ่งแต่ละบทเรียนออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกอุทิศให้กับการศึกษาเนื้อหาใหม่และงานอิสระของนักเรียนในงานที่มีลักษณะทางทฤษฎีและปฏิบัติ ในตอนท้ายของบทเรียนส่วนนี้ นักเรียนจะได้รับการบ้านเพื่อศึกษาทฤษฎีและการประยุกต์ ส่วนที่สองของแต่ละบทเรียนเน้นไปที่การแก้ปัญหาที่มีความยากเพิ่มขึ้น และอภิปรายวิธีแก้ปัญหาสำหรับปัญหาที่ยากหรือน่าสนใจโดยเฉพาะ กิจกรรมนอกหลักสูตรรูปแบบนี้สามารถช่วยให้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนจากรูปแบบและวิธีการสอนที่โรงเรียนเป็นรูปแบบและวิธีการสอนในสถาบันอุดมศึกษา
เมื่อจัดวิชาเลือก เป็นเรื่องปกติที่จะใช้วิธีการเรียนคณิตศาสตร์เป็นหลัก (แทนที่จะสอน) รวมถึงรูปแบบการสอนที่เน้นปัญหาเป็นหลัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถทำได้โดยการนำเสนอวิชาเลือกที่กำลังศึกษาเป็นชุดงานตามลำดับ การแก้ปัญหาทั้งหมดอย่างต่อเนื่องโดยอิสระหรือด้วยความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยจากครู เด็กนักเรียนจะค่อยๆ ศึกษาหลักสูตรโดยมีส่วนร่วมอย่างมาก แสดงกิจกรรมและความเป็นอิสระ เชี่ยวชาญเทคนิคการคิดทางคณิตศาสตร์ ทฤษฎีบทมีรูปแบบของปัญหา ถ้าทฤษฎีบทที่ผู้เรียนต้องพิสูจน์นั้นใหญ่หรือยากก็จะถูกแบ่งออกเป็นหลาย ๆ ปัญหา ดังนั้นการแก้โจทย์ข้อก่อนหน้าจะช่วยแก้โจทย์ข้อถัดไปได้ ครูรวมคำจำกัดความไว้ในข้อความของปัญหาหรือสื่อสารแยกกัน หากจำเป็น ครูจะสนทนาเบื้องต้นหรือสรุปผล แผ่นงานที่มีงานพิมพ์บนเครื่องพิมพ์ดีดจะมอบให้กับนักเรียนทุกคนในแต่ละบทเรียน นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์ในการใช้ปัญหาที่มีลักษณะเป็นปัญหาอย่างกว้างขวาง
ปัจจุบัน วิชาเลือกวิชาคณิตศาสตร์มี 2 สาขาวิชาหลัก ได้แก่
ก) ศึกษารายวิชาภายใต้โครงการ “บทเพิ่มเติมและคำถามรายวิชาคณิตศาสตร์”เนื้อหาของโปรแกรม "บทและคำถามเพิ่มเติม" ของหลักสูตรคณิตศาสตร์ที่เป็นระบบช่วยให้คุณสามารถแก้ปัญหาและเพิ่มการศึกษาเนื้อหาของโปรแกรมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทำให้นักเรียนคุ้นเคยกับแนวคิดทางคณิตศาสตร์สมัยใหม่ทั่วไป เปิดเผยการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์ในทางปฏิบัติ และเตรียมครูให้พร้อม ทำงานในโปรแกรมใหม่
b) เรียนวิชาคณิตศาสตร์พิเศษ
3.3. ลักษณะของชมรมและวิชาเลือกในประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์
ข้อความอธิบายสำหรับโปรแกรมคณิตศาสตร์เน้นว่า “การพัฒนาความสนใจในวิชาคณิตศาสตร์เป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของครู”
ความสนใจในคณิตศาสตร์จะเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษเมื่อรูปแบบและวิธีการสอนมีความหลากหลายและครูคิดถึงบทบาทของหัวข้อนี้ในการพัฒนาความสามารถของนักเรียน การใช้สื่อประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์อย่างเป็นระบบให้ความช่วยเหลืออย่างมากในการสอนและให้ความรู้แก่นักเรียน ข้อเท็จจริงจากประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์ทำให้การสอนมีชีวิตชีวาและเพิ่มความสนใจของนักเรียนในด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ขยายขอบเขตอันไกลโพ้นของนักเรียน ช่วยให้พวกเขาเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างสาขาคณิตศาสตร์ต่างๆ ได้ดีขึ้น และช่วยให้เข้าใจหลักสูตรคณิตศาสตร์ของโรงเรียนได้ดีขึ้น มีส่วนช่วยในการพัฒนาการทำงานหนักของนักเรียน (การเตรียมและการดำเนินการรายงาน ตอนเย็นทางคณิตศาสตร์ หนังสือพิมพ์ติดผนัง ฯลฯ )
ฉันเชื่อว่าเพื่อจุดประสงค์นี้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-7 สามารถเสนอชมรมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์ได้ และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 8-11 ก็สามารถเสนอวิชาเลือกในประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์ได้ ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-7 ครูควรปรับปรุงวิธีการจัดบทเรียนและกิจกรรมชมรมเพื่อเผยแพร่กิจกรรมนอกหลักสูตร
ทุกคนรู้ดีว่านอกจากนักเรียนที่เตรียมตัวมาอย่างดีในด้านคณิตศาสตร์แล้ว ยังมีผู้ที่ไม่ต้องการทำงานอย่างเป็นระบบและทำงานได้ไม่ดีอีกจำนวนมาก สำหรับเด็กประเภทนี้ การฝึกฝนเป็นเรื่องยาก และในวีการเรียนรู้ในชั้นเรียนยังทำได้ยากขึ้นด้วยความจริงที่ว่าเด็กแต่ละคนจำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับครูใหม่ วิชาใหม่ และความต้องการในระดับใหม่ นักเรียนมีปัญหาอย่างมากในบทเรียนคณิตศาสตร์โดยเฉพาะ ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าครูจัดระเบียบงานอย่างไร เขาจะลำบากแค่ไหนในการปรับตัว และเขาจะดึงดูดนักเรียนมากน้อยเพียงใดด้วยวิชาของเขา บทเรียนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับสิ่งนี้ งานวงกลมที่เป็นระบบมาเพื่อช่วยเหลือโดยเฉพาะวงกลมที่ใช้เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ซึ่งควรกำหนดงานต่อไปนี้:
เพิ่มความสนใจของนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ รูปแบบงานแบบวงกลมช่วยให้คุณใช้สื่อการสอนที่ไม่ "พอดี" เสมอไปในกรอบของบทเรียน (ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ความบันเทิง งานทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ) บ่อยกว่าในบทเรียน ในการทำงานเป็นวงกลม คุณสามารถใช้กิจกรรมรูปแบบเกมกับนักเรียนได้
การขยายและเจาะลึกหัวข้อที่ครอบคลุมในบทเรียน วงกลมที่จัดระเบียบอย่างเหมาะสมทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างชั้นเรียนและกิจกรรมนอกหลักสูตร เมื่อสิ่งที่เรียนรู้ในชั้นเรียนได้รับการพิจารณาในรูปแบบใหม่ บูรณาการ และลึกซึ้งในวงกลม
การพัฒนาความคิดของนักเรียน ปลูกฝังทักษะการทำงานบางอย่างให้พวกเขา กิจกรรมของชมรมยังคงเป็นการก่อตัวของการคิดทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน ซึ่งแสดงออกด้วยความคิดสร้างสรรค์ ตรรกะ หลักฐาน และมีผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนต่อการก่อตัวของการทำงานหนักและความเพียร (ตัวอย่างนี้คือการศึกษาชีวประวัติของนักวิทยาศาสตร์)
การก่อตัวของทัศนคติเชิงสุนทรียภาพต่อคณิตศาสตร์ เด็ก ๆ จะได้รับอารมณ์และสุนทรียศาสตร์บางอย่าง: พวกเขาเตรียมการแสดงมือสมัครเล่นด้วยโครงเรื่องทางคณิตศาสตร์และตีพิมพ์หนังสือพิมพ์วอลล์วอลล์, วาดภาพ, เขียนนิทานด้วยเนื้อหาทางคณิตศาสตร์, สร้างปริศนาง่ายๆ และเกมคณิตศาสตร์
จำนวนคลาสคลับโดยประมาณต่อปีคือ 14-16 คลาส 2 คลาสต่อเดือน คุณสามารถดำเนินการได้หลายชั้นเรียนในหัวข้อเดียวกัน จำนวนนี้ยังรวมถึงชั้นเรียนเพื่อเตรียมนักเรียนสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โรงเรียนและคณิตศาสตร์ช่วงเย็นของโรงเรียนด้วย
รูปแบบของงานวงกลมนั้นมีความหลากหลายมาก มีความจำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับอายุของนักเรียนด้วยวี - ปกเกล้าเจ้าอยู่หัวชั้นเรียน (โดยเฉพาะวี): ไม่สนใจ, ไม่สามารถฟังเป็นเวลานาน, อ่าน, เขียน, ตัดสินใจ. ดังนั้นจึงควรแยกบทเรียนของแต่ละชมรมออกจากการเปลี่ยนแปลงประเภทกิจกรรมบ่อยครั้ง หรือองค์ประกอบการแข่งขันเป็นทีมที่ดึงดูดเด็ก ๆ และไม่ให้เวลาพวกเขาฟุ้งซ่าน สำหรับแวดวงที่มีชั้นเรียนต่างกัน ระยะเวลาการประชุม หัวข้อ และลักษณะของสุนทรพจน์ควรมีความแตกต่างกัน
อายุของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจะกระตุ้นให้เกิดการระบุจุดแข็งของตนเอง ทั้งทางร่างกาย จิตใจ จิตใจ พลังเหล่านี้ไม่ได้ใช้ไปในทิศทางที่ถูกต้องเสมอไป และส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับครูที่จะกำหนดทิศทางความสนใจของนักเรียนไปในทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อส่งเสริมความสนใจในคณิตศาสตร์และพัฒนามุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเกิดขึ้นและการพัฒนาความคิดทางคณิตศาสตร์จะเป็นประโยชน์ที่จะนำวิธีแก้ปัญหาของคำถามสำคัญมาสู่จิตสำนึกของเด็กนักเรียน: ปัญหาทางคณิตศาสตร์ใหม่ แนวคิดและทฤษฎีทางคณิตศาสตร์มาจากไหน วิชาเลือกในประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์จะมีประโยชน์มากที่นี่
การจัดชั้นเรียนเสริมวิชาคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนเป็นรูปแบบหนึ่งของงานครูร่วมกับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งเปิดขอบเขตที่ดีสำหรับงานการสอนเชิงสร้างสรรค์
ดังที่เราทราบกันว่าคณิตศาสตร์เป็นสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดสาขาหนึ่ง และจุดเริ่มต้นของมันได้สูญหายไปในส่วนลึกนับพันปี ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน คณิตศาสตร์ได้เปลี่ยนแปลงอุดมคติและทิศทางหลักของการวิจัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่ได้ละทิ้งความรู้ที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ แต่รวมไว้ในความรู้ใหม่ที่เป็นองค์ประกอบตามธรรมชาติ ในเวลาเดียวกัน ตามกฎแล้ว ความรู้และแนวคิดเก่าเป็นพื้นฐานสำหรับความรู้ใหม่ แต่ละขั้นตอนในชีวิตของคณิตศาสตร์ไม่เพียงแต่เสริมด้วยแนวคิด วิธีการ และแนวคิดใหม่ๆ เท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันก็อนุญาตให้อิทธิพลของมันครอบคลุมกิจกรรมภาคปฏิบัติจำนวนหนึ่งซึ่งไม่เคยมีการประยุกต์ใช้มาก่อน ทุกวันนี้ คณิตศาสตร์กำลังประสบกับการเติบโตอย่างรวดเร็วครั้งใหม่ และในขณะเดียวกัน คณิตศาสตร์ก็กำลังเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปอย่างมาก ประการแรกมันกลายเป็นนามธรรมมากขึ้น ประการที่สองด้านการคำนวณที่เกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นและการปรับปรุงคอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญมากขึ้น และประการที่สาม ขอบเขตของแอปพลิเคชันกำลังขยายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เนื้อหาข้างต้นเป็นเนื้อหาหลักของรายวิชาเลือกประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์
เมื่อวางแผนงานวิชาเลือกซึ่งมีเนื้อหาไม่เบี่ยงเบนไปจากหัวข้อการศึกษาเป้าหมายคือเพื่อพัฒนาความสนใจทางปัญญาในวิชาคณิตศาสตร์ในหมู่เด็กนักเรียนและเสริมสร้างกิจกรรมทางจิตของพวกเขา วิชาเลือกทุกประเภทและทุกรูปแบบช่วยให้คุณพัฒนาวิจารณญาณที่เป็นอิสระ ความอุตสาหะ ระเบียบวินัย ความอดทน ความเอาใจใส่ ความสามารถในการปกป้องความคิดเห็นของตนเอง และมีส่วนร่วมในการค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจ
พื้นฐานสำหรับความสำเร็จในการทำงานของครูควรเป็นความรู้เกี่ยวกับลักษณะทางจิตวิทยาส่วนบุคคลของนักเรียนแต่ละคน ด้วยการศึกษาของพวกเขาเองที่ครูควรเริ่มงานของเขา
เป็นที่พึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเลือกรูปแบบของวิชาเลือกในลักษณะที่จะช่วยให้นักเรียนมัธยมปลายที่มีความหลงใหลในวิชาคณิตศาสตร์และประวัติศาสตร์ได้มีส่วนร่วมในการทำงานกับนักเรียนที่อายุน้อยกว่า สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าขอแนะนำให้นักเรียนวิชาเลือกในประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์เข้าร่วมชั้นเรียนคณิตศาสตร์กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-7 ขอแนะนำให้ดำเนินการบทเรียนโดยได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำจากครูคณิตศาสตร์ตามแผนที่วางไว้ร่วมกัน ในระหว่างชั้นเรียนของชมรม เด็กนักเรียนรุ่นพี่พูดคุยเกี่ยวกับบทบาทของคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน ต้นกำเนิดของคณิตศาสตร์ การพัฒนาแนวคิดทางคณิตศาสตร์ ชีวิตและผลงานของนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยความสนใจอย่างมาก สมาชิกชมรมจะแก้ปัญหาความบันเทิงในอดีต บางครั้งนักเรียนมัธยมปลายก็กลายเป็นนักมายากลและเล่นกลทางคณิตศาสตร์ จับจินตนาการของเด็ก ๆ และทำให้เกิดความรู้สึกชื่นชมในความเป็นไปได้ของคณิตศาสตร์ เป็นกิจกรรมร่วมกันที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด: เด็ก ๆ มีความปรารถนาที่จะเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาพัฒนาความรู้สึกของมิตรภาพและการรวมกลุ่มเมื่อเด็กนักเรียนที่มีอายุมากกว่าช่วยเพื่อนที่อายุน้อยกว่าในโครงการเรียน วัสดุ.
ในส่วนหนึ่งของวิชาเลือกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์ ฉันเชื่อว่าเป็นการเหมาะสมที่จะพัฒนาระบบการสรุปเพื่อใช้ในการจัดการการเตรียมการทางคณิตศาสตร์อย่างเป็นอิสระของนักเรียน เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักเรียนในอนาคตที่จะสามารถทำงานได้อย่างอิสระ - เพื่อศึกษาเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ใหม่และจดบันทึก กิจกรรมดังกล่าวจะพัฒนาคุณสมบัติที่มีคุณค่าและลักษณะนิสัยของนักเรียน ในเวลาเดียวกัน งานดังกล่าวช่วยให้เราสามารถเสริมสร้างสายอาชีพแนะแนวในชั้นเรียนของวิชาเลือกดังกล่าวได้
การแก้ปัญหาทางประวัติศาสตร์มีประโยชน์มากในชั้นเรียนเสริมของชมรม
หนังสือพิมพ์คณิตศาสตร์เป็นส่วนเสริมของกิจกรรมชมรมและกิจกรรมนอกหลักสูตร ฉันคิดว่าเป้าหมายหลักของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ควรเป็นการส่งเสริมความรู้ทางคณิตศาสตร์ในหมู่นักเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องกับชมรมหรือวิชาเลือก เพื่อเพิ่มความสนใจในวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อดึงดูดพวกเขาให้ทำกิจกรรมนอกหลักสูตร และเพื่อครอบคลุมกิจกรรมนอกหลักสูตร สื่อที่วางในหนังสือพิมพ์ติดผนังควรเป็นที่สนใจของสมาชิกในแวดวงหรือวิชาเลือกด้วย หนังสือพิมพ์บางส่วนอาจมีเนื้อหาที่ไม่ได้รับการพิจารณาในการประชุมของสโมสรหรือนอกหลักสูตร
ชมรมคณิตศาสตร์และวิชาเลือกประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์มีประโยชน์มากสำหรับนักเรียน ไม่ใช่โดยไม่มีเหตุผลที่คำถามของการใช้องค์ประกอบของประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศึกษาสนใจครูและนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียแม้ในยุคก่อนการปฏิวัติ และนี่เป็นเรื่องปกติ: ท้ายที่สุดแล้วการศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการศึกษาของคนรุ่นใหม่
4. รูปแบบงานนอกหลักสูตรทางคณิตศาสตร์
รูปแบบของงานนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียนสมัยใหม่มีดังต่อไปนี้:
ชมรมคณิตศาสตร์
การแข่งขันคณิตศาสตร์ แบบทดสอบ การแข่งขัน KVN
ชั่วโมงคณิตศาสตร์เฉพาะเรื่อง (การสนทนา การบรรยาย)
ตอนเย็นคณิตศาสตร์ (รอบบ่าย)
การแทนค่าทางคณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์โอลิมปิก.
วิชาเลือกคณิตศาสตร์
การพิมพ์คณิตศาสตร์
ทัศนศึกษาคณิตศาสตร์
สัปดาห์ (ทศวรรษ) ของคณิตศาสตร์
การอ่านนอกหลักสูตรนิยายคณิตศาสตร์ วรรณกรรมวิทยาศาสตร์ยอดนิยม
บทคัดย่อทางคณิตศาสตร์และเรียงความ
การประชุมวิชาการทางวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนทางคณิตศาสตร์
การออกแบบและการผลิตแบบจำลองทางคณิตศาสตร์
การดำเนินกิจกรรมนอกหลักสูตรและเทคนิคที่ใช้ในงานนี้ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดหลายประการ:
จะต้องหลากหลาย
เลือกตามลักษณะอายุของนักเรียน
ควรออกแบบมาสำหรับนักเรียนประเภทต่างๆ: สำหรับผู้ที่สนใจในวิชาคณิตศาสตร์และนักเรียนที่มีพรสวรรค์ และสำหรับนักเรียนที่ยังไม่ได้แสดงความสนใจในวิชานี้
ควรแตกต่างจากรูปแบบการเรียนและกิจกรรมบังคับอื่น ๆ หลายประการ: งานจะขึ้นอยู่กับความสมัครใจไม่ว่าจะหลังเลิกเรียนหรือในตอนเย็นหลังการบ้านเสร็จนั่นคือหลังจากทำงานทางจิตเป็นเวลาหลายชั่วโมง .
ข้อกำหนดที่รู้จักกันดีและจำเป็นเหล่านี้มักถูกประเมินต่ำไป ข้อสังเกตแสดงให้เห็นว่ารูปแบบการจัดชั้นเรียนของชมรม ช่วงเย็น และการแข่งขันทางคณิตศาสตร์ ทั้งในชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย บางครั้งก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อย นอกจากนี้ กิจกรรมของสโมสรในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-7 มักจะมีลักษณะคล้ายกับบทเรียนในรูปแบบ มีเพียงเนื้อหาของบทเรียนเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงโดยการรวมคำถามเชิงทฤษฎีใหม่จำนวนหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ การแก้ปัญหาความบันเทิงและปัญหาที่เพิ่มความยากขึ้น การใช้เกมคณิตศาสตร์ในระยะสั้น ความซับซ้อน ปริศนา และความบันเทิงทางคณิตศาสตร์อื่น ๆ
การจัดตอนเย็นทางคณิตศาสตร์มักจะทนทุกข์ทรมานจากความเอิกเกริกและการใช้คำฟุ่มเฟือย ในช่วงเย็นดังกล่าว นักเรียนจะฟังมากแต่ทำน้อย
การละเมิดข้อกำหนดพื้นฐานนำไปสู่ความจริงที่ว่าสโมสรที่สร้างขึ้นในโรงเรียนมักจะสลายตัวหากพวกเขาไม่สูญเสียความสมัครใจ (จัดขึ้นในช่วงที่หกได้รับคำสั่ง ฯลฯ ) การแข่งขันและช่วงเย็นมีจำนวนน้อย ดังนั้นเมื่อจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรสิ่งสำคัญไม่เพียงแต่ต้องคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการนำไปใช้และรูปแบบด้วย จำเป็นต้องใช้เทคนิคและวิธีการที่ตรงกับความต้องการของผู้เรียนทุกคน
กิจกรรมนอกหลักสูตรอาจมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาบางแง่มุมของการคิดและลักษณะนิสัยของนักเรียน บางครั้งโดยไม่ต้องบรรลุเป้าหมายหลักในการขยายหรือเพิ่มพูนความรู้ที่แท้จริงในวิชาคณิตศาสตร์ การขยายตัวนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ อันเป็นผลมาจากความสนใจในวิชานี้ ความอุตสาหะที่สั่งสมมาในชั้นเรียน และเป็นผลจากการค้นพบ "ความง่าย" ของคณิตศาสตร์
กิจกรรมนอกหลักสูตรสามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ของนักเรียนในสาขาเนื้อหาของโปรแกรม พัฒนาความคิดเชิงตรรกะ จินตนาการเชิงพื้นที่ ทักษะการวิจัย ความฉลาด พัฒนาคำพูดทางคณิตศาสตร์ที่ถูกต้อง ปลูกฝังรสนิยมในการอ่านวรรณกรรมทางคณิตศาสตร์ และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่นักเรียน จากประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์
บ่อยครั้งที่การมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์อาจเป็นขั้นตอนแรกของการศึกษาคณิตศาสตร์เชิงลึกและนำไปสู่การเลือกวิชาเลือกในวิชาคณิตศาสตร์การเข้าชั้นเรียนคณิตศาสตร์ ฯลฯ
บทสรุป
งานในการสร้างบุคลิกภาพที่พัฒนาอย่างครอบคลุมของเด็กนักเรียนและแนวทางบูรณาการในการจัดองค์กรของงานการศึกษาทั้งหมดนั้นต้องการให้งานการศึกษานอกหลักสูตรเป็นระบบที่สอดคล้องกันและมีจุดประสงค์
ระบบงานการศึกษานอกหลักสูตรแสดงถึงความสามัคคีของเป้าหมาย หลักการ เนื้อหา รูปแบบ และวิธีการทำกิจกรรม
ระบบงานการศึกษานอกหลักสูตรและนอกโรงเรียนมีโครงสร้างที่ซับซ้อน ถือได้ว่าเป็นความสามัคคีและการเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบหลายประการ ได้แก่ การวางแผน การจัดองค์กร และการวิเคราะห์กิจกรรม ในกรณีนี้การไม่มีองค์ประกอบใด ๆ จะนำไปสู่การทำลายทั้งระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะเฉพาะคือพลวัตและการเคลื่อนไหวภายใน: การเปลี่ยนแปลงงาน เนื้อหา โครงสร้าง และวิธีการมีความซับซ้อนมากขึ้น ในที่สุดระบบงานนอกหลักสูตรมีลักษณะเป็นการผสมผสานระหว่างการจัดการและการปกครองตนเอง: งานหลักคือการพัฒนาและความช่วยเหลือในการดำเนินการตามความคิดริเริ่มและความคิดริเริ่มของนักเรียน
แม้จะมีทางเลือกสำหรับนักเรียน แต่กิจกรรมนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์ก็สมควรได้รับความสนใจอย่างใกล้ชิดจากครูทุกคนที่สอนวิชานี้ การนำวิชาเลือกวิชาคณิตศาสตร์มาใช้ในการศึกษาในโรงเรียนไม่ได้ขจัดความจำเป็นในการจัดกิจกรรมนอกหลักสูตร
ในระหว่างกิจกรรมนอกหลักสูตร ครูสามารถคำนึงถึงความสามารถ ความต้องการ และความสนใจของนักเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ งานนอกหลักสูตรในวิชาคณิตศาสตร์ช่วยเสริมงานวิชาการภาคบังคับในวิชานี้และประการแรกควรช่วยให้นักเรียนดูดซึมเนื้อหาที่จัดไว้ให้ในโปรแกรมได้ลึกยิ่งขึ้น
กิจกรรมนอกหลักสูตรกับนักเรียนนำมาซึ่งประโยชน์อย่างมากต่อตัวครูเอง เพื่อให้ทำกิจกรรมนอกหลักสูตรได้สำเร็จ ครูจะต้องขยายความรู้ด้านคณิตศาสตร์อย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ยังส่งผลดีต่อคุณภาพของบทเรียนของเขาด้วย
รายชื่อแหล่งที่มาที่ใช้
บัลค์, เอ็ม.บี. คณิตศาสตร์หลังเลิกเรียน: คู่มือสำหรับครู / มธ. บัลค์, จี.ดี. เป็นกลุ่ม – อ.: การศึกษา, 2514. – 462 น.
งานนอกหลักสูตรวิชาคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-5 / เอ็ด เอสไอ ชวาร์ตสเบอร์ดา – อ.: การศึกษา, 2517. – 191 น.
Trudnev, V.P. งานนอกหลักสูตรวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียนประถมศึกษา คู่มือครู / วี.พี. ทรูดเนฟ. – อ.: การศึกษา, 2518. – 176 น.
ไดชินสกี้, อี.เอ. ห้องสมุดของเล่นแห่งวงการคณิตศาสตร์ คู่มือสำหรับครู / E.A. ไดชินสกี้ – อ.: การศึกษา, 2515. – 144 น.
ตอนเย็นคณิตศาสตร์ การแข่งขัน เกม // คณิตศาสตร์ที่โรงเรียน – 2530. – ฉบับที่ 3. – หน้า 56.
นากิบิน เอฟ.เอฟ., โคนิน อี.เอส. กล่องคณิตศาสตร์ - อ.: การศึกษา, 2524.
เปเรลแมน ยา.ไอ. คณิตศาสตร์สด - ม.: เนากา, 2521.
สัปดาห์วิชาที่โรงเรียน / คอมพ์ แอล.วี. กอนชาโรวา. – โวลโกกราด: อาจารย์, 2544 – 136 หน้า
ไฟร์มาร์ค ดี.เอส. งานได้มาจากภาพ – ม.: วิทยาศาสตร์.