ความสัมพันธ์ทางการค้าในโลกยุคโบราณ ประวัติศาสตร์การค้ามาตั้งแต่สมัยโบราณ

หน่วยงานกลางเพื่อการศึกษาแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย

มหาวิทยาลัยวิศวกรรมวิทยุแห่งรัฐ Ryazan

สาขาวิชาการจัดการการเงิน.

เชิงนามธรรม

ในหัวข้อ:

"การค้าในกรีกโบราณและโรม"

ศิลปะที่เสร็จสมบูรณ์ กรัม 8710

ซิมนุคอฟ นิกิต้า

ไรซาน 2010

การพัฒนาเศรษฐกิจของดินแดนกรีกในสหัสวรรษ III-II

III-II สหัสวรรษก่อนคริสต์ศักราช ในกรีซมักเรียกว่ายุคสำริด ในช่วงเวลานี้ เครื่องมือทองสัมฤทธิ์แพร่กระจายทั้งบนเกาะในทะเลอีเจียนและบนแผ่นดินใหญ่ ช่วยเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจและการสร้างรัฐแรกๆ

ตลอดช่วงสหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช จ. การผลิตโลหะวิทยาและเซรามิกกำลังประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเริ่มตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 23 พ.ศ จ. วงล้อของช่างหม้อเริ่มถูกนำมาใช้ ในด้านการเกษตรตำแหน่งผู้นำถูกครอบครองโดยกลุ่มสามเมดิเตอร์เรเนียน: ซีเรียล (โดยเฉพาะข้าวบาร์เลย์) องุ่นและมะกอก

ใช้งานมากที่สุดในช่วง 3 และครึ่งแรกของสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช จ. หมู่เกาะกรีกได้รับการพัฒนา ซึ่งการค้าทางทะเล การค้าขาย และงานฝีมือ รวมถึงศิลปะ มีความสำคัญเป็นพิเศษ กะลาสีเรือ Cycladic ยังคงติดต่อกับดินแดนที่ตั้งอยู่ในแอ่งของทะเลอีเจียนและทะเลเอเดรียติกไปจนถึงชายฝั่งของสเปนและแม่น้ำดานูบ

พื้นฐานของเศรษฐกิจของเกาะครีตและรัฐ Achaean คือเกษตรกรรม ซึ่งเป็นสาขาชั้นนำที่ทำเกษตรกรรม อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงปศุสัตว์ (โดยเฉพาะการเลี้ยงแกะ) ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ในบรรดางานฝีมือ การผลิตโลหะวิทยาและเซรามิกมีความสำคัญเป็นอันดับแรก

การพัฒนาเศรษฐกิจในคริสต์ศตวรรษที่ 11-6 พ.ศ

โดยปกติแล้วศตวรรษที่ XI-IX พ.ศ ถือเป็นระยะกลางซึ่งในด้านหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ Achaean Greek ระดับการพัฒนาลดลง แต่ในทางกลับกันเมื่อเริ่มการผลิตเครื่องมือเหล็กข้อกำหนดเบื้องต้นก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อความเจริญรุ่งเรืองต่อไป ของรัฐกรีก

ยุคโบราณมีลักษณะเป็นกระบวนการหลักสองประการที่มีอิทธิพลชี้ขาดต่อการพัฒนาอารยธรรมกรีก:

1) นี่คือการล่าอาณานิคมครั้งใหญ่ - การพัฒนาโดยชาวกรีกของชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำแห่ง Azov;

2) การลงทะเบียนกรมธรรม์เป็นชุมชนประเภทพิเศษ

ในศตวรรษที่ XI-IX พ.ศ ในเศรษฐกิจกรีก เศรษฐกิจแบบธรรมชาติถูกครอบงำโดยงานฝีมือไม่ได้แยกออกจากเกษตรกรรม พืชผลทางการเกษตรหลัก ได้แก่ ธัญพืช (ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี) องุ่น มะกอก เช่นเดียวกับเมื่อก่อน ยังคงสร้างระบบชลประทานและใช้มูลดิน มีการปรับปรุงเครื่องมือบางอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีคันไถพร้อมโคลเตอร์โลหะ (โดยเฉพาะเหล็ก) ปรากฏขึ้น ปศุสัตว์ยังมีบทบาทสำคัญในการเกษตร โดยปศุสัตว์ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของความมั่งคั่งหลัก ในงานฝีมือของศตวรรษที่ 11-9 พ.ศ มีความแตกต่างบางประการ การทอผ้า โลหะวิทยา และเซรามิกได้รับการพัฒนาโดยเฉพาะ แต่การผลิต เช่นเดียวกับในการเกษตร มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการเฉพาะหน้าของผู้คนเท่านั้น ในเรื่องนี้ การค้ามีการพัฒนาช้ามากและมีลักษณะเป็นการแลกเปลี่ยนเป็นหลัก

ในศตวรรษที่ VIII-VI พ.ศ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในสมัยกรีกโบราณเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ในช่วงเวลานี้ งานฝีมือแยกออกจากเกษตรกรรม ซึ่งยังคงเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ การพัฒนาที่อ่อนแอของการผลิตทางการเกษตรในระยะก่อนหน้าและการไม่สามารถจัดหาอาหารให้กับประชากรที่เพิ่มขึ้นของนโยบายได้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้กรีกตกเป็นอาณานิคม หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของอาณานิคมที่ตั้งอยู่ในแอ่งทะเลดำคือการจัดหาขนมปังให้กับมหานคร ในนโยบายกรีกหลายนโยบาย พวกเขาปฏิเสธที่จะปลูกธัญพืช และให้ความสำคัญกับพืชผลเป็นหลัก ซึ่งการเพาะปลูกมีความสอดคล้องกับสภาพธรรมชาติของกรีซมากกว่า เช่น องุ่น มะกอก พืชสวนและพืชสวนทุกชนิด ส่งผลให้การเกษตรหันมามุ่งเน้นตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกด้วยการกระจายเครื่องมือเหล็กในวงกว้าง

การผลิตหัตถกรรมยังมีลักษณะทางการค้าอีกด้วย และเช่นเดียวกับในด้านการเกษตร การล่าอาณานิคมของกรีกมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ โดยมีส่วนช่วยในการขยายฐานวัตถุดิบและการพัฒนาการค้า นครรัฐในกรีกหลายแห่งกลายเป็นศูนย์กลางงานฝีมือขนาดใหญ่ โดยมีช่างฝีมือมากมายปรากฏตัวอยู่ในนั้น ใน Chalkis, Miletus, Corinth, Argos และ Athens ได้มีการพัฒนาโลหะวิทยาเป็นพิเศษ การปรับปรุงในสมัยโบราณได้รับการอำนวยความสะดวกด้วยการค้นพบเทคนิคการบัดกรีเหล็กและการหล่อทองสัมฤทธิ์ ศูนย์กลางการผลิตเซรามิกที่สำคัญคือเมืองโครินธ์และเอเธนส์ ที่นี่ตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 7-6 พ.ศ การผลิตแบบอนุกรมเริ่มต้นขึ้น เมืองกรีกในเอเชียไมเนอร์และเมการามีชื่อเสียงในด้านการผลิตสิ่งทอ

การค้าของกรีกพัฒนาขึ้นอย่างแข็งขันในช่วงยุคของการล่าอาณานิคมครั้งใหญ่ การเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่องกำลังเกิดขึ้นระหว่างมหานคร โดยการส่งออกสินค้าหัตถกรรมเป็นหลัก และอาณานิคมต่างๆ โดยจัดหาวัตถุดิบประเภทต่างๆ (โดยเฉพาะโลหะ ไม้) และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร (โดยเฉพาะธัญพืช) นอกจากนี้ อาณานิคมยังกลายเป็นตัวกลางระหว่างกรีซกับดินแดนอนารยชนที่อยู่ห่างไกล ในนโยบายกรีกที่ได้รับการพัฒนามากที่สุด การค้าทางทะเลกลายเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจ ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 6 พ.ศ Navklers เจ้าของและกัปตันเรือค้าขายเริ่มมีบทบาทสำคัญ

ความสัมพันธ์ทางการเงินในช่วงเปลี่ยนสหัสวรรษที่ 2-1 ก่อนคริสต์ศักราช เนื่องจากความโดดเด่นของการทำเกษตรกรรมเพื่อยังชีพและการพัฒนาการค้าที่อ่อนแอจึงไม่มีเงินเช่นนี้ บทบาทของมันเล่นโดยปศุสัตว์เป็นหลัก ในช่วงยุคของการล่าอาณานิคม แท่งโลหะ แท่งโลหะ และสุดท้ายในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 7-6 ถูกนำมาใช้เป็นเงินมากขึ้น พ.ศ การขุดเหรียญเริ่มต้นขึ้น เมื่อถึงศตวรรษที่ 6 พ.ศ กรีซมีระบบการเงินหลักสองระบบ - Aegina และ Euboean พื้นฐานของแต่ละระบบคือความสามารถ - หน่วยน้ำหนักซึ่งใน Euboea อยู่ที่ 26.2 กก. และใน Aegina - 37 กก. หนึ่งพรสวรรค์ถูกสร้างขึ้นเป็น 6,000 ดรัชมา - เหรียญเงิน มาตรฐาน Aeginian กระจายไปทั่วดินแดนส่วนใหญ่ของกรีซและหมู่เกาะในทะเลอีเจียน มาตรฐาน Euboean บนเกาะ Euboea ในอาณานิคมกรีกตะวันตกหลายแห่ง รวมถึงในนโยบายที่ใหญ่ที่สุดสองประการ - โครินธ์และเอเธนส์

ในสมัยโบราณพร้อมกับการหมุนเวียนของเงิน ดอกดอกเบี้ยได้รับการพัฒนาและตามกฎแล้วลูกหนี้ที่ล้มละลายก็กลายเป็นทาสและอาจขายไปต่างประเทศได้

เศรษฐกิจกรีกในยุคคลาสสิก (V-IV ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช)

โครงสร้างภาคเศรษฐกิจเกษตรกรรมยังคงเป็นภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจกรีก ประชากรส่วนใหญ่มีงานทำ เกษตรกรรมถือเป็นกิจกรรมเชิงปฏิบัติประเภทเดียวที่คู่ควรกับพลเมืองเหมือนเมื่อก่อน กระบวนการที่เริ่มขึ้นในการเกษตรกรรมในศตวรรษที่ 8-6 BC ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม: ความสามารถทางการตลาดของการผลิตเพิ่มขึ้นความเชี่ยวชาญระดับภูมิภาคลึกซึ้งยิ่งขึ้น (ตัวอย่างเช่นนโยบายกรีกของภูมิภาคทะเลดำตอนเหนือและซิซิลีเป็นซัพพลายเออร์ของธัญพืช, เอเธนส์ - น้ำมันมะกอก, หมู่เกาะ Chios และ Phaos - ไวน์ ฯลฯ .) อย่างไรก็ตาม การทำเกษตรกรรมยังชีพโดยสมบูรณ์ไม่ได้ถูกแทนที่ หลักการแห่งความเป็นอิสระ—ความเป็นอิสระจากโลกภายนอก ความเป็นอิสระทางการเมืองและเศรษฐกิจ และความพอเพียง—ยังคงน่าดึงดูดใจทั้งสำหรับปัจเจกบุคคลและสำหรับโปลิส จริงไม่เหมือนกับยุคโบราณในศตวรรษที่ 5 พ.ศ เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกสิ่งที่นโยบายต้องการสามารถจัดหาได้ผ่านการค้า

เนื่องจากความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจโดยทั่วไป การใช้แรงงานทาสอย่างแพร่หลาย และการพัฒนาการค้าหัตถกรรมของชาวกรีกในศตวรรษที่ 5 พ.ศ การผลิตขยายตัวและการแบ่งงานกันมากขึ้น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการต่อเรือและการเดินเรือ การทำเหมืองแร่ และการผลิตเซรามิกกำลังมีการพัฒนาอย่างแข็งขันเป็นพิเศษ

การค้าทางทะเลกับต่างประเทศมีความสำคัญมากขึ้นกว่ายุคก่อน ในเรื่องนี้ในบรรดาชนชาติโบราณมีเพียงชาวฟินีเซียนเท่านั้นที่สามารถเปรียบเทียบกับชาวกรีกได้และในเวลาต่อมามีเพียงฮอลแลนด์เท่านั้นในศตวรรษที่ 16-17 สามารถเปรียบเทียบได้กับกรีกโบราณในยุคคลาสสิกในแง่ของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการค้าในยุคนั้น เป็นลักษณะเฉพาะที่หากชาวฟินีเซียนและชาวดัตช์มีส่วนร่วมในการค้าขายเป็นคนกลางเป็นหลัก ชาวกรีกโบราณโดยไม่ละเลยการเป็นคนกลาง ส่งออกสินค้าเกษตรกรรมของตนอย่างกว้างขวางและโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าหัตถกรรมคุณภาพสูง

สินค้าส่งออกหลักไปยังประเทศอื่นๆ ได้แก่ น้ำมันมะกอก ไวน์ ผลิตภัณฑ์โลหะ และเซรามิก ผลิตภัณฑ์อาหารส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะธัญพืช ปลาเค็ม) ทาส และวัตถุดิบประเภทต่างๆ (เหล็ก ทองแดง เรซิน ขน หนัง ผ้าลินิน งาช้าง ฯลฯ) ถูกนำเข้ามาในกรีซ การค้าขายนโยบายกรีกแต่ละแบบระหว่างกันถูกครอบงำด้วยงานหัตถกรรม ในการผลิตซึ่งเชี่ยวชาญเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง ศูนย์กลางการค้าต่างประเทศของกรีกหลักคือ เอเธนส์ มิเลทัส และโครินธ์

การค้าภายในในนโยบายกรีกได้รับการพัฒนาน้อยลง ชาวนาจากหมู่บ้านโดยรอบส่วนใหญ่มาที่ตลาดในเมืองและขายสินค้าทางการเกษตรเพื่อแลกกับงานหัตถกรรม

องค์กรการผลิตลักษณะเฉพาะที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจกรีกในศตวรรษที่ 5 พ.ศ - ทาสคลาสสิกที่แพร่หลาย สงคราม การละเมิดลิขสิทธิ์ และการค้าทาส (แหล่งที่มาหลักของการเป็นทาส) ทำให้จำนวนทาสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในศตวรรษที่ 5 พ.ศ ทาสถูกใช้ในทุกพื้นที่การผลิตกลายเป็นกำลังแรงงานหลักและถูกลิดรอนสิทธิทั้งหมดในที่สุด เชื่อกันว่าในภูมิภาคที่พัฒนาแล้วที่สุดของกรีซ - แอตติกา - ทาสคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของประชากร มีการใช้แรงงานทาสอย่างแข็งขันในการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับงานฝีมือ - ergasteria ในบรรดาเวิร์คช็อปงานฝีมือตัวเล็ก ๆ มีอำนาจเหนือกว่า (จากทาสสองถึงสิบคน) แต่ก็มีงานหัตถกรรมที่ค่อนข้างใหญ่ซึ่งใช้แรงงานของทาสประมาณ 50-100 คน การใช้แรงงานทาสในเหมืองแร่แพร่หลายเป็นพิเศษ ดังนั้น ในการพัฒนาเหมืองเงิน Lavrio (ทางตอนใต้ของแอตติกา) เอกชนบางคนจึงใช้แรงงานทาส 300-1,000 คน

ความสัมพันธ์ทางการเงินในศตวรรษที่ 5 เหรียญกษาปณ์ก่อนคริสต์ศักราชครอบคลุมทั่วโลกกรีก จากการพัฒนาของการค้าปลีก การผลิตเหรียญทองแดงขนาดเล็กจึงเริ่มขึ้นในเวลานี้ นโยบายอิสระของกรีกทุกนโยบายมีสิทธิที่จะผลิตเหรียญกษาปณ์ของตนเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่การพัฒนาการค้าในศตวรรษที่ 5 พ.ศ ทำให้อาชีพแลกเงินพิเศษ (สี่เหลี่ยมคางหมู) มีชีวิตขึ้นมา ค่อยๆ (โดยหลักมาจากปลายศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช) ร้านรับแลกเปลี่ยนเงินเริ่มทำหน้าที่บางอย่างที่มีลักษณะเฉพาะของธนาคาร ได้แก่ การจัดเก็บเงิน โอนเงินจำนวนต่างๆ จากบัญชีของลูกค้ารายหนึ่งไปยังอีกบัญชีหนึ่ง การออกสินเชื่อเงินสด ดอกเบี้ยเงินกู้ปกติค้ำประกันโดยที่ดินหรือทาวน์เฮาส์คือ 15% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทางทะเล (ค้ำประกันโดยหลักประกันเรือและสินค้าที่ไม่น่าเชื่อถือมากกว่า) อาจเกิน 30%

สี่เหลี่ยมคางหมูยังทำหน้าที่บางอย่างของสำนักงานทนายความ - พวกเขาสรุปการทำธุรกรรม ร่างตั๋วเงินขายและจัดเก็บเอกสาร

การพัฒนาเศรษฐกิจในยุคขนมผสมน้ำยา

(ปลาย IV-I ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช)

การพัฒนาเศรษฐกิจในยุคขนมผสมน้ำยาได้รับอิทธิพลอย่างดีจากการเปลี่ยนแปลงทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นทะเลภายในของโลกกรีก นอกจากนี้ในรัฐขนมผสมน้ำยาส่วนใหญ่ระบบการเงินยังคงรักษาไว้ซึ่งการรวมกันเริ่มขึ้นภายใต้อเล็กซานเดอร์มหาราช: มาตรฐานน้ำหนักที่นำมาใช้ในกรุงเอเธนส์ถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานและเหรียญทองก็เริ่มถูกสร้างเสร็จพร้อมกับเหรียญเงิน

บทบาทที่สำคัญมากในการพัฒนาเศรษฐกิจคือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างชาวกรีกและชาวตะวันออกซึ่งมีส่วนในการปรับปรุงเทคนิคการเกษตร การเพาะปลูกพืชผลใหม่ ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเพิ่มเติมในงานฝีมือ ทั้งหมดนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อการเติบโตของความสามารถทางการตลาดและมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น

ในช่วงเวลานี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้พัฒนาไปอย่างมาก: นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่างอาร์คิมิดีสได้ค้นพบกฎไฮดรอลิก กฎของคันโยก ประดิษฐ์สลักเกลียว ลิ้นชักสกรู และอื่นๆ อีกมากมาย

ทาสคลาสสิกค่อยๆ แพร่กระจายในรัฐขนมผสมน้ำยา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีทาสที่เป็นหนี้ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเศรษฐกิจตะวันออก ในด้านการเกษตร จำนวนทาสเพิ่มขึ้น แต่ที่ดินส่วนใหญ่ได้รับการปลูกฝังโดยสมาชิกของชุมชนชนบทที่ต้องพึ่งพารัฐไม่มากก็น้อย ในงานฝีมือพร้อมกับของส่วนตัวมีการประชุมเชิงปฏิบัติการซึ่งคนงานต้องพึ่งพารัฐด้วย

การค้าในกรุงโรมโบราณ

การค้าทางทะเลเจริญรุ่งเรืองเช่นเคย การขนส่งสินค้าทางเรือสะดวกกว่าและถูกกว่าทางบก โรม, ปูเตโอลี, ซีราคิวส์ยังคงเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุด ตั้งแต่เมืองต่างๆ ของอิตาลีไปจนถึงจังหวัดโพ้นทะเลและภูมิภาคที่ไม่ใช่โรมันของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไวน์ น้ำมัน เซรามิก และผลิตภัณฑ์โลหะถูกส่งออก พวกเขานำเข้าโลหะ หิน สี แก้ว เครื่องแก้ว ทาส และอาหาร อิตาลีสถาปนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดกับภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนหลายแห่ง และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (งานฝีมือ ไวน์ น้ำมัน) จากอิตาลีไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตกเพื่อแลกกับวัตถุดิบ (โลหะ ทาส) ลักษณะการค้าขายกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกนั้นแตกต่างออกไป งานหัตถกรรมของโรมัน น้ำมันและไวน์ไม่สามารถแข่งขันกับงานหัตถกรรมของกรีกได้ และในทางกลับกัน ชาวโรมันนำเข้างานหัตถกรรมของกรีกและขนมผสมน้ำยา ไวน์ น้ำมัน ข้าวสาลี และสินค้าฟุ่มเฟือยจำนวนมาก ดุลการค้าของอิตาลีกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกมีแนวโน้มว่าจะนิ่งเฉย

การค้าทางทะเลที่เข้มข้นขึ้นได้รับการอำนวยความสะดวกโดยการปรับปรุงการขนส่งและการเดินเรือทางทะเล น้ำหนักของเรือค้าขายเพิ่มขึ้น (มากถึง 200 ตัน) ใบเรือเพิ่มเติมปรากฏขึ้น ปรับปรุงพายพวงมาลัย ประภาคารถูกสร้างขึ้นบนชายฝั่ง และปรับปรุงท่าเรือ การค้าทางทะเลถือเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้มากและแม้แต่ขุนนางที่ไม่แนะนำให้เข้าร่วมในการดำเนินการทางการค้าตามกฎหมายของคลอดิอุสแห่ง 218 ปีก่อนคริสตกาลก็เข้าร่วมด้วย จ. Nobiles หลีกเลี่ยงกฎหมายโดยมีส่วนร่วมในการค้าทางทะเลผ่านหุ่นจำลอง ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นผู้เสรีของพวกเขา

การค้าทางบกก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน มีการแลกเปลี่ยนระหว่างชาวเมืองและชาวชนบทในตลาดในเมือง: มีการจัดงานแสดงสินค้าระหว่างภูมิภาคเหมือนเมื่อก่อน ในเมืองต่างๆ มีการสร้างสถานที่พิเศษเพื่อการแลกเปลี่ยนตลาด บริเวณบ้านในเมืองที่หันหน้าไปทางถนนได้กลายมาเป็นร้านค้า ซึ่งมีการค้าขายกันอย่างรวดเร็วทั้งขนมปัง ไวน์ เนย ถั่ว และผัก

การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาคได้รับการอำนวยความสะดวกโดยการสร้างเครือข่ายถนนที่ยอดเยี่ยมในอิตาลี ถนนโรมันถือเป็นความสำเร็จอันโดดเด่นของศิลปะการก่อสร้าง พื้นหินหรือกระเบื้องวาง “บนเตียงทนทานเป็นพิเศษซึ่งมีชั้นทราย หินบด หินเล็กๆ และดินเหนียวสลับกัน เสริมด้วยท่อระบายน้ำสำหรับพายุ ชาวโรมันหลีกเลี่ยงประตูหลายบานและทางปีนที่สูงชัน พวกเขาเลี้ยวตรงสร้างอุโมงค์บนเนินเขาและที่ราบลุ่มโดยไม่หยุดทำงานใหญ่ แข็งแกร่ง ตรง ลาดยางอย่างสวยงาม ไม่มีทางขึ้นหรือทางลงที่สูงชัน ถนนโรมันล้อมรอบอิตาลีเป็นอันดับแรก และต่อมาเป็นจังหวัดต่างๆ ที่มีเครือข่ายหนาแน่น ถนนสายหลักกลุ่มหนึ่งแยกออกจากกรุงโรม ผ่านทุกภูมิภาคของอิตาลีและทอดยาวต่อไปนอกเขตแดน ถนนถูกสร้างขึ้นเพื่อการเคลื่อนย้ายกองทหารเป็นหลัก แต่ยังใช้เพื่อจุดประสงค์ทางการค้าด้วย เสาปิดทองถูกวางไว้ในฟอรัมโรมัน ซึ่งเริ่มนับระยะทางเป็นไมล์จากถนนสายหลักของอิตาลี นี่คือที่มาของคำพูด: "ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม"

การค้าขายของชาวโรมันมีความเข้มข้นขึ้นทำให้ต้องมีการเพิ่มจำนวนเหรียญ เหรียญเงินโรมัน เซสเตอร์เชียส และเดนาเรียส ซึ่งเริ่มสร้างเสร็จในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 3-2 เท่านั้น พ.ศ e. ในไม่ช้าก็ท่วมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและกลายเป็นสกุลเงินหลัก ผลักดันระบบการเงินอื่นๆ ทั้งหมดออกไป

การมีอยู่ของระบบการเงินที่แตกต่างกัน เหรียญทอง เงิน และเหรียญทองแดงที่หลากหลาย มีส่วนทำให้เกิดการเกิดขึ้นของผู้แลกเงินในเมืองต่างๆ ของอิตาลี ร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตรา ซึ่งมักเป็นชาวต่างชาติหรือเสรีชนเปิดร้านค้าในเมือง ติดตามอัตราแลกเปลี่ยน ตรวจสอบสกุลเงินเหรียญ แลกเปลี่ยนเงิน และแม้กระทั่งให้กู้ยืมเงิน

การฟื้นตัวของความสัมพันธ์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ การค้า และการเปลี่ยนแปลงเงินเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการใช้ดอกเบี้ย ดอกเบี้ยเงินกู้ในอิตาลีลดลงเหลือ 6% ต่อปี แต่ในจังหวัดไม่มีข้อห้ามดังกล่าวและอัตราดอกเบี้ยสูงถึงประวัติการณ์ (สูงถึง 48% ต่อปี) ด้วยความช่วยเหลือจากฝ่ายบริหารของจังหวัด ผู้ให้กู้ยืมเงินชาวโรมันได้ทำลายเมืองและภูมิภาคทั้งหมด และขุนนางโรมันผู้สูงศักดิ์ที่สุดก็มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งถือว่าไม่คู่ควรเลย

ในอำนาจอันยิ่งใหญ่ของโรมัน ผู้คนหลายแสนล้านคนที่มีสถานะทางสังคมและสถานะทรัพย์สินที่แตกต่างกันถูกรวมอยู่ในมูลค่าการซื้อขาย: ขุนนางและพลม้า พลเมืองโรมันและลาติน พันธมิตรและจังหวัด เพื่อให้มั่นใจว่าการหมุนเวียนทางการค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น ฝ่ายบริหารของโรมันซึ่งเป็นตัวแทนโดยผู้สรรเสริญ ได้พัฒนากฎและข้อบังคับทางกฎหมายที่เรียบง่ายขึ้นซึ่งควบคุมความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบุคคลที่มีสถานะต่างกัน Jus commercii เช่น สิทธิในกิจกรรมการเป็นผู้ประกอบการ ไม่เพียงแต่มอบให้กับพลเมืองโรมันเท่านั้น (ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้รับ) แต่ยังรวมถึงพลเมืองละตินด้วย ใน 242 ปีก่อนคริสตกาล จ. มีการจัดตั้งผู้พิพากษาของ praetor คนที่สองซึ่งรับรองความถูกต้องตามกฎหมายและการคุ้มครองการกระทำของเพเรกรินโดยเฉพาะซึ่งเกี่ยวข้องกับพวกเขาในการหมุนเวียนทางแพ่งอย่างเข้มข้น ในกฎหมายโรมัน มีการพัฒนากฎที่สะดวกมากขึ้นเพื่อควบคุมธุรกรรมการซื้อและการขาย การเช่า และการโอนทรัพย์สิน และรูปแบบของสัญญาสรุปก็ง่ายขึ้น แทนที่พิธีการที่เก่าแก่และพิธีกรรมที่ยุ่งยากในการสรุปธุรกรรม มีการแนะนำบรรทัดฐานที่เรียบง่ายกว่าซึ่งสันนิษฐานว่ามีความเท่าเทียมกันของคู่ค้าและความสุจริตในความสัมพันธ์ของพวกเขาเมื่อทำการสรุปสัญญา

การล่มสลายของคำสั่งโปลิสและการก่อตัวของรัฐขนาดใหญ่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช มีสาเหตุหลักมาจากการสร้างเศรษฐกิจสินค้าโภคภัณฑ์ การที่ทาสเข้าสู่วงกว้างของการผลิตในโรม

การเติบโตของจำนวนทาส การเปลี่ยนแปลงของทาสให้กลายเป็นคนงานหลักในด้านการเกษตรและงานฝีมือ บ่อนทำลายการผลิตขนาดเล็ก ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่ลึกที่สุดของระเบียบโพลิส บ่อนทำลายความสามัคคีของกลุ่มพลเรือน นำไปสู่การแบ่งชั้นทางสังคมและ การเกิดขึ้นของความขัดแย้งทางสังคมเฉียบพลัน

งานตลาดนัดโลก

การเปลี่ยนผ่านจากระบบชุมชนดั้งเดิมไปสู่ระบบทาสเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศตะวันออกโบราณ

รัฐทางตะวันออกโบราณ - อียิปต์โบราณ, สุเมเรียน (อิรักตอนใต้สมัยใหม่), อัคคัด (เมืองในเมโสโปเตเมียทางตะวันตกเฉียงใต้ของแบกแดด), อัสซีเรีย (ดินแดนของอิรักสมัยใหม่), เปอร์เซีย (อิหร่านจนถึงปี 1935), ฟีนิเซีย ( ประเทศอื่น ๆ บนชายฝั่งตะวันออกของ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน), อินเดียโบราณ, จีนโบราณ - มีอยู่ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันในช่วงหลายพันปี - ตั้งแต่ปลายสหัสวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 6 พ.ศ

สภาพอากาศที่อบอุ่นและการมีดินที่อุดมสมบูรณ์และปลูกง่ายมีส่วนทำให้การเกษตรมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ทำให้สามารถยกระดับกำลังการผลิตให้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงซึ่งนำไปสู่การแบ่งแยกสังคมออกเป็นชนชั้นและการเกิดขึ้นของรัฐแรก

ประเทศในตะวันออกโบราณเป็นรัฐทาสยุคแรก (ในรูปแบบของสหภาพชุมชนปิด) มีลักษณะเฉพาะคือเกษตรกรรมยังชีพดั้งเดิมและแรงงานรวมเพื่อการเกษตรชลประทาน ในสังคม มีชนชั้นปกครองที่เอาเปรียบสมาชิกชุมชน เกษตรกร และช่างฝีมืออย่างเสรี การเป็นเจ้าของทาสส่วนตัวไม่มีนัยสำคัญ ทาสจำนวนมากเป็นของเผด็จการที่ปกครอง

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้คนในตะวันออกโบราณคือการสร้างระบบชลประทานที่ซับซ้อน พร้อมด้วยคลองและเขื่อน อ่างเก็บน้ำ และประตูน้ำ

การปลูกป่านและการปลูกองุ่นได้รับการพัฒนา และใช้ระบบการทำฟาร์มแบบสองทุ่ง

งานฝีมือได้รับการพัฒนาอย่างมาก เช่น แก้ว เครื่องปั้นดินเผา สิ่งทอ การแปรรูปหิน ไม้ หนัง โลหะ การทำเครื่องประดับจากทองคำ เงิน และกระดูก การผลิตกระดาษปาปิรัสได้รับการควบคุมในอียิปต์

การต่อเรือได้รับการพัฒนา

เงินโลหะชนิดแรกปรากฏอยู่ในรูปของทองแดง ทองคำแท่ง และเงิน

สมัยโบราณ

สมัยโบราณ - ขั้นตอนที่สูงสุดในการพัฒนาวิธีการผลิตแบบทาสครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่สหัสวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช ตามศตวรรษที่ 5 ค.ศ

รัฐโบราณที่สำคัญคือกรีกโบราณและโรมโบราณ

มีการจัดตั้งกลุ่มเจ้าของทาสและทาสขึ้น ทาสกลายเป็นผู้ผลิตหลัก ทาสเอกชนพัฒนาอย่างกว้างขวาง การค้าทาสมีความสำคัญมาก แรงงานทาสถูกใช้ในการเกษตร งานฝีมือ และเหมืองแร่ อย่างไรก็ตาม ทาสที่ไม่สนใจผลของแรงงานจะมีผลิตภาพแรงงานต่ำ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้า

ทาสในสมัยโบราณค่อยๆ ล้าสมัย ทำให้เกิดวิกฤติอันยาวนาน และระบบทาสก็ล่มสลาย

อย่างไรก็ตามในสมัยโบราณรัฐที่อยู่ในตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมที่สุดนั้นเชื่อมโยงถึงกันด้วยความสัมพันธ์ทางการค้า

ในตอนต้นของสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช การค้าเกิดขึ้นระหว่างเมโสโปเตเมีย ซีเรีย และเอเชียไมเนอร์ (Türkiye) ซึ่งจัดโดยสมาคมการค้าครอบครัว สินค้าค้าได้แก่ ดีบุก เงิน ทองแดง และผ้า

ตั้งแต่กลางสหัสวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช การค้าระหว่างคาบสมุทรอาหรับกับอินเดียและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกำลังพัฒนา พ่อค้าชาวอาหรับใต้ดำเนินการค้าขายตัวกลางในธูป เครื่องเทศ และโลหะมีค่า ซึ่งนำมาจากอินเดียและจากชายฝั่งโซมาเลียของแอฟริกา สินค้าเหล่านี้ถูกส่งไปยังอาระเบียใต้ทางทะเล ที่นี่พวกเขาบรรทุกขึ้นอูฐและเคลื่อนย้ายโดยคาราวานไปตามชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังฟีนิเซีย (แนวชายฝั่งของเลบานอนสมัยใหม่และซีเรียตะวันตกเฉียงเหนือ) จากที่ซึ่งพวกเขากระจายไปทั่วเอเชียตะวันตก (คาบสมุทรเอเชียไมเนอร์ ( ตุรกี)) ที่ราบสูงอาร์เมเนียและอิหร่าน ปาเลสไตน์ คาบสมุทรอาหรับ เมโสโปเตเมีย (ระหว่างไทกริสและยูเฟรตีส) และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

การค้าพัฒนาในอียิปต์ (2050-1750 ปีก่อนคริสตกาล) พ่อค้าชาวอียิปต์ซื้อทองแดง ทองคำ เคลือบฟัน งาช้าง ซีดาร์เลบานอน สน หนังสัตว์ และขนสัตว์ในลิเบีย นูเบีย (ภูมิภาคประวัติศาสตร์ระหว่างต้อกระจกที่ 1 และ 5 ของแม่น้ำไนล์) และซีนาย; พวกเขานำทองแดงมาจากไซปรัส ดีบุกและตะกั่ว - จากเอเชียไมเนอร์ (Türkiye)

ในศตวรรษที่ V - IV พ.ศ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างแอฟริกากับประเทศในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลบอลติกพัฒนาขึ้น

การค้าขายที่กระตือรือร้นดำเนินการโดยชาวฟินีเซียนซึ่งในช่วงเวลานี้ก่อตั้งการตั้งถิ่นฐานของเกษตรกรและชาวประมงบนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน - ไซดอน, ไทร์, บิบลอส Byblos ทำการค้าขายกับอียิปต์ทางทะเลอย่างแข็งขัน ฟีนิเซียกลายเป็นกลุ่มบริษัทนครรัฐ

ใน 1,050 ปีก่อนคริสตกาล ชาวฟินีเซียนค้นพบสเปน ก่อตั้งท่าเรือและอาณานิคมของฮาเดส (ฮาเดส) ดีบุก ตะกั่ว เหล็ก ไวน์ ขี้ผึ้ง และขนแกะเนื้อดีถูกส่งออกจากสเปน

เรือของชาวฟินีเซียนไปถึงชายฝั่งทะเลบอลติก เพื่อซื้อขนมปัง ขนสัตว์ ขน ปลา หนัง อำพัน และทองแดง พวกเขาขายผ้าเนื้อดี พรม สินค้าที่ทำจากทองคำ เงิน งาช้าง และแก้วเป็นการแลกเปลี่ยน สินค้าของยุโรปถูกส่งออกโดยชาวฟินีเซียนไปยังซีเรีย ปาเลสไตน์ อาร์เมเนีย อาระเบีย อียิปต์ บาบิโลเนีย (ดินแดนของอิรักสมัยใหม่) และไกลออกไปทางตะวันออกผ่านดามัสกัสไปยังแม่น้ำ ยูเฟรติสและจากที่นี่ไปตามมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงอินเดีย เรือของชาวฟินีเซียนแล่นไปตามชายฝั่งทางเหนือของแอฟริกาไปยังโมร็อกโก

ชาวฟินีเซียนนำเข้าวัตถุดิบบางประเภท แปรรูปและส่งออกเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (ผ้าขนสัตว์สีม่วงของพวกเขามีชื่อเสียงเป็นพิเศษ)

ใน 825 ปีก่อนคริสตกาล ชาวฟินีเซียนทางตอนเหนือ ในแอฟริกา นครรัฐคาร์เธจก่อตั้งขึ้น (เขตตูนิเซียสมัยใหม่) ถึงจุดเริ่มต้น ศตวรรษที่สาม พ.ศ คาร์เธจพิชิตทางเหนือ แอฟริกา ซิซิลี ซาร์ดิเนีย และทางใต้ สเปน หมู่เกาะแบลีแอริก และคอร์ซิกา และกลายเป็นมหาอำนาจในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สิ่งนี้กำหนดความเหนือกว่าของเขาในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก

ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่สะดวก คาร์เธจจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าตัวกลาง โดยรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศต่างๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ลุ่มน้ำอีเจียน และอิตาลี

พื้นฐานของอำนาจทางเศรษฐกิจของคาร์เธจคือเศรษฐกิจการเพาะปลูกที่พัฒนาแล้วและมีทาสจำนวนมาก ผลไม้ ผัก ธูป รวมถึงผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ที่พบได้ทั่วไปในพื้นที่บริภาษของลิเบียถูกส่งออก

โรมซึ่งถูกยึดครองโดย 265 ปีก่อนคริสตกาล อิตาลีทั้งหมดไม่ต้องการทนกับอำนาจการค้าของคาร์เธจในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก ผลจากสงครามพิวนิกหลายครั้ง อำนาจของคาร์เธจเริ่มอ่อนลงและเข้าข้างโรม และเมื่อถึง 146 ปีก่อนคริสตกาล คาร์เธจถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงและอารยธรรมที่คาร์เธจสร้างขึ้นก็พินาศอย่างไร้ร่องรอย

กรีซหรือเฮลลาสโบราณคือกลุ่มรัฐทาสที่ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในดินแดนกรีซเมื่อต้นสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช และครอบครองทางใต้ของคาบสมุทรบอลข่าน, หมู่เกาะในทะเลอีเจียน, ชายฝั่งเทรซ (ทางตะวันออกของคาบสมุทรบอลข่านระหว่างทะเลอีเจียน, ทะเลดำและทะเลมาร์มารา), แนวชายฝั่งตะวันตกของเอเชียไมเนอร์, ทางใต้ อิตาลี, ตะวันออก ซิซิลี, ทางใต้ ฝรั่งเศสทางตอนเหนือ เบอร์ แอฟริกา ชายฝั่งทะเลดำ และช่องแคบทะเลดำ

ในศตวรรษที่หก พ.ศ นครรัฐถูกก่อตั้งขึ้น: เอเธนส์, สปาร์ตา ฯลฯ

ลักษณะเฉพาะของการพัฒนาศูนย์กลางกรีกหลายแห่งคือการแยกงานฝีมือออกจากเกษตรกรรม การเติบโตของเมือง และการพัฒนาทาสผ่านทาสที่นำเข้า การแยกงานฝีมือออกจากการเกษตรถือเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่การแลกเปลี่ยนการผลิตในวงกว้างออกสู่ตลาด

การเติบโตของเมืองและความจำเป็นในการจัดหาอาหารให้กับจำนวนประชากรในเมืองที่เพิ่มขึ้นนำไปสู่การสถาปนาอาณานิคมของกรีก ที่ใหญ่ที่สุดคือโอลเบีย (ปากของแมลง); Chersonesus, Feodosia และ Panticapaeum - ในแหลมไครเมีย; Phanagoria (ปากบาน); เมืองที่มีประชากรและร่ำรวยบนชายฝั่งของอิตาลีและเกาะซิซิลี (ซีราคิวส์, ทาเรนทัม, เนอาโปลิส, เมสซีนา ฯลฯ ); ในอียิปต์ (ปากแม่น้ำไนล์)

ผลจากการล่าอาณานิคมของกรีกคือการขยายความสัมพันธ์ทางการค้าออกไปนอกโลกกรีก แล้วในศตวรรษที่ 6 พ.ศ การค้ากรีกกลายเป็นสากล

ความเจริญรุ่งเรืองของกรีซมีความเกี่ยวข้องกับการผงาดขึ้นของกรุงเอเธนส์และการสร้างสหภาพการเดินเรือแห่งรัฐเอเธนส์บนเกาะต่างๆ ในทะเลอีเจียน เอเธนส์เติบโตขึ้นจนกลายเป็นมหาอำนาจทางทะเลและการค้าที่สำคัญ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 5 พ.ศ ท่าเรือ Piraeus ของเอเธนส์กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ

ธัญพืชถูกนำเข้ามายัง Piraeus จากทางเหนือ ภูมิภาคทะเลดำ, อียิปต์, ซิซิลี, o. Euboea (ทะเลอีเจียน); ปลาเค็ม น้ำผึ้ง ขี้ผึ้ง ปศุสัตว์ และเครื่องหนัง - จากภูมิภาคทะเลดำ ขนสัตว์ - จาก Miletus (เมืองโบราณใน Ionia (M. Asia) - รูปแบบปกติที่เข้มงวด - หนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของการวางผังเมือง); ต้นไซเปรส - จากครีต; งาช้าง - จากลิเบีย; ทองแดงและเหล็ก - จากอิตาลี วันที่และแป้ง - จากฟีนิเซีย; ลูกเกดและมะเดื่อ - จากโรดส์; เครื่องหอมจากซีเรีย พรมคาร์ธาจิเนียนและเปอร์เซีย สินค้าฟุ่มเฟือยจากประเทศตะวันออก ผ้าลินินสำหรับเสื้อผ้าและกระดาษปาปิรัส - จากอียิปต์ รองเท้าและสินค้าทองแดง - จาก Etruria (ทัสคานีสมัยใหม่ - ภูมิภาคในอิตาลี (ใจกลางฟลอเรนซ์)); ไม้ต่อเรือ เรซิน และป่าน - จากมาซิโดเนียและเทรซ; ทองแดง - จากไซปรัส

จากปอนทัส (ปอนทัส ยูซีน - อีกชื่อกรีกสำหรับทะเลดำ ("ทะเลอัธยาศัย") ผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ น้ำผึ้ง ขี้ผึ้ง ปลาเค็ม ถูกนำเข้ามายังกรีซ จากโคลชิส - ไม้ ปอ ปอ ป่าน ขี้ผึ้ง เรซิน ผลิตภัณฑ์ผ้าลินิน .

สินค้าส่งออกหลักจากเอเธนส์ ได้แก่ น้ำมันมะกอก ไวน์องุ่น แจกันรูปสีแดงและเคลือบสีดำ งานหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์อาหาร เซรามิกและผลิตภัณฑ์โลหะ ชาวเอเธนส์เองก็ได้มาซึ่งสินค้าเหล่านี้เพียงบางส่วน ส่วนใหญ่ถูกขายต่อหรือบรรจุใหม่บนเรือลำอื่นและส่งไปยังเมืองและประเทศอื่น การค้าตัวกลางสร้างรายได้มหาศาล ภาษีการค้าร้อยละ 2 ที่เรียกเก็บจากพ่อค้าใน Piraeus นำรายได้จำนวนมากมาสู่รัฐเอเธนส์

นอกจาก Piraeus แล้ว Aegina และ Corinth (คาบสมุทร Peloponnese ในกรีซ แข่งขันกับเอเธนส์ มีชื่อเสียงในด้านผลิตภัณฑ์เซรามิกและทองแดง) ยังทำการค้าตัวกลางกับประเทศอื่น ๆ เมืองโครินธ์มีบทบาทเป็นตัวกลางระหว่างยุโรปและเอเชีย (146 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นโกดังเก็บสินค้าและมีท่าเรือสองแห่ง แห่งหนึ่งสำหรับอิตาลี และอีกแห่งสำหรับเอเชีย

ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างชาวกรีกและอียิปต์ดำเนินการผ่านท่าเรือ Naukratis (อาณานิคมกรีกโบราณในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ (ก่อตั้งในศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์ศักราช)) ซึ่งเรือต่างชาติสามารถเข้ามาได้

กรีกโบราณมีลักษณะเด่นคือการค้าต่างประเทศมีมากกว่าการค้าภายในประเทศ การค้าต่างประเทศขึ้นอยู่กับความแตกต่างของราคาสำหรับสินค้าชนิดเดียวกันในภูมิภาคต่างๆ ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งอธิบายได้จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับที่ไม่เท่ากัน

ในรัฐกรีกโบราณมีการให้ความสนใจอย่างมากกับกฎระเบียบทางการค้าซึ่งมีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่พิเศษ - agoranoms

การค้าที่ดินในกรีซได้รับการพัฒนาไม่ดีนักเนื่องจากมีภูมิประเทศเป็นภูเขา ไม่มีถนนที่ดีและมีสงครามอยู่ตลอดเวลา

การครอบงำทางเศรษฐกิจและการเมืองของกรุงเอเธนส์ในกรีซในศตวรรษที่ 5 พ.ศ นำไปสู่การแพร่หลายของเหรียญเงินเอเธนส์ - “นกฮูกเอเธนส์” ซึ่งเป็นสกุลเงินที่น่าเชื่อถือที่สุด แต่เนื่องจากรัฐกรีกพยายามที่จะออกเงินของตนเอง จึงมักจะมีเหรียญกษาปณ์ที่แตกต่างกันจำนวนมากและมีประเภทหมุนเวียนหมุนเวียนอยู่มากมาย เหรียญในเมืองต่างๆ แสดงถึงสัตว์และพืชซึ่งเป็นคุณลักษณะของเมืองที่กำหนด พ่อค้าต้องนำเงินที่มีอยู่ไปแลกกับเงินในท้องถิ่น บนพื้นฐานนี้อาชีพของคนรับแลกเงินเกิดขึ้นซึ่งถูกเรียกว่าสี่เหลี่ยมคางหมูเนื่องจากพวกเขานั่งที่โต๊ะ ("อาหาร" ในภาษากรีก - โต๊ะ) และทำธุรกรรมทางการเงินง่ายๆ และเก็บหนังสือการค้า พวกเขายังมีส่วนร่วมในการทำธุรกรรมที่กินผลประโยชน์ รับเงินไว้เพื่อเก็บรักษา และออกเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยซึ่งค้ำประกันโดยสิ่งของมีค่า ที่ดิน และบ้าน

แม้ว่าการค้าและการไหลเวียนของเงินจะถึงระดับสูงในกรีซ แต่ก็ไม่ถูกต้องที่จะนิยามเศรษฐกิจกรีกในยุคนั้นว่าเป็นเศรษฐกิจแบบสินค้าโภคภัณฑ์-เงิน เนื่องจากยังคงรักษาลักษณะตามธรรมชาติไว้เป็นหลัก: ส่วนสำคัญของผลิตภัณฑ์ไม่ได้ถูกผลิตเพื่อการแลกเปลี่ยน แต่เพื่อการบริโภคโดยตรงของเจ้าของทาสและครอบครัวของเขา

ใน 431 ปีก่อนคริสตกาล สปาร์ตายึดครองเอเธนส์ และในไม่ช้าทั้งสองรัฐก็พบว่าตนอยู่ภายใต้การปกครองของอเล็กซานเดอร์มหาราช และผลจากสงครามภายในทำให้กรีซแตกแยกออกเป็นรัฐต่างๆ มากมาย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 พ.ศ พิชิตโดยโรม ด้วยการสถาปนาจักรวรรดิโรมัน กรีซจึงกลายเป็นจังหวัดอาไชอาของโรมัน (27 ปีก่อนคริสตกาล)

โรมโบราณตามตำนานก่อตั้งขึ้นใน 754 ปีก่อนคริสตกาล ในตอนกลางของคาบสมุทร Apennine ริมแม่น้ำ ไทเบอร์ เดิมทีเป็นชุมชนดึกดำบรรพ์ที่มีสมาชิกประกอบอาชีพเกษตรกรรม

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 6 พ.ศ ระบบชนเผ่าถูกทำลายและรัฐทาสเกิดขึ้นในรูปแบบของสาธารณรัฐชนชั้นสูงของโรมัน ซึ่งค่อยๆ พิชิตดินแดนใกล้เคียง เมื่อถึงศตวรรษที่ 3 พ.ศ อิตาลีทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน

อำนาจของสาธารณรัฐโรมันแข็งแกร่งขึ้นหลังจากสงครามพิวนิกหลายครั้ง (264-146) ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คาร์เธจล่มสลายและกรีซ มาซิโดเนีย และคาบสมุทรไอบีเรียถูกยึดครอง

โรมกลายเป็นศูนย์กลางของมหาอำนาจ ซึ่งประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนส่วนใหญ่อยู่ภายใต้อำนาจของตน

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจของประเทศที่เกี่ยวข้องกับการขยายการใช้แรงงานทาส

เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 พ.ศ โหมดการผลิตแบบทาสมีความโดดเด่น ทาสจำนวนมากถูกจ้างงานในภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นสาขาหลักของเศรษฐกิจโรมัน ตรงกันข้ามกับเศรษฐกิจของกรีกโบราณซึ่งถูกครอบงำด้วยงานฝีมือและการค้า

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 1 พ.ศ - จุดเริ่มต้น ฉันศตวรรษ ค.ศ โรมกลายเป็นอาณาจักรที่มีทาสซึ่งครอบครองดินแดนอันกว้างใหญ่ตั้งแต่สเปนทางตะวันตกไปจนถึงเปอร์เซียทางตะวันออก และจากอังกฤษ - ทางเหนือถึงอียิปต์ - ทางทิศใต้

การเติบโตของเมืองและตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ดีของอิตาลีในใจกลางของโลกที่เจริญแล้วทำให้เกิดเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาการค้าในประเทศและต่างประเทศ

กรุงโรมในศตวรรษที่ 2-1 พ.ศ กลายเป็นเมืองหลวงที่มีความเป็นสากลอย่างแท้จริง มีผู้คนมากกว่า 1 ล้านคน การบริโภคของประชากรเติบโตเร็วกว่าประชากรนั่นเอง เนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น ก) การก่อสร้างอาคารสาธารณะและอาคารส่วนตัว; b) แจกจ่ายขนมปังให้คนยากจนฟรี c) การจัดระเบียบแว่นตา

การเติบโตของการบริโภคทำให้เกิดความต้องการนำเข้าสินค้าอย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญทั้งจากจังหวัดและจากประเทศอื่น ๆ

การค้าต่างประเทศได้รับการพัฒนาร่วมกับประเทศและดินแดนที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ ตั้งแต่ชนเผ่าบอลติกทางตอนเหนือไปจนถึงซูดานทางตอนใต้ และไปยังรัฐทางตะวันออก - อาระเบีย, อินเดีย, จีน

อำพัน หนัง และทาสนำเข้าจากประเทศเยอรมนี เมล็ดพืช ป่าน ขน น้ำผึ้ง และขี้ผึ้งที่มาจาก Southern Rus จัดหามา

ไหมดิบนำเข้าจากจีนผ่านซีเรีย

จากอินเดียตามเส้นทางการขนส่งผ่านอียิปต์ มีการนำเข้าเครื่องเทศ (พริกไทยเป็นหลัก) สารอะโรมาติก งาช้าง หินมีค่า และผ้าเนื้อดี (มุสลิม)

ราคาที่ขายสินค้าเหล่านี้ในโรมสูงกว่าราคาในอินเดียหลายสิบเท่า

บทบาทที่สำคัญไม่แพ้กันในจักรวรรดิโรมันคือการค้าภายในระหว่างอิตาลีและจังหวัดต่างๆ ตลอดจนระหว่างจังหวัดแต่ละจังหวัด ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกโดยการจัดตั้งการสื่อสารทางบกและทางทะเล และรับรองความปลอดภัยโดยรัฐโรมัน

การอยู่ใต้บังคับบัญชาของประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนและยุโรปตะวันตกไปยังโรมเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของพวกเขา ภายในอาณาจักรอันกว้างใหญ่ ระบบการค้าเสรีเกือบเกิดขึ้น เมื่อนำเข้ามาในอิตาลี สินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้นที่ต้องเสียภาษี จำนวนภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ 2-2.5% ของต้นทุนสินค้า

ศูนย์กลางการค้าทางทะเลที่สำคัญในอิตาลีในขณะนั้นคือท่าเรือบรินดีซี ปูเตโอลี และออสเทีย (ย่านตากอากาศชานเมืองของกรุงโรม)

Ostia ไม่เพียงแต่เป็นท่าเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นตลาดที่มีการขนถ่าย จัดเก็บ และกระจายสินค้าเบื้องต้นอีกด้วย จากที่นี่สินค้าไหลขึ้นสู่แม่น้ำไทเบอร์ไปยังตลาดโรมัน

ผัก ผลไม้ และไวน์ถูกนำเข้าสู่ตลาดจากอิตาลี ธัญพืช - จากอียิปต์และภูมิภาคอื่น ๆ ของแอฟริกา น้ำมันมะกอกจากสเปน เกม ไม้และขนสัตว์ - จากกอล (ฝรั่งเศส); วันที่ - จากโอเอซิสแอฟริกา หินอ่อน - จากกรีซและนูมิเดีย (อียิปต์); ตะกั่วเงินและทองแดง - จากสเปน งาช้าง - จากศูนย์ แอฟริกา; ทอง - จาก Dalmatia (โครเอเชีย) และ Dacia (โรมาเนีย); อำพัน - จากทะเลบอลติก papyri - จากหุบเขาไนล์; ผลิตภัณฑ์แก้ว - จากฟีนิเซียและซีเรีย ผ้า - จากตะวันออก จากตลาดโรมัน สินค้าเหล่านี้มาถึงโกดังขนาดใหญ่ซึ่งสร้างขึ้นตามจุดต่างๆ ในเมือง

สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดคือตลาด Trajan (Trajan เป็นจักรพรรดิโรมันจากปี 98 AD) ซึ่งนอกเหนือจากการค้าสินค้าแล้ว ธุรกรรมสำหรับการซื้อและขายสินค้า ทาส ปศุสัตว์ ที่ดิน บ้าน การประชุมเชิงปฏิบัติการ ฯลฯ ได้ข้อสรุปแล้ว ธุรกรรมการซื้อและการขายไม่เพียงดำเนินการด้วยเงินสดเท่านั้น แต่ยังดำเนินการด้วยเครดิตด้วย

ตามกฎแล้วการนำเข้าสินค้าเข้าสู่อิตาลีมีชัยเหนือการส่งออก แต่เนื่องจากการพิชิตของโรมันทำให้เงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องผ่านการชดใช้และการผนวกดินแดน ในช่วงสงครามที่ได้รับชัยชนะ ดุลการค้าจึงได้รับการชดเชย และบางครั้งก็ครอบคลุมหลายครั้งด้วยการไหลเข้าของเงินและของมีค่าอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง อิตาลี.

ผลจากการพิชิตเหมืองเงินของสเปน ทำให้รัฐโรมันสามารถสร้างปัญหาเรื่องเงินได้เป็นประจำ เหรียญโรมันรุ่นแรกมีการผลิตประมาณ 338 ปีก่อนคริสตกาล

การเติบโตของการค้าและการหมุนเวียนเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศนำไปสู่การพัฒนาอย่างกว้างขวางในด้านการเงิน การดำเนินการด้านการเงินและสินเชื่อในรัฐโรมัน

พวกเขาได้รับการจัดการไม่เพียงแต่โดยบุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์กรพิเศษซึ่งรวมถึงบริษัทของชาวนาภาษีสาธารณะและผู้แลกเงินด้วย

บริษัทเกษตรกรรมทำฟาร์มเก็บภาษีในจังหวัดของโรมัน เช่นเดียวกับสัญญางานสาธารณะต่างๆ ในอิตาลีเอง

ในการซื้อสิทธิในการทำฟาร์ม จำเป็นต้องฝากเงินจำนวนมากล่วงหน้าให้กับรัฐบาล ดังนั้นเกษตรกรหลายรายจึงรวมตัวกันเป็นบริษัทที่ชวนให้นึกถึงบริษัทร่วมหุ้นของเรา ผู้เข้าร่วมแต่ละคนในบริษัทได้บริจาคเงินทุนบางส่วนให้กับธุรกิจและได้รับหุ้นตามจำนวนที่ตรงกัน หุ้นเหล่านี้สามารถขาย ซื้อ ซื้อขายขึ้นหรือลงได้

สำนักงานแลกเปลี่ยนเงินตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหนึ่งไปยังอีกสกุลเงินหนึ่ง ดำเนินการด้านการธนาคาร: การออกเงินกู้ การรับเงินฝาก การชำระเงินโดยการตัดจำนวนเงินจากบัญชีของลูกค้ารายหนึ่งไปยังบัญชีของลูกค้าอีกราย การโอนเงินไปยังเมืองอื่น เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ ในช่วงรุ่งเรืองของจักรวรรดิโรมัน การค้าระหว่างประเทศ การค้าระหว่างโรมกับแคว้นต่างๆ ตลอดจนทุนทางการเงินและทุนที่ร่ำรวยจึงได้รับการพัฒนาอย่างกว้างขวาง

อย่างไรก็ตามในศตวรรษที่ 3 ค.ศ (ค.ศ. 193-284) วิกฤตการณ์ของจักรวรรดิโรมันเริ่มต้นขึ้น สาเหตุหลักคือความไร้ประสิทธิภาพของแรงงานทาสและการไม่สนใจในผลลัพธ์ของแรงงานของพวกเขา เจ้าของที่ดินเปลี่ยนมาทำฟาร์มรูปแบบใหม่ - Colonata ซึ่งจัดให้มีการกระจายตัวของมวลที่ดินเดียวซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับการปลูกฝังโดยกลุ่มทาสเป็นผืนดินที่เช่าเพื่อปล่อยทวิภาคหรือทวิภาคขึ้นอยู่กับเจ้าของที่ดิน ชาวอาณานิคมจำเป็นต้องจ่ายค่าเช่าเป็นเงินหรือส่วนแบ่งผลผลิต

ระบบอาณานิคมทำลายรากฐานของระบบทาส

ความเสื่อมถอยของจักรวรรดิโรมันเกิดจากสาเหตุอื่น:

• 1) อาณานิคมมีวุฒิภาวะถึงขั้นที่มหานครถูกบังคับให้จัดเตรียมศุลกากร การบริหาร และแม้แต่ความเป็นอิสระด้านตุลาการโดยสมบูรณ์ให้แก่พวกเขา
• 2) ในกอล (ฝรั่งเศสสมัยใหม่, เยอรมนีตอนใต้, ออสเตรีย, เบลเยียม, สวิตเซอร์แลนด์, อิตาลีตอนเหนือ, หมู่เกาะอังกฤษ, สเปนตอนเหนือและตะวันตก (เซลต์ = กอลอาศัยอยู่)) ในภูมิภาคไรน์และแม่น้ำดานูบตอนบน ไปทางทิศใต้ ในอังกฤษและสเปน เมืองต่างๆ เกิดขึ้นโดยเลียนแบบเมืองโรมันโดยสมบูรณ์: วัฒนธรรมโรมันและภาษาละตินครอบงำที่นี่
• 3) จังหวัดที่มีความเข้มแข็งเริ่มการแข่งขันทางเศรษฐกิจกับโรม

วิกฤตการณ์ทางสังคมและการเมืองในจักรวรรดิโรมันทำให้ในปี ค.ศ. 476 (คริสตศักราชศตวรรษที่ 5) ได้มีการแบ่งแยกออกเป็นส่วนตะวันตกและตะวันออก (จักรวรรดิไบแซนไทน์)

ในระยะแรกมีการพัฒนาที่แย่มาก การทำฟาร์มแบบธรรมชาติ - ทุกอย่างเพื่อตัวคุณเอง มีการนำเข้าน้อยมาก มีการจัดงานแสดงสินค้าหายาก ดังนั้นการด้อยพัฒนาของการหมุนเวียนทางการเงิน

ปลายศตวรรษที่ 5 พ.ศ – รูปลักษณ์ของเหรียญโรมันรุ่นแรก หนักปอนด์โรมัน – 327 กรัม – ราศีตุลย์ – มีรูปเพกาซัสหรือนกอินทรี. จากนั้นน้ำหนักของเหรียญก็ลดลง และกลายเป็นเงินเครดิต เหรียญทั้งหมดเป็นทองแดง

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 4 พ.ศ เหรียญเงินเหรียญแรกปรากฏขึ้น - เดนาริอิ (จาก 3.5 ถึง 4 กรัม) - กลายเป็นเงินระหว่างประเทศ

เริ่มแรก – 1 เดนาริอุส = 10 ลา

จาก 217 - 1d = 2 ควินาเรียม = 4 น้องสาว = 16 เอซ

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ค.ศ เดนาเรียสเสื่อมโทรมลง สิงหาคมออกเหรียญทองคำแรก - 1aureus = 25 denarii

ในศตวรรษที่ 4 คอนสแตนตินออกเหรียญทองคำใหม่ - โซลิต มีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่มีสิทธิ์ออกเหรียญดังกล่าว

ภายในเมืองใช้เพียงเหรียญทองแดงเท่านั้น

การธนาคารแพร่หลายมากขึ้น: การทำฟาร์ม, การกู้ยืม, จุดเริ่มต้นของเกมการแลกเปลี่ยนหุ้น คาร์เธจเป็นคู่แข่งทางการค้าหลักของโรม อยู่ในกรุงโรมจนถึงปลายศตวรรษที่ 3 ความมั่งคั่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก็หลั่งไหลเข้ามา มีโลหะมากมายในกรุงโรม การส่งออกจากโรมต่ำกว่าการนำเข้าเสมอ

โรมไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ - ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการนำเข้า

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 - ขาดแคลนขนมปัง

พวกเขาจ่ายเป็นทองคำซึ่งได้มาจากค่าสินไหมทดแทน

มีการจัดแจกขนมปังฟรีให้กับชนชั้นยากจน

ตลาดต่างประเทศ

นำเข้า:

ขนมปัง - อียิปต์, ซิซิลี, เหนือ แอฟริกา, สเปน, ซาร์ดิเนีย, กอลใต้

โลหะ – สเปน, อังกฤษ (โลหะสี)

การเลี้ยงสัตว์ – อังกฤษ เยอรมนี ภูมิภาคดานูบ + ทาส

จากกรีซ - หินอ่อน ศิลปะ และความหรูหรา อาหารอันโอชะ

จาก MA - ผ้า, ผ้าลินิน, อินทผลัม, บาง โลหะ, เซรามิก

จากอียิปต์ - กระดาษปาปิรัส, ธูป, ฝ้าย, ขนสัตว์, หินสี, แก้ว

ในยุคจักรวรรดิ - การพัฒนาการค้าตะวันออก - การกระตุ้นการพัฒนาเส้นทางสายไหมอันยิ่งใหญ่ (จีน-โรม)

จากที่นี่พวกเขาได้รับผ้าไหม พรม เครื่องเทศ ธูป (จากอิหร่าน อินเดีย เมโสโปเตเมีย อาระเบีย เอเชียกลาง)

เส้นทางการค้าตะวันออกที่สองคือผ่านอียิปต์ (ผ่านท่าเรืออียิปต์มีการสื่อสารทางทะเลกับอินเดีย) ในตอนแรกชาวโรมันเพียงแล่นไปอินเดียและหลังจากอดอาหารพวกเขาก็ตั้งด่านการค้าที่นั่นและอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างถาวร จากที่นี่พวกเขาจัดหา - เครื่องเทศ, ธูป, อัญมณี, สี, กระดองเต่า, งาช้าง, ทรายทอง, ผ้า (ค้าขายกับเอธิโอเปียไปยังประเทศในแอฟริกาเขตร้อน)

ส่งออก:

การส่งออกของอิตาลีมีคุณภาพสูง

ตลาดทั่วไป:

ไวน์อันทรงคุณค่า

น้ำมันมะกอกมะกอก

เครื่องมือโลหะ

เซรามิกเคลือบสีแดง

เครื่องประดับ

ผ้าขนสัตว์

นอกจากนี้ยังมีการค้าขายระหว่างแต่ละภูมิภาค-ตลาดระดับภูมิภาค

ในภูมิภาคทะเลดำมีตลาดปิดสำหรับสินค้าเกษตร

ตลาดในประเทศ (การค้าปลีกในท้องถิ่น)

ซื้อขายบนฟอรั่ม มีตลาดพิเศษ - วัว ปลา อาหารอันโอชะ โครงสร้างเหมือนกับในกรีซ (เต็นท์ แผงลอย)

มีตลาดในร่ม (แม้แต่ตลาดสองชั้นด้วย) การค้าในเมืองก็ดำเนินไปตามท้องถนนเช่นกัน - ขายขนมปังและอาวุธ

ในกรุงโรมมีโรงเตี๊ยม (ร้านเหล้า)

เส้นทางการค้า (ถนน)

ในช่วงจักรวรรดิ แนวถนนยาวประมาณ 150,000 กม.! เหล่านี้เป็นโครงสร้างทางวิศวกรรมที่ซับซ้อน ซึ่งบางส่วนยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน การก่อสร้างถนนเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 4 พ.ศ จากกรุงโรมไปทางทิศใต้ (ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Appian Way กว้าง 6 เมตร) มีมาตรฐานการก่อสร้างถนน ถนนมีหลายชั้น: กรวด - มาร์ล - ทราย - ปูนขาว - ด้านบน - แผ่นพื้นปู พวกมันตรงเหมือนลูกศร มีอุโมงค์ ร่อง สะพาน และทางลาดลาด พื้นผิวถนนนูนเล็กน้อย - ความชื้นไหลลงสู่คูน้ำด้านข้าง มีเครื่องหมายไมล์อยู่บนถนนสายหลัก

Intenerary - แผนที่เส้นทางถนนพร้อมรูปภาพถนน ท่าเรือ ระยะทาง ร้านเหล้า

ความสำคัญของถนน: การพัฒนาการค้า ความสำคัญเชิงกลยุทธ์ (ความสามารถในการขนส่งทหารด้วยความเร็วสูงสุด 60 กม. ต่อวัน)

มีบริการไปรษณีย์ไปตามถนน

การค้าทางทะเล

ปรากฏตัวค่อนข้างช้า เรือค้าขายก็เหมือนกับเรือของชาวกรีก ความสามารถในการรับน้ำหนักได้ถึง 500 ตัน

Libournes เป็นเรือเร็วบรรทุกสินค้าเบา

ชาวโรมันเชี่ยวชาญการเดินเรือในมหาสมุทร ล่องเรือไปยังอังกฤษและอินเดีย

ทิศทางการเดินเรือพิเศษปรากฏขึ้น - ขอบเขตและคำอธิบายของชายฝั่ง ท่าเรือ อ่าว ฯลฯ

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ค.ศ - การก่อสร้างท่าเรือทางทหารโดยเฉพาะ

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 พ.ศ – ท่าเรือหลักคือออสเทียตรงปากแม่น้ำไทเบอร์

Osti มีท่าเรือเทียมหลายแห่ง

Claudia - ท่าเรือที่สร้างโดยจักรพรรดิ Claudius (หกเหลี่ยม)

ในท่าจอดเรือบางแห่งมีท่าค้าขายของพ่อค้า

เส้นทางแม่น้ำ: แม่น้ำไรน์และดานูบ

วิลล่า. การตั้งถิ่นฐานในชนบท

กรรมสิทธิ์ในที่ดินขนาดเล็กได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ทหารผ่านศึกได้รับที่ดิน วิลล่าถูกสร้างขึ้นตามหลักการของนิคมกรีก - ปิด อาคารที่มีลานภายใน.

ชาวโรมันมี latifundium ซึ่งเป็นที่ดินขนาดใหญ่ (อสังหาริมทรัพย์) พร้อมงานสำหรับตลาด – การแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานทาสอย่างเข้มข้น

อาณานิคมเป็นทาสประเภทหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับบางส่วน มีทรัพย์สิน และมีหน้าที่ต้องมอบส่วนหนึ่งของการเก็บเกี่ยวให้กับเจ้าของที่ดิน

การตั้งถิ่นฐานของอนารยชนปรากฏตามแนวชายแดนของจักรวรรดิ - รวมถึงในชนบทด้วย

สิ้นสุดการทำงาน -

หัวข้อนี้เป็นของส่วน:

โบราณคดีตั้งแต่ศตวรรษที่ 8

โบราณคดีจากศตวรรษ.. เมษายน ก่อนคริสต์ศักราช วันสถาปนาโรม.. การสิ้นสุดจักรวรรดิโรมันตะวันตก..

หากคุณต้องการเนื้อหาเพิ่มเติมในหัวข้อนี้ หรือคุณไม่พบสิ่งที่คุณกำลังมองหา เราขอแนะนำให้ใช้การค้นหาในฐานข้อมูลผลงานของเรา:

เราจะทำอย่างไรกับเนื้อหาที่ได้รับ:

หากเนื้อหานี้มีประโยชน์สำหรับคุณ คุณสามารถบันทึกลงในเพจของคุณบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก:

ซื้อขาย

การแยกงานฝีมือออกจากการเกษตรอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งสามารถสืบย้อนไปได้ตลอดช่วงสี่ศตวรรษแรกของประวัติศาสตร์โรมัน มีความเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับการพัฒนาการค้าภายใน ช่างฝีมือมืออาชีพมักจะขายสินค้าของตัวเอง แหล่งข่าวพูดถึงการปรากฏตัวครั้งแรกของตลาดภายในในกรุงโรม ทุกๆ แปดวัน ในวันที่เรียกว่า นุนดิเน ชาวนามาที่เมืองเพื่อไปตลาด ซึ่งเขาซื้อผลิตภัณฑ์จากงานฝีมือในเมืองที่เขาต้องการเพื่อแลกกับผลผลิตทางการเกษตร ในยุคแรกๆ มีตลาดนัดประจำสัปดาห์ในฟอรัม ต่อมาศูนย์การค้าถูกถอดออกและย้ายไปใกล้กับแม่น้ำไทเบอร์มากขึ้น นี่คือลักษณะของตลาดอาหาร ตลาดผัก ฯลฯ บนแม่น้ำไทเบอร์ ทางตะวันตกของปาลาไทน์ มีลานเลี้ยงวัวมานานแล้ว (Forum boarium - ตลาดวัว)

แน่นอนว่าตลาดการค้าท้องถิ่นประจำสัปดาห์เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ในโรมเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในทุกเมืองของอิตาลี ศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนที่กว้างขึ้นเกิดขึ้นเร็วมากถัดจากพวกเขา มีงานแสดงสินค้าประจำปี (mercatus) ซึ่งมักจะตรงกับวันหยุดสำคัญๆ

ทำให้เกิดฝูงชนจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุด ซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นศูนย์กลางของสหภาพทางศาสนาและการเมืองด้วย ก็กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าที่เป็นธรรม

จากศูนย์กลางเหล่านี้ที่เรารู้จัก: สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของดาวพฤหัสบดีลาตินบนภูเขาอัลบัน, วิหารของไดอาน่าบน Aventine ในโรม, วิหารของโวลตัมนาในอาณาเขตของโวลซิเนียมในเอทรูเรีย, ป่าศักดิ์สิทธิ์ของเทพีเฟโรเนียใกล้ภูเขาโซรักเต (ในเอทรูเรีย ทางตอนเหนือของกรุงโรม) เป็นต้น

งานนี้มีพ่อค้าจากภูมิภาคใกล้เคียงทั้งหมดเข้าร่วม รวมทั้งชาวโรมันด้วย

สำหรับการค้าต่างประเทศของกรุงโรม เราได้เห็นแล้วว่าเมื่อสิ้นสุดสมัยราชวงศ์ด้วยการเชื่อมต่อกับชาวอิทรุสกัน ทำให้ถึงระดับที่ค่อนข้างสูง นี่เป็นหลักฐานจากสนธิสัญญาฉบับแรกกับคาร์เธจ (508) แต่ด้วยการสถาปนาสาธารณรัฐและความสำคัญทางการเมืองของเอทรูเรียที่ลดลง ความสัมพันธ์ในต่างประเทศของโรมก็อ่อนแอลง จริงอยู่ สนธิสัญญาฉบับที่สอง (348) ดูเหมือนจะสันนิษฐานถึงความสัมพันธ์ทางการค้าที่กว้างขวางของโรม แม้จะกว้างกว่าในสนธิสัญญาฉบับแรกด้วยซ้ำ เนื่องจากขณะนี้สเปนตอนใต้รวมอยู่ในเขตใกล้กับโรมแล้ว แต่ตามที่ระบุไว้ข้างต้น ประโยคเกี่ยวกับสเปนไม่สามารถหมายถึงโรม แต่หมายถึงมัสซิเลีย นอกจากนี้ การแยกแอฟริกาและซาร์ดิเนียออกจากขอบเขตการค้าที่มีอยู่ในโรมโดยสิ้นเชิง ในทางกลับกัน อาจพิสูจน์ได้ว่าโรมในขณะนั้นไม่สนใจการค้าในต่างประเทศ

ข้อเท็จจริงจำนวนหนึ่งจากประวัติศาสตร์การเมืองของโรมตามที่กล่าวข้างต้น ยืนยันว่าในช่วงสองศตวรรษแรกของสาธารณรัฐ (และต่อมา) การค้าระหว่างประเทศของโรมันครอบครองสถานที่ที่ไม่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งในการหมุนเวียนของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในปี 338 ชาวโรมันได้เผาเรือขนาดใหญ่ของกองเรือ Anziat ที่พวกเขาสืบทอดมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถใช้มันอย่างมีเหตุผลมากไปกว่าการตกแต่งแท่นปราศรัยในฟอรัมด้วยหัวเรือ! ในปี 282 มีเรือโรมันหลายลำปรากฏในทาเรนทัม สถานการณ์ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่านี่เป็นครั้งแรกที่กองเรือโรมันมาเยือนน่านน้ำตะวันออกเฉียงใต้ของอิตาลี กองทัพเรือขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกโดยชาวโรมัน ดังที่เราจะเห็นด้านล่างนี้เฉพาะในช่วงเริ่มต้นของสงครามพิวนิกครั้งแรกเท่านั้น ข้อเท็จจริงเหล่านี้จะเป็นไปได้อย่างไรหากโรมเป็นมหาอำนาจทางการค้า? ในการโต้แย้งที่ขัดแย้งกัน อาจชี้ให้เห็นว่าประมาณกลางศตวรรษที่ 4 ท่าเรือออสเทียมีป้อมปราการอยู่ที่ปากแม่น้ำไทเบอร์ แต่ยังต้องได้รับการพิสูจน์ว่าสิ่งนี้กระทำเพื่อผลประโยชน์ของการค้าทางทะเลของโรมัน และไม่ใช่เพื่อปกป้องโรมจากโจรสลัด

หลักฐานทางโบราณคดียังยืนยันถึงระดับต่ำของการค้าโรมันในช่วงเวลาที่เราศึกษา ตัวอย่างเช่นการขาดแคลนผลิตภัณฑ์ห้องใต้หลังคาในโรมและ Latium โดยทั่วไปนั้นน่าทึ่งในขณะที่มีผลิตภัณฑ์มากมายในเมืองอิทรุสกัน ในที่สุดสิ่งนี้เห็นได้จากการปรากฏตัวของเหรียญในโรมในเวลาต่อมา

ตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวโรมันถือว่าเกษตรกรรมเป็นอาชีพอันสูงส่งและคู่ควรแก่การเป็นพลเมืองอย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้าม การค้า โดยเฉพาะการค้าปลีก ถือเป็นเรื่องน่าสงสัยและให้ความเคารพนับถือน้อย โดยปกติจะดำเนินการโดยเสรีชนและชาวต่างชาติ จริงอยู่ ตัวแทนในภายหลังของนักขี่ม้าที่เรียกว่า

ที่ดินของรัสเซีย (ขุนนางทางการเงินแบบใหม่) สามารถดำเนินการทางการค้าได้ แต่มีลักษณะเป็นการขายส่งเท่านั้น ในขณะที่วุฒิสมาชิกถูกห้ามไม่ให้ทำการค้าใดๆ ดอกเบี้ยถือเป็นกิจกรรมที่ไม่สะอาดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในช่วงเวลาของการสร้าง "กฎของตารางที่สิบสอง" โดยทั่วไปแล้วผู้ให้กู้เงินจะเทียบได้กับอาชญากรและถูกลงโทษที่รุนแรงยิ่งกว่าผู้ที่ถูกจับได้ว่าขโมย ระบบคุณค่าโบราณเหล่านี้สะท้อนให้เห็นอย่างดีเยี่ยมในกาโต้ในตอนต้นของบทความของเขาเรื่อง "On Agriculture": "บางครั้งมันก็คุ้มค่ากับรายได้ที่จะทำการค้าขาย ถ้ามันไม่มีอันตรายนัก หรือแม้แต่การให้เงินดอกเบี้ย ถ้าเพียง มันเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และบรรพบุรุษของเราก็รับเอาวิธีนี้และวางไว้ในกฎหมายเพื่อว่าขโมยจะถูกตัดสินให้รับโทษเป็นสองเท่า และให้กู้ยืมเงินได้รับโทษสี่เท่า จากสิ่งนี้สามารถตัดสินได้ว่าพวกเขาคิดว่าผู้ใช้บริการเป็นพลเมืองที่เลวร้ายที่สุดต่อโจรมากแค่ไหน และเมื่อคนดีได้รับคำชม ก็ได้รับคำชมดังนี้ “เจ้าของที่ดินที่ดีและเจ้าของที่ดี” เชื่อกันว่าใครก็ตามที่ได้รับคำชมในลักษณะนี้ย่อมได้รับคำชมสูงสุด ฉันถือว่าพ่อค้าเป็นคนยืนหยัดและกระตือรือร้นในการแสวงหาผลกำไรเพียงชีวิตของเขาดังที่กล่าวไว้ข้างต้นเท่านั้นที่ทั้งอันตรายและหายนะ และชาวนาก็สร้างคนที่ภักดีที่สุดและเป็นทหารที่แน่วแน่ที่สุด และรายได้นี้บริสุทธิ์ที่สุด น่าเชื่อถือที่สุด และไม่ทำให้เกิดความอิจฉาเลย และผู้ที่มีส่วนร่วมในธุรกิจนี้ไม่ได้ตั้งใจจะชั่วร้ายเลย” (แปลโดย M. E. Sergeenko)

จากหนังสือประวัติศาสตร์กรีกโบราณ ผู้เขียน อันดรีฟ ยูริ วิคโตโรวิช

4. การค้า นโยบายการค้าและงานฝีมือของประชากรค่อนข้างมีประชากรค่อนข้างมากและมีความต้องการที่หลากหลาย เพิ่มขึ้นมากขึ้นเมื่อชีวิตในเมืองมีความซับซ้อนมากขึ้น การขาดธัญพืชและวัตถุดิบสำหรับงานฝีมือหลายประเภท ในด้านหนึ่ง ไวน์และน้ำมันส่วนเกิน เสบียง

จากหนังสือหลักสูตรระยะสั้นในประวัติศาสตร์รัสเซีย ผู้เขียน คลูเชฟสกี วาซิลี โอซิโปวิช

จิน การค้า จากความล้าหลังของศิลปะและงานฝีมือและจากความเหนือกว่าของอุตสาหกรรมดั้งเดิม เราสามารถสรุปได้ว่าสินค้าการค้าใดที่ประเทศวางตลาดและสิ่งที่ต้องการในตัวเอง: จัดหาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ขนสัตว์ และผลิตภัณฑ์ดิบโดยทั่วไป จำเป็น

ผู้เขียน โควาเลฟ เซอร์เกย์ อิวาโนวิช

การค้า การแยกงานฝีมือออกจากการเกษตรอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งสามารถสืบย้อนไปได้ตลอดช่วงสี่ศตวรรษแรกของประวัติศาสตร์โรมัน มีความเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับการพัฒนาการค้าภายใน ช่างฝีมือมืออาชีพมักจะขายสินค้าของตัวเอง

จากหนังสือประวัติศาสตร์กรุงโรม (พร้อมภาพประกอบ) ผู้เขียน โควาเลฟ เซอร์เกย์ อิวาโนวิช

การเติบโตทางการค้าของการผลิตในท้องถิ่นท่ามกลางสถานการณ์ที่ดีขึ้นโดยทั่วไปของจังหวัด การพัฒนาการคมนาคม ความปลอดภัยในการสื่อสารที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ เป็นผู้นำในยุคของจักรวรรดิสู่การฟื้นฟูการค้าระหว่างจังหวัดและระหว่างจังหวัดของอิตาลีครั้งสำคัญ ในศตวรรษที่ 1

จากหนังสือประวัติศาสตร์รัสเซียตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 18 ถึงปลายศตวรรษที่ 19 ผู้เขียน โบคานอฟ อเล็กซานเดอร์ นิโคลาวิช

§ 4. การค้า การค้าภายในตามการแบ่งส่วนทางภูมิศาสตร์ของแรงงานอาศัยการค้าธัญพืชเป็นอย่างมาก ในตอนต้นของศตวรรษที่ 18 การไหลของเมล็ดพืชหลักมีความเกี่ยวข้องกับมอสโกและภูมิภาคมอสโก ริมแม่น้ำ Oka และ Moscow ผลิตภัณฑ์จากธัญพืช ป่าน น้ำมันกัญชา

จากหนังสือไอร์แลนด์ ประวัติศาสตร์ของประเทศ โดย เนวิลล์ ปีเตอร์

การค้า ในศตวรรษที่ 16 การพัฒนาเศรษฐกิจถูกขัดขวางโดยตำแหน่งของผู้นำกลุ่มเกลิค สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากภาษีทางการเงินที่พวกเขาเรียกเก็บจากพ่อค้าที่พยายามค้าขายกับพื้นที่เกลิค ดังนั้นการค้าภายในและภายนอกไอร์แลนด์ (เล็กเสมอ)

จากหนังสือ “ประวัติศาสตร์ยูเครนภาพประกอบ” ผู้เขียน กรูเชฟสกี้ มิคาอิล เซอร์เกวิช

15. การค้า ด้วยเหตุผลเหล่านี้ซึ่งครอบงำสถานที่นี้เหนือเขตอื่น ๆ เหนือเขตใหญ่ทั้งหมด ถนนการค้าและถนนการค้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วบนดินยูเครนมีการค้าขายกับพื้นที่ชายฝั่งทะเลดำและกับแคสเปียนและ

จากหนังสือประวัติศาสตร์เดนมาร์ก โดย ปาลูดัน เฮลเก

งานแสดงสินค้า Skone ซึ่งในศตวรรษที่ 13 และ 14 เป็นตัวแทนของตลาดระหว่างประเทศสำหรับสินค้าทุกประเภทในศตวรรษที่ 15 จำกัดอยู่เพียงการค้าปลาเฮอริ่งเท่านั้น ชาวดัตช์เดินทางโดยเรือโดยซื้อธัญพืชจากปรัสเซีย โดยส่วนใหญ่มาจากเมืองดานซิก พ่อค้าชาวปรัสเซียน

จากหนังสือกอลส์ โดย บรูโน ฌอง-หลุยส์

การค้า กอลไม่ใช่ผู้ค้า พวกเขาไม่มีจิตวิญญาณนั้น พวกเขาชอบที่จะจัดหาทรัพยากรธรรมชาติให้ตัวเองหรือปล้นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถผลิตได้ นอกจากนี้ เครือข่ายการค้าได้ก่อตั้งขึ้นในกอลตั้งแต่ยุคหินใหม่ เพื่อการคมนาคมทางทิศใต้เป็นหลัก

จากหนังสือชาวมายัน โดย รุส อัลเบอร์โต

ความแตกต่างทางการค้าในสภาพทางธรณีวิทยา orographic อุทกศาสตร์และภูมิอากาศระหว่างแต่ละพื้นที่ของภูมิภาคมายากำหนดความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติที่เห็นได้ชัดเจนในแต่ละพื้นที่ แม้ว่าเพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชนในเรื่องนี้ก็ตาม

จากหนังสือชาวมายัน โดย รุส อัลเบอร์โต

การค้า บ่อยครั้งที่นักชาติพันธุ์วิทยาบรรยายถึงชุมชนของชาวมายันว่าโดดเดี่ยวโดยสิ้นเชิงหรือเกือบทั้งหมด ราวกับว่าพวกเขาถูกแยกออกจากชีวิตในประเทศ ในความเป็นจริง ชาวมายันอินเดียนถูกดึงดูดเข้าสู่เศรษฐกิจของภูมิภาค และเข้าสู่ชีวิตประจำชาติผ่านการค้าขาย ในตลาดอินเดีย

ผู้เขียน โกลูเบตส์ นิโคไล

การค้า "แม่แห่งเมืองยูเครน" - เคียฟซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้จนถึงระดับเมืองหลวงของมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปนั้นอยู่ในตำแหน่งอย่างสม่ำเสมอด้วยเส้นทางการค้าที่สำคัญเช่นนี้ "จาก Varangians ไปจนถึงชาวกรีก" ในขณะที่ Dnieper พร้อมกลุ่มของ การเพิ่มเติม iv. การค้าขายดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ผู้นี้ซึ่งนำ

จากหนังสือประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของประเทศยูเครน ผู้เขียน โกลูเบตส์ นิโคไล

การค้า ในโลกที่ในฐานะผู้ติดตาม Khmelnytchyna ความปั่นป่วนของการปฏิวัติจะสงบลง การค้าของยูเครนจะกลับมาสู่ภาวะปกติ ระหว่างทางไปท่าเรือบอลติก และที่สำคัญที่สุดคือเคอนิกสเบิร์กและดานซิก ชาวซีเรียเดินทางจากยูเครนไปยังโลกกว้างเพื่อแลกกับอุตสาหกรรม

จากหนังสือประวัติศาสตร์โลก เล่มที่ 3 ยุคเหล็ก ผู้เขียน บาดัก อเล็กซานเดอร์ นิโคลาวิช

การค้า การผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีจุดประสงค์เพื่อขายโดยเฉพาะได้รับการพัฒนาอย่างแย่มากในสังคมโฮเมอร์ริก จริงอยู่ บทกวีกล่าวถึงกรณีการแลกเปลี่ยนเป็นรายบุคคล เช่น การแลกเปลี่ยนนักโทษกับวัว อาวุธ และเหล้าองุ่น เรื่องของการแลกเปลี่ยนใน

ผู้เขียน เครอฟ วาเลรี วเซโวโลโดวิช

4. การค้า 4.1. การค้าภายในขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเติบโตอย่างรวดเร็วของการค้าคือการพัฒนาการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ขนาดเล็ก ความเชี่ยวชาญทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค และความต้องการที่เพิ่มขึ้น การค้าชาวนาในสินค้าหัตถกรรมและ

จากหนังสือหลักสูตรระยะสั้นในประวัติศาสตร์รัสเซียตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงจุดเริ่มต้นของศตวรรษที่ 21 ผู้เขียน เครอฟ วาเลรี วเซโวโลโดวิช

5. การค้า ในยุคหลังการปฏิรูป การค้าทั้งในและต่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว การทำฟาร์มสินค้าโภคภัณฑ์มีสัดส่วนที่มากขึ้น5.1. การค้าภายในประเทศในยุค 60-90 เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตลาดธัญพืช ซึ่งเพิ่มขึ้น 3 เท่า

ในสมัยโบราณ การค้าขายในอิตาลีจำกัดอยู่เพียงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนใกล้เคียงเท่านั้น ในช่วงต้น งานแสดงสินค้าเป็นระยะ ๆ ดูเหมือนจะตรงกับเทศกาลต่างๆ ที่สำคัญที่สุดคือที่โซรักตา ซึ่งเป็นภูเขาอีทรัสคันใกล้กรุงโรม การค้าขายอาจเกิดขึ้นที่นี่ก่อนที่พ่อค้าชาวกรีกหรือชาวฟินีเซียนจะปรากฏตัวในภาคกลางของอิตาลี ตราสารแลกเปลี่ยนได้แก่ วัว ทาส และโลหะ (ทองแดง) ในเวลาต่อมา สถานะทางภูมิศาสตร์อันเอื้ออำนวยของโรมทำให้ที่นี่กลายเป็นโกดังสินค้าของ Latium ทั้งหมด

การแลกเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ในขั้นต้นฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อการตั้งถิ่นฐานของชาวกรีกปรากฏขึ้นในอิตาลี และพ่อค้าชาวอิทรุสกันก็ได้สถาปนาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาวกรีก การตั้งถิ่นฐานบนชายฝั่งตะวันออกของอิตาลีเริ่มมีการติดต่อโดยตรงกับกรีซ Latium แลกเปลี่ยนวัตถุดิบสำหรับการผลิตกับชาวกรีกทางตอนใต้ของอิตาลีและซิซิลี สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งโรมเริ่มขยายการปกครองไปยังเขตแดนตามธรรมชาติของอิตาลี มอมม์เซนกล่าวว่า Roman denarii ไม่ได้ตามหลังกองทัพโรมันแม้แต่ก้าวเดียว และสงครามในต่างประเทศของกรุงโรมส่วนหนึ่งเกิดจากผลประโยชน์ทางการค้าของสาธารณรัฐ

โรมไม่ได้กลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สามารถแข่งขันกับตะวันออกและคาร์เธจได้ การค้าขายในวงกว้างเท่านั้นที่สามารถกลายเป็นแหล่งความมั่งคั่งที่แท้จริงสำหรับเขา สงครามพิวนิกซึ่งบดขยี้คาร์เธจ และการรณรงค์ในกรีซซึ่งทำให้เมืองโครินธ์ยุติลง เปิดโอกาสให้พ่อค้าชาวโรมันนำเงินทุนหมุนเวียนมาใช้ ขั้นตอนแรกหลังจากการพิชิตโรมันมักจะเป็นการแนะนำระบบการเงินของโรมัน เหรียญเงินถูกนำมาใช้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช e. และทองคำ (ส่วนใหญ่เป็นทองคำแท่ง) - ในช่วงสงครามพิวนิก อากรท่าเรือกลายเป็นรายการทางการเงินที่สำคัญ ประเทศทางตะวันออกเข้าร่วมกลุ่มประเทศที่ชาวโรมันมีความสัมพันธ์ด้วย แต่จนถึงตอนนี้โรมนำเข้ามาแต่เพียงผู้เดียวโดยชำระค่าสินค้าจากต่างประเทศด้วยทองคำที่รัฐและเกษตรกรเก็บภาษีเก็บในประเทศที่ถูกยึดครอง

จักรวรรดินำสันติภาพมาสู่โลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นเป็นหลักในการสั่งซื้อและการควบคุมการค้า ด่านศุลกากรไม่ขัดขวางการค้าอีกต่อไป ถนนปลอดภัยจากโจร และท้องทะเลไม่เต็มไปด้วยโจรสลัด ในบรรดาสถาบันตั้งแต่สมัยจักรวรรดินั้น horrea - โกดังของรัฐซึ่งส่วนใหญ่เป็นยุ้งฉางซึ่งได้รับเมล็ดพืชแอฟริกันและอียิปต์สมควรได้รับความสนใจ อันดับที่สองในบรรดาสินค้านำเข้าคือเนื้อสัตว์ ฝูงสัตว์ทั้งหมดถูกนำไปยังกรุงโรมจากต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์นมมาจากกอลและอังกฤษ มีการบริโภคปลาหลากหลายชนิดทั้งสดและเค็มและดอง ผักและผลไม้ก็มาจากต่างประเทศในปริมาณมหาศาล คาร์เธจและคอร์โดบามีชื่อเสียงในด้านอาร์ติโชค เยอรมนีสำหรับหน่อไม้ฝรั่ง อียิปต์สำหรับถั่วเลนทิล แอปเปิ้ลมาจากแอฟริกา ซีเรียและนูมิเดีย ลูกพลัมจากซีเรียและอาร์เมเนีย เชอร์รี่จากปอนทัส ลูกพีชจากเปอร์เซีย แอปริคอตจากอาร์เมเนีย ทับทิมจากคาร์เธจ โดยทั่วไปอิตาลีผลิตไวน์เป็นจำนวนมาก แต่แม้แต่ในยุคของจักรวรรดิก็ยังไม่เพียงพอ ไวน์ถูกนำมาจากกรีซ เอเชียไมเนอร์ หมู่เกาะต่างๆ และต่อมามาจากกอลและเรเทีย น้ำมันที่ใช้ไปในห้องอาบน้ำในปริมาณมากถูกส่งมาจากแอฟริกา เกลือยังเป็นสินค้าการค้าที่สำคัญอีกด้วย สำหรับบ้านและวิลล่าสไตล์โรมัน เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ล้ำค่า โซฟาตกแต่งด้วยเงิน หินอ่อน และรูปปั้นอันล้ำค่าถูกนำมาจากระยะไกล ฟีนิเซีย แอฟริกา และซีเรียเป็นผู้จัดหาผ้าสีม่วง จีน - ผ้าไหมและผ้าไหม หนังสีแทนมาจากฟีนิเซีย, บาบิโลเนีย, Parthia, รองเท้าแตะ - จาก Lycia (โรงงานที่มีชื่อเสียงใน Patara), บรอนซ์และทองแดง - จากกรีซและเอทรูเรีย, ดาบ, มีดสั้น, ชุดเกราะ - จากสเปน

ในศตวรรษที่ 1 และ 3 จักรวรรดิโรมันเป็นตัวแทนของเขตการค้าเสรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ความสามัคคีของเหรียญ การวัดและน้ำหนัก การนำทางอย่างอิสระของทุกคนทุกที่ สถานะอุตสาหกรรมที่เจริญรุ่งเรืองในสเปน เอเชียไมเนอร์ ซีเรีย อียิปต์ อิตาลีตอนเหนือ กรีซบางส่วน เกษตรกรรมระดับสูงในแอฟริกาและบนชายฝั่งทะเลดำ - ทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้การค้าเจริญรุ่งเรือง การค้นพบซีลอนโดยบังเอิญภายใต้การนำของคลอดิอุส ถือเป็นเส้นทางใหม่สู่อินเดีย แต่ความเจริญรุ่งเรืองนี้อยู่ได้ไม่นาน ภายใต้ Diocletian วิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งการค้าของโรมันไม่สามารถฟื้นตัวได้อีกต่อไป จักรพรรดิพยายามปรับปรุงเรื่องต่างๆ ให้ดีขึ้นอย่างไร้ผลโดยสร้างการดูแลอย่างใกล้ชิดในด้านเศรษฐกิจทุกด้าน ควบคุมการเกษตรกรรม งานฝีมือ และการค้า ทุกอย่างไร้ผลเนื่องจากรัฐไม่ได้ติดตามเป้าหมายทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่เป็นเป้าหมายทางการคลัง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังคงถดถอยต่อไป จากนั้นคนป่าเถื่อนก็ปรากฏตัวขึ้น และวัฒนธรรมที่เสื่อมถอยลงอย่างมากทำให้ประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิโรมันสิ้นสุดลง

4. เงินหรือเหรียญโลหะ (ทองแดง เงิน ทองคำ) ถูกสร้างขึ้นในรูปทรงที่แตกต่างกัน ขั้นแรกเป็นชิ้น ๆ จากนั้นจึงตามน้ำหนัก ต่อมาเหรียญเริ่มมีลักษณะเด่นที่รัฐกำหนด: รูปลักษณ์ของเหรียญน้ำหนัก รูปทรงทรงกลมของเหรียญกลายเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดในการถือ ด้านหน้าเรียกว่า - ผิวหน้า, ย้อนกลับ - ย้อนกลับ, ปืนลูกซองแปรรูป - ขอบ

เงินโลหะกลมแรกปรากฏในลิเดีย ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 7 ในประเทศตุรกีซึ่งปัจจุบันคือเงินโลหะนั้นถูกสร้างขึ้นในรูปของเหรียญอิเล็กตรัม (ทองคำประเภทหนึ่งที่มีปริมาณเงินสูง) จากลิเดีย เหรียญกษาปณ์แพร่กระจายไปยังกรีซอย่างรวดเร็ว เหรียญแต่ละเหรียญมีรูปเทพเจ้าผู้อุปถัมภ์ของเมือง ที่ไหนสักแห่งในช่วงกลางศตวรรษที่ 5 เหรียญถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานเดียวและสร้างขึ้นจากเงินและทองคำเท่านั้น สิ่งนี้ทำเพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายและเพื่อกำหนดมูลค่าของเหรียญได้แม่นยำยิ่งขึ้น แต่ละเหรียญมีสัญลักษณ์แสดงสถานที่ผลิต

วัฒนธรรมการเงินของกรีกมีอิทธิพลอย่างมากต่อเงินสมัยใหม่ ชาวกรีกเป็นคนแรกที่สลักรูปคนมีชีวิตบนเหรียญ หลังจากการพิชิตของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เทคโนโลยีการผลิตเหรียญกษาปณ์โดยใช้แม่พิมพ์สองแบบสำหรับ ผิวหน้าและ ย้อนกลับแผ่ขยายไปทั่วดินแดนภายใต้การควบคุมของเขา โรมและยุโรปตะวันตกในเวลาต่อมาเริ่มผลิตเหรียญกษาปณ์โดยใช้เทคโนโลยีนี้ ในเคียฟมาตุส เหรียญกษาปณ์ชุดแรกปรากฏในศตวรรษที่ 9 และ 10 ในการหมุนเวียนในเวลาเดียวกันก็มี zlatniks - เหรียญที่ทำจากทองคำและ srebreniks - เหรียญที่ทำจากเงิน

เงินโลหะที่ทำจากทองคำได้รับความนิยมอย่างมาก ประเทศเปลี่ยนมาใช้การหมุนเวียนทองคำโดยสิ้นเชิงในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ผู้นำในประเทศเหล่านี้คือบริเตนใหญ่ ดังที่คุณทราบ บริเตนใหญ่มีอาณานิคมและอาณาจักรจำนวนมาก ดังนั้นบริเตนใหญ่จึงเป็นที่หนึ่งในด้านการผลิตทองคำ สาเหตุของการเปลี่ยนไปใช้การหมุนเวียนของทองคำคือคุณสมบัติของโลหะมีตระกูล:

• ความสม่ำเสมอในคุณภาพ
• การแบ่งแยกและการเชื่อมต่อโดยไม่สูญเสียคุณสมบัติ
• คุณค่าที่มีความเข้มข้นสูง
• ความสามารถในการจัดเก็บ;
• ความยากในการสกัดและการประมวลผล

คุณสมบัติของทองคำทำให้โลหะนี้เหมาะสมที่สุดสำหรับการบรรลุวัตถุประสงค์ของเงิน แต่การหมุนเวียนของทองคำในโลกนั้นอยู่ได้ไม่นาน หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การอสูรของทองคำเริ่มขึ้น - กระบวนการของการสูญเสียหน้าที่ของเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยทองคำ ทองคำเป็นคู่แข่งกับเงินดอลลาร์ ดังนั้นสหรัฐอเมริกาจึงพยายามยกเลิกทองคำซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบการเงินโลก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐอเมริกาได้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับธนาคารกลางต่างประเทศ โดยใช้เงินดอลลาร์แลกเป็นทองคำ สิ่งนี้ทำให้สถานะทั่วโลกของเงินดอลลาร์แข็งแกร่งขึ้น ในยุค 70 ที่การประชุมจาเมกา มีการตัดสินใจที่จะแยกทองคำออกจากการหมุนเวียน ปัจจุบันทุนสำรองประกอบด้วยสกุลเงินต่างประเทศและทองคำ นี่เรียกว่ามาตรฐานการแลกเปลี่ยนทองคำ

2. ข้อบังคับของธนาคารกลางแห่งสหพันธรัฐรัสเซียลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2539 N 50 “ ในการดำเนินการธุรกรรมด้วยโลหะมีค่าโดยสถาบันสินเชื่อในอาณาเขตของสหพันธรัฐรัสเซียและขั้นตอนในการทำธุรกรรมทางธนาคารด้วยโลหะมีค่า” ที่ได้รับอนุมัติโดยคำสั่งของ ธนาคารกลางแห่งสหพันธรัฐรัสเซียลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2539 N 02-400 ได้แนะนำแนวคิดและกำหนดการทำงานกับแท่งโลหะ:

1. ธนาคารเป็นองค์กรสินเชื่อที่ได้รับใบอนุญาต (อนุญาต) จากธนาคารแห่งรัสเซียตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในการทำธุรกรรมกับโลหะมีค่า
2. โลหะมีค่าคือแท่งทองคำ เงิน แพลทินัม และแพลเลเดียม เช่นเดียวกับเหรียญที่ทำจากโลหะมีค่า (ทองคำ เงิน แพลทินัม และแพลเลเดียม) ยกเว้นเหรียญที่เป็นสกุลเงินของสหพันธรัฐรัสเซีย
3. แท่งโลหะมีค่าเป็นแท่งมาตรฐานหรือแท่งที่วัดได้ของการผลิตในรัสเซีย ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานของรัฐที่บังคับใช้ในสหพันธรัฐรัสเซีย และการผลิตจากต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานคุณภาพสากลที่นำมาใช้โดย London Bullion Market Association (LBMA) และผู้เข้าร่วมตลาด Platinum และ Palladium ในลอนดอน ( ลพ.)

เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ London Bullion Market Association (LBMA) และ London Platinum Group Metals Association (LPMG) แท่งโลหะมีค่าที่ผลิตโดยโรงงานในรัสเซียและตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐานระดับชาติและนานาชาติจะต้องปฏิบัติตามพารามิเตอร์ต่อไปนี้:

• ผสมกับส่วนผสมบางอย่าง
• รูปร่างบางอย่าง
• มวลที่แน่นอน

แท่งโลหะมีค่าทั้งหมดมีเครื่องหมายบังคับ ซึ่งรวมถึง:

• หมายเลขซีเรียล;
• พยายาม;
• ตัวอักษรโลหะมีค่า
• เครื่องหมายของผู้ผลิต
• ปีที่ผลิต
• น้ำหนักแท่งเป็นกรัมหรือออนซ์

จากเครื่องหมายข้างต้น ตัวอย่างอยู่ในสถานที่พิเศษ ตัวอย่างเป็นสัญญาณคุณภาพชนิดหนึ่ง เมื่อนำไปใช้กับโลหะมีค่า - ทองคำ, เงิน, แพลทินัม และแพลเลเดียม - เครื่องหมายรับรองคุณภาพมีสองความหมาย:

1. นี่คือเครื่องหมายของรัฐซึ่งรับประกันถึงประโยชน์ของแท่งหรือเหรียญที่หมุนเวียน
2. นี่เป็นข้อบ่งชี้ถึงปริมาณน้ำหนักของโลหะมีค่าในหน่วยของโลหะผสม

ตามระบบเมตริก ตัวอย่างจะแสดงจำนวนโลหะมีค่าที่บรรจุอยู่ในผลิตภัณฑ์ 1,000 กรัม โลหะบริสุทธิ์สอดคล้องกับตัวอย่างที่ 1,000

3. เหรียญเป็นแผ่นโลหะที่มีลวดลายซึ่งกำหนดมูลค่าทางการเงิน เหรียญแรกสุดถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 7 ในเอเชียไมเนอร์คือในอาณาจักรลิเดีย (ปัจจุบันเป็นดินแดนของตุรกี) จากโลหะผสมธรรมชาติของเงินและทอง - อิเล็กตรา การออกแบบที่ประทับบนเหรียญช่วยยืนยันน้ำหนักและมูลค่าของโลหะแต่ละชิ้น กระบวนการปั๊มเรียกว่าการพิมพ์ลายนูน การออกแบบที่เสร็จสิ้นแล้วมีบทบาทในการประทับตราส่วนตัวของไม้บรรทัด ซึ่งรับประกันความถูกต้องแม่นยำของน้ำหนักเหรียญ ประสบการณ์การทำเหรียญกษาปณ์ประสบความสำเร็จและแพร่กระจายไปทั่วยุโรปในไม่ช้า การปรากฏตัวของเงินโลหะประเภทอื่น ๆ สามารถนำมาประกอบกับยุคเดียวกัน: เหรียญทองแดงในภูมิภาคทะเลดำตอนเหนือและอิตาลี, เครื่องมือจิ๋วและเปลือกหอยสำริดเลียนแบบในจีน, แหวนเงินในประเทศไทย, ทองคำแท่งและเงินแท่งในญี่ปุ่น เหรียญโบราณบางเหรียญยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ สามารถพบได้ในพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก

น้ำหนักของเหรียญลิเดียนวัดเป็นสเตเตอร์ (มากกว่า 14 กรัม) เหรียญเศษส่วนสูงถึง 1/96 ของสเตเตอร์ก็ถูกสร้างขึ้นเช่นกัน ช่องว่างการหล่อถูกทำให้แบนเล็กน้อย จากนั้นจึงใช้การออกแบบกับแสตมป์ด้วยค้อน ทั่งนั้นสลักด้วยสัญลักษณ์ของกษัตริย์ลิเดียน - หัวสิงโตและภาพนี้สร้างเสร็จที่ด้านหลัง (600 ปีก่อนคริสตกาล)

เหรียญกษาปณ์แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วโลกกรีก เหรียญมักมีตราสัญลักษณ์เหรียญกษาปณ์ สิงโตเป็นสัญลักษณ์ของคาเรียในเอเชียไมเนอร์ แจกัน ปลาหมึก และเต่า - เกาะ Andros, Keos และ Aegina ด้วงนั้นคุ้นเคยกับเอเธนส์ สามารถกำหนดวันที่ออกเหรียญเหล่านี้ได้: ถูกค้นพบในฐานของวิหารของเทพีอาร์เทมิสในเมืองเอเฟซัสซึ่งสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 560 ปีก่อนคริสตกาล

5.

6. ความเสียหายของเหรียญ- การลดน้ำหนักหรือความละเอียดของเหรียญโดยหน่วยงานของรัฐโดยยังคงรักษามูลค่าเดิมไว้เพื่อสร้างรายได้จากสิ่งนี้ ยุโรปยุคกลางมีเหรียญกษาปณ์มากมาย ดยุคทุกคนต่างพยายามเปิดเวิร์คช็อปเกี่ยวกับเหรียญ นี่เป็นผลกำไรมาก: มีการผลิตเหรียญมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเงินในปริมาณที่เท่ากัน พวกเขาคิดว่าถ้าพวกเขาสร้างเหรียญเงินได้หลายสิบเหรียญจากเงินหนึ่งปอนด์ พวกเขาก็จะสามารถซื้อสินค้าได้มากขึ้น ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ แต่ในไม่ช้าเหรียญที่เบากว่าก็สูญเสียมูลค่าและกำลังซื้อก็ลดลง

บรรดากษัตริย์ เจ้าชาย เพิ่มจำนวนเหรียญที่ขุดได้จากเงินปอนด์เดิมอีกครั้ง และดึงเอาผลประโยชน์ทางการเงินระยะสั้นอีกครั้ง โดยไม่สนใจอนาคต นี่เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวของขุนนางศักดินา โดยไม่สนใจรัฐ ประชาชน หรือ ประโยชน์ของการค้า ผลประโยชน์ของชนชั้นแคบในกลุ่มสังคมชั้นบนนำไปสู่การล่มสลายของการไหลเวียนของเงิน บางครั้งนำไปสู่การหายไปของแร่เงินจากตลาดโดยทั่วไป และทำให้เศรษฐกิจล่มสลาย

บังเอิญว่าในเมืองบางแห่งมีเหรียญกษาปณ์เกิดขึ้นเป็นเวลา 2 - 5 ปีแล้วปัญหาเรื่องเหรียญก็หยุดลง บ่อยครั้งที่ไม่เพียงแต่ตั้งเป้าหมายทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังตั้งเป้าหมายทางการเมืองด้วย: ด้วยวิธีนี้ผู้ปกครองต้องการประกาศตัวเองและอธิปไตยของเขาหรือการพิชิตเมืองนี้ พวกเขาสร้างการหมุนเวียนทางการเงินตามมาตรฐานเหล่านั้นซึ่งดูเหมือนว่าสำหรับนักสะสมเหรียญและรัฐบาลจะสะดวกที่สุดสำหรับพื้นที่ที่กำหนด เหรียญถูกออกตามมาตรฐานน้ำหนักใหม่ แต่เพื่อเปลี่ยนการไหลเวียนของเงินทั้งหมด จึงจำเป็นต้องใช้โลหะจำนวนมากและเงินทุนจำนวนมาก เหรียญกษาปณ์ดังกล่าวมักจะไม่มีพวกเขา ดังนั้นเมื่อมีการออกเหรียญสองหรือสามชุด ศาลก็หยุดอยู่อีกต่อไป การทำฟาร์มเรื่องเงินจึงกลายเป็นปรากฏการณ์ทั่วไป การทำเหรียญเงินนำมาซึ่งรายได้มหาศาล รัฐบาลพิจารณาว่าเป็นการทำกำไรสำหรับตัวเองที่จะได้รับเงินจากพ่อค้าบางรายล่วงหน้าเป็นเวลาหลายปีซึ่งจะเป็นรายได้จากเหรียญกษาปณ์ ในทางกลับกัน พ่อค้า-ชาวนาได้รับสิทธิ์ในการเหรียญกษาปณ์ในเมืองดังกล่าวและในเมืองดังกล่าว ตามเงื่อนไขดังกล่าวและแน่นอน โดยสอดคล้องกับเหรียญบางประเภท โดยมีการบังคับเหรียญกษาปณ์ในนามของผู้ปกครอง เกษตรกรภาษีมีอยู่แล้วในโรมโบราณ: ที่โรงกษาปณ์แห่งหนึ่งมีตำแหน่งเกษตรกรผู้เก็บภาษีจากการคัดเลือกนักแสดงของจักรวรรดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีจำนวนมากในยุโรปยุคกลาง เห็นได้ชัดว่าเกษตรกรผู้เก็บภาษีพยายามเพิ่มรายได้ที่ได้จากการทำเหรียญกษาปณ์ ทำให้พวกเขาเสียน้ำหนักด้วยการลดน้ำหนัก

ในปี 1621-1623 ในประเทศเยอรมนี ความเสียหายด้านเงินได้กลายเป็นภัยพิบัติระดับชาติ กลุ่มนักสะสมเหรียญได้จัดเวิร์คช็อปของตนในหอคอยร้างบนถนนสายหลัก บารอนที่ยากจนแต่ละคนสามารถสร้างเหรียญกษาปณ์ในปราสาทของเขา ซื้อเหรียญดีๆ น้ำหนักเต็ม ละลายมัน และออกเหรียญที่ไม่ดีซึ่งมีน้ำหนักน้อยกว่าหรือมีมาตรฐานต่ำ “เจ้าชายห้ามทหาร แต่ยอมให้คนเก็บเหรียญปล้นประชาชนและประเทศ” ผู้คนกล่าวในสมัยนั้น เมื่อพวกเขาสามารถจับคนโกงซึ่งเป็นคนปลอมแปลงใต้ดินได้เขาก็ถูกลงโทษ เอกสารการรายงานของโรงผลิตเหรียญบางแห่งในสมัยนั้นระบุรายการค่าใช้จ่ายพิเศษสำหรับการก่อสร้าง... เตาเผาสำหรับการเผาของปลอม

ผู้ปลอมแปลงถูกลงโทษอย่างรุนแรง แต่ขุนนางและอัศวิน เคานต์ และดยุคที่ออกเหรียญกษาปณ์ก็ไม่ได้ดีไปกว่าอาชญากรเหล่านี้ กษัตริย์ฝรั่งเศส Philip IV the Fair มีอีกชื่อหนึ่งว่า Philip the Counterfeiter เนื่องจากสนับสนุนการทำลายเงินที่โรงกษาปณ์

การเสื่อมถอยของเงินทำให้เหรียญจำนวนมากเริ่มมีเงินน้อยมาก ก่อนปี 1280 เรือ Cologne pfennig มีน้ำหนัก 1.315 กรัมเป็นเงิน และเมื่อปลายศตวรรษที่ 14 มีเงินไม่เกิน 0.075 กรัม

ในยุคกลาง เพนนีเป็นเหรียญเงินขนาดใหญ่ เดนาเรียสกรอสซัส - "เดนาเรียสหนา" ความเสื่อมของมูลค่าและการเสื่อมสภาพของเหรียญนี้นำไปสู่ความจริงที่ว่าคำว่า "เพนนี" เริ่มถูกนำมาใช้เป็นคำพ้องสำหรับเหรียญที่เล็กที่สุดและไม่มีนัยสำคัญที่สุด

เงินกระดาษก้อนแรกปรากฏในจีนยุคกลาง ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ถึงศตวรรษที่ 14 ความพยายามครั้งแรกในการนำเงินกระดาษมาใช้นั้นเกิดขึ้นแล้วในสมัยราชวงศ์ถัง (618-907) แนวทางปฏิบัติของสถาบันสินเชื่อที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศจีนในศตวรรษที่ 5 และวัฒนธรรมการผลิตกระดาษซึ่งมีการพัฒนาในระดับสูงได้เสนอแนะรูปแบบธนบัตรใหม่ที่ทำจากกระดาษ มาถึงตอนนี้ในประเทศก็ขาดแคลนทองแดง ดังนั้นเงินกระดาษจึงสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างกลมกลืน การก่อตัวของการหมุนเวียนเงินกระดาษเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง (960-1279)
สงสัยว่าเงินกระดาษมีต้นแบบของตัวเอง - เงินหนัง มีการใช้มาตั้งแต่ 118 ปีก่อนคริสตกาลและเป็นหนังกลับสีขาวชิ้นสี่เหลี่ยม ตามขอบของเงินจำนวนนี้มีการผลิตหลายสี เงินหนังถูกแลกเปลี่ยนอย่างอิสระสำหรับสินค้า
เงินกระดาษถูกนำมาใช้ครั้งแรกในมณฑลเสฉวน เหตุผลก็คือทองแดงซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของทองแดงขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงมีการตัดสินใจเปลี่ยนจากเหรียญทองแดงเป็นเงินกระดาษ การเก็งกำไรด้วยเงินกระดาษเริ่มขึ้นทันทีหลังจากการเริ่มหมุนเวียน และถึงแม้ว่าสกุลเงินของธนบัตรจะตรงกับเงินหรือผ้าไหมจำนวนหนึ่ง แต่ในทางปฏิบัติก็ห้ามการแปลง
ในไม่ช้าปริมาณเงินก็ถึงสัดส่วนมหาศาลซึ่งทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อร้ายแรง อย่างไรก็ตาม การค้าเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเศรษฐกิจเริ่มพัฒนาเร็วขึ้น เมื่อถึงปี ค.ศ. 1106 อัตราเงินเฟ้อก็แย่ลง และในปี 1217 ความน่าเชื่อถือของเงินกระดาษได้รับความเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นเนื่องจากการรักษาความปลอดภัยไม่เพียงพอและต้นทุนที่สูงขึ้นในสภาวะของสงครามกับมองโกล การใช้เงินกระดาษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเกิดขึ้นในช่วงปีแรก ๆ ของราชวงศ์หยวน (1271-1368) นี่เป็นเพราะการแปลงเงินกระดาษเป็นทองแดงหรือเงิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการห้ามหมุนเวียนโลหะมีค่าอย่างเสรีส่งผลดีต่อชื่อเสียงของเงินกระดาษมากที่สุด ภาษีก็เริ่มถูกเก็บเป็นธนบัตรด้วย เสถียรภาพด้านราคายังได้รับการดูแลโดยการหมุนเวียนเงินกระดาษอย่างเสรีทั่วประเทศ
แต่สถานการณ์นี้อยู่ได้ไม่นาน ในช่วงสงครามครั้งถัดไป การขาดแคลนเงินทุนเกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งในไม่ช้าก็ทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและการหายไปของเงินกระดาษ

7. การค้าไบเซนไทน์การค้าเฟื่องฟูในหลายเมืองของจักรวรรดิไบแซนไทน์ เช่น เทสซาโลนิกิ (กรีซ) เอเฟซัสและเทรบิซอนด์ (เอเชียไมเนอร์) หรือเชอร์โซเนซอส (ไครเมีย) บางเมืองมีความเชี่ยวชาญเฉพาะของตนเอง เมืองโครินธ์และธีบส์ รวมถึงกรุงคอนสแตนติโนเปิลเองนั้นมีชื่อเสียงในด้านการผลิตผ้าไหม เช่นเดียวกับในยุโรปตะวันตก พ่อค้าและช่างฝีมือถูกจัดเป็นกิลด์ หนังสือที่รวบรวมในศตวรรษที่ 10 ให้แนวคิดที่ดีเกี่ยวกับการค้าในกรุงคอนสแตนติโนเปิล หนังสือของ Eparch ประกอบด้วยรายการกฎเกณฑ์สำหรับช่างฝีมือและพ่อค้าทั้งสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น เทียน ขนมปังหรือปลา และสินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าฟุ่มเฟือยบางอย่าง เช่น ผ้าไหมและผ้ายกทรงที่ดีที่สุด ไม่สามารถส่งออกได้ สิ่งเหล่านี้มีไว้สำหรับราชสำนักเท่านั้น และสามารถส่งออกไปต่างประเทศเพื่อเป็นของขวัญของจักรพรรดิเท่านั้น เช่น มอบให้กษัตริย์หรือคอลีฟะห์ การนำเข้าสินค้าสามารถทำได้ตามข้อตกลงบางประการเท่านั้น มีการสรุปข้อตกลงทางการค้าหลายฉบับกับประชาชนที่เป็นมิตร โดยเฉพาะกับชาวสลาฟตะวันออกซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 รัฐของตัวเอง ตามแม่น้ำสายใหญ่ของรัสเซีย ชาวสลาฟตะวันออกลงไปทางใต้สู่ไบแซนเทียม ซึ่งพวกเขาพบตลาดที่พร้อมสำหรับสินค้าของตน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขนสัตว์ ขี้ผึ้ง น้ำผึ้ง และทาส บทบาทนำของไบแซนเทียมในการค้าระหว่างประเทศขึ้นอยู่กับรายได้จากบริการท่าเรือ อย่างไรก็ตามในศตวรรษที่ 11 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ทองคำโซลิดัส (ที่รู้จักกันในโลกตะวันตกในชื่อเบแซนต์ สกุลเงินไบแซนไทน์) เริ่มอ่อนค่าลง การค้าไบแซนไทน์เริ่มถูกครอบงำโดยชาวอิตาลี โดยเฉพาะชาวเวนิสและชาวเจโนส ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษทางการค้ามากเกินไปจนคลังสมบัติของจักรวรรดิหมดลงอย่างมาก และสูญเสียการควบคุมภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ แม้แต่เส้นทางการค้าก็เริ่มเลี่ยงกรุงคอนสแตนติโนเปิล ในตอนท้ายของยุคกลาง ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกเจริญรุ่งเรือง แต่ความมั่งคั่งทั้งหมดไม่ได้อยู่ในมือของจักรพรรดิเลย

8. การผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ - รูปแบบของการผลิตทางสังคมซึ่งผลิตภัณฑ์ไม่ได้ผลิตเพื่อการบริโภคของตนเอง แต่เพื่อการแลกเปลี่ยน เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการแบ่งแยกแรงงานทางสังคม และดำเนินการโดยผู้ผลิตที่แยกตัวทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีที่เรียบง่ายเกิดขึ้นในช่วงที่ระบบชุมชนดั้งเดิมล่มสลาย การแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของแรงงานเป็นสินค้าซึ่งเริ่มแรกเกิดขึ้นระหว่างแต่ละชุมชนด้วยการพัฒนากำลังการผลิตและการเกิดขึ้นของความเป็นไปได้ของการผลิตส่วนบุคคลได้แทรกซึมเข้าไปในชุมชน ในการก่อตัวก่อนยุคทุนนิยม แม้ว่าเทคโนโลยีจะได้รับการพัฒนาบางอย่าง แต่ก็ไม่ใช่รูปแบบหลักของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างผู้คน ในสภาวะดังกล่าว การทำเกษตรกรรมยังชีพก็มีชัย เมื่อการค้าพัฒนาขึ้น รวมถึงการค้าต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ ฟาร์มของเจ้าของทาสและขุนนางศักดินาจึงถูกดึงเข้าสู่ขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและเงิน การพัฒนาและการขยายตัวของการค้าจึงบ่อนทำลายเศรษฐกิจตามธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้จึงมีส่วนทำให้ทาส- รูปแบบการผลิตที่เป็นเจ้าของและศักดินา การทำฟาร์มสินค้าโภคภัณฑ์ตรงกันข้ามกับการทำฟาร์มตามธรรมชาติ โดยสันนิษฐานว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ผ่านทางตลาด ผ่านการซื้อและขายสินค้า เจ้าของแต่ละคนแสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง ดังนั้นกระบวนการผลิต การแลกเปลี่ยน และการจำหน่ายในสังคมโดยอิงจากทรัพย์สินส่วนตัว จึงได้มาซึ่งลักษณะอนาธิปไตยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ V.I. เลนินแสดงลักษณะการผลิตทางอุตสาหกรรมในฐานะระบบเศรษฐกิจซึ่งมีการผลิตผลิตภัณฑ์โดยผู้ผลิตที่แยกจากกันซึ่งแต่ละคนเชี่ยวชาญในการผลิตผลิตภัณฑ์หนึ่งโดยเฉพาะ ดังนั้นการซื้อและการขายผลิตภัณฑ์จึงเป็นไปตามความต้องการทางสังคม กลายเป็นสินค้า) ในตลาด "การแบ่งแยกแรงงานทางสังคมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนำไปสู่การขยายตลาดภายในสำหรับวิธีการผลิตและสินค้าอุปโภคบริโภคตลาดแรงงาน การผลิตแบบง่ายเนื่องจากการกระทำของกฎหมายโดยธรรมชาติและข้างต้น ทั้งหมด กฎแห่งมูลค่า เมื่อมีเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์บางประการ นำไปสู่การเกิดขึ้นของทุนนิยม ฯลฯ อำนาจของแรงงานกลายเป็นเป้าหมายของการซื้อและการขาย กล่าวคือ มันกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ สำหรับระบบทุนนิยมคือรูปแบบการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ กลายเป็นความสัมพันธ์ที่โดดเด่นและเป็นสากล ความสัมพันธ์ของระบบทุนนิยม - ความสัมพันธ์ของการแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานรับจ้างโดยทุน - มีรูปแบบสินค้าโภคภัณฑ์ ลัทธิทุนนิยมเกิดขึ้นและดำรงอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีที่เรียบง่าย แต่เทคโนโลยีทุนนิยมเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนมากกว่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่เรียบง่าย การผลิตแบบทุนนิยมนั้นเป็นประเภทเดียวกับการผลิตแบบธรรมดา (ขึ้นอยู่กับกรรมสิทธิ์ของเอกชนในปัจจัยการผลิตและผลการผลิต) แต่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์อย่างง่ายคือเจ้าของเอกชนรายเล็ก พวกเขาใช้วิธีการผลิตที่เป็นของพวกเขา ในวิสาหกิจทุนนิยมปัจจัยการผลิตเป็นของนายทุนและคนงานก็ถูกลิดรอนไป แรงงานธรรมดามีพื้นฐานมาจากแรงงานส่วนบุคคลของผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ และแรงงานทุนนิยมมีพื้นฐานอยู่บนการแสวงประโยชน์จากแรงงานของผู้อื่น การผลิตแบบง่ายหมายถึงการผลิตส่วนบุคคลของช่างฝีมือและชาวนาเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล ในวิสาหกิจทุนนิยม แรงงานจำนวนมากภายใต้การบังคับบัญชาของนายทุนถูกนำมาใช้เพื่อทำกำไร ความขัดแย้งหลักของการผลิตทางอุตสาหกรรมอย่างง่าย - ความขัดแย้งระหว่างแรงงานเอกชนและแรงงานทางสังคม - พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งหลักของการผลิตแบบทุนนิยม - ระหว่างธรรมชาติของการผลิตทางสังคมและรูปแบบการจัดสรรทุนนิยมเอกชน

9.