บล็อกการเช่า
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างมนุษย์ในฐานะสายพันธุ์และสัตว์คือความสามารถของเขาในการให้เหตุผลและคิดเชิงนามธรรม ไตร่ตรองถึงอดีตของเขา ประเมินอย่างมีวิจารณญาณและคิดเกี่ยวกับอนาคต การพัฒนาและการดำเนินการตามแผนและโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อมัน ทั้งหมดนี้นำมารวมกันเชื่อมโยงกับขอบเขตของจิตสำนึกของมนุษย์
การเกิดขึ้นของจิตสำนึกของมนุษย์เป็นขั้นตอนใหม่เชิงคุณภาพในการพัฒนาจิตใจและแสดงถึงการพัฒนาจิตใจในระดับสูงสุด จิตสำนึกเป็นรูปแบบการสะท้อนทางจิตของความเป็นจริงตามวัตถุประสงค์สูงสุดและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมนุษย์ โดยมีกิจกรรมทางสังคมและประวัติศาสตร์เป็นสื่อกลาง การพัฒนาขึ้นอยู่กับสภาพสังคม จิตสำนึกของมนุษย์มีเป้าหมายและกระตือรือร้นอยู่เสมอ
ข้อกำหนดเบื้องต้นและเงื่อนไขหลักสำหรับการเกิดขึ้นของจิตสำนึกของมนุษย์คือการพัฒนาสมองของมนุษย์ การก่อตัวของจิตสำนึกของมนุษย์เป็นกระบวนการที่ยาวนานซึ่งเชื่อมโยงโดยธรรมชาติกับกิจกรรมทางสังคมและแรงงาน การเกิดขึ้นของงานได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมไปอย่างสิ้นเชิง
ข้างต้นช่วยให้เราสามารถกล่าวได้ว่าปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาจิตสำนึกคือกิจกรรมด้านแรงงานที่เกิดจากการใช้เครื่องมือร่วมกัน แรงงานเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งเป็นกระบวนการที่มนุษย์มีอิทธิพลต่อธรรมชาติ แรงงานมีลักษณะเฉพาะคือ การใช้และการผลิตเครื่องมือ การดำเนินการภายใต้เงื่อนไขของกิจกรรมร่วมกัน พื้นฐานสำหรับการเปลี่ยนไปสู่จิตสำนึกของมนุษย์คืองานของผู้คนซึ่งแสดงถึงกิจกรรมร่วมกันของพวกเขาโดยมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายร่วมกันและแตกต่างอย่างมากจากการกระทำของสัตว์
ในกระบวนการทำงาน หน้าที่ของมือได้รับการพัฒนาและรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น และโครงสร้างทางกายวิภาคของมันก็ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม มือได้รับการพัฒนาไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการหยิบจับเท่านั้น แต่ยังเป็นอวัยวะแห่งการรับรู้อีกด้วย กิจกรรมด้านแรงงานนำไปสู่ความจริงที่ว่ามือที่กระตือรือร้นค่อยๆกลายเป็นอวัยวะพิเศษของการสัมผัสที่กระตือรือร้น
การพัฒนาจิตใจในระดับมนุษย์เพิ่มเติมตามมุมมองเชิงวัตถุนั้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นผ่านความทรงจำคำพูดการคิดและจิตสำนึกเนื่องจากความซับซ้อนของกิจกรรมและการปรับปรุงเครื่องมือที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการสำรวจโลกโดยรอบ การประดิษฐ์และการใช้ระบบสัญญาณอย่างแพร่หลาย ในบุคคลพร้อมกับระดับที่ต่ำกว่าของการจัดระเบียบกระบวนการทางจิตที่มอบให้โดยธรรมชาติแล้วกระบวนการที่สูงกว่าก็เกิดขึ้นเช่นกัน
การพัฒนาจิตใจอย่างรวดเร็วของผู้คนได้รับการอำนวยความสะดวกโดยความสำเร็จหลักสามประการของมนุษยชาติ: การประดิษฐ์เครื่องมือ การผลิตวัตถุทางวัตถุและวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณ และการเกิดขึ้นของภาษาและคำพูด ด้วยความช่วยเหลือของเครื่องมือ มนุษย์ได้รับโอกาสในการมีอิทธิพลต่อธรรมชาติและเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เครื่องมือแรกดังกล่าว - ขวาน, มีด, ค้อน - ทำหน้าที่ทั้งสองวัตถุประสงค์พร้อมกัน มนุษย์สร้างของใช้ในครัวเรือนและศึกษาคุณสมบัติของโลกที่ไม่ได้สัมผัสโดยตรงกับประสาทสัมผัส
การปรับปรุงเครื่องมือและการปฏิบัติการด้านแรงงานที่ดำเนินการด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา ในทางกลับกัน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการทำงานของมือ ต้องขอบคุณที่มันเปลี่ยนเมื่อเวลาผ่านไปให้กลายเป็นเครื่องมือที่ละเอียดอ่อนและแม่นยำที่สุดในบรรดาเครื่องมือทั้งหมดของกิจกรรมด้านแรงงาน ฉันเรียนรู้ที่จะเข้าใจความเป็นจริงของดวงตามนุษย์โดยใช้ตัวอย่างมือ และยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาความคิดและสร้างการสร้างสรรค์หลักๆ ของจิตวิญญาณมนุษย์อีกด้วย ด้วยการขยายความรู้เกี่ยวกับโลก ความสามารถของมนุษย์ก็เพิ่มขึ้น เขาได้รับความสามารถในการเป็นอิสระจากธรรมชาติ และตามความเข้าใจของเขา ในการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของเขาเอง (หมายถึง พฤติกรรมและจิตใจของมนุษย์)
วัตถุของวัฒนธรรมทางวัตถุและจิตวิญญาณที่สร้างขึ้นโดยคนหลายรุ่นไม่ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ถูกส่งต่อและทำซ้ำจากรุ่นสู่รุ่นโดยมีการปรับปรุง คนรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาใหม่ แค่เรียนรู้วิธีใช้งานโดยได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ที่รู้วิธีใช้งานแล้ว
คนรุ่นต่อๆ มาได้หลอมรวมความรู้ ทักษะ และความสามารถที่พัฒนาขึ้นจากคนรุ่นก่อน และด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นคนที่มีอารยธรรมด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากกระบวนการของการมีมนุษยธรรมนี้เริ่มต้นตั้งแต่วันแรกของชีวิตและให้ผลลัพธ์ที่มองเห็นได้ค่อนข้างเร็ว บุคคลนั้นยังคงมีโอกาสสร้างผลงานส่วนตัวของตนเองในคลังสมบัติของอารยธรรม และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความสำเร็จของมนุษยชาติ ดังนั้นความสามารถในการสร้างสรรค์ของผู้คนจึงค่อยๆ เร่งขึ้นจากศตวรรษสู่ศตวรรษ ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับโลกขยายและลึกซึ้งยิ่งขึ้น เลี้ยงดูมนุษย์ให้สูงขึ้นและสูงขึ้นเหนือส่วนที่เหลือของโลกสัตว์
หากเราจินตนาการสักครู่ว่าภัยพิบัติทั่วโลกเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากการที่ผู้คนที่มีความสามารถที่เหมาะสมเสียชีวิต โลกแห่งวัฒนธรรมทางวัตถุและจิตวิญญาณถูกทำลายและมีเพียงเด็กเล็กเท่านั้นที่รอดชีวิต จากนั้นในการพัฒนามนุษยชาติก็จะถูกโยนกลับไปหลายสิบ หลายพันปีแล้วที่ไม่มีใครและไม่มีอะไรจะสอนให้เด็ก ๆ กลายเป็นคนได้
สิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติซึ่งมีผลกระทบต่อการพัฒนาของมนุษย์อย่างไม่มีที่เปรียบคือระบบสัญญาณ พวกเขาเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาคณิตศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ และกิจกรรมอื่นๆ ของมนุษย์ การเกิดขึ้นของสัญลักษณ์ตัวอักษรทำให้เกิดความเป็นไปได้ในการบันทึก จัดเก็บ และทำซ้ำข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในหัวของบุคคลอีกต่อไป อันตรายของการสูญเสียที่แก้ไขไม่ได้เนื่องจากการสูญเสียความทรงจำหรือการเสียชีวิตของผู้เก็บข้อมูลได้หายไป
ควรสังเกตว่าจิตสำนึกเป็นระดับสูงสุดของการสะท้อนทางจิต อย่างไรก็ตาม ขอบเขตของจิตใจนั้นกว้างกว่าขอบเขตของจิตสำนึก เหล่านี้คือปรากฏการณ์ เทคนิค คุณสมบัติ และสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นแต่บุคคลไม่ตระหนักรู้ แรงจูงใจในการกระทำและการกระทำของบุคคลสามารถหมดสติได้ หลักการหมดสติแสดงอยู่ในกระบวนการทางจิต คุณสมบัติ และสภาวะของบุคคลเกือบทั้งหมด มีความรู้สึกทางการมองเห็นและการได้ยินโดยไม่รู้ตัว ภาพการรับรู้โดยไม่รู้ตัวสามารถแสดงออกในปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มองเห็นได้ก่อนหน้านี้ในความรู้สึกคุ้นเคย สิ่งที่จำได้โดยไม่รู้ตัวมักจะกำหนดเนื้อหาในความคิดของบุคคล ในปัจจุบัน คำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจิตใต้สำนึกกับจิตสำนึกยังคงซับซ้อนและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างคลุมเครือ
|
หน้าหนังสือ 1 |
ดาวน์โหลด
ทฤษฎีการควบคุมทางวิทยาศาสตร์ของเทย์เลอร์ภารกิจหลักของการจัดการองค์กร กล่าวถึงหลักการพื้นฐานของลัทธิฟอร์ด ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีพรสวรรค์เท่าเทียมกัน โรงเรียน Tavistock และ "ความเป็นมนุษย์ของแรงงาน" โครงสร้างทางสังคมของกำลังคน โครงสร้างประชากรของกำลังคน รัชสมัยของอเล็กซานเดอร์ที่ 3นโยบายภายในประเทศ การเปลี่ยนแปลงในเซมสตู ตุลาการ การปฏิรูปทางทหารภายใต้อเล็กซานเดอร์ที่ 3 นโยบายต่างประเทศ เศรษฐกิจ และสังคมของอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ผลลัพธ์ของการครองราชย์ของอเล็กซานเดอร์ที่ 3 |
การแนะนำ
กระบวนการพลวัตที่เกิดขึ้นในสังคมยุคใหม่จำเป็นต้องมีการประเมินและการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ นี่คือสิทธิพิเศษของจิตสำนึกของมนุษย์
โลกเป็นที่รู้จักและตระหนักโดยมนุษย์ผ่านปริซึมของความสัมพันธ์ทางสังคม กระบวนการผลิต เครื่องมือ ภาษา มาตรฐานทางจริยธรรมและสุนทรียภาพ ดังนั้นในที่สุดจิตสำนึกของบุคคลจึงถูกกำหนดโดยความเป็นอยู่ของเขานั่นคือ ชีวิตจริงในเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจง
ปัญหาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของชีวิตสมัยใหม่คือปัญหาของการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและระหว่างชาติพันธุ์ขึ้นอยู่กับการพัฒนาและระดับจิตสำนึกของแต่ละบุคคลโดยตรง
ความเกี่ยวข้องหัวข้อที่เลือก "การพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์" ถูกกำหนดโดยบทบาทของจิตสำนึกในขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงของสังคมสมัยใหม่ ทุกๆ วันเราเรียนรู้การเชื่อมโยงและรูปแบบของโลกรอบตัวเราที่ค่อนข้างซับซ้อน เราตอบสนองต่อปัจจัยชีวิตต่างๆ ได้อย่างเพียงพอ และไม่แม้แต่จะคิดว่าเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น สังคมมีความสนใจในการสร้างมุมมองที่สอดคล้องกันเกี่ยวกับอดีตและความเชื่อมโยงกับปัจจุบันและอนาคต จิตสำนึกทางประวัติศาสตร์แบบองค์รวมทำหน้าที่เป็นปัจจัยหนึ่งของความมั่นคงทางสังคม ทำหน้าที่ในการบูรณาการ การรวมกลุ่มคนรุ่นต่างๆ กลุ่มสังคมและบุคคลโดยคำนึงถึงความตระหนักรู้ถึงชะตากรรมร่วมกันในประวัติศาสตร์ของพวกเขา
วันนี้เรากำลังเห็นการปรับโครงสร้างจิตสำนึกสาธารณะ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจการพึ่งพาอาศัยกันและการพึ่งพาซึ่งกันและกันของจิตสำนึกส่วนบุคคลและส่วนรวม ด้วยการศึกษาขั้นตอนการพัฒนาจิตสำนึก เราสามารถอธิบายธรรมชาติของจิตสำนึกฝูงสัตว์หรือจิตวิทยาของฝูงชนได้
จิตสำนึกเป็นเครื่องมือที่บุคคลไม่เพียงแต่รับรู้ถึงโลกภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวเขาเอง ความรู้สึก รูปภาพ ความคิด และความรู้สึกด้วย สติช่วยให้บุคคลสามารถตัดสินใจและควบคุมพฤติกรรมของตนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้
ควรให้ความสนใจกับประเด็นการตระหนักรู้ในตนเองซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องของแต่ละบุคคล<#"justify">1.พิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับการเกิดขึ้นของจิตสำนึกของมนุษย์
.ระบุขั้นตอนของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์
.เปรียบเทียบช่วงเวลาของการพัฒนาจิตสำนึกในการถ่ายทอดทางพันธุกรรมกับขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์
.กำหนดคุณสมบัติพื้นฐาน ระดับความรู้ และคุณลักษณะของจิตสำนึกของมนุษย์
.สร้างความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองของมนุษย์และจิตสำนึก
วิธีการวิจัย: การวิเคราะห์เชิงทฤษฎีของแหล่งข้อมูลปฐมภูมิทางวรรณกรรม
โครงสร้างงาน: ปริมาณรวมของข้อความหลักคือ 31 หน้า รายชื่อวรรณกรรมที่ใช้ประกอบด้วยแหล่งข้อมูลหลักวรรณกรรม 24 แหล่ง งานของหลักสูตรประกอบด้วยบทนำ สองส่วน ห้าส่วนย่อย และบทสรุป
ส่วนที่ 1 วิวัฒนาการของจิตสำนึกของมนุษย์
.1 ประวัติความเป็นมาของการมีจิตสำนึก
จิตสำนึกไม่สามารถเกิดขึ้นโดยกำเนิดได้ มีเพียงความเป็นไปได้ที่จิตสำนึกจะเกิดขึ้นโดยกำเนิดเท่านั้น
มีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของจิตสำนึกของมนุษย์:
ทฤษฎีการกลายพันธุ์ (De Vries, V. Howell, V.I. Kochetkova ฯลฯ ) ตามทฤษฎีนี้ การเกิดขึ้นของมนุษย์เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมอย่างกะทันหันครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในร่างกายของสัตว์ใกล้กับมนุษย์ จากนั้นเนื่องจากการมีอยู่ของสภาวะที่เอื้ออำนวย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงมีความเข้มแข็งและพัฒนา ในขณะเดียวกัน บทบาทของฉากธรรมชาติก็ถูกปฏิเสธ
ทฤษฎีนีโอ-ลามาร์คเคียนเวอร์ชันหนึ่งพิจารณาถึงต้นกำเนิดของมนุษย์อันเป็นผลมาจากความพยายามของ "จิตสำนึกเหนือธรรมชาติ" บางอย่าง (ทฤษฎีจิตไร้สำนึกโดยรวมของจุงคือทฤษฎีบุคลิกภาพเหนือจิตสำนึกของนักนีโอลามาร์ก)
ทฤษฎีวิวัฒนาการของ Charles Darwin และทฤษฎีแรงงานของการสร้างมนุษย์ที่พัฒนาโดย F. Engels นี่เป็นเวอร์ชันที่เป็นไปได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ถ้าเรากล่าวว่าจิตสำนึกเกิดขึ้นเมื่อบุคคลเริ่มตระหนักและแยกแยะตนเองและผู้อื่นจากธรรมชาติ ก็เป็นไปได้ที่จิตสำนึกจะเริ่มพัฒนาเมื่อบุคคลเริ่มพัฒนาความรู้สึกที่สูงขึ้น
การเปลี่ยนแปลง (การพัฒนา) ของสัตว์เกิดขึ้นผ่านกลไกของการปรับตัวทางพันธุกรรมภายใต้อิทธิพลของแรงภายนอก - นี่คือการลอกเลียนแบบซึ่งเป็นภาพสะท้อนของสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป
สาระสำคัญของการพัฒนาสิ่งมีชีวิตคือสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงทำให้เสียสมดุลซึ่งแต่ละสายพันธุ์ตั้งอยู่ ในทางกลับกัน กลไกของการปรับตัว - พันธุกรรมมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูสมดุลที่ถูกรบกวนและบรรลุผลสำเร็จ แต่ในระดับที่แตกต่างกันในเชิงคุณภาพ
ด้วยอิทธิพลของวิถีชีวิตซึ่งต้องใช้มือทำหน้าที่ต่างจากขา ลิงจึงเริ่มหย่านมตัวเองจากการใช้มือเดินบนพื้น และเริ่มเดินตัวตรงมากขึ้น ขั้นตอนที่เด็ดขาดได้เกิดขึ้น มือมีอิสระและได้รับทักษะใหม่ ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ และความยืดหยุ่นที่มากขึ้นที่ได้รับจากสิ่งนี้ก็ถูกส่งต่อและเพิ่มขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น
แต่เพื่อให้ลิงเปลี่ยนและกลายเป็นมนุษย์ สภาพแวดล้อมภายนอก - ที่อยู่อาศัย - จะต้องเปลี่ยนแปลงในที่สุด และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ควรมีลักษณะที่ชุมชนลิงจะต้องมีความตระหนักรู้เพื่อให้สามารถอยู่รอดและปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้
การระบายความร้อนของโลกเป็นความหายนะทางธรรมชาติที่กระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกในบรรพบุรุษกลุ่มแรก การระบายความร้อนทั่วโลกกำลังเข้าใกล้ลิงใหญ่ เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงเกิดการชนกันของแนวปะทะอากาศร้อนและเย็นบ่อยครั้ง ซึ่งทำให้เกิดฟ้าผ่าและไฟ ขณะเดียวกัน อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ และในที่สุดพวกลิงก็เริ่มตระหนักว่าความร้อนที่พวกมันต้องการนั้นมาจากไฟ ในขณะเดียวกัน ประชากรลิงก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไฟที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวไม่สามารถรักษาความหนาวเย็นได้ แต่วันหนึ่ง มีลิงตัวหนึ่งโยนกิ่งไม้เข้ากองไฟโดยไม่ได้ตั้งใจ คนที่ฉลาดที่สุดที่เหลือเริ่มสังเกตเห็น (ตระหนัก) ว่ากิ่งไม้ที่ถูกโยนเข้าไปในกองไฟกำลังไหม้อยู่ ช่วงเวลานี้ตามที่ผู้เขียนบทความในหัวข้อ "การเกิดขึ้นของจิตสำนึก" I. Kushatov เป็นช่วงเวลาของการเกิดขึ้นของจิตสำนึก แต่เราต้องการติดตามประวัติศาสตร์ของคนดึกดำบรรพ์อีกสักหน่อย
เมื่อจัดการรักษาไฟไว้ได้ ผู้คนก็สามารถเคลื่อนย้ายมันไปยังสถานที่อื่นได้ ซึ่งทำให้สามารถพัฒนาดินแดนใหม่ได้ เพื่อรักษาไฟไว้จำเป็นต้องเตรียมฟืนซึ่งนำไปสู่การปรุงแต่งไม้ต่างๆ อันเป็นผลมาจากกิจกรรมนี้แขนขาหน้าของลิงก็กลายเป็นมือมนุษย์และกิ่งก้านหนาธรรมดาในมือก็กลายเป็นกระบองซึ่งทำหน้าที่เป็นอาวุธ
ในขณะเดียวกัน สภาพอากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ และการทำงานหนักเพื่อรักษาไฟก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น และงานดังกล่าวต้องใช้พลังงานเพิ่มเติม และนี่คือความเป็นปรปักษ์เกิดขึ้น - ความปรารถนาที่จะเอาอาหารไป ในเรื่องนี้การทะเลาะวิวาทและการต่อสู้เกิดขึ้นและเป็นครั้งแรกที่ชายบรรพบุรุษเริ่มใช้กิ่งก้านหนาเป็นกระบองซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์เหล่านี้การกินเนื้อคนเกิดขึ้น หลังจากนั้นไม่นานความก้าวร้าวของพวกเขาก็แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลกที่มีชีวิต มนุษย์ดั้งเดิมกลายเป็นนักล่าอันเป็นผลมาจากการกินเนื้อคน
เมื่อผลกระทบทางมานุษยวิทยาต่อธรรมชาติก้าวหน้าไป มนุษย์ก็ปรับตัวเพื่อตัวเอง ในขณะนั้นเขาเริ่มแยกแยะตัวเองออกจากธรรมชาติ เพื่อตระหนักถึงทัศนคติของเขาที่มีต่อธรรมชาติและผู้อื่น กิจกรรมของเขาก็เริ่มมีสติเช่นกัน เนื่องจากต้องใช้แรงงานโดยคาดการณ์ผลของแรงงานซึ่งหมายความว่ากิจกรรมด้านแรงงานได้ดำเนินไปตามเป้าหมายเฉพาะ พื้นที่รับความรู้สึกพิเศษในสมองของมนุษย์เริ่มพัฒนาทีละน้อย ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาประสาทสัมผัสที่สูงขึ้นและการเคลื่อนไหวที่สมบูรณ์แบบ เราเชื่อว่าเป็นการสำแดงความรู้สึกสูงสุดของคนดึกดำบรรพ์ต่อเพื่อนบ้านซึ่งกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการเกิดขึ้นของจิตสำนึก
ความสามารถที่แข็งแกร่งสำหรับความเห็นอกเห็นใจและความเคารพต่อผู้เสียชีวิตในชุมชนมีให้เห็นในการฝังศพยุคหินเก่า ให้เรายกตัวอย่างหนึ่งในการฝังศพที่พบในไครเมียซึ่งส่องสว่างชีวิตฝ่ายวิญญาณของยุคนี้: ที่ด้านล่างของหลุมศพวางโครงกระดูกของวัยรุ่น 2 คน (เด็กหญิงอายุ 7-8 ปีและเด็กชายอายุ 12-13 ปี ) หัวของพวกเขากดกันแน่น แท่งรูปแกนหมุนที่ยาวมาก ทำจากงาแมมมอธที่แยกและยืดออก วางเรียงกันเหมือนหอกตามส่วนที่ฝังไว้ พบแผ่นไม้มีรูบาง ๆ ที่ทำจากงาที่วัดด้านขวาของหญิงสาว มีสายรัดติดอยู่กับช่องของเครื่องประดับที่สวยงามและเปราะบางเหล่านี้ ซึ่งใช้เป็นพิธีการและมีความสำคัญในพิธีการ พบสิ่งที่คล้ายกันในเด็กชาย มือของผู้ถูกฝังสวมกำไลและแหวนแผ่นป้าย ไม่ยากเลยที่จะจินตนาการว่าคนที่ตัดลูกปัดเล็ก ๆ จากงาทำงานหนักหนักและอุตสาหะแค่ไหนหรือใช้ความพยายามไปมากเพียงใดโดยผู้ที่ในเวลานั้นรู้เทคนิคที่น่าทึ่งในการแยกและยืดงาแมมมอ ธ - การทำงานหนัก . ในช่วงปลายยุคหินเก่า วัฒนธรรมทางจิตวิญญาณและวัตถุในยุคนี้เริ่มพัฒนาขึ้น
สันนิษฐานได้ว่าภาพเขียนบนหินพิสูจน์การมีอยู่ของจิตใจ รูปแบบการคิดที่เรียบง่าย และจิตสำนึกของมนุษย์ ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ใช่โดยไม่มีเหตุผลเลยที่แมวป่าและสัตว์อื่น ๆ ในยุคหินเก่าที่มีจิตใจคล้ายกับมนุษย์ จะไม่ทิ้งภาพวาดบนหินหรือร่องรอยของการมีอยู่ของพวกมันไว้เบื้องหลัง และผู้คนในสมัยโบราณยึดถือความหมายอันศักดิ์สิทธิ์กับภาพวาด พวกเขาเชื่อว่าพวกเขากำลังช่วยเหลือตัวเองในอนาคต
บทสรุป: ธรรมชาติไม่ได้ให้รางวัลมนุษย์โปรโตด้วยจิตสำนึกตั้งแต่เริ่มดำรงอยู่ของมนุษยชาติ แต่ก็ไม่ได้กีดกันเขาจากสมองและรูปแบบของจิตใจที่ไม่แตกต่างจากสัตว์เลย จิตสำนึกของมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อเขาเริ่มแยกแยะตนเองและผู้อื่นจากธรรมชาติเมื่อภาพวาดในถ้ำปรากฏบนผนังที่พักพิงของเขาเมื่อความรู้สึกที่สูงขึ้นเริ่มพัฒนาในมนุษย์ จิตสำนึกของมนุษย์ในลำดับที่สูงกว่านั้นสัมพันธ์กับการคิดและคำพูดเชิงนามธรรม - กระบวนการโดยที่การดำรงอยู่ของจิตสำนึกส่วนรวมและส่วนบุคคลเป็นไปไม่ได้
1.2 ขั้นตอนของการพัฒนาจิตสำนึก
การพัฒนาจิตสำนึกคือการเคลื่อนไหวไปสู่รูปแบบการสะท้อนความเป็นจริงเชิงวัตถุโดยประมาณที่สุด
ข้อกำหนดเบื้องต้นประการแรกสำหรับการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์คือการพัฒนาสมองของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปของวิวัฒนาการของวิถีชีวิต ร่างกายจะพัฒนา ทำงานได้ ในขณะเดียวกัน จิตใจก็ก่อตัวขึ้นในกระบวนการของชีวิต งานของเราคือการทำความเข้าใจว่าบุคคลมีโครงสร้างจิตสำนึกแบบใดในช่วงหนึ่งของชีวิต
เพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างของจิตสำนึกของคนดึกดำบรรพ์ เราขอแนะนำให้คุณทำความคุ้นเคยกับรูปแบบของจิตสำนึก
มี (ตาม K.K. Platonov) จิตสำนึกหลายรูปแบบ:
) บุคคล รวมถึงคุณลักษณะของจิตสำนึก (ทัศนคติ ความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์) ระดับความชัดเจน (ความเข้าใจเชิงสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจ ความชัดเจนของจิตสำนึก ปรากฏการณ์ที่หมดสติ จิตสำนึกที่สับสน) พลวัตของจิตสำนึก (คุณสมบัติบุคลิกภาพ สภาวะของจิตสำนึก และกระบวนการของสติ) และการทำงานของจิตสำนึก (ความจำ เจตจำนง ความรู้สึก การรับรู้ การคิด ความรู้สึก อารมณ์)
) จิตสำนึกกลุ่ม, แสดงออกในอารมณ์สาธารณะ, การแข่งขัน, ความตื่นตระหนก ฯลฯ ;
)จิตสำนึกทางสังคม - ในรูปแบบมุมมองทางศาสนา คุณธรรม สุนทรียศาสตร์ กฎหมาย การเมือง และปรัชญา
เมื่อเราพูดถึงจิตสำนึกทางสังคม เราก็เป็นนามธรรมจากทุกสิ่งที่เป็นปัจเจกบุคคล จิตสำนึกทางสังคมมีความก้าวหน้าและต่อเนื่องโดยมีความมั่นคงและความเฉื่อย ในจิตสำนึกสาธารณะ ทฤษฎีและแนวคิดที่ผ่านการทดสอบตามเวลาและการปฏิบัติจะมีชัยเหนือเสมอ แต่สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จิตสำนึกส่วนบุคคลเกิดและตายพร้อมกับการเกิดและการตายของบุคคลนั้น การเคลื่อนไหวไม่ต่อเนื่อง วุ่นวาย และโดดเด่นด้วยความคาดเดาไม่ได้ จิตสำนึกของแต่ละบุคคลนั้นมีลักษณะเฉพาะด้วยคุณสมบัติเช่นการคิดทางประสาทสัมผัสและเชิงตรรกะและรูปแบบของพวกเขา มันอยู่ในระดับของการคิดเชิงนามธรรมที่จิตสำนึกของแต่ละบุคคลหลุดออกไปเกินขอบเขตของจิตสำนึกทางสังคม ผลักดันขอบเขตของมัน เพิ่มคุณค่าให้กับมัน ทำให้ผลผลิตจากความรู้ของเขาเกี่ยวกับการดำรงอยู่เป็นทรัพย์สินของทุกคน
ตอนนี้เราเสนอให้พิจารณาขั้นตอนการพัฒนาจิตสำนึกต่อไปนี้:
) จิตใจของสัตว์และมนุษย์ก่อนมนุษย์;
) ความคิดฝูง;
) จิตสำนึกของบุคคลที่มีเหตุผล
) จิตสำนึกของบุคคลในสังคมชนเผ่าและการเกิดขึ้นของความตระหนักรู้ในตนเอง
จิตใจของสัตว์และมนุษย์ก่อนมนุษย์แทบไม่ต่างกันเลย อาจกล่าวได้เพียงว่ามนุษย์ก่อนมนุษย์กลุ่มแรกแตกต่างจากลิงที่ "ฉลาด" เพียงเพราะพวกเขามีจิตสำนึกทางสังคมเท่านั้น และสันนิษฐานได้ว่าจิตสำนึกทางสังคมของคนในยุคดึกดำบรรพ์ประกอบด้วยความคิดเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นความคิดร่วมกันสำหรับทุกคน ความคิดนี้ควรจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาจิตสำนึกต่อไป
จิตสำนึกฝูงไม่รวมแนวคิดของ "ปัจเจกบุคคล" เช่น ฝูงสัตว์ถูกควบคุมโดยผู้นำ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะอยู่ไม่ได้เพราะสังคมต้องมีโครงสร้างการจัดการแบบลำดับชั้น ภายในฝูงลิงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งหมายความว่ามี "ภาษา" ในการสื่อสาร สาระสำคัญของจิตสำนึกฝูงก็คือยิ่งผลประโยชน์และเป้าหมายร่วมกันที่ตัวแทนของฝูงมีมากขึ้นและขนาดฝูงที่ใหญ่ขึ้นก็ยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้นที่จะบรรลุเป้าหมายเกี่ยวกับการยึดดินแดนหรือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการอยู่รอดเพราะใน ฝูงสัตว์แต่ละคนรู้สึกว่าได้รับการปกป้องมากขึ้น ผู้คนในระดับนี้เพิ่งออกมาจากอาณาจักรสัตว์ เพราะพวกเขาเริ่มฝังศพญาติและเพื่อนร่วมเผ่า
เราสามารถพูดได้ว่าตลอดระยะเวลานับพันปีในประวัติศาสตร์ของพวกเขา Homo Sapiens พยายามทำความเข้าใจตัวเองและโลกรอบตัวพวกเขา การพัฒนาจิตสำนึกของ Homo sapiens เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีเหตุผลด้วยความช่วยเหลือจากการค้นพบ เมื่อระบบประสาทเติบโตและพัฒนา มนุษย์จึงมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ จึงคิดขอบคุณที่เขาเริ่มตระหนักถึงตัวเองและสำรวจสภาพแวดล้อมของเขา
และสุดท้ายคือขั้นตอนของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์ในสังคมชนเผ่าและการเกิดขึ้นของความตระหนักรู้ในตนเอง ในอดีตชุมชนกลุ่มเป็นรูปแบบแรกของการจัดองค์กรทางสังคมของผู้คน - (ชุมชน<#"justify">บทสรุป: การพัฒนาจิตสำนึกจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการเติมเต็มด้วยความรู้ใหม่เกี่ยวกับโลกรอบตัวเราและเกี่ยวกับตัวบุคคลเอง จิตสำนึกของมนุษย์เป็นผลมาจากวิวัฒนาการอันยาวนาน เมื่อการทำงานของสมองดีขึ้น ความเข้าใจตามหลักการพื้นฐานของการทำงานของสมองก็สมบูรณ์มากขึ้น
1.3 การพัฒนาจิตสำนึกในการถ่ายทอดพัฒนาการ
จิตสำนึก สมอง การสร้างเซลล์ของมนุษย์
มีสมมติฐานว่าจิตสำนึกของแต่ละบุคคลนั้นเป็นแนวทางการพัฒนาของมนุษยชาติทั้งหมดโดยย่อ ในส่วนย่อยนี้เราจะพยายามเปรียบเทียบช่วงเวลาของการพัฒนาจิตสำนึกในการถ่ายทอดทางพันธุกรรมกับขั้นตอนของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์
ในการเกิดวิวัฒนาการ จิตสำนึกของมนุษย์แต่ละคนเกิดขึ้นและเริ่มพัฒนา สำหรับการก่อตัว กิจกรรมร่วมกันและการสื่อสารเชิงรุกระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก การระบุ การตระหนักรู้ และการกำหนดด้วยวาจาถึงวัตถุประสงค์ของการปฏิสัมพันธ์ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน ในทำนองเดียวกัน ตั้งแต่เริ่มต้นของวิวัฒนาการของมนุษย์ แรงงานมีลักษณะทั่วไปและถูกสร้างขึ้นจากความร่วมมือและการแบ่งส่วนปฏิบัติการด้านแรงงาน ในกระบวนการแรงงาน ผู้คนมีความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างใกล้ชิดในฐานะสมาชิกของสังคม และตระหนักถึงประโยชน์ของการดำเนินการร่วมกันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น งานรวมกระตุ้นความต้องการในการพูดเนื่องจากหากไม่มีการสื่อสารด้วยวาจาก็ไม่สามารถดำเนินการได้ จากจุดเริ่มต้นของการวิวัฒนาการทางวิวัฒนาการและวิวัฒนาการของวิวัฒนาการของจิตสำนึกของมนุษย์คำพูดกลายเป็นพาหะเชิงอัตวิสัยซึ่งทำหน้าที่เป็นวิธีการสื่อสารในขั้นแรกจากนั้นจึงกลายเป็นวิธีคิด
ก่อนที่จะกลายเป็นสมบัติของจิตสำนึกส่วนบุคคล คำและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจะต้องได้รับความหมายทั่วไปสำหรับผู้ที่ใช้คำเหล่านั้น เมื่อได้รับความหมายที่เป็นสากลแล้วคำนั้นก็แทรกซึมเข้าไปในจิตสำนึกส่วนบุคคลและกลายเป็นทรัพย์สินในรูปแบบของความหมายและความหมาย ด้วยเหตุนี้ จิตสำนึกโดยรวมจึงปรากฏขึ้น และจากนั้นจิตสำนึกส่วนบุคคล จิตสำนึกของมนุษย์แต่ละคนถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของจิตสำนึกส่วนรวมผ่านการจัดสรร
ในการกำเนิดของจิตใจเด็กนั้นจะมีการทำซ้ำขั้นตอนหลักของวิวัฒนาการทางชีววิทยาและขั้นตอนของการพัฒนาทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ในการเกิดวิวัฒนาการ การพัฒนาจิตใจและจิตสำนึกของมนุษย์นั้นถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมทางสังคม การพัฒนาจิตใจของแต่ละบุคคลเป็นไปตามเส้นทางการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของคนรุ่นก่อน ๆ กระบวนการนี้แทบจะไม่ได้รับอิทธิพลจากการรับรู้และการเรียนรู้ของเด็ก
ตามกฎหมายชีวพันธุศาสตร์ ซิกมันด์ ฟรอยด์แย้งว่าการพัฒนาทางจิตของแต่ละบุคคลนั้นเป็นแนวทางการพัฒนาแบบย่อที่ทำซ้ำๆ ของมนุษยชาติทั้งหมด และขยายข้อสรุปของการปฏิบัติทางจิตวิเคราะห์ไปสู่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษยชาติ
คำพูดรวมอยู่ในกระบวนการทางจิตของมนุษย์ทั้งหมด แต่คำพูดเป็นไปไม่ได้หากไม่มีภาษาที่มีคำศัพท์และสูตรไวยากรณ์ที่มีลักษณะเฉพาะ ภาษาเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม มันมีอยู่และพัฒนาอย่างเป็นกลาง ไม่ใช่การสร้างสรรค์ของบุคคล แต่เป็นของสังคมทั้งหมด คำพูดของเขาสะท้อนถึงประสบการณ์ของกิจกรรมทางจิตไม่ใช่ของบุคคล แต่เป็นของมนุษยชาติทั้งหมด
ความจริงที่ว่าบุคคลหนึ่งมีคำพูดเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของกระบวนการทางจิตของเขาอย่างรุนแรง
รูปแบบเบื้องต้นที่สุดของจิตใจ - ความรู้สึก - มีลักษณะที่แตกต่างกันในมนุษย์มากกว่าในสัตว์เพราะมันเป็นของสิ่งมีชีวิตทางสังคม สัตว์สัมผัสถึงสีเขียวของใบไม้ และด้วยร่มเงาของสีนี้ จะเป็นสัญญาณแรกที่ปรับทิศทางตัวเองในบางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อม บุคคลยังรู้สึกถึงสีเขียวของใบไม้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็กำหนดสีที่รับรู้และคุณลักษณะที่มีความสำคัญต่อการปฏิบัติจริงด้วยคำพูดซึ่งไม่มีอยู่ในสัตว์เลย ความรู้สึกของบุคคลโดยพื้นฐานแล้วเป็นสัญญาณหลัก ก็เป็นสัญญาณรองเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้บุคคลสามารถสะท้อนความรู้สึกของเขาไม่เพียงแต่เป็นรายบุคคลเช่นเดียวกับในสัตว์ แต่เป็นประสบการณ์สากลของมนุษย์
คำพูดมีส่วนช่วยในการพัฒนาการคิดเชิงนามธรรมในบุคคลในแนวคิดที่แสดงออกถึงประสบการณ์ของมนุษย์สากลในการรู้ความจริง สิ่งนี้นำไปสู่การสะท้อนความเป็นจริงตามวัตถุประสงค์ในการคิดของมนุษย์ที่ถูกต้อง สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ในเวลาเดียวกันต้องขอบคุณคำพูดลักษณะทางสังคมของกิจกรรมของมนุษย์และการกระทำตามเจตนารมณ์ของเขาจึงได้รับการรวบรวมและปรับปรุง เมื่อบุคคลดำเนินการด้านแรงงานอย่างใดอย่างหนึ่ง แนวคิดเกี่ยวกับเป้าหมายที่เขามุ่งมั่นและแผนงานของเขาไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ส่วนบุคคลของเขา สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงประสบการณ์ด้านแรงงานของมวลมนุษยชาติ
ต้องขอบคุณคำพูดที่ทำให้การพัฒนาการตระหนักรู้ในตนเองของมนุษย์เป็นไปได้ ต้องขอบคุณคำพูดเท่านั้นที่เริ่มตระหนักถึงโลกจิตของเขาเป็นครั้งแรกโดยบุคคลเท่านั้นที่จะตระหนักถึงเนื้อหาธรรมชาติและความหมายของประสบการณ์ทางจิตส่วนตัวของเขา สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพียงเพราะว่าการสะท้อนความเป็นจริงของมนุษย์โดยอัตนัยเริ่มแสดงออกมาเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นรูปธรรม นั่นก็คือคำพูด ดังนั้น ต้องขอบคุณคำพูด จิตใจของบุคคลจึงกลายเป็นจิตสำนึก
โดยการติดต่อกับวัตถุและปรากฏการณ์ของโลกวัตถุในกระบวนการสื่อสารกับผู้อื่นและงานโดยรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านคำพูดบุคคลเรียนรู้ในการกำเนิดเพื่อรับรู้ความเป็นจริงตามวัตถุประสงค์ (ความรู้สึกการรับรู้) อย่างสร้างสรรค์ (การคิด) เพื่อเปลี่ยนแปลงมัน ( กิจกรรมอาสาสมัคร) เพื่อความพึงพอใจที่ดีขึ้นต่อความต้องการของคุณ สมองไม่ใช่แหล่งกำเนิดของจิตสำนึก แต่เป็นอวัยวะของมัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเราซึ่งวัตถุที่มีอิทธิพลต่อมันได้รับการเปลี่ยนแปลงและได้รับรูปแบบการดำรงอยู่แบบอัตนัย กลายเป็นจิตสำนึก - ภาพอัตนัยของโลกวัตถุประสงค์
บทสรุป: จุดสูงสุดของการเกิดขึ้นของจิตสำนึกของมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อการสะท้อนความเป็นจริงของมนุษย์เริ่มแสดงออกมาเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นกลาง - คำพูด เมื่อเป็นวัยรุ่นแล้วบุคคลสามารถแสดงออกด้วยคำพูดได้ และถ้าเรามองหาความคล้ายคลึงระหว่างขั้นตอนของการพัฒนาจิตสำนึกและพัฒนาการของมันในการเกิดทันกำเนิด นี่อาจหมายความว่าวิวัฒนาการของการพัฒนาจิตสำนึกยังไม่สิ้นสุด - มีขั้นตอนของการพัฒนาเพิ่มเติมหลังจากการเกิดขึ้นของคำพูด เราจะทบทวนขั้นตอนของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์ผ่านปริซึมของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์ในการถ่ายทอดทางพันธุกรรม และถ้าเด็กวัยรุ่นพูดคำพูดแล้วในช่วงสำคัญของชีวิต (อายุ 30-45 ปี) คน ๆ หนึ่งก็สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้มาก สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นทำให้สามารถสรุปได้ว่าในอีกหลายพันล้านปี (สมมติว่าการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ - ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ) จิตสำนึกของมนุษย์จะพัฒนาขึ้นในระดับใหม่เชิงคุณภาพ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาจิตใจของมนุษย์จะลดลงตามอายุของร่างกาย ดังนั้นหลังจากการพัฒนาที่ระเบิดออกมา ทุกอย่างก็จะลดลง
บทสรุปของส่วนที่ 1: จิตสำนึกสันนิษฐานว่าบุคคลไม่เพียงแต่รับรู้ถึงโลกภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวเขาเอง ความรู้สึก รูปภาพ ความคิด และความรู้สึกด้วย ภาพ ความคิด แนวความคิด และความรู้สึกของผู้คนรวมอยู่ในวัตถุของงานสร้างสรรค์ของพวกเขา และด้วยการรับรู้วัตถุเหล่านี้ในเวลาต่อมา พวกเขาจึงมีสติ ดังนั้นความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นหนทางและวิถีแห่งความรู้ในตนเองและการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์ผ่านการรับรู้ถึงการสร้างสรรค์ของเขาเอง จิตสำนึกของมนุษย์สมัยใหม่เป็นผลมาจากกระบวนการพัฒนากิจกรรมการรับรู้ของคนรุ่นก่อน ๆ ที่ซับซ้อนและค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางประวัติศาสตร์ของการปฏิบัติทางสังคมที่มนุษย์สะสมไว้เนื่องจากความจำเป็น จากนั้นจึงต้องขอบคุณความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงโลก โลกภายนอก องค์ประกอบใหม่และรูปแบบจิตสำนึกที่สูงขึ้นทำให้กระบวนการรับรู้สมบูรณ์และซับซ้อน ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่การพัฒนาจิตสำนึกของตัวเอง
ส่วนที่ 2 โครงสร้างและคุณลักษณะของจิตสำนึกของมนุษย์
2.1 โครงสร้างของจิตสำนึก
จิตสำนึกมักปรากฏในจิตวิทยาว่าเป็นสิ่งที่ภายนอกเป็นเพียงเงื่อนไขสำหรับการไหลเวียนของกระบวนการทางจิตเท่านั้น โดยเฉพาะจุดยืนของ Wundt “จิตสำนึก” เขาเขียน “อยู่ในความจริงที่ว่า เราพบสภาวะทางจิตใดๆ ในตัวเราเอง และดังนั้นเราจึงไม่สามารถรู้แก่นแท้ของจิตสำนึกได้ ความพยายามทั้งหมดที่จะนิยามจิตสำนึกจะนำไปสู่การซ้ำซากหรือไปสู่คำจำกัดความของกิจกรรมที่เกิดขึ้นในจิตสำนึก ซึ่งไม่ใช่จิตสำนึกเพราะพวกเขาสันนิษฐานไว้” เราพบแนวคิดเดียวกันนี้ในการแสดงออกที่ชัดเจนยิ่งขึ้นใน Natorp: “จิตสำนึกไม่มีโครงสร้างของตัวเอง มันเป็นเพียงเงื่อนไขของจิตวิทยา แต่ไม่ใช่หัวข้อของมัน แม้ว่าการดำรงอยู่ของมันจะเป็นข้อเท็จจริงทางจิตวิทยาขั้นพื้นฐานและเชื่อถือได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ไม่สามารถกำหนดได้และสามารถอนุมานได้จากตัวมันเองเท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม หากเรายังคงยึดมั่นในแนวคิดวัตถุนิยมเกี่ยวกับจิตสำนึก เราก็สามารถพิจารณาองค์ประกอบของจิตสำนึกได้
จิตสำนึกส่วนบุคคลถูกกำหนดโดยคุณสมบัติของพลวัตและความมั่นคง:
Ø พลวัตเป็นคุณสมบัติของจิตสำนึกในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาซึ่งเกิดจากกระบวนการระยะสั้นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วซึ่งในทางกลับกันก็สามารถเปลี่ยนบุคลิกภาพได้<#"justify">Ø ความรู้ความเข้าใจ;
Ø ประสบการณ์;
Ø ทัศนคติ.
Ø สติเป็นไปไม่ได้หากไม่มีความรู้ ความสนใจและความทรงจำเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นของกิจกรรมการเรียนรู้ของมนุษย์
Ø <#"justify">Øกิจกรรม;
Øความซื่อสัตย์;
Ø ความต่อเนื่อง;
Ø ความชัดเจน
ระดับความชัดเจนต่ำสุดคือจิตสำนึก "สับสน" - เมื่อบุคคลเพิ่งตื่นนอน ภาวะนี้ยังเกิดขึ้นกับผู้คนเมื่อพวกเขาทำงานหนักเกินไป
จิตสำนึกมักปรากฏในกิจกรรม ดังนั้นโครงสร้างของมันในช่วงเวลาหนึ่งจึงสอดคล้องกับโครงสร้างของกิจกรรมของมนุษย์ในช่วงเวลานี้
บทสรุป:ตลอดชีวิตบุคคลจะได้รับความรู้เกี่ยวกับโลกรอบตัวเขาและเกี่ยวกับตัวเขาเอง กำลังคิด<#"center">2.2 สติและสมอง
โดยพื้นฐานแล้วจิตสำนึกของบุคคลคือชีวิตของเขาประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีที่สิ้นสุดของความประทับใจ ความคิด และความทรงจำ ความลึกลับของสมองของเรามีหลายแง่มุมและส่งผลต่อความสนใจของวิทยาศาสตร์มากมายที่ศึกษาความลึกลับของการดำรงอยู่
สมองเป็นอวัยวะหนึ่งของจิตสำนึก และสติสัมปชัญญะก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสมอง
ฟังก์ชั่นใหม่ที่สมองของมนุษย์ต้องรับซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาแรงงานนั้นสะท้อนให้เห็นในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของมัน การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงในธรรมชาติของกิจกรรม - ด้วยการเปลี่ยนจากกิจกรรมชีวิตไปสู่กิจกรรมการทำงาน ลักษณะที่ซับซ้อนมากขึ้นของกิจกรรมนี้ และด้วยเหตุนี้ ธรรมชาติของความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจึงนำไปสู่การพัฒนาโซนที่อุดมไปด้วยเส้นใยเชื่อมโยงที่ทำหน้าที่ การสังเคราะห์ที่ซับซ้อนมากขึ้น การเปรียบเทียบสมองมนุษย์กับสมองของลิงเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างชัดเจน: ในมนุษย์ สนามการมองเห็นหลักซึ่งพัฒนาขึ้นในลิงลดลงอย่างเห็นได้ชัด และในเวลาเดียวกัน สนามที่มีการสังเคราะห์ที่ซับซ้อนของการรับรู้ทางสายตาเกี่ยวข้องกัน (ลานสายตาทุติยภูมิ) เพิ่มขึ้นอย่างมาก
เนื่องจากในมนุษย์ อวัยวะของกิจกรรมการรับรู้คือเยื่อหุ้มสมอง คำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและสมองจึงมุ่งเน้นไปที่คำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและเปลือกสมองเป็นหลัก ทฤษฎีโลคัลไลซ์เซชันพัฒนาขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่าอาคารของสมมติฐานและทฤษฎีถูกสร้างขึ้นเหนือข้อมูลข้อเท็จจริงเชิงบวกของการศึกษา ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มด้านระเบียบวิธีแบบเดียวกันกับที่ครอบงำจิตวิทยาในขณะนั้น ความคิดของสมองในฐานะกลุ่มของศูนย์กลางแต่ละแห่งที่เชื่อมต่อถึงกันโดยวิถีแห่งการเชื่อมโยงสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของจิตวิทยาเชิงสัมพันธ์ซึ่งทฤษฎีการแปลแบบคลาสสิกดำเนินต่อไป ความคิดที่ว่าการทำงานของจิตแต่ละอย่างรวมถึงสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดนั้นสอดคล้องกับศูนย์กลางเฉพาะคือการนำไปใช้อย่างมีเอกลักษณ์ในสรีรวิทยาของสมองของทฤษฎีความเท่าเทียมทางจิตฟิสิกส์
การศึกษาสายวิวัฒนาการของสมองแสดงให้เห็นว่าในชุดสายวิวัฒนาการมีความแตกต่างทางกายวิภาคของเยื่อหุ้มสมองเพิ่มมากขึ้น และบริเวณที่เป็นพาหะของหน้าที่ระดับสูงเป็นพิเศษก็กำลังพัฒนามากขึ้น
ผลลัพธ์ที่สำคัญยังได้รับจากการศึกษาการพัฒนาออนโทเจเนติกส์ของสถาปัตยกรรมเยื่อหุ้มสมอง หลักการแบ่งคอร์เทกซ์ซึ่งใช้ครั้งแรกโดย K. Brodmann โดยอาศัยการศึกษาการพัฒนาออนโทเจเนติกส์ของมัน ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมโดยนักวิทยาศาสตร์โซเวียตจำนวนหนึ่ง วิจัยโดย I.N. Filimonova, G.I. Polyakova, N.A. โปปอฟแสดงให้เห็นว่าในระยะแรกของการพัฒนาออนโทเจเนติกส์เปลือกสมองแบ่งออกเป็นสามโซนหลัก: isocortex; allocortex รวมถึง Archicortex และ Paleocortex; บริเวณคั่นระหว่างหน้าที่กำหนด allo- และ isocortex การปรากฏตัวของแผนกนี้ในระยะแรกของการสร้างเซลล์ทำให้มีเหตุผลในการสรุปว่ามันมีความสำคัญอย่างมีนัยสำคัญ
ทฤษฎีโลคัลไลซ์แบบคลาสสิกได้ถูกเขย่าโดยนักวิจัยของ H. Jackson, G. Head และผลงานของ K. Monakov, H. Goldstein, K. Lashley และคนอื่นๆ ปรากฎว่าข้อมูลทางคลินิกใหม่เกี่ยวกับรูปแบบที่หลากหลายของความพิการทางสมอง ภาวะเสียการทรงตัว และ apraxia ไม่สอดคล้องกับแผนการแปลแบบคลาสสิก ในอีกด้านหนึ่งความเสียหายต่อโซนการพูดในซีกซ้ายเมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิดพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติไม่เพียง แต่การพูดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำงานทางปัญญาอื่น ๆ ด้วย ในทางกลับกัน ความบกพร่องในการพูดและความพิการทางสมองในรูปแบบต่างๆ สัมพันธ์กับความเสียหายต่อพื้นที่ต่างๆ
ยิ่งสมองมีความซับซ้อนและพัฒนามากเท่าใด ระดับจิตสำนึกก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น การเชื่อมโยงระหว่างสมองและจิตสำนึกนั้นมีลักษณะเฉพาะประการแรกคือระดับของความสามารถในการสะท้อนแสงและสร้างสรรค์ของจิตสำนึกนั้นขึ้นอยู่กับระดับความซับซ้อนของการจัดระเบียบของสมองด้วย สมองของมนุษย์ดึกดำบรรพ์และอยู่เป็นฝูงได้รับการพัฒนาไม่ดีและสามารถทำหน้าที่เป็นเพียงอวัยวะของจิตสำนึกดึกดำบรรพ์เท่านั้น สมองของมนุษย์ยุคใหม่ซึ่งเกิดขึ้นจากวิวัฒนาการทางชีวสังคมในระยะยาวนั้นเป็นอวัยวะที่ซับซ้อน การพึ่งพาระดับจิตสำนึกในระดับของการจัดระเบียบของสมองก็ได้รับการยืนยันจากข้อเท็จจริงที่ว่าจิตสำนึกของเด็กนั้นถูกสร้างขึ้นตามที่ทราบซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสมองของเขาและเมื่อสมองของมาก ผู้เฒ่าก็เสื่อมโทรมลง การทำงานของจิตสำนึกก็เสื่อมถอยไปด้วย จิตใจปกติจะเป็นไปไม่ได้หากไม่มีสมองที่ทำงานตามปกติ ทันทีที่โครงสร้างที่ประณีตของการจัดระเบียบสสารในสมองถูกรบกวน และยิ่งกว่านั้นถูกทำลาย โครงสร้างของจิตสำนึกก็จะถูกทำลายไปด้วย
สติแยกออกจากสมองไม่ได้: เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกความคิดออกจากสิ่งที่คิด
สมองที่มีกระบวนการทางชีวเคมี สรีรวิทยา และประสาทที่ซับซ้อนนั้นเป็นสารตั้งต้นของจิตสำนึก จิตสำนึกมักจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในสมอง:
Ø จิตสำนึกเป็นรูปแบบการสะท้อนสูงสุดของโลกและสัมพันธ์กับคำพูดที่ชัดเจน ภาพรวมเชิงตรรกะ แนวคิดนามธรรมซึ่งมีอยู่ในมนุษย์เท่านั้น
Ø แก่นแท้ของจิตสำนึก วิถีแห่งการดำรงอยู่คือความรู้
Ø งานพัฒนาจิตสำนึก
Ø คำพูด (ภาษา) ก่อให้เกิดจิตสำนึก
Ø จิตสำนึกเป็นหน้าที่ของสมอง
Ø จิตสำนึกนั้นมีองค์ประกอบหลายส่วน แต่ประกอบขึ้นเป็นองค์เดียว
Ø จิตสำนึกมีความกระตือรือร้นและมีความสามารถในการมีอิทธิพลต่อความเป็นจริงโดยรอบ
การพัฒนาประสาทสัมผัสที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นนั้นเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับการพัฒนาพื้นที่รับสัมผัสที่มีความเชี่ยวชาญมากขึ้นในสมองมนุษย์ โดยส่วนใหญ่เป็นประสาทสัมผัสที่สูงกว่าเป็นภาษาท้องถิ่น และการพัฒนาการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนมากขึ้นนั้นเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับการพัฒนาพื้นที่มอเตอร์ที่แตกต่างกันมากขึ้น ควบคุมการเคลื่อนไหวโดยสมัครใจที่ซับซ้อน ธรรมชาติของกิจกรรมของมนุษย์ที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ และด้วยเหตุนี้ธรรมชาติของการรับรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจึงนำไปสู่ความจริงที่ว่าโซนประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวนั้นเองเช่น โซนฉายภาพในเปลือกสมองซึ่งเชื่อมต่อโดยตรงกับอุปกรณ์ต่อพ่วงและอุปกรณ์เอฟเฟกต์ดูเหมือนจะแยกออกจากกัน และโซนที่อุดมไปด้วยเส้นใยเชื่อมโยงได้รับการพัฒนาพิเศษในสมองมนุษย์ ด้วยการรวมศูนย์การฉายภาพต่างๆ เข้าด้วยกัน พวกมันทำหน้าที่ในการสังเคราะห์ที่ซับซ้อนและสูงขึ้น ซึ่งเป็นความจำเป็นที่เกิดจากความซับซ้อนของกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณหน้าผากได้รับการพัฒนาเป็นพิเศษโดยมีบทบาทสำคัญในกระบวนการทางปัญญาระดับสูง ในเวลาเดียวกันความเด่นของมือขวาซึ่งเป็นเรื่องปกติในคนส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับความสำคัญที่โดดเด่นของซีกซ้ายตรงข้ามซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางหลักของการทำงานทางจิตที่สูงขึ้นโดยเฉพาะศูนย์กลางของการพูด .
ต้องขอบคุณเครื่องมือและคำพูด จิตสำนึกของมนุษย์จึงเริ่มพัฒนาเป็นผลผลิตจากงานสังคมสงเคราะห์ ในด้านหนึ่ง เครื่องมือที่เป็นแรงงานทางสังคมที่ถ่ายทอดในรูปแบบตัวเป็นประสบการณ์ที่มนุษย์สะสมจากรุ่นสู่รุ่น และในทางกลับกัน นี่คือการถ่ายทอดประสบการณ์ทางสังคม การสื่อสารได้สำเร็จผ่านคำพูด
ความไม่สมดุลในการทำงานของสมองทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจิตสำนึกมีสองประเภท: ความรู้เชิงพื้นที่ในซีกขวา และความรู้ทางภาษาด้านซ้าย ข้อสันนิษฐานนี้นำไปสู่การศึกษาและการจำแนกระดับจิตสำนึกเป็นจำนวนมาก
ซีกซ้ายและขวามีบทบาทที่แตกต่างกันในการรับรู้และการสร้างภาพ
ซีกขวามีลักษณะเฉพาะด้วยความเร็วในการจดจำสูง ความแม่นยำ และความชัดเจน เป็นไปได้มากที่จะเปรียบเทียบภาพกับมาตรฐานบางอย่างที่มีอยู่ในหน่วยความจำ โดยอาศัยการระบุคุณสมบัติข้อมูลที่คล้ายกันในวัตถุที่รับรู้
ซีกซ้ายใช้วิธีการวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในการสร้างภาพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเลือกองค์ประกอบตามลำดับตามโปรแกรมบางโปรแกรม อย่างไรก็ตาม หากซีกซ้ายทำงานแยกจากกัน ก็จะไม่สามารถรวมองค์ประกอบที่รับรู้และเลือกไว้เป็นภาพองค์รวมได้ ด้วยความช่วยเหลือของปรากฏการณ์นี้จะถูกจำแนกและกำหนดให้กับหมวดหมู่เฉพาะโดยการกำหนดคำ ดังนั้นสมองทั้งสองซีกจึงมีส่วนร่วมในกระบวนการทางจิตพร้อมกัน
ประสาทสัมผัสแต่ละแบบมีระดับจิตสำนึกของตัวเอง ความรู้สึกจากแต่ละระดับจะเข้าสู่ระบบการรับรู้ แต่เราจะไม่ตระหนักถึงมันจนกว่าเราจะมุ่งความสนใจไปที่สิ่งเหล่านั้น
หากเราพิจารณาจิตสำนึกจากมุมมองของทฤษฎีของเองเกลส์ จากที่กล่าวมาข้างต้นเราสามารถสรุปได้ว่าเราสามารถควบคุมจิตสำนึกของเราได้อย่างง่ายดาย แต่เนื่องจากความจริงที่ว่ามันทำงานในระดับที่แตกต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ
นักประสาทวิทยาหลายคนได้ศึกษาการเชื่อมโยงระหว่างจิตสำนึกและสมองจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์
จอห์น เอ็กเคิลส์ได้พัฒนาทฤษฎีที่ว่าสมองของเราไม่มีจิตสำนึกในตัว แต่จิตสำนึกนั้นสามารถสื่อสารกับเซลล์ประสาทผ่านผลกระทบควอนตัมของการปล่อยโมเลกุลตัวส่งสัญญาณซินแนปติกที่ส่งแรงกระตุ้นเส้นประสาทในโครงสร้างเหล่านี้ dendrons เหล่านี้เป็นกระบวนการของเซลล์เสี้ยมของเปลือกสมองที่มารวมกันซึ่งทำหน้าที่เป็นโมดูลสำหรับการเข้าสู่จิตวิญญาณและจิตสำนึกการสัมผัสกับร่างกาย
ตามที่นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษผู้โด่งดังอาร์. เพนโรสกล่าวว่าจิตสำนึกไม่สามารถลดลงเป็นการคำนวณได้เนื่องจากสมองที่มีชีวิตแตกต่างจากคอมพิวเตอร์ตรงที่มีความสามารถในการเข้าใจ เขาแย้งว่ากระบวนการอันชาญฉลาดไม่ได้อธิบายโดยคุณสมบัติทางการคำนวณของระบบประสาท ดังนั้นจิตสำนึกจึงต้องมีคุณสมบัติพิเศษบางอย่างผ่านเอฟเฟกต์ควอนตัม
อโนคินกล่าวว่าจิตสำนึกเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองซึ่งเป็นเครื่องมือของสมองและเป็นกิจกรรมของเซลล์ประสาทที่จัดระเบียบในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง กิจกรรมนี้ไม่ได้อยู่นอกสมอง ไม่ได้อยู่ระหว่างเรา และระหว่างสมอง แต่อยู่ในอวกาศ
ดาร์วินยังคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับต้นกำเนิดของความฉลาดทางสมองและจิตสำนึก และพื้นฐานทางชีวภาพของมัน เช่นเดียวกับที่เขาคิดถึงพื้นฐานทางชีววิทยาของวิวัฒนาการ
และนักจิตวิทยาสรีรวิทยาและนักประสาทสรีรวิทยาที่โดดเด่น Alexey Mikhailovich Ivanitsky เสนอโครงการดังกล่าวเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการรับรู้ซึ่งเขาเรียกว่า "วงกลมแห่งความรู้สึก" เมื่อสัญญาณทางประสาทสัมผัสเข้าสู่บริเวณรับความรู้สึกปฐมภูมิ เช่น เปลือกสมองส่วนการมองเห็น พวกมันจะเริ่มไหลเวียนไปทั่วระบบประสาท แพร่กระจายไปตามลำธารต่างๆ ทาร์ซัล และหน้าท้อง จากเปลือกสมองส่วนการมองเห็น ไปยังเปลือกสมองส่วนหน้า เป็นต้น และหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาจะค่อยๆ แยกประสบการณ์ส่วนตัวออกจากความทรงจำ เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น พวกมันจะต้องกระตุ้นเซลล์ประสาทในคอร์เทกซ์ขมับของฮิบโปแคมปัส สิ่งนี้ต้องใช้เวลาและหลังจากผ่านไประยะหนึ่งข้อมูลนี้ซึ่งได้รับการเสริมด้วยเนื้อหาที่ดึงมาจากหน่วยความจำแล้วก็จะเข้าสู่โครงสร้างเดิมที่เป็นผู้รับข้อมูลดั้งเดิมอีกครั้ง กระบวนการของกิจกรรมแบบวัฏจักรนี้เรียกว่าเสียงสะท้อน ซึ่งมีความถี่เฉพาะ และความถี่เหล่านี้ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ในช่วงแกมมา ถือเป็นความสัมพันธ์ทางประสาทอย่างหนึ่งของการมีสติ เมื่อเสียงก้องนี้เกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นพร้อมกับความล่าช้าหลายร้อยมิลลิวินาที จากนั้นเราจะพบกับช่วงเวลาแห่งการตระหนักรู้
บทสรุป: สมองของมนุษย์ยุคใหม่เป็นอวัยวะที่ซับซ้อน การพึ่งพาระดับจิตสำนึกในระดับของการจัดระเบียบของสมองได้รับการยืนยันจากข้อเท็จจริงที่ว่าจิตสำนึกของเด็กนั้นถูกสร้างขึ้นตามที่ทราบซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสมองของเขาและเมื่อสมองของคนแก่มาก มนุษย์ย่อมเสื่อมถอย การทำงานของจิตสำนึกก็เสื่อมถอยลงด้วย จิตใจปกติจะเป็นไปไม่ได้หากไม่มีสมองที่ทำงานตามปกติ ทันทีที่โครงสร้างที่ประณีตของการจัดระเบียบสสารในสมองถูกรบกวน และยิ่งกว่านั้นถูกทำลาย โครงสร้างของจิตสำนึกก็จะถูกทำลายไปด้วย จิตสำนึกมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความสนใจ กล่าวคือ เราตระหนักรู้เฉพาะสิ่งที่เราใส่ใจเท่านั้น
กลไกต่างๆ ของจิตสำนึกปฐมภูมิ กล่าวคือ จิตสำนึกที่ไม่รวมถึงภาษาและวัฒนธรรม เกิดขึ้นในการวิวัฒนาการในรูปแบบต่างๆ เป็นอิสระและมีฐานประสาทที่แตกต่างกัน
บทสรุปของส่วนที่ 2:ตลอดชีวิตบุคคลจะได้รับความรู้เกี่ยวกับโลกรอบตัวเขาและเกี่ยวกับตัวเขาเอง กำลังคิด<#"center">ข้อสรุป
วัตถุประสงค์ของงานหลักสูตรของเราคือการเน้นขั้นตอนของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์
ในระหว่างการเขียนงานรายวิชาเราได้ระบุการพัฒนาจิตสำนึกไว้ 4 ขั้นตอน:
) จิตใจของสัตว์และมนุษย์ก่อน (การเกิดขึ้นของจิตสำนึกทางสังคม)
) จิตสำนึกฝูง (ผู้คนที่แยกออกจากอาณาจักรสัตว์การเกิดขึ้นของภาษาแห่งการสื่อสารมันง่ายกว่าสำหรับแต่ละคนที่จะอยู่รอดในฝูง)
) จิตสำนึกของบุคคลที่มีเหตุผล (ความรู้และความตระหนักรู้ของตนเองและโลกรอบข้างผ่านการค้นพบ)
) จิตสำนึกของบุคคลในสังคมชนเผ่าและการเกิดขึ้นของความตระหนักรู้ในตนเอง (พื้นฐานของการทำงานโดยรวม ความเท่าเทียมกันทางสังคม ความปรารถนาและความสามารถในการปรับปรุง)
เมื่อระบุขั้นตอนของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์แล้ว ก็สามารถโต้แย้งได้ว่าจิตสำนึกของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นเมื่อการทำงานของสมองดีขึ้นในกระบวนการวิวัฒนาการ
นอกจากนี้ ในงานวิจัย เราได้ทำงานทั้งหมดของหลักสูตรสำเร็จแล้ว:
เราได้ตรวจสอบและระบุทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับการเกิดขึ้นของจิตสำนึกของมนุษย์:
Ø การเกิดขึ้นของจิตสำนึกอันเป็นผลมาจากความพยายามของ "จิตสำนึกเหนือธรรมชาติ" บางอย่าง;
Ø การเกิดขึ้นของจิตสำนึกอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมอย่างกะทันหันครั้งใหญ่ในร่างกายของสัตว์ใกล้กับมนุษย์
Ø การเกิดขึ้นของจิตสำนึกอันเป็นผลมาจากกิจกรรมด้านแรงงานของมนุษย์
Ø การเกิดขึ้นของจิตสำนึกในขณะที่ลิงตระหนักว่าไม้ที่ถูกโยนเข้าไปในกองไฟนั้นไหม้
Ø การเกิดขึ้นของจิตสำนึกอันเป็นผลมาจากการพัฒนาประสาทสัมผัสที่สูงขึ้น
Ø การเกิดขึ้นของจิตสำนึกในขณะที่บุคคลเริ่มแยกแยะตัวเองและคนอื่น ๆ จากโลกรอบตัวเขา
Ø การเกิดขึ้นของจิตสำนึกอันเป็นผลมาจากการเกิดขึ้นและพัฒนาการของคำพูด
เราถือว่าตัวเลือกสุดท้ายน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดเพราะว่า คำพูดรวมอยู่ในกระบวนการทางจิตทั้งหมดของบุคคลซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาการคิดเชิงนามธรรมในบุคคลหากไม่มีกิจกรรมการทำงานร่วมกันของผู้คนก็ไม่สามารถดำเนินไปได้และด้วยเหตุนี้หากปราศจากมันจิตสำนึกทางสังคมของบุคคลก็ไม่สามารถพัฒนาได้ . และความเสียหายต่อโซนการพูดในซีกซ้ายทำให้เกิดความผิดปกติไม่เพียง แต่การพูดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำงานทางปัญญาอื่น ๆ ด้วยเพราะ คำพูดสัมพันธ์กับการคิดอย่างใกล้ชิด
2. เราเปรียบเทียบช่วงเวลาของการพัฒนาจิตสำนึกในการถ่ายทอดทางพันธุกรรมกับขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์และได้ข้อสรุปว่าขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์นั้นเหมือนกันกับช่วงเวลาของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์ในการสร้างวิวัฒนาการ . เราสันนิษฐานว่าในอีกหลายพันล้านปี จิตสำนึกของมนุษย์จะพัฒนาในระดับใหม่เชิงคุณภาพ เพราะตอนนี้เราอยู่ที่ระดับที่สี่ของการพัฒนาจิตสำนึก และยังมีอีกสองสามอย่างข้างหน้าข้างหน้า
นอกจากนี้เรายังพยายามกำหนดคุณสมบัติพื้นฐาน ระดับความรู้ ลักษณะเฉพาะ และหน้าที่ของจิตสำนึกของมนุษย์ เมื่อศึกษาการตัดสินของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ แล้ว เราสามารถพูดได้ว่าจิตสำนึกเป็นเงื่อนไขสำหรับการไหลเวียนของกระบวนการทางจิต ไม่มีโครงสร้างและมีลักษณะเช่น: ความรู้สึกของการเป็นผู้รับรู้ การเป็นตัวแทนทางจิตและจินตนาการของความเป็นจริง ความสามารถในการ สื่อสารและการมีอยู่ของแผนการทางปัญญาในจิตสำนึก ระดับความรู้เกี่ยวกับจิตสำนึกของมนุษย์แสดงถึงขั้นตอนของการพัฒนาจิตสำนึก - นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาความรู้และขั้นตอนของการพัฒนาจิตสำนึกของมนุษย์
เราสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองของมนุษย์กับจิตสำนึก และได้ข้อสรุปว่าจิตใจและจิตสำนึกเป็นไปไม่ได้หากไม่มีสมองที่ทำงานตามปกติ เพราะ โครงสร้างของสมองซึ่งเป็นอวัยวะแห่งจิตสำนึกมีการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจากกิจกรรมด้านแรงงานของมนุษย์ การเกิดขึ้นของคำพูด และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ
ดังนั้นเราสามารถสรุปได้ว่าจิตสำนึกของมนุษย์แต่ละคนนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยจิตสำนึกทางสังคมผ่านคำพูด และมีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อโครงสร้างของสมองพัฒนาขึ้น จิตสำนึกของมนุษย์จะพัฒนาต่อไปด้วยการพัฒนาความตระหนักรู้ในตนเอง
รายชื่อแหล่งที่มาที่ใช้
1.อโนคิน เค.วี. สมองและจิตใจ การบรรยายครั้งที่ 1 (26.04.10 ACADEMIA)./ รัสเซีย.
.บาดาจิน่า แอล.พี. พื้นฐานของจิตวิทยาทั่วไป การเกิดขึ้นและพัฒนาการของจิตใจมนุษย์ / สำนักพิมพ์ 2555
.บรอดแมน เค. อีโวล กายภาพ NS 055. การก่อตัวของเยื่อหุ้มสมอง ห้องสมุด: กายวิภาคและวิวัฒนาการของ NS./ http://mojvuz.com/index.php?page=story&node_id=430&story_id=332
4. ดาร์วิน ช.
De Vries G. ผลงานที่คัดสรร แปลโดย A.P. Rozovskaya เรียบเรียงและมีบทความเบื้องต้นโดย V.L. Ryzhkov./ มอสโก: Medgiz 2475.
Zenkov L.P., Popov L.G. ความเชี่ยวชาญของซีกโลกตามประเภทของการจัดระเบียบหน่วยความจำ ความไม่สมดุลของสมองและความจำ/2530 22-30 น.
ซิมิเชฟ เอ.เอ็ม. ความคิดฝูงที่สามารถนำไปใช้กับคนได้ สัมภาษณ์ในรายการ Night on the Fifth/29.09.11/Moscow
Ivanitsky A.M. สติและสมอง. ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์/2548 ลำดับที่ 11.9 - 14 น.
คูชาตอฟ ไอ.เอ็ม. การเกิดขึ้นของจิตสำนึก/ คาซัคสถาน 2550 2-25ส.
Lévy-Bruhl L. การคิดเบื้องต้น. M. , 1930 / Lévy-Bruhl L. เหนือธรรมชาติในการคิดแบบดั้งเดิม / M. , 1937
Leontyev A.N. กิจกรรม จิตสำนึก บุคลิกภาพ./ ม., 2548. - 356 น.
Muller F., Haeckel E. กฎหมายชีวพันธุศาสตร์ขั้นพื้นฐาน/ M.-L., 1940/ 2 น.
นีมอฟ อาร์.เอส. จิตวิทยา: 1 เล่ม - ม., 2544 (จิตสำนึกของมนุษย์: 132 - 142ค.)
Penrose R. เงาแห่งจิตใจ ในการค้นหาศาสตร์แห่งจิตสำนึก ตอนที่ 1 ทำความเข้าใจจิตใจและฟิสิกส์ใหม่/ M. Izhevsk 2546. 368 น.
พลาโตนอฟ เค.เค. เกี่ยวกับระบบจิตวิทยา/ M., “Mysl”, 1972. 99-112 น.
Rybakov B.A. โบราณคดีของสหภาพโซเวียต ยุคล้าหลังล้าหลัง วิทยาศาสตร์./ม. 2527. 233 น.
Rybakov B.A. โบราณคดีของสหภาพโซเวียต ยุคล้าหลังล้าหลัง ศาสตร์. /ม. 2527. 234 น.
เทย์เลอร์ อี.บี. วัฒนธรรมดั้งเดิม./ มอสโก: สำนักพิมพ์วรรณกรรมการเมือง, 2532.
เฟรเซอร์ เจ.เจ. สาขาทอง. ศึกษาเวทมนตร์และศาสนา./ อ.: การเมือง. 1980. 800-804c.
Freud Z. Psychoanalysis./ M.: จิตวิทยา, 2003.
Eccles D. สรีรวิทยาของเซลล์ประสาท/ M. , 1959. 26 น.
Engels F. บทบาทของแรงงานในกระบวนการเปลี่ยนลิงให้กลายเป็นมนุษย์/ 1896. 7-8 น.
จุง เค.จี. แนวคิดเรื่องจิตไร้สำนึกส่วนรวม ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ RoyalLib.Ru./ 2010-2014 1-2 วินาที
24.
กวดวิชา
ต้องการความช่วยเหลือในการศึกษาหัวข้อหรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญของเราจะแนะนำหรือให้บริการสอนพิเศษในหัวข้อที่คุณสนใจ
ส่งใบสมัครของคุณระบุหัวข้อในขณะนี้เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ในการรับคำปรึกษา
ควรสังเกตว่าข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับเกี่ยวกับความเป็นจริงโดยรอบและสถานะของตัวเองนั้นไม่ได้รับการรับรู้โดยบุคคล ข้อมูลส่วนสำคัญอยู่นอกจิตสำนึกของเรา สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความสำคัญต่ำสำหรับบุคคลหรือปฏิกิริยา "อัตโนมัติ" ของร่างกายเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นนิสัย ตอนนี้เราต้องตอบคำถามว่าอะไรเป็นตัวกำหนดการเกิดขึ้นและพัฒนาการของจิตสำนึกในมนุษย์ ในจิตวิทยารัสเซีย ปัญหานี้มักจะพิจารณาตามสมมติฐานที่กำหนดโดย A. N. Leontyev เกี่ยวกับต้นกำเนิดของจิตสำนึกของมนุษย์ เพื่อที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของจิตสำนึก จำเป็นต้องคำนึงถึงความแตกต่างพื้นฐานระหว่างมนุษย์กับตัวแทนอื่น ๆ ของโลกสัตว์ หนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญระหว่างมนุษย์กับสัตว์ อยู่ในความสัมพันธ์ของเขากับธรรมชาติ- ถ้า สัตว์เป็นองค์ประกอบของธรรมชาติที่มีชีวิตและสร้างความสัมพันธ์กับธรรมชาติตั้งแต่ตำแหน่งการปรับตัวให้เข้ากับสภาพของโลกรอบตัวแล้ว มนุษย์ไม่เพียงแค่ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นที่จะพิชิตมันในระดับหนึ่งด้วยการสร้างเครื่องมือสำหรับสิ่งนี้ สติ- ระดับสูงสุดของการพัฒนาจิตใจที่มีอยู่ในมนุษย์โดยเฉพาะ การพัฒนาขึ้นอยู่กับสภาพสังคม จิตสำนึกของมนุษย์มีเป้าหมายและกระตือรือร้นอยู่เสมอ ข้อกำหนดเบื้องต้นและเงื่อนไขหลักสำหรับการเกิดขึ้นของจิตสำนึกของมนุษย์คือการพัฒนาสมองของมนุษย์ การก่อตัวของจิตสำนึกของมนุษย์เป็นกระบวนการที่ยาวนานซึ่งเชื่อมโยงโดยธรรมชาติกับกิจกรรมทางสังคมและแรงงาน การเกิดขึ้นของงานได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมไปอย่างสิ้นเชิง ข้างต้นช่วยให้เราสามารถกล่าวได้ว่าปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาจิตสำนึกคือกิจกรรมด้านแรงงานที่เกิดจากการใช้เครื่องมือร่วมกัน แรงงานเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งเป็นกระบวนการที่มนุษย์มีอิทธิพลต่อธรรมชาติ แรงงานมีลักษณะเฉพาะคือ การใช้และการผลิตเครื่องมือ การดำเนินการภายใต้เงื่อนไขของกิจกรรมร่วมกัน พื้นฐานสำหรับการเปลี่ยนไปสู่จิตสำนึกของมนุษย์คืองานของผู้คนซึ่งแสดงถึงกิจกรรมร่วมกันของพวกเขาโดยมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายร่วมกันและแตกต่างอย่างมากจากการกระทำของสัตว์ ในกระบวนการทำงาน หน้าที่ของมือได้รับการพัฒนาและรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น และโครงสร้างทางกายวิภาคของมันก็ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม มือได้รับการพัฒนาไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการหยิบจับเท่านั้น แต่ยังเป็นอวัยวะแห่งการรับรู้อีกด้วย กิจกรรมด้านแรงงานนำไปสู่ความจริงที่ว่ามือที่กระตือรือร้นค่อยๆกลายเป็นอวัยวะพิเศษของการสัมผัสที่กระตือรือร้น จิตสำนึกเป็นระดับสูงสุดของการสะท้อนจิต อย่างไรก็ตาม ขอบเขตของจิตใจนั้นกว้างกว่าขอบเขตของจิตสำนึก เหล่านี้คือปรากฏการณ์ เทคนิค คุณสมบัติ และสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นแต่บุคคลไม่ตระหนักรู้
จิตสำนึกพัฒนาในมนุษย์ผ่านการติดต่อทางสังคมเท่านั้น ในสายวิวัฒนาการจิตสำนึกของมนุษย์พัฒนาขึ้นและเป็นไปได้ภายใต้เงื่อนไขที่มีอิทธิพลอย่างแข็งขันต่อธรรมชาติในเงื่อนไขของกิจกรรมด้านแรงงานเท่านั้น สติเป็นไปได้เฉพาะในสภาวะของการดำรงอยู่ของภาษา คำพูด ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับจิตสำนึกในกระบวนการทำงานเท่านั้นในกระบวนการสร้างพัฒนาการ จิตสำนึกของเด็กจะพัฒนาในลักษณะที่ซับซ้อนและทางอ้อม โดยทั่วไปแล้ว จิตใจของเด็กซึ่งก็คือเด็กทารกนั้นไม่สามารถถือเป็นจิตใจที่โดดเดี่ยวและเป็นอิสระได้ ตั้งแต่แรกเริ่ม มีความเชื่อมโยงที่มั่นคงระหว่างจิตใจของลูกกับจิตใจของแม่ ในช่วงก่อนคลอดและหลังคลอด การเชื่อมต่อนี้สามารถเรียกได้ การเชื่อมต่อทางจิต (ตระการตา) - แต่ในตอนแรกเด็กเป็นเพียงองค์ประกอบที่ไม่โต้ตอบของการเชื่อมต่อนี้ซึ่งเป็นสารรับรู้และแม่ซึ่งเป็นผู้ถือครองจิตใจซึ่งหล่อหลอมโดยจิตสำนึกซึ่งอยู่ในสถานะของการเชื่อมต่อดังกล่าวดูเหมือนจะส่งผ่านไปยังจิตใจของเด็กไม่เพียง ทางจิตฟิสิกส์ แต่ยังรวมถึงข้อมูลของมนุษย์ที่หล่อหลอมโดยจิตสำนึก ประเด็นที่สองคือกิจกรรมที่แท้จริงของแม่ ความต้องการตามธรรมชาติของเด็กในด้านความอบอุ่น ความสบายทางจิตใจ ฯลฯ ได้รับการจัดระเบียบและตอบสนองจากภายนอกโดยทัศนคติรักของแม่ที่มีต่อลูกของเธอ แม่ด้วยสายตาที่จ้องมองด้วยความรัก "จับ" และประเมินทุกสิ่งที่มีค่าจากมุมมองของเธอในปฏิกิริยาตอบโต้ที่วุ่นวายในตอนแรกของร่างกายเด็กและค่อยๆ ค่อยๆ ด้วยการกระทำด้วยความรัก ตัดทุกสิ่งที่เบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานทางสังคม . สิ่งสำคัญในที่นี้ก็คือบรรทัดฐานการพัฒนาจะมีอยู่ในรูปแบบเฉพาะบางอย่างในสังคมมนุษย์อยู่เสมอ รวมถึงบรรทัดฐานของการเป็นแม่ด้วย ดังนั้น ด้วยความรักต่อเด็ก มารดาจึงดึงเด็กออกจากปฏิกิริยาอินทรีย์ การหมดสติ และนำเด็กออกมา ดึงเด็กเข้าสู่วัฒนธรรมของมนุษย์ เข้าสู่จิตสำนึกของมนุษย์ ฟรอยด์ตั้งข้อสังเกตว่า “แม่สอนให้รักลูก” เธอใส่ความรัก (ทัศนคติ) เข้าไปในจิตใจของเด็กอย่างแท้จริง เนื่องจากแม่ (ภาพลักษณ์ของเธอ) มีไว้สำหรับความรู้สึกและการรับรู้ของเด็กซึ่งเป็นศูนย์กลางที่แท้จริงของการกระทำทั้งหมด ผลประโยชน์ทั้งหมด และ ปัญหา ต่อมาก็มาถึงการพัฒนาขั้นต่อไปที่เรียกได้ว่า การกระทำเบื้องต้นของสติ- นี่คือการระบุตัวตนของเด็กกับแม่ , นั่นคือเด็กพยายามเอาตัวเองเข้าไปแทนที่แม่ เลียนแบบเธอ เปรียบตัวเองกับเธอ การระบุตัวตนของเด็กกับแม่นี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นความสัมพันธ์หลักของมนุษย์ ในแง่นี้ ปฐมภูมิไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงวัตถุ แต่เป็นความสัมพันธ์ของจิตสำนึก การระบุตัวตนเบื้องต้นด้วยสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประการแรก ผู้เป็นแม่ที่นี่ได้จัดเตรียมแบบจำลองทางวัฒนธรรมของพฤติกรรมทางสังคม และเราซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นรูปธรรม ปฏิบัติตามแบบจำลองเหล่านี้เท่านั้น สิ่งสำคัญคือการดำเนินการและกิจกรรมเชิงรุกของเด็กในการสร้างรูปแบบพฤติกรรม คำพูด การคิด จิตสำนึกของมนุษย์ และกิจกรรมเชิงรุกของเด็กในการสะท้อนโลกรอบตัวและควบคุมพฤติกรรมของเขา แต่การบรรลุความหมายของสัญลักษณ์หรือแบบจำลองทางวัฒนธรรมนั้นต้องอาศัยชั้นของจิตสำนึกที่มีเหตุผล ซึ่งสามารถพัฒนาได้อย่างอิสระผ่านกลไกของการไตร่ตรองและการวิเคราะห์ (กิจกรรมทางจิต) ในแง่หนึ่ง การรับรู้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการไตร่ตรอง หากการตระหนักรู้คือความเข้าใจในความสมบูรณ์ของสถานการณ์และให้ภาพโดยรวมแล้วการไตร่ตรองในทางกลับกันจะแบ่งทั้งหมดนี้ออกไปเช่นมองหาสาเหตุของความยากลำบากวิเคราะห์สถานการณ์โดยคำนึงถึงจุดประสงค์ของ กิจกรรม ดังนั้น ความตระหนักรู้จึงเป็นเงื่อนไขสำหรับการไตร่ตรอง แต่ในทางกลับกัน การไตร่ตรองก็เป็นเงื่อนไขสำหรับการรับรู้และความเข้าใจสถานการณ์โดยรวมที่สูงขึ้น ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และแม่นยำยิ่งขึ้น จิตสำนึกของเรามีประสบการณ์ในการพัฒนาจิตสำนึกหลายอย่าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดจะบรรลุผลหรือตระหนักได้ ศักยภาพที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงของจิตสำนึกของเราเหล่านี้ประกอบขึ้นเป็นสิ่งที่เรามักจะแสดงด้วยคำว่า "จิตวิญญาณ" ซึ่งเป็นส่วนที่หมดสติส่วนใหญ่ในจิตสำนึกของเรา แม้ว่าจะต้องพูดให้ชัดเจนเสียก่อนว่าโดยหลักการแล้วสัญลักษณ์ในฐานะเนื้อหาที่ไม่มีที่สิ้นสุดของจิตสำนึกนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้จนถึงจุดสิ้นสุดและนี่คือเงื่อนไขสำหรับการกลับมามีสติเป็นระยะ จากนี้ไปจะเป็นการกระทำแห่งจิตสำนึกขั้นพื้นฐานประการที่สาม (“ การพัฒนาจิตสำนึก”) - ตระหนักถึงความปรารถนาที่ยังไม่บรรลุผลของคุณ. นี่คือวิธีที่วงกลมแห่งการพัฒนาปิดลง และทุกสิ่งกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น
4.2 แนวคิดเรื่องจิตสำนึก ลักษณะของจิตสำนึก
เราได้ใช้แนวคิดเช่น "จิตสำนึก" มากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว และคุณก็รู้ จิตสำนึก -นี่คือระดับสูงสุดของการสะท้อนทางจิตของความเป็นจริงตามวัตถุประสงค์ เช่นเดียวกับระดับสูงสุดของการควบคุมตนเองซึ่งมีต่อมนุษย์ในฐานะสิ่งมีชีวิตทางสังคมเท่านั้น มาดูคำจำกัดความนี้กันดีกว่า จากมุมมองในทางปฏิบัติ จิตสำนึกปรากฏเป็นชุดของภาพทางประสาทสัมผัสและจิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องซึ่งปรากฏโดยตรงต่อหน้าวัตถุในโลกภายในของเขา- อย่างไรก็ตาม ดังที่เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ สันนิษฐานได้ว่ากิจกรรมทางจิตที่คล้ายกันหรือใกล้เคียงกันในการก่อตัวของภาพจิตนั้นเกิดขึ้นในสัตว์ที่มีการพัฒนามากขึ้น เช่น สุนัข ม้า โลมา ลิง เป็นต้น การสะท้อนทางจิตของ โลกวัตถุประสงค์แตกต่างกันในมนุษย์จากกระบวนการที่คล้ายคลึงกันในสัตว์? สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ประการแรกไม่ใช่การมีอยู่ของกระบวนการสร้างภาพทางจิตตามการรับรู้วัตถุประสงค์ของวัตถุในความเป็นจริงโดยรอบ แต่เป็นกลไกเฉพาะของการเกิดขึ้นมันเป็นกลไกของการก่อตัวของภาพทางจิตและลักษณะเฉพาะของการปฏิบัติงานกับสิ่งเหล่านี้ที่กำหนดการมีอยู่ของบุคคลที่มีปรากฏการณ์เช่นจิตสำนึก ยังไง มีลักษณะเฉพาะสติ?
ประการแรก สติอยู่เสมอ อย่างแข็งขันกิจกรรมนั้นเป็นสมบัติของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล กิจกรรมของจิตสำนึกนั้นแสดงให้เห็นในความจริงที่ว่าการสะท้อนทางจิตของโลกวัตถุประสงค์โดยบุคคลนั้นไม่ได้มีลักษณะที่ไม่โต้ตอบซึ่งเป็นผลมาจากการที่วัตถุทั้งหมดที่สะท้อนโดยจิตใจมีความสำคัญเหมือนกัน แต่ในทางกลับกันความแตกต่าง เกิดขึ้นตามระดับนัยสำคัญของเรื่องจินตภาพ
ประการที่สอง โดยเจตนาเป็นผลให้จิตสำนึกของมนุษย์มุ่งตรงไปยังวัตถุ วัตถุ หรือภาพบางอย่างเสมอ นั่นคือมันมีคุณสมบัติของความตั้งใจ (ทิศทาง)
การมีอยู่ของคุณสมบัติเหล่านี้เป็นตัวกำหนดการมีอยู่ของลักษณะอื่น ๆ ของจิตสำนึกจำนวนหนึ่ง ทำให้เราพิจารณาว่ามันเป็นระดับที่สูงกว่า การควบคุมตนเองกลุ่มคุณสมบัติของจิตสำนึกเหล่านี้รวมถึงความสามารถในการ การสังเกตตนเอง (การสะท้อน) ความสามารถในการไตร่ตรองจะกำหนดความสามารถของบุคคลในการสังเกตตนเอง ความรู้สึก สภาพของเขา นอกจากนี้ ให้สังเกตอย่างมีวิจารณญาณ เช่น บุคคลสามารถประเมินตนเองและอาการของตนเองได้โดยการวางข้อมูลที่ได้รับไว้ในระบบพิกัดที่กำหนด ตลอดจน คุณค่าที่สร้างแรงบันดาลใจลักษณะของจิตสำนึก ระบบพิกัดสำหรับบุคคลคือค่านิยมและอุดมคติของเขา
การเปลี่ยนไปสู่จิตสำนึกถือเป็นจุดเริ่มต้นของขั้นตอนใหม่ที่สูงกว่าในการพัฒนาจิตใจ การสะท้อนอย่างมีสติ ตรงกันข้ามกับลักษณะการสะท้อนทางจิตของสัตว์ เป็นการสะท้อนของความเป็นจริงเชิงวัตถุโดยแยกออกจากความสัมพันธ์ที่มีอยู่ของวัตถุกับสิ่งนั้น กล่าวคือ การสะท้อนที่เน้นคุณสมบัติที่มั่นคงของวัตถุประสงค์
ในจิตสำนึก ภาพของความเป็นจริงไม่ผสานเข้ากับประสบการณ์ของวัตถุ ในจิตสำนึก สิ่งที่สะท้อนออกมาจะปรากฏเป็น “สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น” แก่ตัวแบบ นี่หมายความว่า เมื่อฉันตระหนักรู้ เช่น ถึงหนังสือเล่มนี้ หรือแม้แต่เพียงความคิดของฉันเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ หนังสือนั้นก็ไม่ผสานในจิตสำนึกของฉันเข้ากับประสบการณ์ของฉันเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ และความคิดของหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ผสานกัน ผสานกับประสบการณ์ของฉันเกี่ยวกับความคิดนี้
การระบุความเป็นจริงที่สะท้อนในจิตสำนึกของบุคคลตามวัตถุประสงค์นั้นมีการระบุโลกแห่งประสบการณ์ภายในและความเป็นไปได้ในการพัฒนาการสังเกตตนเองบนพื้นฐานนี้
ภารกิจที่เราเผชิญคือการติดตามเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดจิตใจในรูปแบบสูงสุด - จิตสำนึกของมนุษย์
ดังที่ทราบกันดีว่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความเป็นมนุษย์ของบรรพบุรุษที่มีลักษณะคล้ายสัตว์ของมนุษย์ก็คือการเกิดขึ้นของแรงงานและการก่อตัวของสังคมมนุษย์บนพื้นฐานของมัน “...แรงงาน” เองเกลส์กล่าว “สร้างมนุษย์ขึ้นมาเอง” 98 แรงงานยังสร้างจิตสำนึกของมนุษย์ด้วย
การเกิดขึ้นและการพัฒนาของแรงงาน ซึ่งเป็นเงื่อนไขแรกและขั้นพื้นฐานของการดำรงอยู่ของมนุษย์ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการทำให้เป็นมนุษย์ของสมอง อวัยวะของกิจกรรมภายนอก และอวัยวะรับสัมผัสของเขา “ ประการแรกแรงงาน” เองเกลกล่าวถึงมัน“ จากนั้นถัดจากนั้นคำพูดที่ชัดเจนเป็นสิ่งเร้าที่สำคัญที่สุดภายใต้อิทธิพลที่สมองของลิงจะค่อยๆกลายเป็นสมองของมนุษย์ซึ่งแม้จะมีความคล้ายคลึงกันทั้งหมดก็ตาม ในโครงสร้างพื้นฐานเกินขนาดและความสมบูรณ์แบบ” 99.
อวัยวะหลักของกิจกรรมด้านแรงงานของมนุษย์ - มือของเขา - สามารถบรรลุความสมบูรณ์แบบได้โดยการพัฒนาแรงงานเท่านั้น “ต้องขอบคุณแรงงานเท่านั้น ต้องขอบคุณการปรับให้เข้ากับการปฏิบัติการใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน... มือมนุษย์มาถึงความสมบูรณ์แบบในระดับสูง ซึ่งสามารถทำให้ภาพวาดของราฟาเอล รูปปั้นมีชีวิตขึ้นมาได้ราวกับพลังแห่งเวทมนตร์ ของ Thorvaldsen ดนตรีของ Paganini” 100.
หากเราเปรียบเทียบปริมาตรสูงสุดของกะโหลกศีรษะของลิงกับกะโหลกศีรษะของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ปรากฎว่าสมองของคนรุ่นหลังมีขนาดใหญ่กว่าสมองของลิงสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาอย่างสูงมากกว่าสองเท่า (600 ซม 3 และ 1400 ซม 3 ).
ความแตกต่างของขนาดของลิงและสมองของมนุษย์นั้นชัดเจนยิ่งขึ้นหากเราเปรียบเทียบน้ำหนักของมัน ความแตกต่างตรงนี้คือเกือบ 3 1 / 2 ครั้ง: น้ำหนักสมองของอุรังอุตัง - 350 กรัม สมองของมนุษย์มีน้ำหนัก 1,400 ช.
สมองของมนุษย์เมื่อเปรียบเทียบกับสมองของลิงที่สูงกว่านั้นมีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าและพัฒนามากกว่ามาก
มีอยู่แล้วในมนุษย์ยุคหิน ดังที่แสดงโดยการหล่อที่ทำจากพื้นผิวด้านในของกะโหลกศีรษะ สนามใหม่ๆ ซึ่งไม่ได้มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในลิง สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งในคนสมัยใหม่จะถึงการพัฒนาเต็มที่ ตัวอย่างเช่น เขตข้อมูลที่กำหนด (ตามบรอดมันน์) ตามหมายเลข 44, 45, 46 ในกลีบหน้าผากของคอร์เทกซ์, เขตข้อมูล 39 และ 40 ในกลีบข้างขม่อม, 41 และ 42 ในกลีบขมับ (รูปที่ 35) ).
เห็นได้ชัดเจนอย่างชัดเจนว่าคุณสมบัติใหม่ของมนุษย์โดยเฉพาะสะท้อนให้เห็นในโครงสร้างของเปลือกสมองเมื่อศึกษาสิ่งที่เรียกว่าสนามมอเตอร์ฉายภาพ (ในรูปที่ 35 ระบุด้วยหมายเลข 4) หากคุณทำให้จุดต่าง ๆ ของสนามนี้ระคายเคืองด้วยกระแสไฟฟ้าอย่างระมัดระวังจากนั้นโดยการหดตัวของกลุ่มกล้ามเนื้อต่าง ๆ ที่เกิดจากการระคายเคืองคุณสามารถจินตนาการได้อย่างแม่นยำว่าบริเวณที่ฉายภาพของอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งอยู่ในนั้น Penfield แสดงผลลัพธ์ของการทดลองเหล่านี้ในรูปแบบของแผนผังและแน่นอนว่าเป็นการวาดภาพแบบธรรมดาซึ่งเรานำเสนอที่นี่ (รูปที่ 36) จากภาพวาดนี้ ซึ่งสร้างขึ้นในระดับหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าพื้นผิวที่ค่อนข้างใหญ่นั้นอยู่ในสมองของมนุษย์โดยการฉายภาพอวัยวะในการเคลื่อนไหว เช่น แขน (มือ) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอวัยวะของเสียงพูด (กล้ามเนื้อของ ปาก, ลิ้น, อวัยวะของกล่องเสียง) หน้าที่ของมันได้รับการพัฒนาอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะในสภาพของสังคมมนุษย์ (งาน, การสื่อสารด้วยวาจา)
ความรู้สึกของมนุษย์ยังดีขึ้นภายใต้อิทธิพลของแรงงานและเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของสมอง เช่นเดียวกับอวัยวะของกิจกรรมภายนอก พวกเขาได้รับคุณสมบัติใหม่เชิงคุณภาพ ความรู้สึกของการสัมผัสแม่นยำมากขึ้น ดวงตาของมนุษย์เริ่มสังเกตเห็นสิ่งต่าง ๆ มากกว่าดวงตาของนกที่มีสายตายาวที่สุด และการได้ยินพัฒนาขึ้น สามารถรับรู้ความแตกต่างและความคล้ายคลึงที่ละเอียดอ่อนที่สุดในเสียงคำพูดของมนุษย์
ในทางกลับกัน การพัฒนาของสมองและอวัยวะรับสัมผัสมีผลตรงกันข้ามกับการทำงานและภาษา “เป็นทั้งแรงผลักดันใหม่ในการพัฒนาต่อไป” 101
สร้างขึ้นโดยแรงงานการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคและสรีรวิทยาของแต่ละบุคคลจำเป็นต้องนำมาซึ่งเนื่องจากการพึ่งพาซึ่งกันและกันตามธรรมชาติของการพัฒนาอวัยวะการเปลี่ยนแปลงในร่างกายโดยรวม ดังนั้นการเกิดขึ้นและการพัฒนาของแรงงานทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะทางกายภาพทั้งหมดของบุคคลไปสู่การเปลี่ยนแปลงในองค์กรทางกายวิภาคและสรีรวิทยาทั้งหมดของเขา
แน่นอนว่าการเกิดขึ้นของแรงงานได้เตรียมไว้โดยการพัฒนาครั้งก่อนทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปไปสู่การเดินในแนวดิ่ง ซึ่งมีพื้นฐานที่สังเกตได้ชัดเจนแม้กระทั่งในลิงที่มีอยู่ และรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับแขนขาที่เคลื่อนที่ได้โดยเฉพาะซึ่งปรับให้เหมาะกับการจับวัตถุ เป็นอิสระมากขึ้นจากการทำงานของการเดิน ซึ่งอธิบายโดยวิธี ของชีวิตที่สัตว์นำพาบรรพบุรุษของมนุษย์ - ทั้งหมดนี้สร้างข้อกำหนดเบื้องต้นทางกายภาพสำหรับความสามารถในการปฏิบัติงานด้านแรงงานที่ซับซ้อน
กระบวนการแรงงานก็เตรียมจากอีกด้านหนึ่งด้วย การปรากฏตัวของแรงงานเป็นไปได้เฉพาะในสัตว์ที่อาศัยอยู่ในกลุ่มทั้งหมดและมีรูปแบบการใช้ชีวิตร่วมกันที่พัฒนาเพียงพอแม้ว่ารูปแบบเหล่านี้จะยังห่างไกลจากรูปแบบดั้งเดิมที่สุดของชีวิตทางสังคมของมนุษย์ก็ตาม การศึกษาที่น่าสนใจที่สุดโดย N. Yu. Voitonis และ N. A. Tikh ดำเนินการที่เรือนเพาะชำ Sukhumi แสดงให้เห็นว่ารูปแบบการใช้ชีวิตร่วมกันในสัตว์สามารถเข้าถึงได้ในระดับสูงเพียงใด ดังที่การศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ในฝูงลิงนั้น มีระบบความสัมพันธ์และลำดับชั้นที่จัดตั้งขึ้นแล้ว พร้อมด้วยระบบการสื่อสารที่ซับซ้อนมากตามลำดับ ในเวลาเดียวกัน การศึกษาเหล่านี้ทำให้มั่นใจได้อีกครั้งว่า แม้ว่าความสัมพันธ์ภายในฝูงลิงจะมีความซับซ้อนทั้งหมด แต่พวกมันยังคงจำกัดอยู่เพียงความสัมพันธ์ทางชีววิทยาโดยตรง และไม่เคยถูกกำหนดโดยเนื้อหาที่เป็นวัตถุประสงค์ของสัตว์ กิจกรรม.
ในที่สุด ข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญสำหรับการทำงานก็คือการปรากฏตัวในหมู่ตัวแทนที่สูงที่สุดของสัตว์โลกดังที่เราได้เห็นมาแล้ว รูปแบบการสะท้อนทางจิตของความเป็นจริงที่ได้รับการพัฒนาอย่างสูง
ช่วงเวลาทั้งหมดเหล่านี้รวมกันเป็นเงื่อนไขหลักซึ่งในระหว่างการพัฒนาต่อไปแรงงานและสังคมมนุษย์ที่มีพื้นฐานมาจากแรงงานก็สามารถเกิดขึ้นได้
กิจกรรมเฉพาะของมนุษย์ที่เรียกว่าแรงงานคืออะไร?
แรงงานเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งเป็นกระบวนการที่มนุษย์มีอิทธิพลต่อธรรมชาติ “แรงงาน” มาร์กซ์กล่าว “ประการแรกคือกระบวนการที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งเป็นกระบวนการที่มนุษย์เป็นสื่อกลาง ควบคุม และควบคุมการแลกเปลี่ยนสารระหว่างเขากับธรรมชาติตามกิจกรรมของเขาเอง เขาเองก็ต่อต้านแก่นแท้ของธรรมชาติในฐานะพลังแห่งธรรมชาติ เพื่อที่จะจัดสรรแก่นแท้ของธรรมชาติให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมกับชีวิตของตน พระองค์ทรงเริ่มเคลื่อนไหวพลังธรรมชาติที่อยู่ในร่างกายของตน ได้แก่ แขนและขา ศีรษะและนิ้ว ด้วยการมีอิทธิพลและเปลี่ยนแปลงธรรมชาติภายนอกผ่านการเคลื่อนไหวนี้ เขาก็เปลี่ยนธรรมชาติของตัวเองไปพร้อมๆ กัน เขาพัฒนาความสามารถที่อยู่เฉยๆ ในระยะหลัง และทำให้การเล่นของกองกำลังเหล่านี้อยู่ภายใต้อำนาจของเขาเอง” (102)
แรงงานมีลักษณะเฉพาะโดยมีลักษณะที่สัมพันธ์กันสองประการต่อไปนี้ หนึ่งในนั้นคือการใช้และการผลิตเครื่องมือ “กระบวนการแรงงาน” เองเกลส์กล่าว “เริ่มต้นจากการผลิตเครื่องมือเท่านั้น” 103
คุณลักษณะที่เป็นลักษณะเฉพาะอีกประการหนึ่งของกระบวนการแรงงานคือมันเกิดขึ้นในเงื่อนไขของกิจกรรมร่วมกันดังนั้นในกระบวนการนี้บุคคลไม่เพียงเข้าสู่ความสัมพันธ์บางอย่างกับธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนอื่น ๆ ที่เป็นสมาชิกของสังคมด้วย บุคคลหนึ่งมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติผ่านความสัมพันธ์กับผู้อื่นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าแรงงานปรากฏตั้งแต่แรกเริ่มในฐานะกระบวนการที่ถูกสื่อกลางโดยเครื่องมือ (ในความหมายกว้างๆ) และในขณะเดียวกันก็เป็นสื่อกลางทางสังคม
การใช้เครื่องมือโดยมนุษย์ก็มีประวัติตามธรรมชาติในการเตรียมการเช่นกัน ดังที่เราทราบอยู่แล้วในสัตว์บางชนิดนั้นมีพื้นฐานของกิจกรรมเครื่องมือในรูปแบบของการใช้วิธีภายนอกโดยที่พวกเขาดำเนินการทีละอย่าง (เช่นการใช้ไม้ในลิง) วิธีการภายนอกเหล่านี้ - "เครื่องมือ" ของสัตว์มีความแตกต่างในเชิงคุณภาพจากเครื่องมือที่แท้จริงของมนุษย์ - เครื่องมือของแรงงาน
ความแตกต่างระหว่างพวกมันไม่ใช่แค่สัตว์ใช้ “เครื่องมือ” ของมันในกรณีที่หายากกว่าคนดึกดำบรรพ์เท่านั้น อย่างไรก็ตามความแตกต่างสามารถลดลงเหลือเพียงความแตกต่างในรูปแบบภายนอกเท่านั้น เราสามารถเปิดเผยความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างเครื่องมือของมนุษย์และ "เครื่องมือ" ของสัตว์ได้ก็ต่อเมื่อหันไปพิจารณากิจกรรมที่พวกมันเกี่ยวข้องอย่างเป็นกลางเท่านั้น
ไม่ว่ากิจกรรม "เครื่องมือ" ของสัตว์จะซับซ้อนเพียงใด แต่ก็ไม่เคยมีลักษณะของกระบวนการทางสังคม แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการร่วมกันและไม่ได้กำหนดความสัมพันธ์ของการสื่อสารที่ดำเนินการระหว่างบุคคล ไม่ว่าการสื่อสารโดยสัญชาตญาณจะซับซ้อนเพียงใดระหว่างบุคคลที่ประกอบกันเป็นชุมชนสัตว์ การสื่อสารนั้นไม่เคยถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของกิจกรรม "การผลิต" ของพวกเขา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมัน และไม่ถูกไกล่เกลี่ยโดย มัน.
ในทางตรงกันข้าม แรงงานมนุษย์เป็นกิจกรรมทางสังคมโดยธรรมชาติ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความร่วมมือของปัจเจกบุคคล โดยสันนิษฐานว่าอย่างน้อยจะมีการแบ่งหน้าที่ทางเทคนิคขั้นพื้นฐาน แรงงานจึงเป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อธรรมชาติ โดยเชื่อมโยงผู้เข้าร่วมเข้าด้วยกัน เป็นสื่อกลางในการสื่อสารของพวกเขา “ในการผลิต” มาร์กซ์กล่าว “ผู้คนไม่เพียงมีอิทธิพลต่อธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อกันและกันด้วย พวกเขาไม่สามารถผลิตได้โดยปราศจากการเชื่อมต่อในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเพื่อกิจกรรมร่วมกันและเพื่อการแลกเปลี่ยนกิจกรรมร่วมกัน เพื่อที่จะผลิต ผู้คนเข้าสู่การเชื่อมโยงและความสัมพันธ์บางอย่าง และมีเพียงการเชื่อมโยงทางสังคมและความสัมพันธ์เหล่านี้เท่านั้นที่จะมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติและการผลิตเกิดขึ้น” 104
เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญเฉพาะของข้อเท็จจริงนี้ต่อการพัฒนาจิตใจของมนุษย์ก็เพียงพอที่จะวิเคราะห์ว่าโครงสร้างของกิจกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อดำเนินการภายใต้เงื่อนไขของการทำงานโดยรวม
ในระยะแรกของการพัฒนาสังคมมนุษย์ การแบ่งแยกกระบวนการกิจกรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกันก่อนหน้านี้ย่อมเกิดขึ้นระหว่างส่วนการผลิตที่แยกจากกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตอนแรก การแบ่งส่วนนี้ดูเหมือนจะสุ่มและไม่เสถียร ในระหว่างการพัฒนาเพิ่มเติมนั้น จะมีการเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในรูปแบบของการแบ่งงานด้านเทคนิคแบบดั้งเดิม
ตอนนี้ตกเป็นหน้าที่ของบุคคลบางคน เช่น เพื่อรักษาไฟและแปรรูปอาหารบนนั้น ในขณะที่คนอื่นๆ ตกเป็นส่วนแบ่งในการได้รับอาหารเอง ผู้เข้าร่วมบางคนในการล่าสัตว์ร่วมกันทำหน้าที่ของเกมไล่ล่า คนอื่น ๆ - หน้าที่รอมันในการซุ่มโจมตีและโจมตี
สิ่งนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เด็ดขาดและรุนแรงในโครงสร้างของกิจกรรมของแต่ละบุคคล - ผู้เข้าร่วมในกระบวนการแรงงาน
เราเห็นข้างต้นว่ากิจกรรมใดๆ ที่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางชีววิทยาและสัญชาตญาณโดยตรงของสัตว์กับธรรมชาติรอบตัวนั้นมีลักษณะเฉพาะคือความจริงที่ว่ากิจกรรมนั้นมุ่งเป้าไปที่วัตถุที่มีความต้องการทางชีวภาพเสมอและถูกกระตุ้นโดยวัตถุเหล่านี้ ไม่มีกิจกรรมใดในสัตว์ที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางชีวภาพโดยตรงอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้เกิดจากอิทธิพลที่มีความหมายทางชีวภาพสำหรับสัตว์ - ความหมายของวัตถุที่สนองความต้องการที่กำหนดของมัน และที่จะไม่ กำกับในลิงก์สุดท้ายตรงไปยังวัตถุนี้ ดังที่เราได้กล่าวไปแล้วในสัตว์ เรื่องของกิจกรรมและแรงจูงใจทางชีวภาพ (รวมเข้าด้วยกันเสมอสอดคล้องกันเสมอ
ตอนนี้ให้เราพิจารณาจากมุมมองนี้ถึงโครงสร้างพื้นฐานของกิจกรรมของแต่ละบุคคลในเงื่อนไขของกระบวนการแรงงานโดยรวม เมื่อสมาชิกในทีมคนหนึ่งทำกิจกรรมของเขา เขาก็ทำเช่นนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของเขาเช่นกัน ตัวอย่างเช่นกิจกรรมของผู้ตีซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมในการล่าสัตว์โดยรวมนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากความต้องการอาหารหรือบางทีอาจเป็นความต้องการเสื้อผ้าซึ่งผิวหนังของสัตว์ที่ถูกฆ่าทำหน้าที่สำหรับเขา อย่างไรก็ตาม กิจกรรมของเขามุ่งเป้าไปที่อะไรโดยตรง? มันสามารถมุ่งเป้าไปที่การทำให้ฝูงสัตว์หวาดกลัวและชี้นำมันไปยังนักล่าคนอื่น ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในการซุ่มโจมตี อันที่จริงนี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นผลจากกิจกรรมของบุคคลนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้ กิจกรรมของผู้เข้าร่วมแต่ละคนในการล่าก็สิ้นสุดลง ส่วนที่เหลือจะเสร็จสิ้นโดยผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ในการตามล่า เป็นที่ชัดเจนว่าผลลัพธ์นี้ - การไล่เกม ฯลฯ - ไม่ได้และไม่สามารถนำไปสู่การตอบสนองความต้องการอาหารหนังสัตว์ของผู้ตี ฯลฯ ดังนั้นกระบวนการในกิจกรรมของเขาจึงมุ่งเป้าไปที่อะไรจึงไม่ตรงกับ โดยสิ่งที่จูงใจพวกเขาคือไม่ตรงกับจุดประสงค์ของกิจกรรมของเขา: ทั้งสองแยกจากกันที่นี่ เราจะเรียกกระบวนการดังกล่าวซึ่งมีหัวเรื่องและแรงจูงใจที่ไม่ตรงกันว่าการกระทำ ตัวอย่างเช่น เราสามารถพูดได้ว่ากิจกรรมของผู้ตีคือการล่าสัตว์ ในขณะที่การทำให้เกมน่ากลัวคือการกระทำของเขา
เป็นไปได้อย่างไรที่การเกิดของการกระทำ กล่าวคือ การแยกหัวข้อของกิจกรรมและแรงจูงใจของการกระทำนั้นออก? เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปได้เฉพาะในเงื่อนไขของ "กระบวนการร่วมที่มีอิทธิพลต่อธรรมชาติเท่านั้น ผลิตภัณฑ์ของกระบวนการนี้โดยรวมซึ่งสนองความต้องการของส่วนรวมยังนำไปสู่ความพึงพอใจในความต้องการของแต่ละบุคคลด้วย แม้ว่า ตัวเขาเองไม่สามารถดำเนินการขั้นสุดท้ายเหล่านั้นได้ (เช่น โจมตีเหยื่อโดยตรงและฆ่ามัน) ซึ่งนำไปสู่การควบคุมเป้าหมายของความต้องการที่กำหนดโดยตรงอยู่แล้ว (เช่น โดยแหล่งกำเนิดของมัน) การแยกวัตถุและ แรงจูงใจของกิจกรรมส่วนบุคคลเป็นผลมาจากการแยกการดำเนินงานของแต่ละบุคคลอย่างต่อเนื่องจากกิจกรรมที่ซับซ้อนและหลายขั้นตอนก่อนหน้านี้ แต่เป็นกิจกรรมที่เป็นหนึ่งเดียว การดำเนินการของแต่ละคนเหล่านี้ทำให้เนื้อหาของกิจกรรมที่กำหนดของแต่ละบุคคลหมดลง แต่กลายเป็นการกระทำที่เป็นอิสระสำหรับเขา แน่นอนว่าพวกเขายังคงดำเนินต่อไปในกระบวนการแรงงานโดยรวมโดยเหลือเพียงลิงก์ส่วนตัวเพียงลิงก์เดียวเท่านั้น
ข้อกำหนดเบื้องต้นตามธรรมชาติสำหรับการแยกการปฏิบัติงานแต่ละอย่างและการได้มาซึ่งความเป็นอิสระบางประการในแต่ละกิจกรรมนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นประเด็นหลักสองประเด็นต่อไปนี้ (แม้ว่าจะไม่ใช่เพียงประเด็นเดียว) หนึ่งในนั้นคือลักษณะร่วมกันของกิจกรรมตามสัญชาตญาณและการมีอยู่ของ "ลำดับชั้น" ดั้งเดิมของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งพบในชุมชนของสัตว์ชั้นสูงเช่นในหมู่ลิง จุดสำคัญอีกประการหนึ่งคือการระบุตัวตนในกิจกรรมของสัตว์ ซึ่งยังคงรักษาความสมบูรณ์ของมันไว้ทั้งหมด ในสองขั้นตอนที่แตกต่างกัน ได้แก่ ระยะการเตรียมการและระยะการดำเนินการ ซึ่งสามารถเคลื่อนตัวออกจากกันอย่างมีนัยสำคัญทันเวลา ตัวอย่างเช่น การทดลองแสดงให้เห็นว่าการบังคับให้หยุดกิจกรรมในช่วงใดช่วงหนึ่งทำให้สามารถชะลอปฏิกิริยาต่อไปของสัตว์ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่การหยุดพักระหว่างช่วงจะทำให้สัตว์ตัวเดียวกันมีความล่าช้ามากกว่าหลายสิบหรือหลายร้อยเท่า (การทดลองของ Zaporozhets ).
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีความเชื่อมโยงทางพันธุกรรมอย่างไม่ต้องสงสัยระหว่างกิจกรรมทางปัญญาสองขั้นตอนของสัตว์ชั้นสูงและกิจกรรมของบุคคลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแรงงานรวมซึ่งเป็นหนึ่งในการเชื่อมโยง แต่ก็ยังมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างพวกเขา . มีรากฐานมาจากความแตกต่างในความสัมพันธ์และความสัมพันธ์ที่เป็นวัตถุประสงค์ซึ่งรองรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งพวกเขาตอบสนอง และสะท้อนให้เห็นในจิตใจของการแสดงแต่ละบุคคล
ความผิดปกติของกิจกรรมทางปัญญาสองระยะของสัตว์ดังที่เราได้เห็นแล้วว่าการเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองระยะ (หรือหลายระยะ) นั้นถูกกำหนดโดยการเชื่อมต่อทางกายภาพ วัตถุ และความสัมพันธ์ - เชิงพื้นที่ ชั่วคราว เชิงกล ในสภาพธรรมชาติ การดำรงอยู่ของสัตว์ต่างๆ ยังเป็นความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ตามธรรมชาติอยู่เสมอ จิตใจของสัตว์ชั้นสูงนั้นมีลักษณะพิเศษคือความสามารถในการสะท้อนเนื้อหา ความเชื่อมโยงทางธรรมชาติ และความสัมพันธ์เหล่านี้
เมื่อสัตว์ออกนอกเส้นทาง อันดับแรกจะเคลื่อนตัวออกห่างจากเหยื่อแล้วจึงจับมัน จากนั้นกิจกรรมที่ซับซ้อนนี้จะอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ของสถานการณ์ที่กำหนดที่สัตว์รับรู้ ส่วนแรกของเส้นทาง - กิจกรรมระยะแรกจะนำสัตว์ไปสู่โอกาสในการดำเนินการระยะที่สองโดยธรรมชาติ
รูปแบบของกิจกรรมของมนุษย์ที่เรากำลังพิจารณานั้นมีพื้นฐานวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน
ความน่ากลัวของเกมโดยผู้ตีนำไปสู่ความพึงพอใจต่อความต้องการของเขาไม่ใช่เลยเนื่องจากความจริงที่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความสัมพันธ์ตามธรรมชาติของสถานการณ์ทางวัตถุที่กำหนด ในทางกลับกัน ในกรณีปกติ ความสัมพันธ์ตามธรรมชาติเหล่านี้ทำให้เกมน่ากลัวและทำลายโอกาสในการครอบครองเกม แล้วอะไรล่ะที่เชื่อมโยงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทันทีของกิจกรรมนี้กับผลลัพธ์สุดท้าย แน่นอนว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่ม โดยอาศัยการที่เขาได้รับส่วนแบ่งของริบจากมือของพวกเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผลผลิตของกิจกรรมการทำงานร่วมกัน ความสัมพันธ์นี้ ความเชื่อมโยงนี้เกิดขึ้นได้ผ่านกิจกรรมของผู้อื่น ซึ่งหมายความว่าเป็นกิจกรรมของบุคคลอื่นที่เป็นพื้นฐานวัตถุประสงค์ของโครงสร้างเฉพาะของกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าในอดีตนั่นคือการเชื่อมโยงระหว่างแรงจูงใจและหัวข้อของการกระทำซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์และความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไม่เป็นธรรมชาติ แต่เป็นไปตามวัตถุประสงค์
ดังนั้น กิจกรรมที่ซับซ้อนของสัตว์ชั้นสูง ซึ่งขึ้นอยู่กับการเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ทางวัตถุตามธรรมชาติ กลายเป็นกิจกรรมในมนุษย์ ขึ้นอยู่กับการเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ที่แต่เดิมเป็นสังคม สิ่งนี้ถือเป็นสาเหตุทันทีเนื่องจากการสะท้อนความเป็นจริงในรูปแบบของมนุษย์โดยเฉพาะเกิดขึ้น - จิตสำนึกของมนุษย์
การแยกการกระทำจำเป็นต้องสันนิษฐานถึงความเป็นไปได้ของการสะท้อนทางจิตโดยตัวแบบที่ทำหน้าที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจที่เป็นวัตถุประสงค์ของการกระทำและตัวแบบของมัน มิฉะนั้นการกระทำดังกล่าวจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น หากเราย้อนกลับไปดูตัวอย่างก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าการกระทำของผู้ตีเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเขาสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการกระทำที่เขาทำเป็นการส่วนตัวกับผลลัพธ์สุดท้ายของกระบวนการล่าสัตว์โดยรวม - การโจมตีจากการซุ่มโจมตีสัตว์ที่กำลังหลบหนี ฆ่ามัน และสุดท้ายก็กินเป็นอาหาร ในขั้นต้น ความเชื่อมโยงนี้ปรากฏแก่บุคคลในรูปแบบที่ยังรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัส - ในรูปแบบของการกระทำจริงของผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ในการทำงาน การกระทำของพวกเขาถ่ายทอดความหมายของการกระทำของผู้ตี ในทำนองเดียวกันและในทางกลับกัน เฉพาะการกระทำของผู้ตีเท่านั้นที่พิสูจน์ได้ ให้ความหมายกับการกระทำของผู้คนที่รอเกมในการซุ่มโจมตี ถ้าไม่ใช่เพราะการกระทำของผู้ตี การซุ่มโจมตีก็คงไร้จุดหมายและไม่ยุติธรรม
ด้วยเหตุนี้ เราจึงพบทัศนคติเช่นนี้ ความเชื่อมโยงซึ่งกำหนดทิศทางของกิจกรรมอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้โดยพื้นฐานแล้วแตกต่างไปจากความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของสัตว์ มันถูกสร้างขึ้นจากกิจกรรมร่วมกันของผู้คน และภายนอกมันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่การกระทำภายใต้ความสัมพันธ์ใหม่นี้มุ่งเป้าไปที่อาจไม่มีความหมายทางชีววิทยาโดยตรงสำหรับบุคคลและบางครั้งก็ขัดแย้งกันด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น การล้างเกมออกไปนั้นไม่มีความหมายทางชีวภาพ จะได้รับความหมายเฉพาะในเงื่อนไขของกิจกรรมแรงงานส่วนรวมเท่านั้น เงื่อนไขเหล่านี้ให้การกระทำที่มีความหมายที่สมเหตุสมผลของมนุษย์
ดังนั้นพร้อมกับการกำเนิดของการกระทำ "หน่วย" หลักของกิจกรรมของมนุษย์ซึ่งเป็น "หน่วย" หลักทางสังคมในธรรมชาติของจิตใจมนุษย์จึงเกิดขึ้น - ความหมายที่สมเหตุสมผลสำหรับบุคคลที่กิจกรรมของเขามุ่งไป
มีความจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษเพราะนี่เป็นจุดสำคัญมากสำหรับความเข้าใจทางจิตวิทยาที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับการกำเนิดของจิตสำนึก ให้เราอธิบายความคิดของเราอีกครั้ง
เมื่อแมงมุมวิ่งไปในทิศทางของวัตถุที่กำลังสั่น กิจกรรมของมันจะขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ตามธรรมชาติที่เชื่อมโยงการสั่นสะเทือนกับคุณภาพทางโภชนาการของแมลงที่จับได้ในใย เนื่องจากความสัมพันธ์นี้ การสั่นสะเทือนจึงได้รับความหมายทางชีวภาพของอาหารสำหรับแมงมุม แม้ว่าความเชื่อมโยงระหว่างคุณสมบัติของแมลงในการทำให้ใยสั่นสะเทือนและคุณสมบัติของการทำหน้าที่เป็นอาหาร จริงๆ แล้วเป็นตัวกำหนดกิจกรรมของแมงมุม ในฐานะความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ที่มันถูกซ่อนไว้จากมัน แต่แมงมุมนั้น “ไม่มีอยู่จริงสำหรับมัน” นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ถ้าคุณนำวัตถุที่มีการสั่นสะเทือน เช่น ส้อมเสียง ที่มีเสียง มาที่เว็บ แมงมุมก็ยังคงพุ่งเข้าหามัน
ผู้ตีที่ทำให้เกมหวาดกลัวยังทำให้การกระทำของเขาอยู่ภายใต้การเชื่อมต่อบางอย่างความสัมพันธ์บางอย่างคือความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงการหลบหนีของเหยื่อและการจับกุมในภายหลัง แต่พื้นฐานของการเชื่อมต่อนี้ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติอีกต่อไป แต่เป็น ความสัมพันธ์ทางสังคม - ความสัมพันธ์ด้านแรงงานของผู้ตีกับผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ การล่าสัตว์โดยรวม
ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว แน่นอนว่าการมองเห็นของเกมนั้นไม่สามารถชักจูงให้เกมถูกลบออกไปได้ เพื่อให้บุคคลรับหน้าที่เป็นผู้ตีได้ การกระทำของเขาจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงผลลัพธ์กับผลลัพธ์สุดท้ายของกิจกรรมโดยรวม จำเป็นสำหรับความสัมพันธ์นี้ที่จะต้องสะท้อนให้เห็นโดยอัตวิสัยเพื่อให้ "มีอยู่สำหรับเขา" กล่าวอีกนัยหนึ่งคือจำเป็นต้องเปิดเผยความหมายของการกระทำของเขา - เพื่อให้เขาตระหนัก จิตสำนึกถึงความหมายของการกระทำเกิดขึ้นในรูปแบบของการสะท้อนวัตถุซึ่งเป็นเป้าหมายที่มีสติ
ตอนนี้ความเชื่อมโยงระหว่างเป้าหมายของการกระทำ (เป้าหมาย) และสิ่งที่กระตุ้นกิจกรรม (แรงจูงใจ) ได้รับการเปิดเผยต่อผู้ถูกทดสอบเป็นครั้งแรก มันเปิดเผยตัวเองต่อเขาในรูปแบบที่กระตุ้นความรู้สึกโดยตรง - ในรูปแบบของกิจกรรมของกลุ่มแรงงานมนุษย์ ขณะนี้กิจกรรมนี้สะท้อนให้เห็นในหัวของบุคคล ไม่ใช่ในเอกภาพเชิงอัตวิสัยกับวัตถุอีกต่อไป แต่เป็นทัศนคติเชิงวัตถุวิสัยของวัตถุที่มีต่อสิ่งนั้น แน่นอนว่าภายใต้เงื่อนไขที่พิจารณา นี่เป็นเรื่องรวมเสมอ ดังนั้นความสัมพันธ์ของผู้เข้าร่วมงานแต่ละคนจึงสะท้อนให้เห็นในขั้นต้นเฉพาะในขอบเขตที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาตรงกับความสัมพันธ์ของกลุ่มแรงงานโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนที่สำคัญและเด็ดขาดที่สุดได้ดำเนินการไปแล้ว กิจกรรมของผู้คนในปัจจุบันถูกแยกออกจากจิตสำนึกจากวัตถุ พวกเขาเริ่มได้รับการยอมรับว่าเป็นทัศนคติของพวกเขาอย่างแม่นยำ แต่นี่หมายความว่าธรรมชาติเอง - วัตถุของโลกรอบตัว - ตอนนี้โดดเด่นสำหรับพวกเขาและปรากฏในความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับความต้องการของส่วนรวมต่อกิจกรรมของมัน ดังนั้น อาหารจึงถูกมองว่าเป็นวัตถุของกิจกรรมบางอย่าง เช่น การค้นหา การล่าสัตว์ การทำอาหาร และในขณะเดียวกันก็เป็นวัตถุที่สนองความต้องการบางอย่างของผู้คน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีพฤติกรรมโดยตรงหรือไม่ก็ตาม ต้องการมันและไม่ว่าตอนนี้จะเป็นวัตถุกิจกรรมของเขาเองหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถแยกความแตกต่างจากวัตถุแห่งความเป็นจริงอื่น ๆ ไม่เพียงแต่ในทางปฏิบัติในกิจกรรมเองและขึ้นอยู่กับความต้องการที่มีอยู่ แต่ยัง "ในทางทฤษฎี" นั่นคือสามารถเก็บไว้ในจิตสำนึกมันสามารถกลายเป็น "ความคิด" ”
จากมุมมองของวัตถุนิยมสู่คำถาม: เงื่อนไขในการพัฒนาจิตสำนึกเค. มาร์กซ์ ตอบเป็นครั้งแรก งานของเขาได้กำหนดไว้ล่วงหน้าถึงความจริงที่ว่าจิตสำนึกเริ่มได้รับการศึกษาไม่เพียง แต่เป็น "สิ่งในตัวเอง" ที่เป็นของบุคคลที่กำหนดเท่านั้น แต่ยังเป็นผลจากการพัฒนาของสังคมมนุษย์ด้วย เป็นแนวคิดนี้ที่ L. S. Vygotsky และ A. N. Leontiev ใช้เป็นพื้นฐานในการอธิบายสาเหตุของการเกิดขึ้นและการพัฒนาจิตสำนึก ในรูปแบบทั่วไปที่สุด ตำแหน่งของพวกเขาสามารถแสดงออกมาในคำพูดของ A. N. Leontyev: "...จิตสำนึกส่วนบุคคลในฐานะรูปแบบของมนุษย์โดยเฉพาะของการสะท้อนอัตนัยของความเป็นจริงตามวัตถุประสงค์สามารถเข้าใจได้ในฐานะผลิตภัณฑ์ของความสัมพันธ์และการไกล่เกลี่ยที่เกิดขึ้นในระหว่าง การก่อตัวและการพัฒนาของสังคม ภายนอกระบบของความสัมพันธ์เหล่านี้ (และภายนอกจิตสำนึกทางสังคม) การดำรงอยู่ของจิตใจส่วนบุคคลในรูปแบบของการสะท้อนอย่างมีสติ ภาพที่มีสติเป็นไปไม่ได้”
หลัก สภาวะของการเกิดขึ้นของจิตสำนึกอยู่ในที่ทำงาน แรงงานเป็นที่ต้องการของมนุษยชาติในนามของความอยู่รอด งานมีความสำคัญทางสังคมเสมอ เนื่องจากไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะทำอะไร เขามักจะพบว่าตัวเองรวมอยู่ในระบบความสัมพันธ์กับผู้อื่นเสมอ ท้ายที่สุดแล้ว โอกาสในการทำงานนั้นเกิดขึ้นได้จากการผสมผสานประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนและส่งต่อไปยังรุ่นต่อๆ ไป ในทางกลับกัน แรงงานก็ให้โอกาส:
- การปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเป็นอยู่โดยอาศัยอิทธิพลอย่างแข็งขันต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเครื่องมือ
- การคิดเชิงเปลี่ยนแปลงและการสื่อสารกับผู้อื่นเช่นคุณผ่านคำพูด (ซึ่งเพิ่มระดับความสัมพันธ์ในกระบวนการทำงานร่วมกัน)
- การก่อตัวของกฎทั่วไปของสังคมมนุษย์ในรูปแบบของค่านิยมทางศีลธรรม
มนุษย์ผู้สูงส่งทั้งหมดนี้อยู่เหนือส่วนอื่น ๆ ของโลกสัตว์และนำไปสู่การก่อตัวของจิตสำนึก มีข้อเท็จจริงหลายประการที่สนับสนุนกระบวนทัศน์แรงงานในปัญหาการกำเนิดของจิตสำนึก ประการแรกความจริงของการเปลี่ยนจาก "สี่ขา" เป็น "สองเท้า" และการปล่อยแขนขาเพื่อพัฒนาทักษะด้านแรงงานเพื่อการพัฒนาประสาทสัมผัส (โดยเฉพาะการมองเห็น) ประการที่สอง ปรับปรุงโครงสร้างและการทำงานของระบบประสาท (เพิ่มน้ำหนักและปริมาตรของสมองเมื่อเทียบกับสัตว์ชั้นสูง เพิ่มพื้นที่ผิวของเปลือกสมอง เป็นต้น) ประการที่สาม การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้าง "การจัดการ" ของเปลือกสมอง: พื้นที่ของเยื่อหุ้มสมองที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับกิจกรรมแรงงานมนุษย์ได้รับการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (ตัวอย่างเช่น พื้นที่ส่วนหน้า - หน้าผาก และข้างขม่อมของเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งรับผิดชอบด้านจิตสำนึก พฤติกรรมเพิ่มขึ้น)
ข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่สามารถโน้มน้าวฝ่ายตรงข้ามของแนวคิดวัตถุนิยมได้ แต่ข้อเท็จจริงเหล่านี้เข้ากันได้ดีกับมุมมองวัตถุนิยมเกี่ยวกับต้นกำเนิดและการพัฒนาของจิตสำนึก ฝ่ายตรงข้ามบางคนมีแนวโน้มที่จะตีความทางชีววิทยาของแก่นแท้ของจิตสำนึก ตัวอย่างเช่น พวกเขาอธิบายฟังก์ชันการรับรู้จำนวนหนึ่งของจิตใจโดยอาศัยลักษณะเฉพาะของปฏิสัมพันธ์ของโครงข่ายประสาทเทียม การเคลื่อนไหวของผู้สนับสนุนการลดจิตวิทยาไปสู่ทางชีววิทยานี้เรียกว่าการลดขนาด แต่แนวคิดนี้ก็ไม่ได้ปราศจาก "หลุมดำ" ความรัก มิตรภาพ การอุทิศตนต่อความคิด ความพร้อมในการเสียสละ และอื่นๆ อีกมากมาย ไม่น่าจะเข้าใจได้ในอนาคตอันใกล้นี้ผ่านมุมมองของพวกลดขนาด จิตสำนึกไม่เท่ากับทางชีววิทยาหรือแม้แต่ทางสังคม นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความลับสุดท้ายของธรรมชาติ ข้อเท็จจริงนี้เองที่ทำให้นักอุดมคติที่ยืนยันความศักดิ์สิทธิ์แห่งจิตสำนึกสามารถยืนยันจุดยืนของตนได้
มีบทบาทพิเศษในการสร้างมุมมองทางวัตถุเกี่ยวกับการพัฒนาจิตสำนึกโดยผลงานของ L. S. Vygotsky (พ.ศ. 2439-2477) และแนวคิดทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของเขาเกี่ยวกับการพัฒนาจิตใจมนุษย์ ศูนย์กลางของแนวคิดคือการยืนยันว่าเครื่องมือเปิดโอกาสให้บุคคล (ซึ่งแน่นอนว่าเป็นบุคคลในอนาคต) เพื่อใช้หน้าที่ทางจิตขั้นสูงของตนอย่างมีประสิทธิภาพ (ความสนใจและความจำโดยสมัครใจ การคิดเชิงตรรกะ จินตนาการ ฯลฯ) บุคคลทำเช่นนี้ด้วยวิธีการเชิงสัญลักษณ์ (เช่น คำพูด) ซึ่งมีต้นกำเนิดทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ผู้เขียนแนวคิดนี้มุ่งความสนใจไปที่ประเด็นสำคัญสามประเด็น
ประการแรก: ปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม (รูปแบบแรกเริ่มคือการปรับตัวแบบพาสซีฟ จากนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงรุก) นำไปสู่การเกิดขึ้นของเครื่องมือและแรงงานเองเป็นปัจจัยในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน
ประการที่สอง: ในกระบวนการแรงงาน การทำงานของจิตที่สูงขึ้นปรากฏขึ้นและพัฒนา การพัฒนานี้เกิดขึ้นจากการใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาเป็นหลัก - สัญญาณ ในตอนแรกสัญญาณเป็นสัญญาณวัตถุ (เครื่องหมายบนหินและต้นไม้ สีสิ่งของในครัวเรือนหรือวัตถุธรรมชาติ ฯลฯ ) จากนั้นจึงหมายถึงคำพูด
ประการที่สาม: ในตอนแรก "สัญญาณ - คำพูด" มุ่งเน้นไปที่คนอื่นเป็นหลัก (คำสั่ง: "หยิบ" "ให้" "นำมา" ฯลฯ ) เช่น พวกเขามีลักษณะทางสหวิทยาวิทยา (ระหว่างบุคคล) แต่เมื่อเวลาผ่านไปคน ๆ หนึ่งเริ่มให้ความสำคัญกับสัญญาณเหล่านี้ (คำสั่งคำพูด) กับตัวเองกับพฤติกรรมของเขาทำให้พวกเขามีลักษณะทางจิตวิทยา ตัวอย่างของสัญญาณสมัยใหม่ ได้แก่ รายการในวารสารอิเล็กทรอนิกส์รายสัปดาห์ของนักธุรกิจ "ปมแห่งความทรงจำ" ที่มีชื่อเสียง ฯลฯ เมื่อพิจารณาจากสัญญาณเหล่านี้ บุคคลจะเริ่มดำเนินการด้วยตนเอง ดูเหมือนว่าสัญญาณจะมีบทบาทเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการทำงานของจิตใจที่สูงขึ้นของแต่ละบุคคล (ในตัวอย่างที่ให้ไว้ - สำหรับความจำโดยสมัครใจ กิจกรรมทางจิต) ผู้เขียนเรียกกระบวนการเปลี่ยนคุณลักษณะภายนอกของโลกแห่งความเป็นจริงนี้ไปสู่กระบวนการคิดภายในและการทำให้ภาพเป็นภายใน ตามที่ J. Piaget กล่าว นี่คือการเปลี่ยนแปลงของจิตใจจากการกระทำที่รับความรู้สึกไปสู่ความคิด