การเสริมสร้างอำนาจของซาร์นั้นแสดงออกในการทรงสร้างในปี 1704 คณะรัฐมนตรีของ Peter I- สถาบันที่มีลักษณะเป็นสำนักงานส่วนตัวของประมุขแห่งรัฐในหลายประเด็นด้านกฎหมายและการบริหาร กลไกของคณะรัฐมนตรีประกอบด้วยเลขานุการสำนักงานหนึ่งคนและเสมียนหลายคน เรียกว่าเสมียน เสมียนย่อย และผู้คัดลอก สำนักงานแห่งนี้มีลักษณะของสำนักงานรณรงค์ทางทหารของซาร์ ซึ่งเป็นที่รับรายงานของกองทหารและเอกสารทางการทหารและการเงินอื่นๆ เจ้าหน้าที่คณะรัฐมนตรีเก็บ "วารสาร" รายวันเช่น บันทึกการเสด็จประทับและงานอดิเรกของกษัตริย์ ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงเหตุการณ์ในศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเหตุการณ์ทางทหารด้วย Peter I โอนเอกสาร ภาพวาด และหนังสือทั้งหมดไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัย

เมื่อเวลาผ่านไป บทบาทของคณะรัฐมนตรีก็เพิ่มขึ้น ปีเตอร์ฉันติดต่อกับทูตรัสเซียในต่างประเทศ ผู้ว่าการรัฐ รวมถึงการโต้ตอบในเรื่องเหมืองแร่และการผลิตผ่านเขา (เกี่ยวกับการออกสิทธิพิเศษ เกี่ยวกับโรงงานของรัฐ รัฐ ฯลฯ) คำร้อง คำร้องเรียน และแม้กระทั่งคำประณามจากประชาชนถูกส่งไปยังคณะรัฐมนตรีแล้ว นอกจากนี้ ปีเตอร์ที่ 1 ยังคงติดต่อกับวุฒิสภา สมัชชา เพื่อนร่วมงาน และผู้ว่าการรัฐผ่านคณะรัฐมนตรี ร่างนี้หยุดอยู่ในปี 1727 หลังจากการตายของปีเตอร์

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1711ก่อตั้งขึ้น วุฒิสภาที่ปกครองตั้งแต่นั้นมา Boyar Duma ก็เป็นรัฐสุดท้าย ร่างที่จำกัดอำนาจของกษัตริย์ก็ถูกยกเลิก คณะรัฐมนตรีก็เลิกกิจการด้วย ในทางกลับกัน มีการจัดตั้งองค์กรวิทยาลัยรัฐบาลสูงสุดที่ทำงานถาวรขึ้น นั่นคือวุฒิสภา "สำหรับการที่เราไม่อยู่ในสงครามเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง" ดังนั้นวุฒิสภาจึงได้รับคำสั่งให้เชื่อฟังเช่นเดียวกับตนเอง กษัตริย์ทรงเขียนข้อความถวายสัตย์ปฏิญาณแก่สมาชิกวุฒิสภาเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีข้อความว่า “ฉันสัญญา... ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่งว่า ฉันจะทำตามการเรียกของฉันอย่างซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ ปราศจากความเกียจคร้าน แต่มีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น”

ในตอนแรกวุฒิสภาประกอบด้วยบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากซาร์จากนั้นก็กลายเป็นการประชุมของประธานาธิบดีของวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 1722 มีการจัดองค์ประกอบที่หลากหลายรวมทั้งประธานาธิบดีของวิทยาลัยและสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพิเศษ - วุฒิสมาชิกคนต่างด้าวในวิทยาลัย หน่วยงานของรัฐนี้มีหน้าที่รับผิดชอบด้านกระบวนการยุติธรรม ค่าใช้จ่ายในการคลังและภาษี การค้า และการควบคุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทุกระดับ

วุฒิสภามี: ตารางจำหน่าย(ต่อมาได้ถูกแทนที่ด้วยสำนักประกาศ) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนขุนนาง การรับราชการ การแต่งตั้งตำแหน่งทางราชการ และ ห้องประหารชีวิต- เพื่อสอบสวนอาชญากรรมของทางการ

ในตอนแรก วุฒิสภามีหน้าที่ด้านนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เขาต้องดูแลการรักษาความยุติธรรมเกี่ยวกับรายได้ของรัฐ (“เก็บเงินให้ได้มากที่สุดเนื่องจากเงินคือเส้นเลือดแดงของสงคราม”) และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเข้าร่วมของขุนนางในการรับราชการทหาร ฯลฯ

โดยได้รับมอบหมายให้จัดและควบคุมกิจกรรมของวุฒิสภา อัยการสูงสุดซึ่งมีหน้าที่ ได้แก่ “นั่งในวุฒิสภาเฝ้าดูอย่างแน่วแน่เพื่อให้วุฒิสภาดำรงตำแหน่งและในเรื่องต่างๆ ที่วุฒิสภาพิจารณาและวินิจฉัยอย่างแท้จริง กระตือรือร้น และเหมาะสม โดยไม่เสียเวลาตามระเบียบและกฤษฎีกา ” อัยการสูงสุดยังเรียกประชุมวุฒิสมาชิก ติดตามการเข้าร่วมการประชุม และเข้าร่วมการประชุมด้วยตนเอง เขาและผู้ช่วยของเขา หัวหน้าอัยการ ใช้การกำกับดูแลกิจกรรมของทุกสถาบัน อัยการสูงสุดซึ่งรับผิดชอบเฉพาะกษัตริย์เท่านั้น เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของวิทยาลัยและศาล คดีทั้งหมดที่มาถึงวุฒิสภาผ่านมือของเขา

หน่วยงานของรัฐและการจัดการของจักรวรรดิรัสเซีย

ภายใต้ปีเตอร์ที่ 1

วุฒิสภาเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านกลไกและเจ้าหน้าที่ของรัฐ การกำกับดูแลนี้ดำเนินการโดย "ผู้พิทักษ์ศีลธรรมของระบบราชการ" - การคลัง- หน้าที่ของพวกเขา ได้แก่ การแอบฟัง “ตรวจสอบ” และการรายงานอาชญากรรมทั้งหมดที่เป็นอันตรายต่อรัฐ เช่น การละเมิดกฎหมาย การฉ้อฉล การติดสินบน ฯลฯ การคลังไม่ได้รับการลงโทษสำหรับการเพิกถอนที่ไม่เป็นธรรม แต่สำหรับการเพิกถอนที่ถูกต้องเขาได้รับรางวัลเท่ากับครึ่งหนึ่งของค่าปรับของศาลจากเจ้าหน้าที่ที่เขาตัดสินลงโทษ กิจกรรมของพวกเขานำโดยหัวหน้าฝ่ายการคลังและหัวหน้าฝ่ายการเงินซึ่งเป็นสมาชิกของวุฒิสภา การคลังที่วิทยาลัย การคลังของจังหวัดในจังหวัด และการคลังของเมืองในเมืองต่างๆ อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา

แตกต่างจาก Boyar Duma วุฒิสภาที่ปกครองในปีแรกของกิจกรรมได้กลายเป็นสถาบันราชการที่มีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้ง เสมียน และสถาบันรอง

วุฒิสภามีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับลัทธิสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เขามุ่งความสนใจไปที่ความเป็นผู้นำของหน่วยงานรัฐบาลกลางและท้องถิ่น และการตัดสินใจของเขาไม่อยู่ภายใต้การอุทธรณ์

หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 บทบาทของวุฒิสภาในฐานะองค์กรที่กำกับดูแลกิจกรรมของสถาบันรัฐบาลกลางเริ่มลดลง

ในปี ค.ศ. 1726 เพื่อแก้ไขปัญหานโยบายภายในประเทศและต่างประเทศจึงถูกสร้างขึ้น สภาองคมนตรีสูงสุดด้วยองค์ประกอบที่แคบมาก มีบทบาทชี้ขาดในกิจกรรมของเขา เมนชิคอฟ และผู้สนับสนุนที่ใกล้ชิดที่สุดของเขา หลังจากการตายของปีเตอร์ วุฒิสภาและเพื่อนร่วมงานก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสภาองคมนตรีสูงสุด ในปี ค.ศ. 1730 ก็ถูกยกเลิก

ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2274 คณะรัฐมนตรีซึ่งในตอนแรกมีลักษณะเป็นการให้คำปรึกษา แต่ตามพระราชกฤษฎีกาปี 1735 ก็ได้รับอำนาจนิติบัญญัติ วิทยาลัยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้อำนาจโดยยื่นรายงานต่อคณะรัฐมนตรี เขาทำงานจนถึงปี 1741

กิจกรรมของวุฒิสภาเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง นอกจากวุฒิสภาแล้ว ปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของชาติยังได้รับการแก้ไขโดยวุฒิสภาที่สร้างขึ้นในปี 1741 คณะรัฐมนตรีของพระองค์นำโดยราชเลขาของจักรพรรดินี เอลิซาเวต้า เปตรอฟนา .

ที่ ปีเตอร์ที่ 3 ก่อตั้งขึ้น สภาอิมพีเรียลซึ่งประกอบด้วยคน 8 คน

พระเจ้าแคทเธอรีนที่ 2 สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2312 สภาที่ศาลสูงสุด- ในตอนแรกเขาจัดการกับปัญหาทางการทหาร จากนั้นจึงจัดการกับการเมืองภายในของประเทศ รวมถึงหัวหน้าหน่วยงานรัฐบาลกลาง และดำเนินการจนถึงปี 1801

ก่อนที่จะมีการก่อตั้งวิทยาลัย หน่วยงานกำกับดูแลส่วนกลางก็เคยเป็น คำสั่งซื้อ.

ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 มีออเดอร์ประมาณ 100 ออเดอร์ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาทั้งหมดทำพร้อมกัน มีเพียง 40-50 คนเท่านั้นที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลือลุกขึ้นและหยุดกิจกรรมตามความจำเป็น คำสั่งที่สำคัญที่สุดคือสามคำสั่ง: เอกอัครราชทูต การปลดประจำการ และท้องถิ่น พวกเขาเป็นเสาหลักของระบบบริหารสาธารณะของรัสเซียมานานกว่า 200 ปี ความไม่แน่นอนของจำนวนคำสั่งซื้อเป็นสาระสำคัญของระบบคำสั่งซื้อนั้นเอง - ลื่นไหล เปลี่ยนแปลง ปรับตัวให้เข้ากับเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ต่างๆ และในขณะเดียวกันก็ไม่เปลี่ยนแปลง ระบบการสั่งซื้อค่อนข้างยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกันก็เรียบง่ายและสะดวกตามยุคสมัย ประสบการณ์ที่กำหนดเองและผ่านการทดสอบมาหลายศตวรรษครอบงำทุกสิ่ง พนักงานเข้าใจความซับซ้อนของเรื่องต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

คำสั่งทั้งหมดแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่: 1) คำสั่งของความสามารถระดับชาติ 2) วัง 3) ปรมาจารย์ คำสั่งกลุ่มแรกเน้นหน้าที่หลักในการปกครองรัฐรัสเซีย มีจำนวนมากที่สุดและรวมทั้งคำสั่งถาวรและชั่วคราว

การรวมศูนย์และการจัดระบบการบริหารงานในศตวรรษที่ 17 กลายเป็นไปไม่ได้เพราะการก่อตัวและการทำงานของระบบคำสั่งนั้นขึ้นอยู่กับหลักการที่ไม่อนุญาตให้พัฒนาไปสู่ระบบการจัดการภาคส่วนที่เข้มงวด ความเข้มข้นของเคสต่างๆ ในลำดับที่แยกจากกันถูกรวมเข้ากับการกระจายของเคสที่เหมือนกันและเหมือนกันระหว่างคำสั่งต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดงานเย็บปะติดปะต่อกันของแผนก ตัวอย่างเช่น เอกอัครราชทูต Prikaz ไม่เพียงแต่จัดการกับนโยบายต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องอื่นๆ มากมายด้วย มันเก็บบันทึกของชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในรัสเซีย จัดการกับพวกตาตาร์คาซิมอฟ ค่าไถ่นักโทษ ฯลฯ นับตั้งแต่ยุค 60 ศตวรรษที่ 17 คำสั่งของสถานทูตมีหน้าที่ดูแลที่ทำการไปรษณีย์ กิจการของดอนคอสแซค ศาลและการเก็บภาษีศุลกากรและรายได้จากโรงเตี๊ยม การแต่งตั้งผู้ว่าการ เสมียน ฯลฯ กิจการท้องถิ่นและมรดกได้รับการพยายามใน Local Prikaz แต่พวกเขาก็อยู่ในความสามารถของคำสั่งอื่น ๆ เช่น Razryadny, Siberian, Kazan

ความสมบูรณ์ของสิทธิที่มีอยู่ในกิจกรรมของคำสั่งอาณาเขตเช่นคาซาน, แอสตราคาน, ไซบีเรียน, สโมเลนสกี้ขัดแย้งกับการทำงานของคำสั่ง "ภาคส่วน" - เอกอัครราชทูต, การปลดประจำการ, ท้องถิ่นและอื่น ๆ จนกระทั่งสิ้นสุดการดำรงอยู่ของระบบการสั่งซื้อ พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศถูกควบคุมโดยคำสั่งอาณาเขต (ภูมิภาค) พวกเขามีอำนาจทั้งหมดของสถาบันกลาง แต่เฉพาะในดินแดนบางแห่งเท่านั้น ในเวลานั้นสิ่งนี้เป็นที่ยอมรับมากที่สุดในเรื่องความสมบูรณ์ของรัฐและอำนาจเผด็จการ

ในศตวรรษที่ 17 ความสัมพันธ์ระหว่างคำสั่งไม่ได้ถูกควบคุมโดยกฎหมายเฉพาะใดๆ ในทางปฏิบัติได้มีการพัฒนาวิธีความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันต่างๆ ซึ่งเสมียนปฏิบัติตามแบบดั้งเดิม คำสั่งไม่สามารถออกคำสั่งแก่ส่วนราชการที่อยู่ใต้บังคับบัญชาอื่นได้ คุณลักษณะเฉพาะของระบบคำสั่งซื้อคือการมีอยู่ของระบบการรวมคำสั่งซื้อที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งประกอบด้วยคำสั่งซื้อหลักและรางวัล (ดังนั้น Malorossiysk, Novgorod ฯลฯ จึงตกอยู่ภายใต้การอยู่ใต้บังคับบัญชาของคำสั่งเอกอัครราชทูต) ศาลไม่มีผู้พิพากษาของตนเอง คำสั่งดังกล่าวไม่เปลี่ยนโครงสร้างภายใน ตกอยู่ใต้บังคับบัญชาของคำสั่งอื่นและมีผู้พิพากษาร่วมกันซึ่งเป็นผู้พิพากษาในคำสั่งบังคับบัญชา นอกจากกิจการตามคำสั่งแล้ว เขายังตรวจสอบกิจการของศาลด้วย หลังกลายเป็นตารางของลำดับหลักได้อย่างง่ายดายและสามารถ "เดิน" จากลำดับหนึ่งไปอีกลำดับหนึ่งได้

การชำระบัญชีคำสั่งในฐานะหน่วยงานอิสระไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่มีโอกาสได้เกิดใหม่ในฐานะสถาบันอิสระซึ่งเป็นคำสั่งที่เต็มเปี่ยม ความไม่แน่นอนของโครงสร้างคำสั่งซื้อนี้ทำให้คำสั่งซื้อสามารถรวมและแยกออกจากกันได้

ด้วยคำสั่งรัฐไม่เพียงดำเนินการทางการฑูตการบริหารภาคส่วนหรือดินแดนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการกลุ่มสังคมซึ่งก่อตั้งขึ้นและดำรงอยู่ในรูปแบบของหมวดหมู่บริการสาธารณะเฉพาะ - อันดับ ดังนั้นคำสั่งจึงเป็นทั้งหน่วยงานตุลาการและฝ่ายบริหาร ในด้านตุลาการ กระบวนการรวมศูนย์ก็ไม่สอดคล้องกันหรือตรงไปตรงมาเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ระเบียบท้องถิ่นมีสองกองทหารและดำเนินการพิจารณาคดีและการตอบโต้โดยอิสระ

การจัดหาเงินทุนสำหรับคำสั่งซื้อสะท้อนให้เห็นถึงสาระสำคัญของระบบคำสั่งซื้อ: คำสั่งซื้อที่สร้างขึ้นคือคำสั่งซื้อ และต้องการแหล่งที่มาของเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นภาษีพิเศษหรือจำนวนเงินที่แยกจากโต๊ะเงินสดของคำสั่งซื้ออื่น นอกจากนี้ยังมีการแนบดินแดนบางแห่งเข้ากับคำสั่งซึ่งเขาเรียกเก็บภาษีจากประชากร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการพัฒนาชุดค่าผสมของใบสั่งรายได้และใบสั่งค่าใช้จ่ายบางรายการ แต่เงินจำนวนมากถูกแจกจ่ายอย่างไม่ตั้งใจ หากคำสั่งซื้อหนึ่งมีเงิน มันก็จะไปยังคำสั่งซื้อที่มีไม่เพียงพอ

ปีเตอร์ที่ 1 พยายามปรับระบบการสั่งซื้อให้ตรงกับความต้องการของรัฐ (ส่วนใหญ่เป็นทหาร) ในปี ค.ศ. 1689 มีการก่อตั้ง Preobrazhensky Prikaz โดยเริ่มแรกดูแลกิจการของกองทหาร Preobrazhensky และ Semenovsky

ในระหว่างการเตรียมการสำหรับการรณรงค์ Azov ครั้งที่สองในปี 1696 ได้มีการสร้างคำสั่งเรือหรือทหารเรือซึ่งเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างเรืออาวุธและอุปกรณ์ของพวกเขา

ในปี ค.ศ. 1700 มีการจัดตั้ง Provision Order เพื่อจัดหาอาหารและเครื่องแบบให้กับกองทหารแบบรวมศูนย์ ในเวลาเดียวกันคำสั่ง Reitarsky และ Inozemny ได้รวมเข้าด้วยกันและได้รับชื่อ Order of Military Affairs

เมื่อสังเกตข้อบกพร่องร้ายแรงของระบบสั่งการการจัดการต้องบอกว่ายังคงบรรลุบทบาทในการรวมศูนย์รัฐรัสเซีย

ขึ้นอยู่กับวัสดุของคำสั่งเอกอัครราชทูต - หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในระบบการจัดการ - เป็นไปได้ที่จะสร้างลำดับชั้นของตำแหน่งราชการในราชการพลเรือนในศตวรรษที่ 17:

1) อันดับ Duma: โบยาร์, โอโคลนิชี่, ขุนนางดูมา, เสมียนดูมา

2) ขุนนางตามรายชื่อมอสโก: ผู้แปลบทความที่ 1, ผู้แปลบทความที่ 2, ล่าม (นักแปล)

4) เสมียนบทความที่ 1: อาลักษณ์ทองคำของบทความที่ 1, เสมียนบทความที่ 1, 3, เสมียนที่ไม่เหมาะสม

5) บริการประชาชนในปิตุภูมิ: ผู้แปลบทความที่ 1, ผู้แปลบทความที่ 2, ล่าม, หัวหน้าหมู่บ้าน, ชาวบ้านในหมู่บ้าน

6) บริการประชาชนตามเครื่องมือ: นักแปลบทความที่ 1, นักแปลบทความที่ 2, นักเขียนระดับทองของบทความที่ 2, ล่าม, คนงานในหมู่บ้าน, ปลัดอำเภอ, ทหารยาม

ทุกคนที่เข้ารับราชการใน Ambassadorial Prikaz โดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสังคม ถูกจัดว่าเป็นสมาชิกของชนชั้นบริการ ดังนั้น การสร้างใหม่นี้เป็นความพยายามที่จะเชื่อมโยงตำแหน่งของพนักงานโดยเฉพาะ ทั้งใน Ambassadorial Prikaz และในลำดับชั้นการบังคับบัญชาทั่วไป

การปรับโครงสร้างระบบการสั่งซื้อครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงปี 1717 ถึง 1720 เมื่อมีการสร้างคำสั่งซื้อแทน วิทยาลัย- ระบบของสวีเดนซึ่งขณะนั้นถือว่าดีที่สุดในยุโรป ได้รับเลือกให้เป็นต้นแบบในการสร้างระบบการจัดการส่วนกลาง คุณสมบัติหลักคือความเป็นเพื่อนร่วมงาน สันนิษฐานว่าการตัดสินใจของวิทยาลัยจะทำให้สามารถผสมผสานความรู้เพื่อค้นหาแนวทางแก้ไขที่ดีที่สุด (“สิ่งใดที่ไม่เข้าใจ อีกคนจะเข้าใจ”) และการตัดสินใจจะเร็วขึ้น สิ่งเหล่านี้จะเชื่อถือได้และเป็นอิสระมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีความหวังว่าการยักยอกเงินและการติดสินบนซึ่งเป็นความชั่วร้ายของระบบการสั่งซื้อจะถูกกำจัดออกไป

มีการจัดตั้งคณะกรรมการจำนวน 12 คณะกรรมการ ได้แก่

วิทยาลัยการทหารรับผิดชอบกองกำลังภาคพื้นดิน มีส่วนร่วมในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ การสรรหา อาวุธ และการจัดหาเงินทุนของกองทัพ มีหน้าที่ดูแลเสื้อผ้าและอาหารให้กับกองทัพ ตลอดจนก่อสร้างป้อมปราการทางทหาร

วิทยาลัยทหารเรือรับผิดชอบการก่อสร้างกองเรือทหารและกองเรือพาณิชย์ บริหารจัดการกองทัพเรือ เจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกอบรม กะลาสีเรือ เสบียง การเงิน และอาวุธ นอกจากนี้คณะกรรมการยังรับผิดชอบด้านป่าไม้เพราะว่า กองเรือในสมัยนั้นสร้างจากไม้

วิทยาลัยการต่างประเทศบริหารจัดการความสัมพันธ์ภายนอก เช่น การรับและออกจากสถานทูต งานสำนักงานการทูต ฯลฯ

วิทยาลัยแชมเบอร์เป็นรายได้ทางการเงินหลักของรัฐ รับผิดชอบเหมืองเกลือ เหรียญ และถนนของรัฐในการจัดหาธัญพืชในช่วงที่พืชผลล้มเหลว

สำนักงานรัฐ-วิทยาลัยหรือ สำนักงานของรัฐรับผิดชอบเรื่องรายจ่ายของรัฐในการดูแลรักษากองทัพ ประเด็นคลังของรัฐ และออกเงินจำนวนตามคำสั่งของซาร์หรือวุฒิสภา

คณะกรรมการตรวจสอบได้รับการกอปรด้วยฟังก์ชันการควบคุมทางการเงิน - ติดตามการใช้จ่ายของกองทุนโดยสถาบันกลางและท้องถิ่นโดยการกระทบยอดใบเสร็จรับเงินและสมุดบัญชีรายจ่าย

วิทยาลัยเบิร์กบริหารจัดการอุตสาหกรรมเหมืองแร่และโลหะวิทยา

วิทยาลัยโรงงานกำกับดูแลการก่อสร้างโรงงานของรัฐและติดตามการทำงาน

วิทยาลัยพาณิชยศาสตร์จัดการการค้าต่างประเทศ รับผิดชอบการส่งออกไม้ต่อเรือ ขนสัตว์ และสินค้าอื่น ๆ ซึ่งการส่งออกถือเป็นการผูกขาดของรัฐ

ยุติธรรมวิทยาลัยเป็นผู้รับผิดชอบศาลแต่งตั้งตำแหน่งตุลาการ

กิจการของนักบวชได้รับการจัดการโดยคริสตจักรที่สร้างขึ้นในปี 1721 วิทยาลัยจิตวิญญาณ- ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น สมัชชารัฐบาลอันศักดิ์สิทธิ์.

พวกเขาเชื่อฟังกษัตริย์และวุฒิสภา มีการกำหนดหน้าที่และอำนาจไว้อย่างชัดเจน โครงสร้างองค์กรและงานสำนักงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รูปแบบกิจกรรมหลักของคณะกรรมการคือการประชุมทั่วไปซึ่งก่อตั้งโดยประธานาธิบดี รองประธาน ที่ปรึกษา 4-5 คน และผู้ประเมิน 4 คน (ผู้ช่วย) เพื่อกำกับดูแลกิจกรรมของประธานาธิบดีคณะกรรมการได้แต่งตั้งอัยการให้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอัยการสูงสุดของวุฒิสภา

ที่หัวหน้าสำนักนายกรัฐมนตรีมีเลขานุการซึ่งรับผิดชอบเจ้าหน้าที่: ทนายความหรือผู้บันทึกซึ่งรับผิดชอบรายงานการประชุม นายทะเบียนมีหน้าที่เก็บรักษาบันทึกเอกสารขาเข้าและขาออก นักคณิตศาสตร์ประกันภัย - ผู้ดูแลเอกสาร: นักแปล และอาลักษณ์และนักคัดลอกจำนวนมาก

วิทยาลัยได้กำหนดขั้นตอนต่อไปนี้ในการพิจารณากรณีต่างๆ: จดหมายที่ยังไม่ได้เปิดทั้งหมดได้รับผ่านเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ กฤษฎีกาของอธิปไตยถูกพิมพ์เป็นการส่วนตัวโดยประธาน และเอกสารอื่นๆ โดยสมาชิกอาวุโสของคณะกรรมการ หลังจากลงทะเบียนเอกสารแล้วเลขานุการก็รายงานเนื้อหาต่อหน้าและพิจารณาเรื่องสาธารณะก่อนแล้วจึงเป็นเรื่องส่วนตัว สมาชิกที่ปรากฏตัวแสดงความคิดเห็นทีละคน เริ่มจากน้องคนสุดท้องโดยไม่ต้องพูดซ้ำ (“จากด้านล่างโดยไม่ตกอยู่ในคำพูดของกันและกัน”) กรณีต่างๆ ได้รับการตัดสิน "ด้วยจำนวนคะแนนเสียงที่มากที่สุด" หากจำนวนคะแนนเสียงที่ลงคะแนน “เห็นด้วย” และ “ไม่เห็นด้วย” เท่ากัน ฝ่ายที่ประธานเป็นฝ่ายได้เปรียบ พิธีสารและการตัดสินใจได้รับการลงนามโดยทุกคนในปัจจุบัน

ข้อดีของคณะกรรมการเมื่อเปรียบเทียบกับคำสั่งซื้อคือ การอภิปรายร่วมกันและการแก้ไขคดี ความสม่ำเสมอของโครงสร้างองค์กร และความสามารถที่ชัดเจนยิ่งขึ้น กิจกรรมและงานสำนักงานของคณะกรรมการได้รับการควบคุมโดยกฎหมายอย่างเคร่งครัด

น่าเสียดายที่แผนของ Peter I ไม่ใช่ทั้งหมดถูกกำหนดให้เป็นจริง ในทางปฏิบัติ ระบบวิทยาลัยกลับกลายเป็นว่าไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ผู้สร้างหวังไว้ นี่เป็นเพราะข้อบกพร่องของเอกสารกำกับดูแลที่เป็นรากฐานของกิจกรรมของพวกเขา ข้อบกพร่องหลายประการสืบทอดมาจากระบบการสั่งซื้อ นอกจากนี้หลักการของความเป็นเพื่อนร่วมงานนั้นไม่ได้ผลเสมอไป: ประธานาธิบดีของคณะกรรมการมีอิทธิพลอย่างเด็ดขาดต่อการตัดสินใจ

ได้มีการก่อตั้งในปี ค.ศ. 1720 หัวหน้าผู้พิพากษา- องค์ประกอบนี้ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์จากชนชั้นพ่อค้า มีโครงสร้างทางวิทยาลัย และมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการกิจกรรมการค้าในเมือง

อันเป็นผลมาจากการปฏิรูปของปีเตอร์ คำสั่งจำนวนมากถูกแทนที่ด้วยคณะกรรมการหลายชุด ซึ่งทำให้สามารถควบคุมกิจกรรมของพวกเขาได้อย่างแพร่หลาย กิจกรรมของวิทยาลัยได้ขยายไปทั่วทั้งดินแดนของรัสเซีย อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปไม่สอดคล้องกับ Peter I อย่างสมบูรณ์ หลักการรายสาขาไม่ได้รับการปฏิบัติตามอย่างเต็มที่ ดังนั้น บางครั้ง Berg, Manufactur และ Commerce Collegium จึงดำเนินการด้านตุลาการและการเงิน (เก็บภาษีศุลกากร เก็บภาษี ฯลฯ)

นอกจากนี้ วิทยาลัยไม่ได้ครอบคลุมการบริหารงานของรัฐทุกด้าน ทั้งที่ทำการไปรษณีย์ ตำรวจ การศึกษา การแพทย์ และไม่ได้สังกัดการบริหารที่ดินในพระราชวัง นอกจากนี้ คำสั่งยังมีผลบังคับใช้ควบคู่กับวิทยาลัยอีกด้วย ดินแดนในวังและชาวนาถูกปกครองโดย Order of the Great Palace ในยุค 70-80 ศตวรรษที่สิบแปด วิทยาลัยส่วนใหญ่ถูกยกเลิก มีเพียงสี่วิทยาลัยเท่านั้นที่รอดพ้น: การทหาร กองทัพเรือ การต่างประเทศ และการแพทย์

อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2339 วิทยาลัยได้รับการบูรณะอีกครั้งและอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ "ผู้อำนวยการของวิทยาลัย" ซึ่งมีสิทธิ์รายงานต่อซาร์เป็นการส่วนตัว

การปฏิรูปหน่วยงานรัฐบาลกลางภายใต้เปโตร 1

ประมาณปี 1700 ปีเตอร์ที่ 1 ยกเลิกโบยาร์ดูมา โดยแทนที่ด้วยสภารัฐมนตรีซึ่งประกอบด้วยผู้ร่วมงานที่ใกล้ชิดที่สุดของเขา 8–14 คน (ในแต่ละปี) ร่างนี้เรียกอีกอย่างว่า Near Chancellery ซึ่งรับผิดชอบงานต่างๆ ในช่วงที่ Peter ไม่อยู่ในเมืองหลวงหลายครั้ง ในปี ค.ศ. 1711 หลังจากออกจากแนวหน้า เปโตรได้ออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งวุฒิสภาปกครอง โดยมีสมาชิก 9 คนได้รับการแต่งตั้งจากซาร์ พวกเขาได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้นำประเทศในช่วงที่เขาไม่อยู่ หลังจากนั้นไม่นานก็มีการกำหนดหน้าที่ของวุฒิสภา: รับผิดชอบด้านการค้า, การสรรหากองทัพ, การจัดเก็บภาษี, ศาล, มีการกำหนดกระบวนการที่เข้มงวดในการหารือเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ และการตัดสินใจ (บนพื้นฐานความเป็นเอกฉันท์) ต่อมาวุฒิสภาได้ขยายองค์ประกอบ: เริ่มรวมประธานาธิบดีของวิทยาลัยตั้งแต่ปี 1722 - มีเพียง 4 คนหลักเท่านั้นและ "ผู้บังคับการ" 2 คนจากแต่ละจังหวัด

วุฒิสภาเป็นหน่วยงานด้านนิติบัญญัติ ตุลาการ และการควบคุมที่สูงที่สุดของจักรวรรดิ เขาได้ออกกฤษฎีกาในทุกประเด็นของนโยบายต่างประเทศและในประเทศ ทำหน้าที่เป็นศาลชั้นต้นสำหรับเจ้าหน้าที่อาวุโส และพิจารณาคดีอุทธรณ์จากศาลชั้นต้น ตรวจสอบกิจกรรมของหน่วยงานระดับจังหวัด และทำหน้าที่ควบคุม เพื่อสนองตอบข้อหลังนี้ได้มีการจัดตั้งตำแหน่งลับทางการคลังขึ้นภายใต้วุฒิสภาซึ่งมีเจ้าหน้าที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและควร “ตรวจสอบอย่างลับๆ” และ “รายงาน” การละเมิดของเจ้าหน้าที่โดยได้รับหนึ่งในสี่ของจำนวนเงินที่ค้นพบจากผู้ยักยอกเงิน และผู้รับสินบน ในไม่ช้า สถาบันการเงินก็เติบโตขึ้น ภายใต้การนำของนายคลังทั่วไปที่ได้รับการแต่งตั้งจากซาร์ หัวหน้าฝ่ายการคลัง ฝ่ายการเงินในวิทยาลัย ฝ่ายการเงินจังหวัดในจังหวัด และฝ่ายการเงินของเมืองในเมืองต่างๆ

หน้าที่กำกับดูแลของตำรวจยังเป็นความรับผิดชอบของอัยการสูงสุดซึ่งก่อตั้งตำแหน่งในปี 1722 ตำแหน่งนี้ถือเป็น "ตำรวจเหนือฝ่ายบริหาร" ตำแหน่งนี้ได้รับเจ้าหน้าที่ที่จำเป็นอย่างรวดเร็ว (หัวหน้าอัยการ อัยการในวิทยาลัยและศาล) และเปลี่ยน สู่ “พระเนตรแห่งองค์จักรพรรดิ์” ที่จับตามอง” หน้าที่ของตำรวจที่เกี่ยวข้องกับประชากรได้รับมอบหมายให้บริหารงานทุกระดับซึ่งจำเป็นต้องควบคุมไม่เพียง แต่สาธารณะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตส่วนตัวของอาสาสมัครด้วย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1718 เป็นต้นมา ตำแหน่งหัวหน้าตำรวจได้รับการแนะนำในเมืองต่างๆ ฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้เฒ่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา

Peter I ซึ่งดำเนินการปฏิรูปในสาขาเศรษฐศาสตร์พยายามปรับระบบคำสั่งการจัดการแบบเก่าให้เข้ากับงานใหม่ แต่ความพยายามไม่ประสบความสำเร็จ ต้องมีการปฏิรูปที่รุนแรง จัดระเบียบใหม่และยกเลิกคำสั่งบางส่วน และสร้างองค์กรใหม่ขึ้นมาแทนที่ - วิทยาลัย (ตามภาพลักษณ์ของสวีเดน) ครั้งแรกในปี 1718 มีวิทยาลัย 10 แห่งปรากฏตัว (การต่างประเทศ หอการค้า รัฐ สำนักงานแก้ไข ยุติธรรม พาณิชย์ ภูเขาน้ำแข็ง การผลิต การทหารและทหารเรือ) ซึ่งได้รับการมอบหมายให้ดูแลกองทัพบกและกองทัพเรือ อุตสาหกรรมและการค้า การเงิน หลังจากนั้นไม่นาน Patrimonial Collegium และ Chief Magistrate ก็ถูกเพิ่มเข้ามา

โครงสร้างและขั้นตอนสำหรับกิจกรรมของวิทยาลัยได้รับการควบคุมโดยกฎทั่วไปปี 1720 ซึ่งเป็นกฎบัตรประเภทหนึ่งสำหรับราชการ นอกจากนี้ได้มีการออกข้อบังคับสำหรับคณะกรรมการแต่ละคณะด้วย เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการมีขนาดเล็ก: ประธานาธิบดี (รัสเซีย) รองประธาน (เยอรมัน) ที่ปรึกษา 4 คนและผู้ประเมิน 4 คน (ภายใต้แคทเธอรีนที่ 2 จำนวนคนหลังลดลงเหลือ 2 คนและพนักงานทั้งหมดเหลือ 6 คน) การตัดสินใจเกิดขึ้นในที่ประชุมใหญ่ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก

ด้วยการยกเลิกคำสั่ง งานสำนักงานเก่าก็ได้รับการปฏิรูปเช่นกัน Peter I สั่งห้ามม้วนหนังสือ เสมียนและพนักงาน ความทรงจำและการยกเลิกการสมัครกลายเป็นเรื่องในอดีต มีคนรับใช้ในสำนักงานคนใหม่: เลขานุการ ทนายความ นายทะเบียน นักคณิตศาสตร์ประกันภัย นักแปล และเสมียน ตั้งแต่สมัยของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ระเบียบการ รายงาน รายงาน คำแถลง คำร้อง ฯลฯ ก็เริ่มมีการเขียนขึ้น

ทัศนคติของ Peter I ที่มีต่อคริสตจักรเป็นสองเท่า ในด้านหนึ่ง เปโตรไม่ยอมให้ “อเทวนิยม” (อเทวนิยม) และเข้าใจถึงความสำคัญของศาสนาและคริสตจักรในการสร้างรัฐ ในทางกลับกัน ขณะสร้างรัฐฆราวาส เขาพยายามที่จะขจัดความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของคริสตจักรและเปลี่ยนให้เป็นส่วนหนึ่งของกลไกของรัฐ และเขาก็ทำสำเร็จ การช่วยเหลือคริสตจักรออร์โธดอกซ์ในการต่อสู้กับความแตกแยกปีเตอร์ได้เปิดตัวการปราบปรามครั้งใหญ่ต่อความแตกแยก แต่ในขณะเดียวกันก็ยกเลิกปรมาจารย์ เมื่อพระสังฆราชเอเดรียนซึ่งขัดแย้งกับซาร์ในประเด็นความอดทนทางศาสนาและความสัมพันธ์กับตะวันตกเสียชีวิตในปี 1700 เปโตรไม่ได้จัดการเลือกตั้งใหม่ แต่มอบความไว้วางใจในการจัดการคริสตจักรให้กับ Ryazan Metropolitan Stefan Yavorsky ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็น “ตำแหน่งแห่งบัลลังก์ปิตาธิปไตย” หลังจากที่ Yavorsky ไม่พอใจกับการโจมตีของซาร์ต่อความมั่งคั่งทางวัตถุของคริสตจักร "ตะโกนคำพูด" ต่อซาร์ในปี 1712 เขาก็ถูกปลดออกจากกิจการทางจิตวิญญาณซึ่งตกไปอยู่ในมือของคนเต็งอื่น ๆ โดยเฉพาะ F. Prokopovich ในปี 1721 แทนที่อาราม Prikaz มี Synod ปรากฏตัวขึ้นซึ่งเป็นคณะกรรมการฝ่ายวิญญาณเพื่อจัดการกิจการของคริสตจักร สมัชชาประกอบด้วยบุคคล 12 พระองค์ ซึ่งเป็นลำดับชั้นสูงสุดที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง หัวหน้าอัยการของเถรซึ่งมีสิทธิ์ยับยั้งการตัดสินใจของลำดับชั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบุคคลฆราวาสตามกฎแล้วเป็นเจ้าหน้าที่ที่เกษียณอายุราชการ สมัชชาดูแลความบริสุทธิ์ของศรัทธา (ห้ามเปลี่ยนจากออร์โธดอกซ์ไปเป็นศรัทธาอื่น) การตีความหลักคำสอนของคริสตจักร และรับผิดชอบเรื่องการแต่งงาน ภายใต้การนำของเปโตร คริสตจักรทุกแห่งที่มีความเชื่ออื่น ได้แก่ นิกายลูเธอรัน คาทอลิก และบางส่วนที่ไม่ใช่คริสเตียน อยู่ภายใต้การปกครองของสมัชชาเถรวาท

Peter I the Great (Peter Alekseevich; 30 พฤษภาคม (9 มิถุนายน), 1672 - 28 มกราคม (8 กุมภาพันธ์), 1725) - ซาร์แห่งมอสโกจากราชวงศ์ Romanov (ตั้งแต่ปี 1682) และจักรพรรดิ All-Russian องค์แรก (ตั้งแต่ปี 1721) ในประวัติศาสตร์รัสเซีย เขาถือเป็นรัฐบุรุษที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งซึ่งกำหนดทิศทางการพัฒนาของรัสเซียในศตวรรษที่ 18 เปโตรได้รับการสถาปนาเป็นซาร์ในปี ค.ศ. 1682 เมื่อพระชนมายุ 10 ชันษา และเริ่มปกครองโดยอิสระในปี ค.ศ. 1689 ตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความสนใจในวิทยาศาสตร์และวิถีชีวิตของชาวต่างชาติ ปีเตอร์เป็นซาร์องค์แรกของรัสเซียที่เดินทางไกลไปยังประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันตก เมื่อกลับมาในปี 1698 ปีเตอร์ได้ดำเนินการปฏิรูปรัฐและโครงสร้างทางสังคมในวงกว้าง ความสำเร็จหลักประการหนึ่งของเปโตรคือการขยายดินแดนรัสเซียอย่างมีนัยสำคัญในภูมิภาคบอลติกหลังชัยชนะในมหาสงครามเหนือ ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งจักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิรัสเซียในปี 1721 สี่ปีต่อมา จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 สิ้นพระชนม์ แต่สภาพที่เขาสร้างขึ้นยังคงขยายตัวอย่างรวดเร็วตลอดศตวรรษที่ 18

20. เมื่อรัสเซียกลายเป็นอาณาจักร

จักรวรรดิรัสเซียและรัสเซียในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นชื่อรัฐรัสเซียในช่วงปี ค.ศ. 1721 ถึงการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ และการประกาศสถาปนาสาธารณรัฐในปี พ.ศ. 2460 จักรวรรดิได้รับการประกาศหลังจากมหาสงครามทางเหนือโดยพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 แห่งมหาราช เมืองหลวงของจักรวรรดิรัสเซียคือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแห่งแรกในปี ค.ศ. 1713-1728 จากนั้นมอสโกในปี 1728-1730 จากนั้นเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอีกครั้งในปี 1730-1914 และเปโตรกราดในปี 1914-1918

21. มีผู้มีอำนาจใหม่อะไรบ้างที่ปรากฏภายใต้เปโตร 1

เหล่านี้คือวิทยาลัย เริ่มเป็นรูปเป็นร่างในปี 1717 สันนิษฐานว่าวิทยาลัยจะแนะนำหลักการใหม่สองประการในการจัดการ ได้แก่ การแบ่งแผนกอย่างเป็นระบบและขั้นตอนการพิจารณาเพื่อแก้ไขคดีต่างๆ ในปี ค.ศ. 1718 มีการนำทะเบียนวิทยาลัยมาใช้ ภายใต้ Peter I โบยาร์ดูมาหยุดพบกัน แต่ความต้องการร่างที่ปรึกษาไม่ได้หายไป ดังนั้นในตอนแรกจึงถูกแทนที่ด้วยสภารัฐมนตรีและต่อมาในปี ค.ศ. 1711 โดยวุฒิสภา วุฒิสภาถูกสร้างขึ้นโดยปีเตอร์ในระหว่างที่เขาออกเดินทางในการรณรงค์ในฐานะองค์กรที่เข้ามาแทนที่เขาในช่วงที่เขาไม่อยู่ แต่แม้หลังจากนั้นก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ วุฒิสภาเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการคิด บริหาร และตุลาการ และค่อยๆ ได้รับโอกาสในการตัดสินใจที่มีลักษณะเป็นกฎหมายและมีผลผูกพัน (แต่กษัตริย์สามารถยกเลิกได้ง่ายมาก) ในการจัดการภาคส่วน ระบบบังคับบัญชาการจัดการถูกแทนที่ด้วยระบบวิทยาลัย (ในปี ค.ศ. 1717-1719) ซึ่งไม่เพียงแต่การบริหารเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจตุลาการด้วย คณะกรรมการนำโดยประธาน แต่เขาเป็นเพียงประธานเท่านั้นและไม่มีอะไรเพิ่มเติม ต่างจากคำสั่ง คณะกรรมการมีข้อบังคับเกี่ยวกับโครงสร้าง ในตอนแรกมีวิทยาลัยประมาณ 10 แห่ง และจากด้านล่างมีสามวิทยาลัยที่สำคัญที่สุด: การทหาร กองทัพเรือ และการต่างประเทศ ตัวแทนของวิทยาลัยทั้งสามแห่งนี้ยังคงอยู่ในวุฒิสภาแม้ว่าตัวแทนของวิทยาลัยอื่น ๆ ทั้งหมดจะถูกถอดออกจากวุฒิสภาก็ตาม ในเวลานั้น วิทยาลัยทั้งหมด ไม่ใช่แค่วิทยาลัยยุติธรรมเท่านั้น ที่มีอำนาจตุลาการภายใต้การนำของปีเตอร์ที่ 1 8 จังหวัดแรก) ซึ่งเปลี่ยนลำดับการแบ่งรัสเซียออกเป็นหน่วยบริหารดินแดน ต่อมาจังหวัดถูกแบ่งออกเป็นจังหวัด (ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดปกครอง) และจังหวัดเหล่านั้นก็ปรากฏเป็นศาลและแห่งแรกคือศาลซึ่งมีอยู่ในแต่ละมณฑล นอกจากนี้ในบางเมืองก็มี ผู้พิพากษา และที่ไหนไม่มี ผู้พิพากษาก็ใช้อำนาจที่นั่น เปโตรยังสร้างระบบศาลทหารและกองทัพเรือด้วย สำนักงานอัยการปรากฏขึ้นซึ่งสร้างขึ้นจากด้านบน: ประการแรกในปี 1722 มีการสร้างยศอัยการสูงสุดจากนั้นการคลัง (สร้างแล้วในปี 1711 ในฐานะพนักงานของหน่วยสอดแนมลับ) ก็ถูกกำหนดใหม่ให้กับเขา ในตอนแรก สำนักงานอัยการเป็นหน่วยงานกำกับดูแลทั่วไป นอกจากนี้ อัยการสูงสุดยังกำกับดูแลวุฒิสภาอีกด้วย กระบวนการ. ปีเตอร์ ฉันพยายามที่จะทำลายการแข่งขันในกระบวนการนี้ เขาพยายามนี้ในปี ค.ศ. 1697 โดยออกพระราชกฤษฎีกาให้โอนทุกคดีไปค้นหา (นั่นคือไม่มีการเผชิญหน้ากับพยาน ฯลฯ ) แต่ในความเป็นจริงสิ่งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1715 กฎระเบียบทางทหารส่วนหนึ่งในอนาคตปรากฏขึ้น เรียกว่า "คำอธิบายโดยย่อของกระบวนการ" ซึ่งได้มีการตรวจค้นทุกกรณี ในปี ค.ศ. 1723 ได้มีการนำพระราชกฤษฎีกาอีกฉบับหนึ่งว่า "ในรูปแบบของศาล" ซึ่งกำหนดขั้นตอนการดำเนินการคดีในใบสมัครส่วนตัว การพัฒนากฎหมายในช่วงเวลานี้มีลักษณะเฉพาะคือการพัฒนากฎหมายของรัฐและกฎหมายปกครองเป็นสาขา มีการนำกฎระเบียบมาใช้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นในกฎหมายแพ่ง ในกฎหมายอาญา การประมวลเกิดขึ้นในสาขากฎหมายอาญาทางทหาร (“บทความทางทหาร” ซึ่งมีการรวบรวมบทความเกี่ยวกับการกระทำผิดและอาชญากรรมในกองทัพ แต่บทความส่วนใหญ่ยืมมาจากตะวันตก)

หลังจากการยุติการประชุมของสภา Zemsky แล้ว Boyar Duma ยังคงเป็นร่างเดียวที่ยับยั้งอำนาจของซาร์ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการจัดตั้งร่างอำนาจและการบริหารใหม่ในรัฐรัสเซีย Duma เมื่อต้นศตวรรษที่ 18 ก็หยุดทำหน้าที่เป็นตัวแทนอำนาจของโบยาร์

ในปี ค.ศ. 1699 มีการจัดตั้ง Near Chancellery (สถาบันที่ใช้การควบคุมด้านการบริหารและการเงินในรัฐ) ซึ่งเคยเป็นสำนักงานของ Boyar Duma อย่างเป็นทางการ ตามกฎแล้วในปี 1708 มีผู้เข้าร่วม 8 คนในการประชุมของ Duma ทุกคนมีคำสั่งต่าง ๆ และการประชุมครั้งนี้เรียกว่าคณะรัฐมนตรี

หลังจากการจัดตั้งวุฒิสภา คณะรัฐมนตรี (ค.ศ. 1711) ก็สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1711 เปโตรได้เขียนพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับการองค์ประกอบของวุฒิสภาเป็นการส่วนตัว สมาชิกวุฒิสภาทุกคนได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์จากแวดวงของเขา (เริ่มแรก - 8 คน)

โครงสร้างของวุฒิสภาก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้น ในขั้นต้นวุฒิสภาประกอบด้วยวุฒิสมาชิกและสถานเอกอัครราชทูต ต่อมามีการจัดตั้งแผนกสองแผนกขึ้น: ห้องประหารชีวิต - สำหรับกิจการตุลาการ (มีอยู่เป็นแผนกพิเศษจนกระทั่งมีการจัดตั้งวิทยาลัยยุติธรรม) และสำนักงานวุฒิสภาสำหรับประเด็นด้านการจัดการ

วุฒิสภามีองค์กรเสริม (ตำแหน่ง) ซึ่งไม่รวมถึงสมาชิกวุฒิสภา เช่น ผู้ฉ้อโกง นายทหาร และผู้บังคับการจังหวัด

หน้าที่ของหัวหน้าผู้ฉ้อโกงรวมถึงการรับเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการและสำนักงาน ถ้าจะบ่นเรื่องเทปแดง นายฉ้อโกงก็เรียกร้องให้เร่งรัดคดีเป็นการส่วนตัว หากมีการร้องเรียนเรื่อง “ความไม่ยุติธรรม” ของคณะกรรมการแล้วพิจารณาคดีแล้วจึงรายงานให้วุฒิสภาทราบ หน้าที่ของผู้ประกาศข่าว (ตำแหน่งก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2265) ประกอบด้วยการรวบรวมรายชื่อขุนนางทั้งหมด และดูแลให้ตระกูลขุนนางแต่ละตระกูลไม่เกิน 1/3 อยู่ในราชการ เจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาที่ส่งโดยวุฒิสภาและเพื่อนร่วมงาน

อย่างไรก็ตาม การก่อตั้งวุฒิสภาไม่สามารถปฏิรูปการบริหารจัดการให้เสร็จสิ้นได้ เนื่องจากไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างวุฒิสภากับจังหวัด และคำสั่งหลายฉบับยังคงมีผลใช้บังคับ ในปี ค.ศ. 1717-1722 เพื่อทดแทน 44 คำสั่งของปลายศตวรรษที่ 17 กระดานมา

พระราชกฤษฎีกาวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2260 "เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยและเวลาเปิดทำการ" และวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2260 "เกี่ยวกับการแต่งตั้งประธานาธิบดีและรองประธานในวิทยาลัย" มีการสร้างวิทยาลัย 9 แห่ง ได้แก่ การต่างประเทศ หอการค้า ความยุติธรรม การแก้ไข การทหาร กองทัพเรือ การพาณิชย์ สำนักงานของรัฐ ภูเขาน้ำแข็ง และโรงงาน

ความสามารถของวิทยาลัยการต่างประเทศ ได้แก่ การจัดการ "กิจการต่างประเทศและสถานทูตทั้งหมด" การประสานงานกิจกรรมของตัวแทนทางการทูต การจัดการความสัมพันธ์และการเจรจากับเอกอัครราชทูตต่างประเทศ และดำเนินการโต้ตอบทางการทูต

Chamber Collegium ทำหน้าที่กำกับดูแลค่าธรรมเนียมทุกประเภทอย่างสูงสุด (อากรศุลกากร ภาษีเครื่องดื่ม) ติดตามการทำฟาร์มเพาะปลูก รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตลาดและราคา และควบคุมเหมืองเกลือและเหรียญกษาปณ์ หอการค้าวิทยาลัยมีผู้แทนอยู่ในต่างจังหวัด

Justice Collegium ทำหน้าที่ตุลาการในความผิดทางอาญา คดีแพ่งและคดีการคลัง และเป็นหัวหน้าระบบตุลาการที่กว้างขวาง ซึ่งประกอบด้วยศาลระดับล่างและศาลประจำจังหวัด ตลอดจนศาลศาล

คณะกรรมการตรวจสอบได้รับคำสั่งให้ใช้การควบคุมทางการเงินเกี่ยวกับการใช้กองทุนสาธารณะโดยหน่วยงานส่วนกลางและท้องถิ่น

Military Collegium ได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการ "กิจการทางทหารทั้งหมด": การสรรหากองทัพประจำ, จัดการกิจการของคอสแซค, การจัดตั้งโรงพยาบาล, การจัดหากองทัพ

คณะกรรมการทหารเรือมีหน้าที่ดูแล “กองเรือพร้อมกับข้าราชการทหารเรือทั้งหมด รวมถึงกิจการและแผนกการเดินเรือ” รวมถึงสำนักงานกองทัพเรือและทหารเรือ ตลอดจนเครื่องแบบ เครื่องแบบ Waldmeister สำนักงานวิชาการ สำนักงานคลอง และอู่ต่อเรือโดยเฉพาะ

Commerce Collegium ส่งเสริมการพัฒนาของสาขาการค้าทั้งหมด โดยเฉพาะการค้าต่างประเทศ ดำเนินการกำกับดูแลด้านศุลกากร จัดทำกฎระเบียบศุลกากรและภาษีศุลกากร ติดตามความถูกต้องของน้ำหนักและมาตรการ มีส่วนร่วมในการก่อสร้างและอุปกรณ์ของเรือค้าขาย และดำเนินการด้านตุลาการ ฟังก์ชั่น

วิทยาลัยสำนักงานแห่งรัฐใช้ควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาลและประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐ (เจ้าหน้าที่ของจักรพรรดิ เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการทุกจังหวัด และทุกจังหวัด)

ความรับผิดชอบของ Berg Collegium รวมถึงประเด็นต่างๆ ของอุตสาหกรรมโลหะวิทยา การบริหารจัดการโรงกษาปณ์และคลังเงินตรา การซื้อทองคำและเงินในต่างประเทศ และหน้าที่ด้านตุลาการที่อยู่ในความสามารถของตน Berg Collegium ถูกรวมเข้ากับอีกแห่ง - Manufactory Collegium ซึ่งจัดการกับปัญหาของอุตสาหกรรมทั้งหมด ยกเว้นการขุด และจัดการโรงงานของจังหวัดมอสโก ภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือของภูมิภาคโวลก้าและไซบีเรีย

ในปี 1721 มีการก่อตั้ง Patrimonial Collegium ซึ่งออกแบบมาเพื่อแก้ไขข้อพิพาทเรื่องที่ดินและการดำเนินคดี จัดให้มีการจัดสรรที่ดินใหม่อย่างเป็นทางการ และพิจารณาข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการตัดสินใจที่เป็นข้อขัดแย้งในเรื่องของท้องถิ่นและทรัพย์สินทางมรดก

นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 1721 วิทยาลัยจิตวิญญาณได้ก่อตั้งขึ้น ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนในปี ค.ศ. 1722 เป็นสภาปกครองอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีสิทธิเท่าเทียมกับวุฒิสภาและเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงจากซาร์ สมัชชาเป็นสถาบันกลางหลักสำหรับกิจการทางศาสนา โดยแต่งตั้งพระสังฆราช ทำหน้าที่ควบคุมทางการเงิน และทำหน้าที่ตุลาการเกี่ยวกับอาชญากรรม เช่น บาป ดูหมิ่น แตกแยก ฯลฯ

Little Russian Collegium ก่อตั้งขึ้นตามคำสั่งเมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1722 โดยมีเป้าหมายเพื่อ "ปกป้องชาวรัสเซียตัวน้อย" จาก "ศาลที่ไม่ยุติธรรม" และ "การกดขี่" ด้วยภาษีในดินแดนของยูเครน

โดยรวมแล้วภายในสิ้นไตรมาสแรกของศตวรรษที่ 18 มีวิทยาลัย 13 แห่งซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสถาบันของรัฐบาลกลาง ก่อตั้งขึ้นตามหน้าที่ นอกจากนี้ ยังมีสถาบันกลางอื่นๆ (เช่น Secret Chancellery ก่อตั้งในปี 1718 ซึ่งรับผิดชอบการสืบสวนและดำเนินคดีอาญาทางการเมือง หัวหน้าผู้พิพากษา ก่อตั้งในปี 1720 และปกครองนิคมในเมือง สถานพยาบาลทางการแพทย์)

การพัฒนาหลักการอาวุโสของระบบราชการในเวลาต่อมาสะท้อนให้เห็นใน "ตารางอันดับ" ของปีเตอร์ (1722) กฎหมายใหม่แบ่งการให้บริการออกเป็นพลเรือนและทหาร โดยกำหนดไว้ 14 ชนชั้นหรือยศของเจ้าหน้าที่ ใครก็ตามที่ได้รับยศคลาส 8 จะกลายเป็นขุนนางทางพันธุกรรม อันดับตั้งแต่วันที่ 14 ถึง 9 ก็ให้ความสูงส่งเช่นกัน แต่เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวเท่านั้น คุณลักษณะเชิงบวกของระบบราชการแบบใหม่คือความเป็นมืออาชีพ ความเชี่ยวชาญ และบรรทัดฐาน คุณลักษณะเชิงลบคือความซับซ้อน ต้นทุนสูง การจ้างงานตนเอง และความไม่ยืดหยุ่น

ผลจากการปฏิรูปการบริหารราชการ ทำให้เกิดการจัดตั้งกองทัพเจ้าหน้าที่จำนวนมหาศาล ซึ่งเสี่ยงต่อการคอร์รัปชั่น

เพื่อควบคุมกิจกรรมของกลไกของรัฐ Peter I ตามคำสั่งของเขาเมื่อวันที่ 2 และ 5 มีนาคม พ.ศ. 2254 ได้สร้างการคลัง (จากละติน fiscus - คลังของรัฐ) เป็นสาขาพิเศษของการบริหารวุฒิสภา (“ เพื่อดำเนินการทางการคลังใน ทุกเรื่อง”) เครือข่ายเจ้าหน้าที่การคลังขยายตัว และค่อยๆ มีหลักการสองประการในการสร้างอำนาจทางการคลัง: อาณาเขตและแผนก พระราชกฤษฎีกาลงวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2257 กำหนดให้ในแต่ละจังหวัด “ควรมีคน 4 คน รวมทั้งการคลังประจำจังหวัดจากตำแหน่งใดก็ได้ที่สมควร และจากชนชั้นพ่อค้าด้วย” การคลังของจังหวัดจะติดตามการคลังของเมืองและ "ใช้" การควบคุมการเงินเหล่านี้ปีละครั้ง ในแผนกจิตวิญญาณการจัดระเบียบการคลังนำโดยผู้สอบสวนโปรโตในสังฆมณฑล - การคลังระดับจังหวัดในอาราม - ผู้สอบสวน

ความหวังที่ Peter I วางไว้ในการคลังนั้นไม่สมเหตุสมผลอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ หน่วยงานสูงสุดของรัฐซึ่งก็คือวุฒิสภาที่ปกครอง ยังคงไม่มีการควบคุมอย่างต่อเนื่อง องค์จักรพรรดิ์ทรงเข้าใจว่าจำเป็นต้องสร้างสถาบันใหม่ขึ้นมา โดยอยู่เหนือวุฒิสภาและเหนือสถาบันของรัฐอื่นๆ ทั้งหมด สำนักงานอัยการก็กลายเป็นองค์กรเช่นนี้

ระบบการกำกับดูแลและการควบคุมหน่วยงานของรัฐได้รับการเสริมโดยสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลการทำงานของทุกสถาบัน รวมถึงวุฒิสภา สมัชชา การคลัง และอัยการ