พ่อของ Ivan IV เสียชีวิตเมื่อลูกชายของเขาอายุเพียงสามขวบ เพื่อรักษาอำนาจให้กับลูกชายของเขา Vasily III จึงได้จัดตั้งสภาผู้สำเร็จราชการเพื่อปกครองประเทศ ทำสิ่งนี้ หน่วยงานของรัฐมีความจำเป็นไม่เพียงแต่สำหรับการปกครองเท่านั้น แต่ยังเพื่อรักษาอำนาจไว้ในมือของลูกหลานด้วย
สภาเองก็อยู่ได้ไม่นานในองค์ประกอบเริ่มแรก อันเป็นผลมาจากแผนการของโบยาร์เมื่อสิ้นสุดฤดูร้อนปี 1534 สิ่งที่ไม่พึงประสงค์เหล่านั้นก็ถูกลบออกจากมัน “ อำนาจรวมอยู่ในมือของ Elena Vasilievna Glinskaya แม่ของ Ivan ซึ่งกลายเป็นผู้หญิงที่หิวโหยและกระตือรือร้น”
ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 40 Ivan IV เริ่มปกครองอย่างอิสระ ช่วงเวลานี้เริ่มต้นด้วยพิธีราชาภิเษกและการแต่งงานของเขา เมื่อทายาทบรรลุนิติภาวะ Glinskys ยังคงอยู่ในอำนาจและในเวลานี้เขาปล่อยใจไปกับ "ความอับอายและการประหารชีวิต" ซึ่งกระตุ้นความขุ่นเคืองของประชากร ความอับอายและการประหารชีวิตที่ไม่ได้รับแรงจูงใจในปี ค.ศ. 1545-1546 (และตามกฎแล้ว วิสามัญฆาตกรรม) การสำแดงแบบเปิดไม่พอใจชาวเมืองที่เป็นภาระ
อันเป็นผลมาจากกิจกรรมการโต้เถียงของอธิปไตย อำนาจของแกรนด์ดยุคก็ลดลง ดังนั้นด้วยการสนับสนุนของโบยาร์ Ivan the Terrible จึงได้รับตำแหน่งซาร์ พิธีราชาภิเษกจัดขึ้นที่อาสนวิหารอัสสัมชัญเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2090
การเปลี่ยนแปลงยศของกษัตริย์มอสโกมีทิศทางสองเท่าอย่างไม่ต้องสงสัย: ภายในและภายนอก
ใน นโยบายต่างประเทศชื่อนี้เล่น บทบาทที่สำคัญ, เพราะ แกรนด์ดุ๊กเปรียบได้กับเจ้าชายหรือดยุค และกษัตริย์ก็เทียบได้กับจักรพรรดิ
จำเป็นต้องมีการปฏิรูป
เหตุการณ์สำคัญที่สำคัญ การพัฒนาทางการเมืองเป็นการจลาจลในกรุงมอสโกซึ่งเกิดขึ้นไม่นานหลังจากพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าอีวานผู้น่ากลัว ในปี 1547 มีฤดูร้อนที่แห้งแล้งผิดปกติ เกิดเพลิงไหม้บ่อยขึ้นในมอสโก ที่ใหญ่ที่สุดถูกทำลาย ส่วนใหญ่เมืองไม้ ชาวบ้านหลายพันคนเสียชีวิตในเหตุเพลิงไหม้ และอีกนับหมื่นคนไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีอาหาร มีข่าวลือเกิดขึ้นว่าเพลิงไหม้เกิดจากการลอบวางเพลิงและเวทมนตร์คาถา เจ้าหน้าที่ใช้มาตรการที่โหดร้ายที่สุดกับ "ไฟแช็ก": พวกเขาถูกทรมานและในระหว่างการทรมานพวกเขาก็พูดถึงตัวเองหลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกประหารชีวิต ในวันที่สองหลังจาก “เพลิงไหม้ครั้งใหญ่” มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการโบยาร์ขึ้นเพื่อลงโทษผู้ที่รับผิดชอบต่อภัยพิบัติดังกล่าว เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน โบยาร์ได้รวบรวมผู้คนที่หน้าอาสนวิหารอัสสัมชัญ และพบว่าใครเป็นคนจุดไฟเผามอสโก ฝูงชนกล่าวหาว่า Anna Glinskaya เป็นผู้ลอบวางเพลิง ผู้คนออกมาเชื่อฟังและตอบโต้โบยาร์ยู. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ฝูงชนย้ายไปที่ Vorobyovo โดยเรียกร้องให้ส่ง Anna Glinskaya ยายของซาร์ไปประหารชีวิต แต่การจลาจลก็สลายไป และผู้ยุยงก็ถูกลงโทษ
ในปี ค.ศ. 1547-1550 เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในเมืองอื่นๆ สถานการณ์ของประชาชนแย่ลงไปอีกเนื่องจากความล้มเหลวของพืชผลในปี ค.ศ. 1548-1549
“การลุกฮือของประชาชนแสดงให้เห็นว่าประเทศจำเป็นต้องปฏิรูป การพัฒนาประเทศเพิ่มเติมจำเป็นต้องเสริมสร้างความเป็นรัฐและการรวมอำนาจเข้าด้วยกัน”
มอสโกเสร็จสิ้นการรวมดินแดนรัสเซียในปลายศตวรรษที่ 15 และต้นศตวรรษที่ 16 กลายเป็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการรัฐอันกว้างใหญ่ด้วยความช่วยเหลือของสถาบันและสถาบันโบราณที่พัฒนาขึ้นในอาณาเขตเล็ก ๆ ในช่วงระยะเวลาของการกระจัดกระจาย ประมวลกฎหมาย All-Russian ปี 1497 ล้าสมัยอย่างสิ้นหวัง แหล่งที่มา ความไม่พอใจอย่างต่อเนื่องลูก ๆ ของโบยาร์มีศาลโบยาร์ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการละเมิด ด้วยความช่วยเหลือจากกลุ่มผู้สูงศักดิ์เท่านั้นจึงจะหยุดความไม่สงบของประชาชนได้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ยังบอกเราเกี่ยวกับความจำเป็นในการปฏิรูปรัสเซียด้วย
จึงมีความชัดเจนว่าใน กลางศตวรรษที่ 16ศตวรรษ รัสเซียจำเป็นต้องเสริมสร้างความเป็นรัฐและรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง ความจำเป็นในการปฏิรูปการปกครองประเทศนั้นชัดเจน
พีเอ รูซิน
เงื่อนไขของการขึ้นสู่อำนาจของคลอเดียส และข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับทิศทางบางประการของนโยบายของเขา
เมื่อพูดถึงเงื่อนไขของการขึ้นสู่อำนาจของจักรพรรดิคลอดิอุส เราสามารถเน้นย้ำได้ คุณสมบัติดังต่อไปนี้: 1) คลอดิอุสไม่ใช่ทายาทของบรรพบุรุษของเขา และการขึ้นสู่อำนาจของเขาเกิดขึ้นได้อันเป็นผลมาจากการสมรู้ร่วมคิดที่นำไปสู่การฆาตกรรมกาย 2) คลอดิอุสขึ้นสู่อำนาจเมื่อเผชิญกับการต่อต้านจากภายนอก กลุ่มใหญ่ในวุฒิสภาและต้องขอบคุณการสนับสนุนจากกลุ่มร่วมชุมนุมเท่านั้น
นอกจากนี้ยังควรพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมในแต่ละแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันที่ 24-25 มกราคม พ.ศ. 2484 ซึ่งกำหนดไว้เป็นส่วนใหญ่ การพัฒนาต่อไปปริยายไปอีกหลายปี สถานการณ์โดยรอบการผงาดขึ้นมาของคลอดิอุสได้รับการตีความที่คลุมเครืออย่างยิ่งทั้งในแหล่งโบราณและใน วรรณกรรมสมัยใหม่ทำให้นักวิจัยมีคำถามที่น่าถกเถียงมากมาย
แง่มุมหนึ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นองค์ประกอบแต่ละส่วนของการสมคบคิดต่อต้านคาลิกูลา: องค์ประกอบของผู้เข้าร่วม เป้าหมายสูงสุดผู้สมรู้ร่วมคิดและการมีส่วนร่วมที่เป็นไปได้ในการสมรู้ร่วมคิดของคลอดิอุส นักเขียนโบราณ โดยเฉพาะตัวแทนของประเพณีโรมัน Dio Cassius และ Suetonius ทิ้งเราไว้ค่อนข้างมาก ข้อมูลโดยย่อเกี่ยวกับองค์ประกอบของกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิด: เฉพาะสมาชิกของฝ่ายปฏิบัติการของผู้สมรู้ร่วมคิด - เจ้าหน้าที่ - ที่ถูกลงโทษเท่านั้นที่สามารถตั้งชื่อได้อย่างเปิดเผย ผู้พิทักษ์พรีโทเรียน Cassius Chaerea, Cornelius Sabinus และผู้ร่วมงานที่ใกล้ชิดที่สุด ในเวลาเดียวกันเห็นได้ชัดว่าการสมคบคิดต่อต้าน Guy แพร่หลาย: วุฒิสมาชิกและนักขี่ม้าหลายคนไม่สามารถทนต่อรูปแบบการปกครองแบบเผด็จการของเขาได้อีกต่อไป เหล่าผู้ปลดปล่อยในวังซึ่งมีโชคลาภมากมายก็ไม่รู้สึกปลอดภัยเช่นกัน กลุ่มสุดท้าย ได้แก่ แคลลิสทัส เสรีชนของไกอัสที่มีอิทธิพลมากที่สุด
เหตุผลที่เราไม่ทราบชื่อของผู้เข้าร่วมการสมรู้ร่วมคิดหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตัวแทนของชนชั้นสูง อาจเป็นเพราะเมื่อขึ้นสู่อำนาจ คลอดิอุสจึงตัดสินใจ "ยอมจำนนต่อสองวันนั้นเมื่อความแข็งแกร่งของ ระบบของรัฐบาล- วุฒิสมาชิกหลายคนที่เข้าร่วมในการสมรู้ร่วมคิดต่อต้านกายและนั่งอยู่ในศาลากลางในวิหารแห่งดาวพฤหัสบดีผู้มีชัยได้รับการนิรโทษกรรม เลวิกเชื่อว่า Josius Flavius อาจได้รับการเสนอชื่ออย่างเปิดเผยต่อ Vinicianus ให้เป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในการสมคบคิดของ Camillus Scribonian ในเวลาต่อมาในปี 42 Guy Aspren ซึ่งถูกบอดี้การ์ดชาวเยอรมันสังหารและโน้มน้าวให้ Caligula ออกจากโรงละคร ก็สามารถตั้งชื่อได้อย่างเปิดเผยเช่นกัน ในบรรดาผู้สมคบคิดคนอื่นๆ โจเซฟัสตั้งชื่อเอมิเลียส เรกูลัส บทสนทนาในโรงละครระหว่างอดีตผู้ปรารภ Vatinius และกงสุล Cluvius ตามที่รายงานโดย Josephus อีกครั้งบ่งชี้ว่าสมาชิกวุฒิสภาที่มีชื่อเสียงหลายคนมีส่วนร่วมในการสมรู้ร่วมคิดหรือรู้เกี่ยวกับความพยายามลอบสังหารที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้ว่าผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยความปรารถนาที่จะกำจัดเผด็จการ กลุ่มต่างๆติดตามเป้าหมายของพวกเขา ต้องขอบคุณความขัดแย้งในค่ายของชนชั้นสูงเป็นอย่างมากที่ทำให้การยกระดับอย่างรวดเร็วและไร้เลือดของคาร์ดินัลไปสู่ตำแหน่งเจ้าชายเกิดขึ้น สมาชิกวุฒิสภาล้มเหลว
ชุมนุมรอบผู้สมัครคนเดียวและ แผนเดิมการฟื้นฟูสาธารณรัฐกลายเป็นเพียงยูโทเปีย: ทั้งประชาชนและทหารไม่สนับสนุนการตัดสินใจดังกล่าวโดยกลัวการกดขี่ครั้งใหม่จากผู้สูงศักดิ์และการลิดรอนสิทธิพิเศษมากมายในรูปแบบของเกมฟรีและการแจกเงินและธัญพืช ในบรรดาสมาชิกวุฒิสภาที่สมัครรับตำแหน่งเจ้าชาย แหล่งข่าวชี้ไปที่สามีของ Julia Livilla Marcus Vinicius น้องสาวของ Caligula ขุนนางชาว Gallic ผู้สูงศักดิ์ Valerius Asiaticus และ Annius Vinicianus อย่างไรก็ตาม กลุ่มวุฒิสมาชิกหลักซึ่งได้รับคำแนะนำจากความเห็นอกเห็นใจส่วนตัวหรือความเป็นจริงทางการเมือง ยังคงเลือกที่จะสนับสนุนคลอดิอุส ดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของเขาหรือเพียงถอนตัวออกจาก การพัฒนาเพิ่มเติม- นี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนจากข้อเท็จจริงที่ว่ามีเพียงวุฒิสมาชิกประมาณร้อยคนเท่านั้นที่มีส่วนร่วมในการประชุมวุฒิสภาครั้งที่สองในวิหารแห่งดาวพฤหัสบดีผู้มีชัย เลวีกุสรวมถึงแอสเพรน บุตรชายของลูเซียส โนเนียส แอสเพรน ในกลุ่มแรก ซึ่งใน 20 คนขอให้วุฒิสภาทั้งหมดรวมคลอดิอุสไว้ในรายชื่อบุคคลที่ตอบโต้การเสียชีวิตของเจอร์มานิคัส
กองยังเกิดขึ้นในหมู่สูงสุด ทีมผู้บริหาร Praetorian Guard: การฆาตกรรมลูกสาวและภรรยาของ Guy ระบุว่า Chaerea และ Sabinus กำลังวางแผนที่จะทำลายล้างกลุ่ม Julio-Claudian ทั้งหมด และ Claudius อาจกลายเป็นเหยื่อรายต่อไปของพวกเขาได้หากเขาไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมพบว่าตัวเองอยู่ภายใต้การคุ้มครองที่เชื่อถือได้ของ ทหาร Praetorian เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบุคคล ซึ่งอยู่ในตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดและสามารถควบคุมส่วนสำคัญของเจ้าหน้าที่และทหารได้ บุคคลนี้อาจเป็น M. Arrecinus Clement ซึ่งเป็นหนึ่งในสองพรีเฟ็คของ Praetorian แหล่งที่มายังระบุให้เราทราบว่ามีการแบ่งแยกระหว่างนายอำเภอพรีทอเรีย: นายอำเภอคนที่สองซึ่งแหล่งข่าวไม่ได้บอกเรา ถูกถอดออกจากตำแหน่งโดยคลอดิอุสก่อนที่วุฒิสภาจะยอมรับอำนาจของเขาในฐานะเจ้าชาย และถูกแทนที่ด้วย โปลิโอ; เคลเมนท์ยังคงดำรงตำแหน่งของเขาอาจเป็นเพราะเขาทำเพื่อผลประโยชน์ของคลอดิอุส
สมมติฐานหลักเกี่ยวกับการสมรู้ร่วมคิดต่อต้านกายซึ่งมีบทบาทสำคัญในวรรณกรรมสมัยใหม่ก็คือ การสมรู้ร่วมคิดนี้ริเริ่มโดย Cassius Chaerea และเพื่อนเจ้าหน้าที่ของเขา โดยได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกจำนวนหนึ่งซึ่งนำโดยวินิเซียน ซึ่งหวังว่าจะพลิกผลกลับคืนมาเพื่อสนับสนุน ชั้นเรียนหรือผู้สมัครแต่ละคนที่พวกเขาเลือก และถูกใช้โดยบุคคลที่สามที่ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของคลอดิอุส กลุ่มสุดท้ายรวมถึงแคลลิสทัส เคลเมนท์ และวุฒิสมาชิกอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งในจำนวนนั้นอาจเป็นแอสพรีน เราจะยึดติดกับเวอร์ชันนี้
คำถามเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของคลอดิอุสในการสมรู้ร่วมคิดยังคงเปิดอยู่ ประเพณีโบราณไม่รวมการมีส่วนร่วมของ Claudius ในการสมรู้ร่วมคิดในระดับใดอย่างสมบูรณ์: ตามเวอร์ชันที่พบบ่อยที่สุด Claudius ขึ้นสู่อำนาจด้วยโอกาสและขัดต่อเจตจำนงของเขา เอลสตันยังเชื่อด้วยว่าคลอดิอุสยอมรับอำนาจอย่างไม่เต็มใจและบังคับเนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น โดยยอมจำนนต่อหน้าทหารหลายพันคน เขาโดดเด่นด้วยประสบการณ์ที่จำกัดอย่างมากใน กิจการทางการเมืองและ การขาดงานโดยสมบูรณ์ประสบการณ์ในกิจการทหาร เขาไม่สามารถพึ่งพาการสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกได้ ซึ่งหลายคนต้องทนทุกข์ทรมานจากน้ำมือของกาย และแทบไม่ให้ความเคารพชายคนหนึ่งที่ถูกเยาะเย้ยแม้แต่ใน ครอบครัวของตัวเอง. จุดนี้.มุมมองเป็นที่ถกเถียงกัน การปฏิเสธอำนาจของคลอดิอุสอาจมีลักษณะเช่นเดียวกับ
และพยายามสละอำนาจของเจ้าชายทิเบเรียสในปี ค.ศ. 14 จากการที่จักรพรรดิองค์ก่อนๆ มีอายุยืนกว่าสามองค์และได้เห็นว่าบรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ ของเขารับมือกับคู่แข่งที่มีศักยภาพได้อย่างง่ายดายเพียงใด คลอดิอุสก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักว่าหากเขาสละอำนาจในตอนนี้ รัฐบาลสาธารณรัฐหรือเจ้าชายองค์ใหม่ก็ไม่น่าจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ได้
เลวิกยอมรับความเป็นไปได้ที่คลอดิอุสจะมีส่วนร่วมในการสมรู้ร่วมคิด แต่ตั้งข้อสังเกตว่าในคนอื่น ๆ สถานการณ์วิกฤติเราไม่เห็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นและเจตจำนงอันแรงกล้าในตัวเขา สันนิษฐานได้ว่าเมื่อสมาชิกของฝ่ายที่สนับสนุนคลอดิอุสตระหนักถึงอันตรายที่กำลังเกิดขึ้นเหนือพวกเขาในแง่ของความพยายามลอบสังหารไกอัสที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาก็เล่าข้อเท็จจริงให้คลอดิอุสฟัง โดยระบุว่ามีเพียงอาจารย์ใหญ่เท่านั้นที่สามารถช่วยเขาจากความตายได้ และคลอดิอุส ทำให้พวกเขากระจ่างชัดแล้วว่าจะต้องปฏิบัติตาม ความสนใจร่วมกัน- สมมติฐานนี้ดูเป็นไปได้ แต่หลักฐานใดๆ จากแหล่งที่มาไม่สามารถสนับสนุนได้
หลังจากขึ้นสู่อำนาจ เป้าหมายหลักที่อยู่ตรงหน้าคลอดิอุสคือการเสริมสร้างอำนาจและตำแหน่งของเขา และทำให้สถานการณ์ทางการเมืองในจักรวรรดิมีเสถียรภาพ ตามที่ระบุไว้อย่างถูกต้องโดย A.B. Egorov การกระทำหลังจากการตายของ Caligula ควรเป็นสัญลักษณ์ของการกำจัดความส่วนเกินทั้งสอง - รัชสมัยของ Guy และวุฒิสภาพยายามที่จะกำจัดหลักการ - เพื่อคืนกรุงโรมกลับสู่กระแสหลักของระบบออกัสตา วิธีที่ยอดเยี่ยมในการรับมือกับงานนี้ของ Claudius ช่วยให้เราสามารถตั้งคำถามถึงทัศนคติแบบเหมารวมที่ประเพณีมอบให้เขาได้
ขีดฆ่ารายบุคคล ด้านลบวิถีทางการเมืองของบรรพบุรุษของเขา คาลิกูลา ต่อหน้าคาร์ดินัลและเนโรภายหลังเขาพยายามแสดงความเคารพและความภักดีต่อวุฒิสภา ดำเนินมาตรการหลายประการซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชน และเน้นย้ำถึงประเพณีของราชวงศ์ทันทีหลังจากเข้ารับตำแหน่งเป็นเจ้าชาย แต่ไม่มีผู้ใดหรือ คนอื่น ๆ ต้องท้าทายสิทธิ์ในหลักการ ฟื้นฟูชื่อเสียงของระบบของตัวเอง ยืนยันความถูกต้องตามกฎหมายของการอ้างสิทธิ์ในโพสต์นี้ และปรับทิศทางเวกเตอร์ทางการเมืองของรุ่นก่อนเกือบทั้งหมดใหม่ทั้งหมด ทั้งสองคนต่างพยายามเพิ่มอำนาจ น้ำหนักทางการเมือง และความนิยมในหมู่ประชาชน เนื่องจากยังเยาว์วัยและขาดประสบการณ์ในเรื่องการเมือง
เงื่อนไขในการขึ้นสู่อำนาจของคลอดิอุสไม่ได้กำหนดเฉพาะมาตรการส่วนบุคคลเท่านั้น ช่วงเริ่มต้นรัชสมัยของพระองค์ แต่ยังรวมถึงแง่มุมนโยบายในประเทศและต่างประเทศหลายประการในหลักสูตรของพระองค์โดยรวม ใช่หลายคน นักวิจัยสมัยใหม่พวกเขาเห็นพ้องกันว่าแรงจูงใจหลักที่กระตุ้นให้คาร์ดินัลเริ่มการรณรงค์ทางทหารของอังกฤษนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าความปรารถนาของเจ้าชายซึ่งอำนาจมีพื้นฐานมาจากการสนับสนุนกองกำลังทหารของจักรวรรดิเป็นหลักเพื่อให้ได้รับชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ในฐานะผู้บัญชาการที่ได้รับชัยชนะ จึงทำให้ตำแหน่งและอำนาจของเขาเข้มแข็งขึ้น เราไม่ควรลืมว่าเหตุการณ์ของการสำรวจของอังกฤษเมื่อปีที่แล้วนำหน้าด้วยความพยายามของ Furius Camillus Scribonianus โดยได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกผู้มีอิทธิพลจำนวนหนึ่งเพื่อจัดระเบียบการลุกฮือด้วยอาวุธโดยใช้กองทหารในดัลเมเชียเพื่อจุดประสงค์นี้ แม้ว่าความพยายามครั้งนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ Claudius ก็ต้องการที่จะยกเว้นความเป็นไปได้ที่การพัฒนาเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต ตั้งอยู่นอกทวีปและมีชื่อเสียงว่าเป็นจุดสิ้นสุดของโลกในหมู่ผู้อยู่อาศัยจำนวนมากในจักรวรรดิ สหราชอาณาจักรซึ่งไม่เคยยอมจำนนต่อจูเลียส ซีซาร์ ถือเป็นเป้าหมายในอุดมคติสำหรับการได้มาซึ่ง ความรุ่งโรจน์ทางทหาร- ความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของการเดินทางครั้งนี้สำหรับคลอดิอุสก็แสดงให้เห็นเช่นกันว่าเขาเห็นว่าจำเป็นต้องยอมรับ
ตนเองเป็นผู้บังคับบัญชากองกำลังเป็นการส่วนตัวในช่วงสำคัญของการรณรงค์ เสี่ยงทางการเมืองอย่างร้ายแรง ออกจากโรมเป็นเวลานาน และทำให้ชีวิตและชื่อเสียงของเขาตกอยู่ในความเสี่ยง
เลวิกตั้งคำถามกับเรื่องราวที่เล่าโดยดิโอ แคสเซียส ซึ่งการมาถึงของคลอดิอุสพร้อมกำลังเสริมนั้นถูกกำหนดโดยความจำเป็นทางทหาร เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เจ้าชายจะต้องสั่งการจับกุมโคลเชสเตอร์เป็นการส่วนตัวเพื่อยอมรับการยอมจำนนของชนเผ่าอังกฤษหลายเผ่า เพื่อว่าเมื่อกองทัพของเขาได้รับการสถาปนาเป็นจักรพรรดิแล้ว เขาจะกลับไปยังกรุงโรมในฐานะผู้ชนะอย่างเต็มตัว เป็นความปรารถนาและความจำเป็นที่จะบรรลุความสำเร็จทางทหารเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของเขาเองที่สคัลลาร์ดอธิบายจุดเริ่มต้นของการรณรงค์ของอังกฤษโดยสังเกตว่าแรงจูงใจอื่น ๆ ที่มีนัยสำคัญน้อยกว่านั้นทำให้คาร์ดินัลแข็งแกร่งขึ้นในการตัดสินใจครั้งนี้เท่านั้น เอลสตันเห็นด้วยกับเขาในประเด็นนี้ โดยเสริมว่าในการรณรงค์นี้คลอดิอุสอาจพยายามแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของซีซาร์ อย่างแน่นอน จุดตรงข้ามสครามุซซาแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ นักวิจัยเชื่อว่าการรณรงค์ของอังกฤษถูกกำหนดโดยความจำเป็นของรัฐเป็นหลัก กล่าวคือ การประกาศให้อังกฤษเป็นดินแดนโรมันในส่วนของกีจึงก่อให้เกิดภาระผูกพันบางประการ นอกจากนี้ คลอดิอุสยังรู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องเสริมสร้างชื่อเสียงของอาวุธโรมันด้วยการขยายขอบเขตของจักรวรรดิ Scramuzza เชื่อว่าสาเหตุหลักของการบุกรุกคือ อันตรายที่แท้จริงสำหรับอาณาจักรที่มาจากกลุ่มชนเผ่าต่อต้านโรมันที่สร้างขึ้นโดย Cunobellinus และผู้สืบทอดของเขา
จากการวิเคราะห์ในลักษณะนี้ แนวโน้มทั้งสองนี้ได้รับการยอมรับในวรรณกรรมสมัยใหม่ เราสามารถสรุปได้ว่าตัวแทนของมุมมองทั้งสองนั้นระบุเหตุผลหลักในการเริ่มต้นการรณรงค์ของอังกฤษได้ค่อนข้างถูกต้อง แต่ในขณะเดียวกันก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงไม่รวมคำอธิบายอื่น ๆ สำหรับสิ่งนี้ ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์- ใน ในกรณีนี้เราควรยึดมั่นในมุมมองระดับกลาง: เป้าหมายส่วนตัวของคลอดิอุสและผลประโยชน์ของจักรวรรดิตัดกันด้วยวิธีที่น่าพอใจที่สุดและใน เท่าๆ กันทรงกำหนดการตัดสินใจของเจ้าชาย หลังจากปกป้องผลประโยชน์ของโรมแล้ว คลอดิอุสเองก็ใช้ประโยชน์จากผลของชัยชนะครั้งนี้อย่างเต็มที่: ความสำเร็จทางทหารของเจ้าชายสร้างความประทับใจอย่างมากในทุกมุมของจักรวรรดิ การพิชิตอังกฤษเน้นย้ำโดยคาร์ดินัลตลอดรัชสมัยของพระองค์: มีการเฉลิมฉลองเมื่อข่าวชัยชนะไปถึงกรุงโรม; ไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อคลอดิอุสกลับมาอย่างมีชัย จากนั้นชัยชนะก็ถูกเรียกคืนโดยการปรบมือให้กับ Aulus Plautius ในปี 47 และโดยการขยายขอบเขตของที่ดินโดย Claudius ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการผนวก ดินแดนใหม่ไปโรมในปี 49; ในปี 51 ขบวนแห่เกิดขึ้นตามถนนในกรุงโรมของ Caratacus ที่ถูกคุมขัง
สำหรับแง่มุมทางการเมืองภายในของนโยบายของคลอดิอุสซึ่งส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยเงื่อนไขของการขึ้นสู่อำนาจของเขา สิ่งสำคัญประการแรกคือควรสังเกตถึงการพึ่งพาเสรีภาพของเขาเองซึ่งทำโดยเจ้าชายเมื่อเข้ารับตำแหน่งสำคัญภายในระบบราชการของ อาณาจักรที่เขาจัดตั้งขึ้น เราได้สังเกตข้อเท็จจริงที่ว่าคลอดิอุสขึ้นสู่อำนาจเมื่อเผชิญกับการต่อต้านจากวุฒิสภา ดังนั้นเขาจึงแทบจะไม่สามารถวางใจได้ว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสถาบันทางการเมืองที่สำคัญที่สุดในการดำเนินการตามแนวทางที่เขาตั้งใจไว้ ความพยายามหลายครั้งในการสมรู้ร่วมคิดในส่วนของสมาชิกวุฒิสภาแต่ละคนในช่วงปีแรก ๆ ของตำแหน่งอธิการบดีของเขามีแต่เพิ่มความไม่ไว้วางใจของคลอดิอุสเท่านั้น พระองค์ทรงมอบตำแหน่งสำคัญในเครื่องมือของพระองค์แก่ผู้ที่เข้ามา
เนื่องจากตำแหน่งของเขา เขาไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามทางการเมืองและต้องการดูแลเฉพาะผลประโยชน์ของเจ้าชายและตัวเขาเองเท่านั้น ผลประโยชน์ของตนเอง, - ไปยังบริเวณโดยรอบพระราชวังของเขา อย่างไรก็ตาม ชะตากรรมของบรรพบุรุษของเขา สถานการณ์ทางการเมืองและความเชื่อมั่นของเขาเองบังคับให้คลอดิอุสต้องใช้กลยุทธ์ที่ค่อนข้างระมัดระวังและยืดหยุ่นที่เกี่ยวข้องกับวุฒิสภา แม้ว่าสถานฑูตจะมีบทบาทสำคัญในกลไกของจักรวรรดิ แต่ก็ไม่เคยได้รับสถานะอย่างเป็นทางการ อย่างเป็นทางการ วุฒิสภายังคงมีอำนาจเหนือกว่า สถาบันทางการเมืองและคลอดิอุสก็ขออนุญาตอย่างชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการบางอย่างและพยายามประนีประนอมโดยเผชิญกับการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง อย่างไรก็ตามถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น Claudius ก็ปฏิบัติตามแนวทางการรวมศูนย์อย่างเคร่งครัด: คันโยกที่สำคัญที่สุดทั้งหมดในการจัดการกิจการของจักรวรรดิเกือบทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
วรรณกรรม
1. เอโกรอฟ เอ.บี. โรมใกล้ถึงยุคสมัย ปัญหาการเกิดและการก่อตัวของประธาน / A.B. เอโกรอฟ L.: สำนักพิมพ์ Leningr. ม., 1985. 223 น.
2. โจเซฟัส ฟลาวิอุส สงครามยิว. ต่อ. กับเขา ย่าแอล เดวิล / ฟลาเวียส โจเซฟ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2443 แก้ไขใหม่ จากครั้งก่อน เค. เรฟยาโก, วี. เฟโดซิกา. มินสค์ 2534 512 หน้า
3. โจเซฟัส ฟลาเวียส โบราณวัตถุของชาวยิว: ทรานส์ จากภาษากรีก จี.จี. เฮงเค็ล / ฟลาเวียส โจเซฟ มินสค์ 2537 606 หน้า
4. ซูโทเนียส ทรานควิลัส ไกอัส ชีวิตของซีซาร์ทั้งสิบสอง: ทรานส์ ม.ล. กัสปาโรวา / ทรานควิล ไกอุส ซูโตเนียส ม., 1993. 368 น. ตรวจสอบโดยฉบับ: C. Suetonii Tranquilli, opera ex rec. เอ็ม เอิ่ม. V.I: de vita Caesarum libri VIII Lps., 1907 (de vita divi Claudii - liber V)
5. Alston R. แง่มุมของประวัติศาสตร์โรมัน, AD 14-117 / R. Alston เราท์เลดจ์, 1998. 332 น.
6. แคสเซียส ดิโอ ประวัติศาสตร์โรมัน แปลโดย Earnest Cary / Dio Cassius ห้องสมุดคลาสสิกโลบ พ.ศ. 2460 9 เล่ม
7. เลวิก บี. คลอดิอุส / บี. เลวิก. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล. นิวเฮเวน, 1990. 247 น.
8. Scramuzza V. จักรพรรดิ Claudius / V. Scramuzza สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด. เคมบริดจ์, 1940. 315 น.
9. สกัลลาร์ด เอช. จากกรัชชีถึงเนโร / เอช สกัลลาร์ด ลอนดอน, 1982. 445 น.
RUZIN PAVEL ARKADIEVICH เกิดในปี 1982 สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยภาษาศาสตร์แห่งรัฐ Nizhny Novgorod นักศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีของภาควิชาวัฒนธรรมศึกษาและประวัติศาสตร์ภาษาโบราณของ Nizhny Novgorod มหาวิทยาลัยภาษาศาสตร์- ภูมิภาค ความสนใจทางวิทยาศาสตร์- ประวัติศาสตร์กรุงโรมโบราณ
บอลเชวิคไม่เพียงแต่ลากรัสเซียเข้าสู่ความสับสนวุ่นวายและความขัดแย้ง แต่ยังมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในทุกด้านของชีวิต ขอบคุณ อำนาจของสหภาพโซเวียตประชากรได้รับสิทธิและโอกาสที่ไม่สามารถจินตนาการได้ในสมัยซาร์
หยุดสงคราม
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2460 หลังจากรายงานของเลนิน บอลเชวิคได้รับรอง "กฤษฎีกาว่าด้วยสันติภาพ" ซึ่งเชิญชวน "ประชาชนที่ทำสงครามและรัฐบาลของพวกเขาทั้งหมดให้เริ่มการเจรจาเพื่อสันติภาพที่ยุติธรรมและเป็นประชาธิปไตยทันที" โดยไม่ต้องผนวกและการชดใช้ค่าเสียหาย ในเอกสารดังกล่าว หน่วยงานใหม่ได้ประกาศปฏิเสธหลักการของการทูตลับ และให้ไฟเขียวแก่การตีพิมพ์สนธิสัญญาลับที่สรุปโดยรัฐบาลซาร์และรัฐบาลเฉพาะกาล
การเจรจาสันติภาพเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2460 หลังจากหารือกันสามวัน ประเทศในกลุ่มเยอรมันก็เห็นด้วยกับความคิดริเริ่มของสหภาพโซเวียต แต่ขึ้นอยู่กับการรักษาการผนวกและการชดใช้ค่าเสียหาย การลงนามสันติภาพแยกระหว่างโซเวียตรัสเซียและมหาอำนาจกลางเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2461 ไม่เพียงแต่เป็นการสิ้นสุดสงครามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการยอมรับความพ่ายแพ้ของรัสเซียด้วย
สนธิสัญญาเบรสต์-ลิตอฟสค์ ซึ่งรัสเซียสูญเสียดินแดนสำคัญ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทั้งจากฝ่ายค้านภายในและจากเกือบทุกคน กองกำลังทางการเมืองประเทศ. แต่ก็มีข้อดีเช่นกัน
ริชาร์ด ไปป์ส นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่าเลนินได้รับชัยชนะจากการยอมรับสันติภาพอันน่าอับอายอย่างชาญฉลาด เวลาที่ต้องการและได้รับความไว้วางใจอย่างกว้างขวางจากพวกบอลเชวิค การกระทำเพิ่มเติมของรัฐบาลโซเวียตกระตุ้นให้เยอรมนีแตกสลาย สนธิสัญญาเบรสต์-ลีตอฟสค์หลังจากนั้นเธอก็ยอมจำนนต่อพันธมิตรตะวันตก
สนธิสัญญาเบรสต์-ลิตอฟสค์ซึ่งมีความขัดแย้งทั้งหมดได้ปฏิเสธบทบาทของเยอรมนีในสภาพแวดล้อมนโยบายต่างประเทศของมหาอำนาจโซเวียตในท้ายที่สุด แต่ที่สำคัญที่สุดคือมันหยุดสงครามระยะยาวซึ่งทำให้ประชาชนเหนื่อยล้าและยอมให้รัสเซีย เพื่อรักษากองกำลังและทรัพยากรที่สำคัญซึ่งเกือบจะเล่นในอนาคต บทบาทชี้ขาดในการสะท้อนถึงการแทรกแซง
พวกเขาคืนที่ดิน
เพื่อขอความช่วยเหลือจากชนชั้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ - ชาวนา - เลนินได้ยื่นขออนุมัติต่อพรรคของเขาเพื่อขออนุมัติพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับที่ดินซึ่งเป็นแนวคิดที่ยืมมาจากนักปฏิวัติสังคมนิยม พระราชกฤษฎีกาถูกนำมาใช้ในวันที่สอง รัฐสภารัสเซียทั้งหมดโซเวียต 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460
เอกสารที่จัดให้มีขึ้นสำหรับการโอนเจ้าของที่ดินและที่ดินอื่น ๆ ไปยังการกำจัดของคณะกรรมการชาวนาและเขตโซเวียตจนกระทั่ง การตัดสินใจขั้นสุดท้ายปัญหาที่ดินทั้งหมดโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่น่าสนใจตามรายงานของคณะกรรมการการเกษตรของประชาชน 15% ของที่ดินของเจ้าของที่ดินถูกชาวนายึดไปแล้วก่อนเดือนตุลาคม พ.ศ. 2460
พระราชกฤษฎีกายังรวมถึง "คำสั่งเกี่ยวกับที่ดิน" ซึ่งร่างขึ้นในเดือนสิงหาคมด้วย ทรัพย์สินส่วนตัวที่ดินถูกยกเลิกและที่ดินถูกประกาศให้เป็น "ทรัพย์สินของชาติ" และอยู่ภายใต้การแบ่งแยกที่เท่าเทียมกันในหมู่ชาวนาตามมาตรฐานการบริโภคแรงงาน
พระราชกฤษฎีการะบุว่า: “กรรมสิทธิ์ในที่ดินถูกยกเลิกทันทีโดยไม่มีการไถ่ถอนใดๆ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติทรัพย์สินจะได้รับการยอมรับว่ามีสิทธิได้รับการสนับสนุนจากสาธารณะในช่วงเวลาที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพการดำรงอยู่ใหม่”
ตาม การบริหารส่วนกลางการจัดการที่ดินภายในสิ้นปี พ.ศ. 2463 ใน 36 จังหวัดของยุโรปส่วนหนึ่งของรัสเซียจาก 22,847,916 dessiatines ของที่ดินที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ 21,407,152 dessiatines มากำจัดชาวนาซึ่งเพิ่มพื้นที่ที่ดินชาวนาจาก 80 เป็น 99.8%
ทรัพย์สินเป็นของกลาง
เพื่อหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ถูกโค่นล้มของ "กลุ่มชนชั้นนายทุน" และเพื่อปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนที่ทำงาน รัฐโซเวียตดำเนินการโอนสัญชาติผ่านการบังคับและยึดสินทรัพย์ถาวรของการผลิตและธนาคารที่เป็นของทุนขนาดใหญ่
ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2460 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2461 รัสเซียเป็นของกลาง จำนวนมาก สถานประกอบการอุตสาหกรรมซึ่งเจ้าของมีส่วนร่วมในการก่อวินาศกรรมและจัดระเบียบแผนการต่อต้านการปฏิวัติตลอดจนวิสาหกิจที่เป็นของนายทุนที่อพยพไปต่างประเทศ
ในตอนท้ายของปี 1917 พวกบอลเชวิคได้โอนธนาคารของกลางที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานสนับสนุนทางการเงินแก่การปฏิวัติปฏิวัติ ซึ่งละเมิดการควบคุมที่ชนชั้นแรงงานกำหนดไว้เหนือพวกเขา เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2461 ได้มีการโอนสัญชาติ การค้าต่างประเทศและในวันที่ 28 มิถุนายน ก็ถึงเวลาสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ในทุกอุตสาหกรรม
ภายใต้เงื่อนไขของการเป็นชาติ เลนินให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการฝึกอบรมคนงานในการจัดการกิจการของสังคมและการผลิต “คุณสามารถยึด "ความมุ่งมั่น" ที่แท้จริงได้หากไม่มีความสามารถในการพิจารณาและแจกจ่ายอย่างถูกต้อง แต่การเข้าสังคมไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากทักษะดังกล่าว" ผู้นำของชนชั้นกรรมาชีพกล่าว
ให้สิทธิ
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 มีการเพิ่มเอกสารอีกฉบับในกฤษฎีกาแรกของอำนาจโซเวียตซึ่งเสริมสร้างอิทธิพลของพวกบอลเชวิคในเขตชานเมือง - "คำประกาศสิทธิของประชาชนแห่งรัสเซีย" ได้ประกาศยกเลิกสิทธิพิเศษและข้อจำกัดระดับชาติและศาสนาทั้งหมด ตลอดจนสิทธิของประเทศต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ จักรวรรดิรัสเซีย“การกำหนดตนเองจนถึงและรวมถึงการแยกตัวออกและการก่อตั้งรัฐเอกราช”
การปรากฏตัวของสิทธิดังกล่าวซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุกคามความสมบูรณ์ของรัสเซีย แต่ก็ทำให้สามารถหวังว่าจะประสบความสำเร็จของอำนาจของสหภาพโซเวียตในภูมิภาคอันกว้างใหญ่ของประเทศที่ยังไม่ได้ก่อตั้งชนชั้นกรรมาชีพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำประกาศที่ลงนามโดยเลนินและสตาลินกล่าวว่า: “ ชาวนาได้รับการปลดปล่อยจากอำนาจของเจ้าของที่ดินเพราะไม่มีเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของที่ดินอีกต่อไป - ถูกยกเลิกไปแล้ว ทหารและกะลาสีเรือได้รับการปลดปล่อยจากอำนาจของเผด็จการ นายพล เพราะต่อจากนี้ไปนายพลจะได้รับเลือกและเปลี่ยนแทนได้ คนงานได้รับการปลดปล่อยจากความเพ้อเจ้อและการกดขี่ของนายทุน เพราะตั้งแต่นี้ไปการควบคุมคนงานจะถูกสร้างขึ้นเหนือผืนน้ำและโรงงาน ทุกสิ่งที่มีชีวิตและดำรงอยู่ได้จะได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการที่เกลียดชัง”
มีประกันสังคมให้
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 บอลเชวิคได้ปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาสัญญาไว้กับคนงานมานานแล้ว - พวกเขารับรองพระราชกฤษฎีกา "ในวันทำงานแปดชั่วโมง" ตามพระราชกฤษฎีกา ชั่วโมงการทำงานซึ่งกำหนดโดยกฎภายในองค์กรไม่ควรเกิน 8 ชั่วโมงทำงานต่อวัน และ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รวมถึงเวลาที่ใช้ในการทำความสะอาดเครื่องจักรและการจัดพื้นที่ทำงานให้เป็นระเบียบ
อื่นๆก็ทยอยจัดให้ การค้ำประกันทางสังคม: ลดลง สัปดาห์การทำงานมีการแนะนำการลาแบบชำระเงินรายปี ได้แก่ - ลาคลอดบุตรและการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร ตลอดจนเงินบำนาญวัยชราและทุพพลภาพ ได้มีการสร้างกลไกสำหรับการดูแลรักษาทางการแพทย์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและเข้าถึงได้จากสาธารณะ
เจ้าหน้าที่ได้แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยเท่าที่เป็นไปได้ จากค่ายทหารของคนงาน ซึ่งมักจะมีเตียงสูงหลายชั้นและมีที่พักพิง ในตอนแรกคนงานถูกย้ายไปยังอพาร์ตเมนต์และหอพักรวมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก จากนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะจัดหาอพาร์ทเมนท์แยกกันฟรี แม้ว่าจะเล็กพร้อมสาธารณูปโภคราคาไม่แพง
ดำเนินการไฟฟ้า
ในปี ค.ศ. 1920 ที่ระดับความสูงของ สงครามกลางเมืองรัฐบาลโซเวียตได้พัฒนาตามความคิดริเริ่มและภายใต้การนำของเลนิน แผนระยะยาวการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศ - GOELRO ที่มีชื่อเสียง แผนดังกล่าวจัดให้มีการเปลี่ยนแปลงไม่เพียงแต่ภาคพลังงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศด้วย ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ กิจกรรมทางเศรษฐกิจดินแดน
ในการดำเนินการตามแผนสำหรับการใช้พลังงานไฟฟ้าในประเทศ รัฐบาลโซเวียตสนับสนุนความคิดริเริ่มของเจ้าของเอกชนอย่างจริงจัง ซึ่งสามารถวางใจในการลดหย่อนภาษีและกู้ยืมจากรัฐได้
แผน GOELRO ซึ่งได้รับการออกแบบมาเป็นเวลา 10-15 ปี ครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจหลัก 8 ภูมิภาค (ภาคเหนือ อุตสาหกรรมกลาง ภาคใต้ โวลก้า อูราล ไซบีเรียตะวันตก คอเคเชียน และเตอร์กิสถาน) ซึ่งมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้า 30 แห่ง มีกำลังการผลิตรวม 1.75 ล้าน กิโลวัตต์ถูกจินตนาการไว้ นี้ โครงการที่ยิ่งใหญ่ส่วนใหญ่วางรากฐานสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศในอนาคต
นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ผู้มาเยือนโซเวียตรัสเซีย เอช.จี. เวลส์เขียนเกี่ยวกับ GOELRO:“ เป็นไปได้ไหมที่จะจินตนาการถึงโครงการที่กล้าหาญกว่านี้ในประเทศที่ราบเรียบและเป็นป่าขนาดใหญ่แห่งนี้ซึ่งมีชาวนาที่ไม่รู้หนังสืออาศัยอยู่และไม่มีแหล่งที่มา พลังงานน้ำหากไม่มีผู้มีความรู้ด้านเทคนิค การค้าและอุตสาหกรรมใดที่แทบจะสูญสิ้นไป? ฉันไม่สามารถมองเห็นรัสเซียในอนาคตได้ แต่ชายร่างเตี้ยในเครมลินมีพรสวรรค์เช่นนี้”
เปิดตัวการรู้หนังสือสากล
แค่วันก่อน. การปฏิวัติเดือนตุลาคมเลนินกล่าวถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ว่า “รัสเซียยากจนเกินกว่าจะจ่ายเงินจ้างคนงานที่ซื่อสัตย์” การศึกษาสาธารณะแต่รัสเซียร่ำรวยเกินกว่าจะเสียเงินหลายล้านและหลายสิบล้านให้กับขุนนางปรสิต”
26 ธันวาคม 2462 โดยสภา ผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระราชกฤษฎีกาประวัติศาสตร์ "ว่าด้วยการขจัดการไม่รู้หนังสือ" ถูกนำมาใช้ เอกสารนี้บังคับให้ประชากรทั้งหมด โซเวียต รัสเซียอายุ 8 ถึง 50 ปี ที่ไม่สามารถอ่านหรือเขียนได้ เรียนรู้การอ่านและเขียนในภาษาแม่หรือภาษารัสเซียได้ตามต้องการ
การขจัดการไม่รู้หนังสือถือเป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ในการรับประกันการมีส่วนร่วมอย่างมีสติของประชากรทั้งหมดในด้านการเมืองและ ชีวิตทางเศรษฐกิจรัสเซีย. ในฐานะผู้ริเริ่มพระราชกฤษฎีกา เลนินเขียนว่า "เราต้องแน่ใจว่าความสามารถในการอ่านและเขียนมีประโยชน์ในการปรับปรุงวัฒนธรรม เพื่อให้ชาวนามีโอกาสใช้ความสามารถนี้ในการอ่านและเขียนเพื่อปรับปรุงเศรษฐกิจและของเขา สถานะ."
เป็นเรื่องยากมากที่จะดำเนินโครงการดังกล่าวภายใต้เงื่อนไขของสงครามกลางเมืองและการแทรกแซง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโซเวียตจัดสรรเงินจำนวนมหาศาลเพื่อต่อสู้กับการไม่รู้หนังสือ องค์กรที่จัดหาทั้งหมดมีหน้าที่ตอบสนองความต้องการของโปรแกรมการศึกษาเป็นอันดับแรกและสำคัญที่สุด
ภายในปี 1926 สหภาพโซเวียตอยู่ในอันดับที่ 19 ของโลกในแง่ของการรู้หนังสือ ตามหลังโปรตุเกสและตุรกี ยังคงมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างเมืองกับ ประชากรในชนบท- ดังนั้นในปี 1926 ชาวเมือง 80.9% และ 50.6% ของ ชาวชนบท- ในที่สุดการไม่รู้หนังสือของมวลชนก็ถูกเอาชนะไปในปลายทศวรรษที่ 1930
การขึ้นสู่อำนาจของ Ivan IV
การแนะนำ
การแนะนำ···························· ····················· ······2
การผงาดขึ้นสู่อำนาจของอีวานที่ 4··········································· ···········3
ความจำเป็นในการปฏิรูป·············································· ····3
เซมสกี โซบอร์ คนแรก ························4
การจำกัดการให้อาหารและการเปลี่ยนแปลงการควบคุม················6
การปฏิรูปภาษี················································ ················9
การปฏิรูปการทหาร················································ ················· 10
บทสรุป················································· ···········································12
รายการวรรณกรรมที่ใช้·····················································
หนึ่งใน ประเด็นสำคัญประวัติศาสตร์ของชาวรัสเซียคือคำถามของอีวานผู้น่ากลัว แม้แต่กับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน Ivan the Terrible ก็ดูเหมือนเป็นคนลึกลับและน่ากลัว ปริศนาเดียวกันนี้เข้าสู่ Ivan IV และ วิทยาศาสตร์ประวัติศาสตร์- สำหรับนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่นี่เป็นปัญหาทางจิตวิทยา ฉันยังสนใจในบุคลิกภาพของ Ivan the Terrible และเงื่อนไขที่มันถูกสร้างขึ้น นักประวัติศาสตร์บางคนถึงกับตั้งคำถามว่ากรอซนีมีสภาพจิตใจปกติหรือไม่
ในประวัติศาสตร์ของเรารัชสมัยของ Ivan the Terrible คือ ครึ่งเจ้าพระยาศตวรรษและเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดและ จุดเปลี่ยนของรัฐของเรา เป็นสิ่งสำคัญทั้งสำหรับการขยายดินแดนและในวงกว้าง เหตุการณ์สำคัญและการเปลี่ยนแปลงใน ชีวิตภายในประเทศ. ความสำเร็จมากมายในช่วงครึ่งศตวรรษนี้ เป็นผลที่ตามมาอย่างรุ่งโรจน์ สดใส และยิ่งใหญ่ แต่กลับมืดมน นองเลือด และน่าขยะแขยงยิ่งกว่านั้น เป็นที่ชัดเจนว่าด้วยคุณสมบัติที่ตรงกันข้ามกับปรากฏการณ์ที่สำคัญมากมายลักษณะและการกระทำของซาร์อีวานวาซิลีเยวิชซึ่งเป็นบุคคลสำคัญจึงดูลึกลับ ด้วยปริศนานี้เองที่ Ivan the Terrible เข้าสู่ประวัติศาสตร์ กษัตริย์พระองค์นี้ทรงเป็น บุคลิกภาพที่โดดเด่นได้รับการศึกษาดี แต่ไม่หล่อมากและบางทีอาจต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทางจิตและในเวลานั้นรัสเซียต้องการซาร์นักปฏิรูปที่เข้มแข็งรัฐเข้าใจ หักเลี้ยวจาก กฎโบยาร์สำหรับการปฏิรูปและความหวาดกลัวของ oprichnina ที่ตามมา - นี่คือเหตุการณ์สำคัญที่สำคัญของการครองราชย์ของอธิปไตยนี้และมีลักษณะเฉพาะอย่างครอบคลุม บุคลิกภาพที่ขัดแย้ง Ivan the Terrible ซึ่งมีคุณสมบัติที่โดดเด่น รัฐบุรุษนักการทูตที่สามารถทนต่อการเทียบเคียงกับผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ ตัวเลขทางประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับพระเจ้าปีเตอร์มหาราช
บางทีการกระทำนองเลือดอาจซ่อนความดีที่เขาทำไว้ แต่การปฏิรูปของชายคนนี้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์บางทีอาจจะไม่เหมือนใครเพราะ John Vasilyevich ได้วางรากฐานที่มั่นคงสำหรับผู้ติดตามนักปฏิรูปของเขา ในหลาย ๆ ด้าน กิจกรรมของ Ivan IV เป็นการก้าวไปข้างหน้าสู่ชัยชนะ ' หลักการของรัฐ'. สิ่งเหล่านี้สามารถถูกล้างบาปได้ว่าเป็นความสำคัญสูงสุดในการเอาชนะยุคประวัติศาสตร์นี้ซึ่งมีหลายอย่างที่ไม่ชัดเจน และนักประวัติศาสตร์หลายคนก็มีมุมมองที่แตกต่างกันไป ช่วงนี้- แต่ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 30 การประเมินกิจกรรมของ Ivan IV ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ เขาถูกมองว่าเป็นผู้รักชาติในดินแดนรัสเซียอย่างไร้ความปรานี แต่ค่อนข้างจัดการกับโบยาร์ที่ทรยศ
พ่อของ Ivan IV เสียชีวิตเมื่อลูกชายของเขาอายุเพียงสามขวบ เพื่อรักษาอำนาจให้กับลูกชายของเขา Vasily III จึงได้จัดตั้งสภาผู้สำเร็จราชการเพื่อปกครองประเทศ การสร้างหน่วยงานรัฐบาลนี้มีความจำเป็นไม่เพียงแต่สำหรับการปกครองเท่านั้น แต่ยังเพื่อรักษาอำนาจไว้ในมือของลูกหลานด้วย
สภาเองก็อยู่ได้ไม่นานในองค์ประกอบเริ่มแรก อันเป็นผลมาจากแผนการของโบยาร์เมื่อสิ้นสุดฤดูร้อนปี 1534 สิ่งที่ไม่พึงประสงค์เหล่านั้นก็ถูกลบออกจากมัน “อำนาจรวมอยู่ในมือของ Elena Vasilievna Glinskaya แม่ของ Ivan ซึ่งกลายเป็นผู้หญิงที่หิวโหยและกระตือรือร้น”
ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 40 Ivan IV เริ่มปกครองอย่างอิสระ ช่วงเวลานี้เริ่มต้นด้วยพิธีราชาภิเษกและการแต่งงานของเขา เมื่อทายาทบรรลุนิติภาวะ Glinskys ยังคงอยู่ในอำนาจและในเวลานี้เขาดื่มด่ำกับ "โอปอลและการประหารชีวิต" ซึ่งกระตุ้นความขุ่นเคืองของประชากร ความอับอายและการประหารชีวิตที่ไม่ได้รับแรงจูงใจในปี ค.ศ. 1545-1546 (ยิ่งกว่านั้นตามกฎแล้ว วิสามัญฆาตกรรม) การแสดงอาการไม่พอใจอย่างเปิดเผยต่อชาวเมืองที่จ่ายภาษี
อันเป็นผลมาจากกิจกรรมการโต้เถียงของอธิปไตย อำนาจของแกรนด์ดยุคก็ลดลง ดังนั้นด้วยการสนับสนุนของโบยาร์ Ivan the Terrible จึงได้รับตำแหน่งซาร์ พิธีราชาภิเษกจัดขึ้นที่อาสนวิหารอัสสัมชัญเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2090
การเปลี่ยนแปลงยศของกษัตริย์มอสโกมีทิศทางสองเท่าอย่างไม่ต้องสงสัย: ภายในและภายนอก
ในนโยบายต่างประเทศ ตำแหน่งนี้มีบทบาทสำคัญ เนื่องจากแกรนด์ดุ๊กเปรียบเสมือนเจ้าชายหรือดยุค และซาร์เปรียบเสมือนจักรพรรดิ
การผงาดขึ้นสู่อำนาจของ Ivan IV - แนวคิดและประเภท การจำแนกประเภทและคุณสมบัติของหมวดหมู่ “การมาสู่อำนาจของ Ivan IV” 2017, 2018
จุดเริ่มต้นของประติมากรรมกอธิคฝรั่งเศสถูกวางไว้ในแซงต์-เดอนี พอร์ทัลทั้งสามของด้านหน้าอาคารด้านตะวันตกของโบสถ์ที่มีชื่อเสียงเต็มไปด้วยภาพประติมากรรมซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการแสดงความปรารถนาที่จะมีโปรแกรมยึดถือความคิดอย่างเคร่งครัดความปรารถนาก็เกิดขึ้น...
เมืองใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าว ยุคกลางตอนต้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในทางปฏิบัติ สงครามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจำเป็นต้องมีการก่อสร้างถิ่นฐานที่มีป้อมปราการ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน
- เสื้อผ้าในยุคกอธิค XII-XIV โซลูชั่นการเล่นในอวกาศวิธีแก้ปัญหาทั่วไป อาคารและคอมเพล็กซ์ ในองค์ประกอบที่สูงขึ้นสถาบันการศึกษา
- ประติมากรรมกอธิคเยอรมัน ศตวรรษที่สิบสาม - สิบสี่ ประติมากรรมแบบโกธิกที่ยิ่งใหญ่ในเยอรมนีเจริญรุ่งเรืองในช่วงสามวินาทีที่สองของศตวรรษที่ 13 ความคิดริเริ่มของมันโครงสร้างเป็นรูปเป็นร่าง
ถูกกำหนดไม่เพียงแต่จากประเพณีของศิลปะพลาสติกของเยอรมันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสถานการณ์ในชีวิตทางการเมืองและจิตวิญญาณของประเทศด้วยซึ่งในช่วงเวลานี้... การขึ้นสู่อำนาจของ Ivan IV ตามตำนาน แม้แต่การเกิดของเขาเองก็ไม่ธรรมดา เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1530 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของซาร์อิวานุชกา พายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงได้เกิดขึ้นในมอสโก ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงภัยพิบัติที่ซาร์ในอนาคตจะนำมาซึ่ง ตามข่าวลือ คาซานข่านจึงพูดวลีต่อไปนี้: "ราชาที่มีฟันสองซี่เกิดมาเพื่อคุณ เขาจะกินเราด้วยฟันซี่เดียว และคุณจะกินพวกเราด้วยฟันอีกซี่" ในความคิดของฉัน ตำนานเหล่านี้ปรากฏขึ้นหลังจากที่เห็นได้ชัดว่าซาร์อีวานที่ 4 เป็นอย่างไร ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1533 Vasily พ่อของ Ivanushka ล้มป่วยหนักขณะล่าสัตว์- จากนั้น Elena Glinskaya ภรรยาของ Vasily Ivanovich ก็เข้ามามีอำนาจในทางใดทางหนึ่ง
ตามเวอร์ชันหนึ่ง Vasily III เองก็โอนอำนาจไปยัง Glinskaya ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตตามอีกฉบับหนึ่ง วาซิลีที่ 3มีการแต่งตั้งสภาผู้พิทักษ์เจ็ดโบยาร์ซึ่งเอเลน่าซึ่งเป็นพันธมิตรกับโบยาร์ดูมาเริ่มต่อสู้ อาจเป็นไปได้ว่า Elena Glinskaya ปกครองประเทศจนกระทั่งเธอเสียชีวิตในปี 1537
ผู้พิทักษ์ของอีวานยึดอำนาจซึ่งหนึ่งในนั้นคือชูสกี้ เขาพยายามเลี้ยงดู Ivanushka ด้วยความเข้มงวดและในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้มีส่วนช่วยในการศึกษาของกษัตริย์ในอนาคต ในปี 1542 ชูสกี้เสียชีวิต ซึ่งนำไปสู่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจทั้งในและรอบๆ สภาผู้พิทักษ์
โบยาร์แยกแยะสิ่งต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องรวมถึงในห้องนอนของอีวานซึ่งส่งผลต่อจิตใจของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่ออายุ 12 ปี อีวานชอบที่จะปีนขึ้นไปบนหอคอยและโยนสัตว์ออกจากพวกมัน เมื่ออายุ 14 ปี เขาขับรถไปรอบ ๆ มอสโก บดขยี้ผู้คน ทุบแผงขายของในตลาด เมื่ออายุ 15 ปี เขาสั่งลิ้นของโบยาร์ Afanasy Buturlin ซึ่งถูกกล่าวหาว่าพูดไม่เคารพเกี่ยวกับซาร์ในอนาคตจะต้องถูกตัดออก วันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1549 Ivan IV Vasilyevich ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ ในบางครั้ง Ivan IV ปกครองร่วมกับ Glinskys แต่ในฤดูร้อนปี 1547 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในมอสโกซึ่งมวลชนตำหนิ Glinskys
ความไม่สงบเริ่มต้นขึ้นซึ่ง Ivan IV สามารถปราบปรามได้ Glinskys ถูกส่งไปยังชนบทห่างไกลโดยไม่เป็นอันตราย ในความเป็นจริง Ivan Vasilyevich เริ่มปกครองโดยอิสระอย่างสมบูรณ์
สิ้นสุดการทำงาน -
หัวข้อนี้เป็นของส่วน:
บทบาทของ Ivan the Terrible ในการพัฒนารัฐรัสเซีย
Ivan IV Vasilyevich the Terrible อาจเป็นบุคคลลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์รัสเซีย ความคิดเห็นเกี่ยวกับนาโนเมตรแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในอีกด้านหนึ่งเขาเป็นเผด็จการที่ไม่สมดุลซึ่งทำให้คนทั้งประเทศหวาดกลัว. ตามเวอร์ชันหนึ่ง Vasily III เองก็โอนอำนาจไปยัง Glinskaya ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตตามที่อีกคนหนึ่งระบุ Vasily III ได้แต่งตั้งผู้ปกครอง..