ร่างกายมนุษย์ปรับให้เข้ากับชีวิตในสภาพแวดล้อมของโลกของเราได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งกว่านั้น - เราสามารถทำได้โดยไม่มีบางอย่าง อวัยวะสำคัญการสูญเสียซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะ ดังนั้นบุคคลสามารถสูญเสียได้ดี:
สมเด็จพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ฟรานซิส วัย 76 ปี ทรงผ่าตัดปอดข้างหนึ่งออกเมื่อ 40 ปีที่แล้วเพื่อรักษาอาการติดเชื้อ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นี่เป็นวิธีปฏิบัติทั่วไป เนื่องจากยังไม่ได้รับยาปฏิชีวนะ แพร่หลาย- ในความเป็นจริง บุคคลสามารถอยู่รอดได้หากเอาปอดข้างหนึ่งออกจนหมด และจะไม่ส่งผลกระทบต่อความยาวหรือคุณภาพชีวิต ห้ามออกกำลังกายหนักเท่านั้น
ปกติเรามีไต 2 ไต แต่ไตเดียวก็เพียงพอที่จะอยู่รอดได้ บางคนเกิดมาพร้อมกับไตข้างเดียว ในขณะที่บางคนสูญเสียไตไปข้างหนึ่งจากการบาดเจ็บหรือการบริจาค แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่มี ปัญหาร้ายแรงด้วยสุขภาพและอายุขัย ในทางเทคนิคแล้ว คนๆ หนึ่งสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีไตเลย แต่มักจะต้องใช้การฟอกไตเพื่อทำความสะอาดร่างกาย
ม้ามกรองเลือดและช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ แต่ไม่จำเป็นต่อการอยู่รอดแต่อย่างใด เช่น สามารถเอาออกได้ เนื่องจากความเสียหาย โรคเลือด หรือการบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่มีม้ามมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อมากกว่า
บางครั้ง ในการรักษาโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารของบุคคลหนึ่งจะถูกเอาออกทั้งหมด หลังจากนั้นลำไส้เล็กจะเชื่อมต่อโดยตรงกับหลอดอาหาร ผู้ที่ผ่านขั้นตอนนี้จะต้องได้รับอาหารทางหลอดเลือดดำเป็นเวลาหลายสัปดาห์หลังการผ่าตัด หลังจากนี้ก็สามารถรับประทานอาหารได้มากที่สุดแต่ในปริมาณที่น้อยลงและต้องรับประทานอาหารเสริมชนิดพิเศษ
ในกรณีนี้คุณภาพชีวิตจะลดลงอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นคนเราก็สามารถอยู่ได้โดยไม่มีตับอ่อน การสูญเสียอวัยวะนี้นำไปสู่ความผิดปกติในการย่อยอาหารและคุณจะต้องเตรียมเอนไซม์ไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ตับอ่อนยังผลิตอินซูลินและการกำจัดออกจะนำไปสู่การพัฒนาโรคเบาหวาน
แน่นอนว่าการสูญเสียตับบางส่วนจะทำให้ชีวิตของบุคคลนั้นค่อนข้างลำบากขึ้น แต่ก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน ตับเป็นอวัยวะเดียวของมนุษย์ที่สามารถงอกใหม่ได้ ดังนั้นหากคุณเอาตับออก 25% ของบุคคลนั้น ก็มีแนวโน้มว่าตับจะสามารถ "เติบโต" สู่ขนาดเท่าเดิมได้ แต่การสูญเสียตับโดยสิ้นเชิงนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจากตับเป็นตัวกรองหลักของร่างกาย และหากไม่มีตับ คุณจะถูกวางยาพิษถึงตายโดยผลิตภัณฑ์จากของเสียของคุณเอง
ผู้คนอาจสูญเสียลำไส้ใหญ่อันเป็นผลมาจากมะเร็งลำไส้หรือโรคโครห์น บุคคลสามารถอยู่ได้โดยปราศจากอวัยวะนี้ แต่ก็ไม่ได้ดีเป็นพิเศษ: เขาจะต้องสวมถุงนอกร่างกายตลอดเวลาซึ่งเชื่อมต่อโดยตรงกับกล้ามเนื้อหูรูดเพื่อรวบรวมคาลอยด์ บางครั้งถุงดังกล่าวอาจถูกสร้างขึ้นในลำไส้เล็ก โดยจะเข้ามาแทนที่ลำไส้ใหญ่ และไม่จำเป็นต้องสวมถุงภายนอก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคลินิกและทักษะของศัลยแพทย์
หากมีนิ่วปรากฏในถุงน้ำดีและไม่สามารถละลายได้ด้วย ยาจากนั้นนำถุงน้ำดีของผู้ป่วยออก นี่เป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปในปัจจุบันและการดำเนินการก็ค่อนข้างปลอดภัย น่าเสียดายที่ภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตเนื่องจากน้ำดีสามารถเข้าถึงทวารหนักได้โดยตรงและสามารถไปถึงทวารหนักได้ตลอดเวลาซึ่งนำไปสู่ความผิดปกติของระบบย่อยอาหารและอาการไม่พึงประสงค์
ขั้นตอนนี้จะดำเนินการเฉพาะในกรณีที่วิธีการรักษาอื่นไม่ช่วยอีกต่อไป ต่อมไทรอยด์มีหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นในร่างกายจำนวนมาก และหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับยาตลอดชีวิต การบำบัดทดแทนฮอร์โมน
ตับเป็นอวัยวะที่ทรงพลังซึ่งทำหน้าที่สำคัญมากกว่า 500 ประการ อวัยวะหนัก 1.5 กก. ซึ่งเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย อยู่ที่ส่วนบนขวาของช่องท้อง ตับทำหน้าที่ดังต่อไปนี้:
- กรองสารพิษออกจากเลือด
- ผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารที่เรียกว่าน้ำดี
- เก็บวิตามินและแร่ธาตุ
- ควบคุมฮอร์โมนและการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน
- ช่วยให้เลือดข้น
ตับเป็นอวัยวะเดียวในร่างกายที่สามารถเติบโตกลับมาได้หลังจากที่บางส่วนถูกถอดออกหรือเสียหาย ที่จริงแล้ว ตับสามารถเติบโตจนเต็มขนาดได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
เป็นไปได้ไหมที่จะอยู่โดยไม่มีตับ?
เลขที่ ตับมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ แม้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยตับเพียงบางส่วน แต่ก็ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากตับเลย ไม่มีตับ:
- เลือดจะไม่ข้นจนควบคุมไม่ได้
- สารพิษ สารเคมี และผลพลอยได้จากการย่อยอาหารจะสะสมในเลือด
- การป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราลดลง
- อาการบวมเกิดขึ้นรวมถึงอาการบวมน้ำที่สมองถึงแก่ชีวิต
หากไม่มีตับ ความตายจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่วัน
จะทำอย่างไรถ้าตับล้มเหลว?
ตับอาจล้มเหลวได้จากหลายสาเหตุ
ภาวะตับวายเฉียบพลันทำให้ตับเสื่อมอย่างรวดเร็ว โดยมักเกิดขึ้นในช่วงที่ตับมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม พบได้น้อยมาก โดยเกิดขึ้นน้อยกว่า 10 คนต่อล้านคนในแต่ละปี สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด:
- การติดเชื้อไวรัส
- ความเป็นพิษของยา มักเกิดจากการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด
อาการ ได้แก่:
- โรคดีซ่านซึ่งทำให้ผิวหนังและตาขาวเป็นสีเหลือง
- ปวดท้องและบวม
- คลื่นไส้
- อาการเวียนศีรษะทางจิต
ภาวะตับวายอีกประเภทหนึ่งเรียกว่าภาวะตับวายเรื้อรัง เกิดจากการอักเสบและรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นนานหลายเดือนหรือหลายปี ความเสื่อมของตับโดยทั่วไปนี้มักเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น:
- การละเมิดแอลกอฮอล์
- การติดเชื้อรวมทั้งโรคตับอักเสบ A, B และ C
- มะเร็งตับ
- โรคทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน
- โรคไขมันพอกตับที่ไม่มีแอลกอฮอล์
อาการ ได้แก่:
- ท้องบวม
- อาการตัวเหลือง
- คลื่นไส้
- อาเจียนเป็นเลือด
- การศึกษาง่ายรอยฟกช้ำ
- การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
ไม่ใช่โทษประหารชีวิต
แต่ภาวะตับวายไม่ใช่โทษประหารชีวิต ขึ้นอยู่กับสุขภาพและสภาพของตับ บุคคลอาจเป็นผู้สมัครรับการปลูกถ่ายตับ ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่ตับที่เป็นโรคจะถูกเอาออกและแทนที่ด้วยตับที่มีสุขภาพดีบางส่วนหรือทั้งหมดที่นำมาจากผู้บริจาค
การปลูกถ่ายตับของผู้บริจาคมีสองประเภท:
การปลูกถ่ายผู้บริจาคที่เสียชีวิต
ซึ่งหมายความว่าตับจะถูกพรากไปจากผู้ที่เพิ่งเสียชีวิตไป
โดยปกติแล้ว บุคคลจะลงนามในบัตรผู้บริจาคอวัยวะก่อนเสียชีวิต สามารถบริจาคอวัยวะดังกล่าวได้เมื่อมรณกรรมโดยได้รับความยินยอมจากครอบครัว สถาบันแห่งชาติโรคเบาหวาน โรคทางเดินอาหารและโรคไต (สหรัฐอเมริกา) รายงานว่า ที่สุดผู้บริจาคตับมาจากผู้บริจาคที่เสียชีวิต
การปลูกถ่ายผู้บริจาคที่มีชีวิต
ในกระบวนการนี้ผู้บริจาคที่มีชีวิตมักเป็นสมาชิกในครอบครัวหรือ เพื่อนสนิท— ตกลงที่จะบริจาคส่วนหนึ่งของตับที่แข็งแรงของเขา การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าจากการปลูกถ่ายตับ 6,455 ครั้งในปี 2556 มีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มาจากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิต
ในการปลูกถ่ายแบบเฮเทอโรโทปิก ตับที่เสียหายจะยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม และตับหรือส่วนที่มีสุขภาพดีจะถูกต่อกิ่งลงไป แม้ว่าการปลูกถ่ายออร์โธโทปิกจะพบได้บ่อยที่สุด แต่การปลูกถ่ายแบบเฮเทอโรโทปิกอาจทำได้หาก:
- สุขภาพย่ำแย่จนผู้ป่วยทนไม่ไหว การกำจัดที่สมบูรณ์ตับ
- โรคตับมีสาเหตุทางพันธุกรรม
เป็นไปได้ไหมที่จะอยู่กับส่วนหนึ่งของตับ?
แม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับตับเพียงบางส่วน แต่แพทย์จะดูแลให้ตับมีขนาดใหญ่พอที่จะทำทุกอย่างได้ ฟังก์ชั่นที่จำเป็น- สันนิษฐานว่าตับที่ทำงานเพียงร้อยละ 25-30 เท่านั้นก็เพียงพอที่จะรักษาการทำงานตามปกติได้
เมื่อเวลาผ่านไป ตับจะโตขึ้นจนมีขนาดประมาณปกติ ผู้เชี่ยวชาญไม่แน่ใจว่าการฟื้นฟูของตับเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่พวกเขารู้ดีว่าเมื่อตับได้รับการผ่าตัดลดขนาดลง การตอบสนองของเซลล์จะถูกกระตุ้นซึ่งจะทำให้เกิดการงอกใหม่อย่างรวดเร็ว
การปลูกถ่ายตับบางส่วนจากผู้บริจาคที่มีชีวิต
ผู้ที่ได้รับตับจากผู้บริจาคที่เสียชีวิตมักจะได้รับตับแบบทั้งอวัยวะ อย่างไรก็ตาม ตับอาจถูกแบ่งออกหากมีขนาดใหญ่มากหรือใช้ร่วมกันระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่
ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้บริจาคตับที่มีชีวิต ซึ่งมักมาจากญาติหรือเพื่อนที่มีสุขภาพดีซึ่งมีขนาดและกรุ๊ปเลือดตรงกัน จะได้รับตับเพียงชิ้นเดียว บางคนเลือกตัวเลือกนี้เนื่องจากไม่ต้องการเสี่ยงต่อการรอรายการอวัยวะที่มีอยู่ซึ่งอาจมาถึงตรงเวลาหรือไม่ก็ได้
- ตับของผู้บริจาคประมาณ 40-60 เปอร์เซ็นต์จะถูกเอาออกและย้ายไปยังผู้รับ
- ทั้งผู้รับและผู้บริจาคจะมีตับเพียงพอที่จะทำงานได้อย่างถูกต้อง
- การเจริญเติบโตของตับจะเริ่มขึ้นเกือบจะในทันที
- ภายในสองสัปดาห์ ตับจะเข้าสู่ภาวะปกติ ขนาดปกติ.
- การงอกใหม่ทั้งหมดหรือเกือบเสร็จสมบูรณ์จะเกิดขึ้นภายในหนึ่งปี
แม้ว่ายังพบไม่บ่อยนัก แต่การบริจาคตับที่มีชีวิตยังคงเกิดขึ้น
ข้อดีหลักของการบริจาคตับเพื่อดำรงชีวิตคือสามารถกำหนดเวลาการผ่าตัดได้เมื่อสะดวกทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังบริจาคตับได้ก่อนที่ผู้รับจะป่วยหนักอีกด้วย สิ่งนี้อาจช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิต
- มีอายุระหว่าง 18 ถึง 60 ปี
- มีกรุ๊ปเลือดที่เข้ากันได้กับผู้รับ
- ผ่านการตรวจร่างกายและ การทดสอบทางจิตวิทยา
- มีน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพ เนื่องจากโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคไขมันพอกตับซึ่งทำลายตับ
- เตรียมงดแอลกอฮอล์จนกว่าจะหายดี
- มีสุขภาพแข็งแรง
บรรทัดล่าง
ตับทำหน้าที่สำคัญ ฟังก์ชั่นที่สำคัญ- แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะขาดตับที่สมบูรณ์ไม่ได้ แต่เขาก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอวัยวะเดียวเท่านั้น
หลายๆ คนสามารถทำงานได้ตามปกติโดยใช้ตับเพียงครึ่งเดียว ตับอาจเติบโตจนเต็มขนาดภายในไม่กี่เดือน
หากคุณหรือคนที่คุณรู้จักเป็นโรคตับและจำเป็นต้องปลูกถ่าย การพิจารณาบริจาคตับก็อาจคุ้มค่า
ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับว่าตับได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด และกระบวนการทางพยาธิวิทยาเกิดจากอะไร สาเหตุหลักของการปรากฏตัวของอาการส่วนใหญ่คือการละเมิดการทำงานของการล้างพิษเนื่องจากระดับแอมโมเนียฟีนอลและกรดไขมันเพิ่มขึ้นในกระแสเลือด นอกจากนี้สัญญาณของการรบกวนของอิเล็กโทรไลต์และภาวะกรดจะปรากฏขึ้น
อาการตับวาย
สัญญาณของภาวะตับวายในมนุษย์ค่อนข้างหลากหลาย สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงความเสียหายไม่เพียงแต่ต่อตับและทางเดินน้ำดี (ต่อม, ทางเดินน้ำดี) แต่ยังรวมถึงความเสียหายอื่น ๆ อวัยวะภายใน- สิ่งนี้บ่งบอกถึงการมีส่วนร่วมของทั้งระบบย่อยอาหารและระบบหัวใจและหลอดเลือด, ระบบประสาทและระบบไหลเวียนโลหิตในกระบวนการทางพยาธิวิทยา
สัญญาณของภาวะตับวายได้แก่:
- โรคดีซ่าน;
- โรคประสาทอักเสบ;
- อุณหภูมิสูงถึง 40 องศา;
- อาการบวมที่แขนขา, น้ำในช่องท้อง;
- โรคไข้สมองอักเสบ;
- ความใคร่ลดลง;
- เปลี่ยน สภาวะทางจิตอารมณ์(หงุดหงิดหรือไม่แยแส)
หากตับทำงานล้มเหลวเนื่องจากต่อมไม่เพียงพอเรื้อรัง บุคคลหรือญาติอาจบ่นว่า:
- อาการสั่นของแขนขา;
- ความผิดปกติของสติ;
- อาการเวียนศีรษะ;
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
- พูดไม่ชัด;
- ความไม่เพียงพอ;
- อาการบวมที่ขาและหน้าท้องอย่างรุนแรง
- เลือดออกทางจมูกบ่อย, ประจำเดือนเป็นเวลานาน;
- มองเห็นไม่ชัด
หากพยาธิวิทยามีระยะเฉียบพลันจะสังเกตอาการต่อไปนี้ของภาวะตับวายในบุคคล:
- อาการป่วยไข้อย่างรุนแรง
- คลื่นไส้, อาเจียน;
- ภาวะอุณหภูมิเกิน;
- เพิ่มความรุนแรงของโรคดีซ่าน;
- กลิ่น “ตับ” จากปาก;
- ความเจ็บปวดในบริเวณ hypochondrium ด้านขวา;
- ความง่วง;
- การหดตัวของตับ
ปัจจัยโน้มนำ
สาเหตุของภาวะตับวายนั้นค่อนข้างหลากหลาย แต่คุณจำเป็นต้องรู้ให้ได้ คำจำกัดความที่รวดเร็วกลยุทธ์การรักษา นี่อาจเป็นแผลติดเชื้อของต่อมหรืออวัยวะอื่น ๆ อิทธิพลของปัจจัยที่เป็นพิษภายนอก (แอลกอฮอล์ ยา) หรือการชดเชยของระบบหัวใจและหลอดเลือด
การติดเชื้อ
ปัจจัยแรกที่ควรแยกออกคือการติดเชื้อ พวกเขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและความล้มเหลวของอวัยวะ ในกรณีส่วนใหญ่ สาเหตุคือโรคตับอักเสบบีและซี บ่อยครั้งการเสื่อมของต่อมเกิดขึ้นหลังจากผ่านไปสี่สิบปี
ตับจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียความสามารถในการทำงาน ฟังก์ชั่นทางสรีรวิทยา- ความเสี่ยงสูงสุดของอวัยวะล้มเหลวคือ ร่างกายมนุษย์เมื่อไวรัสตับอักเสบเกิดขึ้นกับภูมิหลังของการดื่มแอลกอฮอล์หรือรับประทานยาที่เป็นพิษต่อตับ
นอกจากนี้สาเหตุของโรคอาจเกิดจากการติดเชื้อ adeno-, cytomegaloviruses, Epstein-Barr หรือเริม
สารพิษต่อตับ
ปัจจัยต่อไปที่ตับอาจล้มเหลวคือสารพิษจากภายนอก สาเหตุกลุ่มนี้รวมถึงการติดสุราและความเสียหายต่ออวัยวะที่เกิดจากยา ผู้ป่วยจะอยู่ได้นานแค่ไหน? ในกรณีนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ละเมิดและปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บริโภคในแต่ละวัน อย่างหลังอยู่ในกระบวนเสื่อมสลายก็ปล่อย สารพิษซึ่งนำไปสู่ความตายของต่อม
นอกจากผลการทำลายล้างของแอลกอฮอล์ต่อเซลล์ตับ (เซลล์ตับ) แล้วยังมีผลเป็นพิษอีกด้วย:
- ยา (ยาระงับประสาท ยาต้านแบคทีเรีย ยาต้านการอักเสบและยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์);
- พิษของเห็ดมีพิษ;
- สารเคมีที่ผู้คนสัมผัสกันในที่ทำงาน
เมื่อรับประทานยารักษาพิษต่อตับ จำเป็นต้องมีแพทย์ควบคุมปริมาณและระยะเวลาของการรักษาอย่างเข้มงวด
โรคที่เกิดร่วมกัน
ความผิดปกติของตับอย่างรุนแรงจนถึงความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงสามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากการลุกลามของโรคที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ในบรรดาโรคต่างๆ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเน้นไปที่:
- การหยุดชะงักของการไหลเวียนของเลือดในท้องถิ่น
- ภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง
- มะเร็งต่อมน้ำเหลืองซึ่งมีการแทรกซึมของต่อมโดยเซลล์เนื้องอกอย่างเด่นชัด
- มีเลือดออกมาก
- กลุ่มอาการบัด-เชียรี;
- มะเร็งปอดและมะเร็งตับอ่อนที่มีการแพร่กระจายไปยังตับ
- โรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างเป็นระบบ
- การรบกวนองค์ประกอบอิเล็กโทรไลต์ของเลือดกับพื้นหลังของการอาเจียนและท้องเสียมากมาย
พยาธิวิทยาของตับ
ปัจจัยต่อไปนั้น เวลานานโรคตับนี้อาจตรวจไม่พบ ซึ่งรวมถึงความเสื่อมของไขมันที่ต่อม การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด มะเร็ง กระบวนการแพ้ภูมิตนเอง การขาดเอนไซม์ หรือโรคตับอักเสบ โรคภัยไข้เจ็บก็เข้ามาได้ ระยะเรื้อรังโดยแสดงอาการกำเริบเป็นระยะๆ
กระบวนการทางพยาธิวิทยาที่ซบเซา (เนื้องอกวิทยา การอักเสบ โรคตับแข็ง) ทำให้ตับล้มเหลวในไม่ช้า นอกจากนี้สาเหตุของการชดเชยของต่อมอาจเป็นการแทรกแซงการผ่าตัดครั้งก่อนซึ่งในระหว่างนั้นส่วนหนึ่งของอวัยวะจะถูกลบออก
ความดันที่เพิ่มขึ้นในทางเดินน้ำดีเป็นผลมาจากการอุดตันของทางเดินน้ำดีด้วยก้อนหิน ดังนั้นความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นในท่อและหลอดเลือดดำของตับการไหลเวียนของเลือดถูกรบกวนสังเกตความเมื่อยล้าและกระบวนการเสื่อมพัฒนา 
ผลที่ตามมาของภาวะตับวาย
จำนวนภาวะแทรกซ้อนขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริงของภาวะตับวาย ผลที่ตามมาอันไม่พึงประสงค์อาจนำเสนอ:
- ลักษณะทั่วไปของการติดเชื้อเมื่อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคแทรกซึมเข้าไปในกระแสเลือดที่เป็นระบบจับตัวอยู่ในอวัยวะภายในและก่อให้เกิดจุดโฟกัสที่ห่างไกล (ฝี, โรคปอดบวม, เยื่อบุช่องท้องอักเสบ);
- มีเลือดออกมากจากหลอดเลือดดำหลอดอาหาร
- อาการโคม่าตับ สัญญาณแรกของความเสียหายที่เป็นพิษต่อสมองจากแอมโมเนียและฟีนอลคือโรคสมองอักเสบ ซึ่งจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ในระยะพรีโคมา บุคคลจะมีอาการหงุดหงิด จากนั้นไม่แยแส ง่วงซึม และสติสัมปชัญญะจะค่อยๆ หดหู่ นอกจากนี้ยังพบการชักการตอบสนองทางพยาธิวิทยาและการล้างกระเพาะปัสสาวะโดยไม่สมัครใจ สาเหตุของอาการโคม่าคือสมองบวมและเซลล์ขาดออกซิเจน มีลักษณะเป็นการขาดสติ ขาดการตอบสนองต่อการกระทำ สิ่งกระตุ้นภายนอกการสูญเสียการตอบสนองและการขยายตัวของรูม่านตา
ในระยะสุดท้ายของโรคจำเป็นต้องได้รับการรักษา หน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก- การเสียชีวิตของผู้ป่วยเกิดจากการไหลเวียนของเลือดลดลงและการบีบตัวของโครงสร้างสมอง ซึ่งมาพร้อมกับภาวะหายใจลำบาก เสียงของหลอดเลือด และการหยุดชะงักของหัวใจ
คนเราจะอยู่ได้นานแค่ไหนถ้าตับล้มเหลว?
ผู้ป่วยจะสามารถมีชีวิตอยู่กับภาวะตับวายได้นานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุของภาวะทางพยาธิวิทยา เมื่อพิจารณาถึงมัลติฟังก์ชั่นของอวัยวะเมื่อมีความผิดปกติอย่างรุนแรง ไม่เพียงแต่ระบบตับและท่อน้ำดีเท่านั้นที่ทนทุกข์ทรมาน แต่ยังรวมถึงร่างกายทั้งหมดด้วย การพยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและแนวทางการรักษา ดังนั้นบุคคลสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตั้งแต่สองสามวันถึงหลายปี
การทำงานปกติของร่างกายโดยไม่มีตับเป็นไปไม่ได้ดังนั้นหากไม่มีโอกาสที่ยาจะฟื้นฟูการทำงานของต่อมได้ จะทำการปลูกถ่าย อย่างไรก็ตามหากสัมผัสกับปัจจัยกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง อาจเกิดการกำเริบของโรคและความล้มเหลวของอวัยวะซ้ำได้
การวินิจฉัย
ประสิทธิผลของการรักษาขึ้นอยู่กับ การตั้งค่าที่ถูกต้องการวินิจฉัย ก่อนอื่นแพทย์จะวิเคราะห์แต่ละอาการของโรคและถามญาติสนิทเกี่ยวกับ:
- การปรากฏตัวของโรคร่วมในผู้ป่วย;
- โรคตับเรื้อรัง
- การติดแอลกอฮอล์
- รับประทานยารักษาโรคตับ
- การปรากฏตัวของเนื้องอกวิทยา
จำเป็นต้องมีการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อประเมินความรุนแรงของโรค การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการรวมถึง:
- การตรวจเลือดทางคลินิกทั่วไป
- coagulogram เพื่อตรวจสอบความรุนแรงของความผิดปกติในระบบการแข็งตัวของเลือด
- ชีวเคมี. การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวข้องกับบิลิรูบิน ทรานซามิเนส อัลคาไลน์ฟอสฟาเตส อิเล็กโทรไลต์ ครีเอตินีน และโปรตีน
ในการมองเห็นตับและอวัยวะภายในอื่น ๆ จะมีการกำหนดให้อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือการถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก การประเมินสภาพของระบบทางเดินน้ำดีและสมองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นแพทย์จึงไม่รวมกระบวนการเนื้องอกและวิเคราะห์ขนาด โครงสร้าง และความหนาแน่นของอวัยวะ
แทนที่จะทำการตรวจชิ้นเนื้อ อาจกำหนดให้ elastography เพื่อยืนยันการวินิจฉัย ไม่ต้องการการบรรเทาอาการปวดและมีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่ามาก นอกจากนี้ยังทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองเพื่อศึกษาสมองด้วย
มาตรการเร่งด่วน
ในการรักษาภาวะตับวายแบบ decompensated นั้นใช้วิธีการบูรณาการซึ่งไม่เพียงทำให้การทำงานของต่อมเป็นปกติเท่านั้น แต่ยังช่วยสนับสนุนการทำงานของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดด้วย ผลลัพธ์ของการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคเป็นส่วนใหญ่ ความพยายามของผู้เชี่ยวชาญควรมุ่งเป้าไปที่:
- ลดความเข้มข้นของสารพิษในกระแสเลือด
- การป้องกันและบำรุงรักษาการทำงานของเซลล์ตับ
- การฟื้นฟูระบบทางเดินน้ำดีตับ
- กำจัดสาเหตุ (การรักษาโรคพื้นฐาน, หยุดการสัมผัสกับปัจจัยที่เป็นพิษ, เลิกดื่มแอลกอฮอล์หรือหยุดยาที่เป็นพิษต่อตับ)
- การทำให้องค์ประกอบอิเล็กโทรไลต์ในเลือดเป็นปกติ
- การควบคุมการเผาผลาญ
- ฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือด
เพื่อการนี้อาจกำหนดดังต่อไปนี้: 
- โซลูชั่นการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำและการล้างพิษ
- สารป้องกันตับ;
- ยาลดอาการคัดจมูก;
- ตัวดูดซับเพื่อเร่งการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายและป้องกันการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดทั่วไปจากลำไส้
- ยาเมตาบอลิซึม;
- ยาเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติทางรีโอโลจีของเลือดซึ่งจำเป็นต่อการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- เอนไซม์
- วิตามิน
- พลาสมาและการถ่ายเลือด
เพื่อต่อสู้กับภาวะขาดออกซิเจน จำเป็นต้องมีออกซิเจนความชื้นเข้าปอดอย่างต่อเนื่อง หากการหายใจบกพร่อง จะมีการใส่ท่อช่วยหายใจและการช่วยหายใจด้วยกลไก เพื่อแก้ไขความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิต vasopressors (ยาที่เพิ่มขึ้น ความดันโลหิต- การแช่อัลบูมินจะได้รับเมื่อระดับลดลง โปรตีนทั้งหมดในกระแสเลือดซึ่งบ่งบอกถึงการละเมิดการสังเคราะห์ในตับ
การตรวจสอบแบบไดนามิกต้องใช้เวลาทุกวัน การควบคุมในห้องปฏิบัติการ,บันทึกการขับปัสสาวะ,ติดตามการทำงานของระบบทางเดินหายใจและการทำงานของหัวใจ ส่วนบังคับการบำบัดคือการป้องกันแผลกดทับและภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ เพื่อจุดประสงค์นี้จึงมีการกำหนดยาต้านแบคทีเรียและถูด้วยน้ำมันการบูร
ควรพูดแยกกันเกี่ยวกับโภชนาการของผู้ป่วย
การคลอดจนถึงระยะเฉียบพลันของโรค สารอาหารดำเนินการโดยการบริหารสารละลายทางหลอดเลือดดำ
ต้องขอบคุณพวกเขาร่างกายจึงเติมพลังงานสำรองซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของทุกระบบ
เมื่อสภาพของผู้ป่วยดีขึ้นและเป็นปกติ พารามิเตอร์ทางห้องปฏิบัติการอาจกำหนดให้ให้อาหารทางสายยางได้ เพื่อจุดประสงค์นี้จึงมีการใช้ส่วนผสมทางโภชนาการพิเศษที่ครอบคลุมความต้องการในแต่ละวันของร่างกาย เริ่มแนะนำอาหารในรูปแบบบดและน้ำซุปไขมันต่ำทีละน้อย
ใน คนต่อไปกินอย่างอิสระโดยปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์เกี่ยวกับสูตรอาหาร หลักการพื้นฐาน:
- จำกัดโปรตีนไว้ที่ 30 กรัม/วัน คาร์โบไฮเดรตอยู่ที่ 300
- ปริมาณแคลอรี่รายวันไม่ควรเกิน 2,000 กิโลแคลอรี
- ไม่รวมอาหารที่มีไขมัน ผักดอง และอาหารรมควัน
- อาหารควรบด
- เตรียมอาหารโดยการนึ่ง ต้ม หรืออบ
- คุณควรกินทุกสองชั่วโมง
- คุณต้องดื่มของเหลวหนึ่งลิตรครึ่งทุกวัน
ความล้มเหลวของตับเป็นพยาธิสภาพที่ร้ายแรงซึ่งในกรณีที่ไม่มี การดูแลทางการแพทย์นำไปสู่ ผลลัพธ์ร้ายแรง- เพื่อลดความเสี่ยงต่อการพัฒนา แนะนำให้รับประทานอาหารอย่างเหมาะสมและปรึกษาแพทย์ทันทีหากคุณสงสัยว่าต่อมทำงานผิดปกติ
บันทึกของผู้แปล
ในช่อง YouTube ของชาวเยอรมัน พิพิธภัณฑ์รถถัง» การบรรยายสั้น ๆ โดยนักประวัติศาสตร์ Roman Töppel “Kursk 1943 ใหญ่ที่สุด การต่อสู้รถถังสงครามโลกครั้งที่สอง? ในนั้นนักประวัติศาสตร์สรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับ Battle of Kursk และตำนานที่เกี่ยวข้อง ในการบรรยายไม่มีการเปิดเผยพิเศษแต่น่าสนใจเพราะสะท้อนให้เห็น ดูทันสมัยนักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันรุ่นใหม่มาร่วมงานนี้
ฉันนำเสนอการแปลข้อความของการบรรยายนี้
รูปภาพจากวิดีโอใช้เป็นภาพประกอบ
บุ้ง_BDMP
ผู้ที่มาบรรยายของเราส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าอะไร การต่อสู้ของเคิร์สต์- คุณรู้ไหมว่านี่คือการรุกครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของเยอรมัน แนวรบด้านตะวันออก- คุณคงทราบดีว่านี่คือการต่อสู้รถถังที่ใหญ่ที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณยังทราบด้วยว่าการรบครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการล่าถอยครั้งใหญ่สำหรับ Wehrmacht และในที่สุดก็สูญเสียความคิดริเริ่มทางตะวันออก และคำจำกัดความของ "Battle of Kursk" ทำให้หลายคนสับสน เนื่องจากหนังสือส่วนใหญ่ในหัวข้อนี้พูดถึง "การรุกของเยอรมันที่ Kursk ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2486" การรุกนี้เรียกว่าปฏิบัติการป้อมปราการ เป็นเพียงบทนำของการรบที่เคิร์สต์ ฝ่ายเยอรมันไม่ได้พูดถึง "ยุทธการเคิร์สต์" ในขณะนั้น การโฆษณาชวนเชื่อของชาวเยอรมันเรียกเหตุการณ์เหล่านี้ในฤดูร้อนปี 2486 ว่า "การต่อสู้ระหว่างโอเรลกับเบลโกรอด" ทหารผ่านศึกชาวเยอรมันหลายคนที่ฉันถามว่าพวกเขาเคยอยู่ใกล้เคิร์สต์หรือไม่ก็ตอบไปในทางลบ พวกเขากล่าวว่าในฤดูร้อนปี 2486 พวกเขามีส่วนร่วมใน "การรุกเบลโกรอด" ซึ่งหมายถึงปฏิบัติการป้อมปราการ - เช่น จุดเริ่มต้นของยุทธการเคิร์สต์
ในตอนแรก คำจำกัดความของ "Battle of Kursk" ปรากฏในสหภาพโซเวียต ประวัติศาสตร์โซเวียตแบ่งเหตุการณ์นี้ออกเป็นสามช่วง:
1. การป้องกัน (5.7 - 23.7.1943) - การสะท้อนกลับ การรุกของเยอรมัน"ป้อมปราการ";
2. การตอบโต้ใกล้ Orel (12.7 - 18.8.1943) - ปฏิบัติการ "Kutuzov";
3. การตอบโต้ใกล้คาร์คอฟ (3.8 - 23.8.2486) - ปฏิบัติการ "ผู้บัญชาการ Rumyantsev"
ดังนั้นฝ่ายโซเวียตจึงพิจารณาช่วงเวลาที่ยุทธการเคิร์สต์เริ่มขึ้นในวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2486 และสิ้นสุดในวันที่ 23 สิงหาคม เป็นการยึดคาร์คอฟ โดยปกติแล้ว ผู้ชนะจะเป็นผู้เลือกชื่อ และจะถูกนำไปใช้ในระดับสากล การสู้รบกินเวลา 50 วันและจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของแวร์มัคท์ ไม่มีการกำหนดงานใดๆ คำสั่งเยอรมัน,ยังไม่ได้รับการแก้ไข
งานเหล่านี้มีอะไรบ้าง?
1. กองทหารเยอรมันควรจะบุกทะลวงแนวป้องกันของโซเวียตในพื้นที่เคิร์สต์และล้อมไว้ที่นั่น กองทัพโซเวียต- มันล้มเหลว
2. ด้วยการตัดแนวเคิร์สต์ออก กองทัพเยอรมันจะสามารถร่นแนวหน้าให้สั้นลงและเพิ่มกำลังสำรองให้กับส่วนอื่นๆ ของแนวหน้าได้ สิ่งนี้ก็ล้มเหลวเช่นกัน
3. ชัยชนะของเยอรมันตามที่ฮิตเลอร์กล่าวไว้ ใกล้เคิร์สต์ควรจะทำหน้าที่เป็นสัญญาณให้ฝ่ายตรงข้ามและพันธมิตรทราบ กองทัพเยอรมันทางทิศตะวันออกไม่สามารถเอาชนะทางการทหารได้ ความหวังนี้ก็ไม่เป็นจริงเช่นกัน
4. Wehrmacht ตั้งใจที่จะจับนักโทษให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งสามารถใช้เป็นแรงงานให้กับเศรษฐกิจของเยอรมันได้ ในการสู้รบในปี 1941 ใกล้เคียฟ เช่นเดียวกับใกล้กับ Bryansk และ Vyazma Wehrmacht สามารถจับกุมนักโทษได้ประมาณ 665,000 คน ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2486 มีเพียงประมาณ 40,000 คนเท่านั้นที่ถูกนำตัวไปใกล้เมืองเคิร์สต์ แน่นอนว่านี่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยการขาดดุล กำลังแรงงานในจักรวรรดิไรช์
5. ลดศักยภาพในการรุกของกองทหารโซเวียตและผ่อนปรนจนถึงสิ้นปี สิ่งนี้ก็ไม่ได้ดำเนินการเช่นกัน แม้ว่ากองทหารโซเวียตจะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่ทรัพยากรทางทหารของโซเวียตก็มีมหาศาลถึงแม้จะสูญเสียเหล่านี้ ฝ่ายโซเวียตก็สามารถจัดการได้เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2486 โดยเริ่มปฏิบัติการรุกมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดแนวรบโซเวียต-เยอรมัน
กลับไปที่โรงละครแห่งสงครามกันเถอะ นี่คือ "Kursk Bulge" ที่มีชื่อเสียงซึ่งแน่นอนว่าคุณคุ้นเคย
ฝ่ายเยอรมันตั้งใจที่จะโจมตีเคิร์สต์จากทางเหนือและทางใต้ภายในไม่กี่วันเพื่อเจาะทะลุแนวป้องกันโซเวียตที่มีระดับลึก ตัดส่วนโค้งนี้ออกและล้อมกองทหารโซเวียตที่ตั้งอยู่ในพื้นที่นี้ การกระทำในระยะที่สองของการต่อสู้เกิดขึ้นในทิศทาง Oryol - สิ่งนี้ ส่วนบนการ์ด
ระยะที่สาม - การรุกของสหภาพโซเวียตถึงคาร์คอฟ - ส่วนล่างการ์ด
ฉันจะอุทิศการบรรยายของฉันไม่ใช่การต่อสู้ด้วยตนเอง แต่เพื่อตำนานมากมายที่ยังคงมีอยู่ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ครั้งนี้ แหล่งที่มาของตำนานเหล่านี้มากมายมาจากบันทึกความทรงจำของผู้นำทางทหาร แม้ว่า วิทยาศาสตร์ประวัติศาสตร์พยายามค้นหาสิ่งเหล่านี้มาหลายทศวรรษแล้ว แต่ตำนานเหล่านี้ก็หยั่งรากลึกอย่างมั่นคง ผู้เขียนหลายคนไม่สนใจ การวิจัยล่าสุดแต่ยังคงดึงข้อมูลจากบันทึกความทรงจำ ในสุนทรพจน์สั้นๆ ของฉัน ฉันไม่สามารถพูดถึงความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับยุทธการที่เคิร์สต์ได้ และจะมุ่งเน้นไปที่หกข้อที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความเท็จ ฉันจะนำเสนอเฉพาะบทคัดย่อและฉันจะนำผู้ที่สนใจในเชิงลึกไปยังสิ่งพิมพ์ของฉันเองซึ่งฉันจะพูดถึงในตอนท้าย
ตำนานหนึ่ง.
หลังสงคราม ทหารเยอรมันเกือบทั้งหมดอ้างว่าการโจมตีเคิร์สต์เป็นความคิดของฮิตเลอร์ ส่วนใหญ่ปฏิเสธการมีส่วนร่วมซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ - การดำเนินการล้มเหลว อันที่จริงแผนดังกล่าวไม่ใช่ของฮิตเลอร์ แนวคิดนี้เป็นของนายพลซึ่งมีชื่อที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้น้อยที่สุด นั่นคือ พันเอก รูดอล์ฟ ชมิดต์
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2486 ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่ 2 กองทัพรถถัง- เขาพยายามทำให้หลงใหลในความคิดของเขา - ตัด Kursk Bulge ออกเมื่อต้นปี พ.ศ. 2486 - ผู้บัญชาการ Army Group Center, จอมพล H.G. วอน คลูเกอ. จนถึงท้ายที่สุด Kluge ยังคงเป็นผู้สนับสนุนแผนล้อมเคิร์สต์ที่โดดเด่นที่สุด ชมิดต์ คลูเกอ และนายพลคนอื่นๆ สามารถโน้มน้าวฮิตเลอร์ได้ว่าการโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้น เคิร์สค์ บัลจ์,ปฏิบัติการ Citadel เป็นที่สุด ตัวเลือกที่ดีที่สุด เป็นที่น่ารังเกียจในฤดูร้อน- ฮิตเลอร์เห็นด้วยแต่ก็สงสัยจนสุดท้าย ของเขาเองพูดถึงเรื่องนี้ แผนทางเลือก- แผนการที่เขาชอบคือ "เสือดำ" - การโจมตีคูเปียนสค์
ดังนั้น ฮิตเลอร์จึงต้องการรักษาลุ่มน้ำโดเนตสค์ ซึ่งเขาถือว่ามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ แต่คำสั่งของกองทัพกลุ่มใต้และผู้บัญชาการ จอมพล อี. ฟอน มานชไตน์ ขัดกับแผนเสือดำและโน้มน้าวให้ฮิตเลอร์โจมตีเคิร์สต์ก่อน และฮิตเลอร์ไม่ได้แบ่งปันความคิดที่จะโจมตีจากทางเหนือและทางใต้ เขาเสนอให้โจมตีจากทิศตะวันตกและทิศใต้ แต่คำสั่งของกลุ่มกองทัพ "ใต้" และ "ศูนย์กลาง" ขัดขืนและห้ามปรามฮิตเลอร์
ตำนานที่สอง
จนถึงทุกวันนี้ บางคนแย้งว่าปฏิบัติการป้อมปราการอาจประสบความสำเร็จได้หากเริ่มปฏิบัติการในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2486 อันที่จริง ฮิตเลอร์ไม่ต้องการเริ่มปฏิบัติการในเดือนพฤษภาคม เนื่องจากกองทัพกลุ่มแอฟริกายอมจำนนในกลางเดือนพฤษภาคม เขากลัวว่าอิตาลีจะถอนตัวออกจากฝ่ายอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตรจะโจมตีในอิตาลีหรือกรีซ นอกจากนี้ ผู้บัญชาการกองทัพที่ 9 ซึ่งควรจะโจมตีจากทางเหนือ พันเอกโมเดล อธิบายว่า กองทัพไม่มีกำลังเพียงพอสำหรับเรื่องนี้ ข้อโต้แย้งเหล่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่แม้ว่าฮิตเลอร์ต้องการโจมตีในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2486 แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ฉันขอเตือนคุณถึงเหตุผลที่มักถูกมองข้าม - สภาพอากาศ.
เมื่อปฏิบัติการขนาดใหญ่เช่นนี้ กองทหารจำเป็นต้องมีสภาพอากาศที่ดี ซึ่งได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนจากภาพถ่ายด้านบน ฝนตกเป็นเวลานานทำให้เส้นทางการเดินทางในรัสเซียกลายเป็นหนองน้ำที่ไม่สามารถสัญจรได้ และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2486 ฝนตกหนักในช่วงครึ่งแรกของเดือนทำให้เกิดความลำบากในการเคลื่อนย้ายในเขตจราจรทางใต้ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคม ฝนตกเกือบต่อเนื่องในเขตจราจรกลาง และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเคลื่อนไหวใดๆ การรุกใด ๆ ในช่วงเวลานี้เป็นไปไม่ได้เลย
ตำนานสาม.
รถถังใหม่และปืนอัตตาจรไม่เป็นไปตามความหวังที่ตั้งไว้ ก่อนอื่น พวกเขาหมายถึงรถถัง Panther และปืนอัตตาจรของ Ferdinand
อย่างไรก็ตามเมื่อต้นปี พ.ศ. 2486 เฟอร์ดินานด์ถือเป็นปืนจู่โจม แท้จริงแล้วการใช้ Panthers ครั้งแรกนั้นน่าผิดหวัง ยานพาหนะได้รับความทุกข์ทรมานจาก "โรคในวัยเด็ก" มากมาย และรถถังจำนวนมากล้มเหลวเนื่องจากเหตุผลทางเทคนิค แต่การสูญเสียครั้งใหญ่ของ Panthers ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเทคโนโลยีที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น มาก มูลค่าที่สูงขึ้นมีการใช้งานรถถังอย่างไม่ถูกต้องในเชิงกลยุทธ์ ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียครั้งใหญ่อย่างไม่สมเหตุสมผล สถานการณ์กับเฟอร์ดินานด์ดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แหล่งข้อมูลหลายแห่งพูดถึงสิ่งเหล่านี้อย่างเสื่อมเสีย รวมถึงบันทึกความทรงจำของ Guderian พวกเขาบอกว่ารถคันนี้ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง รายงานจากหน่วยงานระบุตรงกันข้าม กองทหารชื่นชม "เฟอร์ดินานด์" ทีมงานถือว่ายานพาหนะเหล่านี้เป็น "หลักประกันความอยู่รอด" ZhBD ของกองทัพที่ 9 ตั้งข้อสังเกตเมื่อวันที่ 07/09/43: "...เป็นเรื่องที่น่าสังเกตถึงความสำเร็จของกองพลรถถังที่ 41 ซึ่งเป็นหนี้บุญคุณ Ferdinands มาก..." คุณสามารถอ่านข้อความอื่นๆ ที่คล้ายกันได้ในหนังสือของฉันซึ่งตีพิมพ์ในปี 2017
ตำนานที่สี่.
ตามตำนานนี้ ชาวเยอรมัน "ยอมสละ" ชัยชนะที่เคิร์สต์ (หมายเหตุผู้แปล: ต้นฉบับใช้คำว่า "verschenken" - แท้จริง "ให้ออกไป" และฉันไม่พบคำแปลอื่นว่า "ให้ตัวเอง" Slug_BDMP)- ฮิตเลอร์ออกคำสั่งก่อนกำหนดให้หยุดการรุกเนื่องจากการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรในซิซิลี ข้อความนี้พบครั้งแรกใน Manstein หลายคนยังคงยึดมั่นในเรื่องนี้อย่างดื้อรั้นจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเป็นความผิดโดยพื้นฐาน ประการแรก ฮิตเลอร์หยุดการโจมตีเคิร์สต์ ไม่ใช่ผลจากการยกพลขึ้นบกในซิซิลี ทางตอนเหนือของเคิร์สต์ การรุกถูกขัดจังหวะเนื่องจากการรุกของโซเวียตต่อโอเรล ซึ่งเริ่มในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2486 ซึ่งนำไปสู่การบุกทะลวงในวันแรก ทางด้านหน้าทางทิศใต้ของส่วนโค้ง การรุกหยุดลงในวันที่ 16 กรกฎาคม เหตุผลก็คือการรุกของโซเวียตในแอ่งโดเนตสค์ที่วางแผนไว้ในวันที่ 17
การรุกครั้งนี้ซึ่งยังไม่ให้ความสำคัญใดๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้น การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่สำหรับแอ่งโดเนตสค์ซึ่งในนั้น กองทัพโซเวียตมีรถถังเกือบ 2,000 คันและปืนอัตตาจร
แผนที่แสดงให้เห็น แผนโซเวียตซึ่งล้มเหลว การรุกครั้งนี้สิ้นสุดลง ฝั่งโซเวียตความพ่ายแพ้อย่างรุนแรง แต่เหตุผลก็คือ Manstein ถูกบังคับให้ใช้รูปแบบรถถังที่มีส่วนร่วมในการรุกในพื้นที่เบลโกรอดรวมถึงกองที่ 2 ที่แข็งแกร่งมาก กองพลรถถังเอสเอส นอกจากนี้ ควรสังเกตว่าปฏิบัติการป้อมปราการไม่สามารถยุติได้สำเร็จแม้ว่าจะไม่มีการถอนทหารไปยังส่วนอื่น ๆ ของแนวหน้าก็ตาม ผู้บัญชาการกองทัพยานเกราะที่ 4 พันเอกฮอธ บอกกับมันสไตน์ในตอนเย็นของวันที่ 13 กรกฎาคมว่าการรุกเพิ่มเติมนั้นเป็นไปไม่ได้ มันล้มเหลวในภาคใต้และภาคเหนือ และผู้เข้าร่วมทุกคนก็เห็นได้ชัดเจน
ตำนานที่ห้า
Wehrmacht ประสบความสูญเสียที่ยอมรับไม่ได้ที่ Kursk ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นหากเพียงเท่านั้น ฝั่งเยอรมันในฤดูร้อนปี 43 กลาโหม นี่ไม่เป็นความจริงเช่นกัน ประการแรก Wehrmacht ไม่มีโอกาสที่จะอยู่ในการป้องกันและรักษาความแข็งแกร่งไว้ แม้ว่า Wehrmacht ยังคงอยู่ในแนวรับ กองทัพแดงก็ยังคงดำเนินการรุกต่อไป และ การต่อสู้อย่างหนักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประการที่สอง แม้ว่าการบาดเจ็บล้มตายของ Wehrmacht ในการรุกป้อมปราการจะสูงกว่าครั้งต่อมาก็ตาม การต่อสู้ป้องกัน(สิ่งนี้อธิบายได้จากข้อเท็จจริงที่ว่ากองทหารถูกบังคับให้ออกจากที่กำบังและบุกทะลวงแนวป้องกันของโซเวียตที่มีชั้นลึก) แต่การสูญเสียรถถังนั้นสูงกว่าในช่วงการป้องกันของการรบ เนื่องจากผู้โจมตีมักจะสามารถถอดอุปกรณ์ที่เสียหายออกได้ และเมื่อถอยกลับจะถูกบังคับให้ละทิ้งอุปกรณ์นั้น
ถ้าเราเปรียบเทียบความสูญเสียใน Operation Citadel กับการรบอื่นๆ ในแนวรบด้านตะวันออก ความสูญเสียนั้นไม่ได้ดูมากเกินไป ไม่ว่าในกรณีใด ไม่ใช่วิธีที่พวกเขาทำให้มันเป็น
ตำนานที่หก
ยุทธการที่เคิร์สต์นำเสนอโดยฝ่ายโซเวียตเป็นครั้งที่สาม การต่อสู้ที่เด็ดขาดสงครามโลกครั้งที่สอง มอสโก-สตาลินกราด-เคิร์สค์ แม้จะใหม่ล่าสุดมากมายก็ตาม การศึกษาของรัสเซียข้อความนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก และชาวเยอรมันหลายคนที่ฉันพูดคุยด้วยอ้างว่าเคิร์สต์เป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม แต่เขาไม่ได้ มีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อแนวทางการทำสงคราม ซึ่งรวมถึงการที่สหรัฐฯ เข้าสู่สงคราม ความล้มเหลวของการรุกของเยอรมันสองครั้งในแนวรบด้านตะวันออกในปี พ.ศ. 2484 และ พ.ศ. 2485 และยุทธการที่มิดเวย์ ซึ่งเป็นผลมาจากการริเริ่มในโรงละครแปซิฟิกส่งต่อไปยังชาวอเมริกัน เคิร์สต์เป็นจุดเปลี่ยนในแง่ที่ว่าทุกคนเห็นได้ชัดเจนว่าสงครามในภาคตะวันออกได้ถอยหลังกลับไปในที่สุด หลังจากความล้มเหลวของการรุกในช่วงฤดูร้อน ไม่เพียงแต่สำหรับฮิตเลอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงชาวเยอรมันจำนวนมากด้วยว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะสงครามทางตะวันออก ในขณะที่เยอรมนีถูกบังคับให้ทำสงครามในหลายแนวรบ
ในตอนท้าย R. Töppel นำเสนอของเขา หนังสือเล่มใหม่: “เคิร์สต์ 1943: Die größte Schlacht des Zweiten Weltkriegs” (เคิร์สต์ 1943: การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสงครามโลกครั้งที่สอง”) ซึ่งมีกำหนดออกในปี 2560