จะทราบได้อย่างไรด้วยท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางของมนุษย์: พวกเขาเปิดเผยความลับอะไรเกี่ยวกับเรา? อย่างไรก็ตาม เมื่อพาหะของเวกเตอร์ทางทวารหนักประสบกับความเครียดอย่างรุนแรงหรือขาดการพัฒนาและการนำไปใช้ เราจะเห็นภาพที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ท่าทางสามารถบอกอะไรเกี่ยวกับบุคคลได้มากมาย การสังเกตพวกเขาจะทำให้คุณรู้จักคนรอบข้างดีขึ้น และในขณะเดียวกันคุณก็สามารถมองเห็นตัวเองผ่านสายตาของพวกเขาได้

ตัวละครสามารถตัดสินได้จากสีตาหรือตำแหน่งการนอนที่ชอบ การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางมีส่วนช่วยในภาพรวมด้วย: เรา "อ่าน" คู่สนทนาของเราแต่ละคนแม้ว่าจะโดยไม่รู้ตัวก็ตาม การทำเช่นนี้อย่างรอบคอบและรอบคอบมากขึ้นอีกนิดจะทำให้คุณเข้าใจภาษากาย และจะบอกคุณบางอย่างที่แม้แต่ตัวบุคคลเองก็อาจไม่รู้เกี่ยวกับตัวเขาเอง

ท่าทางการป้องกันทางจิตใจบ่งบอกว่าด้วยเหตุผลบางอย่างคนๆ หนึ่งต้องการปิดตัวเองจากคุณ เป็นไปได้ที่จะยุติการสนทนาหรือหันหลังให้กับหัวข้อที่ไม่สบายใจ และปัญหาอาจไม่เกี่ยวกับคุณ - ตัวอย่างเช่น หัวข้อสนทนาไม่เป็นที่พอใจหรือคุณต้องออกไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไม่สะดวกที่จะบอกลา .

ท่าทางทั่วไปที่บ่งบอกถึงความปิด:

• ไขว้แขนบนหน้าอก
• มือกำหมัด;
• ฝ่ามือปิดปากระหว่างการสนทนา
• จ้องมองไปที่ "ด้านข้าง"

ท่าแรกพูดเพื่อตัวเอง: ไขว้แขนไว้เหนือหน้าอกบุคคลสร้างกำแพงกั้นระหว่างตนเองกับผู้อื่น บ่อยครั้งที่ผู้มาใหม่ในบริษัทสามารถเห็นท่าทางนี้ได้ว่าเขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ต้องรักษาสีหน้าไว้ หากคุณรู้จักกันดี คู่สนทนาก็คงไม่รังเกียจที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

มือกำแน่นเป็นหมัดพวกเขายังสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความโกรธได้ แต่ถ้าไม่มีเหตุผลในเรื่องนี้และคนที่อยู่ตรงข้ามคุณด้วยเหตุผลบางอย่างก็กำมือแน่น เขาก็ไม่เชื่อใจคุณจริงๆ

เอามือปิดปากไว้ดูเหมือนว่าบุคคลนั้นกำลังพยายามควบคุมสิ่งที่เขาพูด เขาเลือกสิ่งที่จะพูดอย่างระมัดระวัง มีความเป็นไปได้ว่าเขากำลังโกหกหรือละทิ้งส่วนสำคัญของข้อมูลบางอย่างไป ท่าทางนี้สามารถแปลงได้ - ตัวอย่างเช่น เพื่อสัมผัสปลายจมูกแต่ความปรารถนาโดยไม่รู้ตัวที่จะปิดริมฝีปากด้วยฝ่ามือยังคงอยู่

มีท่าทางอื่นที่บ่งบอกว่าคู่สนทนา คุยไม่ค่อยสะดวก

• เท้ามุ่งตรงไปยังทางออก
• มือที่จับที่วางแขนหรือวัตถุสุ่มบางอย่างแน่น (ขวดเกลือที่โต๊ะ)
• นิ้วพันกันแน่น

เท้าชี้ไปทางประตูหน้าระบุว่าคู่สนทนากำลังรอโอกาสที่จะจบการสนทนาและจากไป (อย่างไรก็ตามนี่อาจเป็นเรื่องบังเอิญง่ายๆ อย่ารีบด่วนสรุปและมองท่าทางอื่นให้ละเอียดยิ่งขึ้น)

มือที่กำลังบีบบางสิ่งบางอย่าง- ท่าทางแห่งความคาดหวัง ความตึงเครียดภายใน บางทีพวกเขาต้องการบอกข่าวบางอย่างที่คุณไม่ชอบหรือกำลังคิดเรื่องหนึ่งไม่กล้าที่จะพูดด้วยเหตุผลเดียวกัน หรือพวกเขาแค่รู้สึกไม่สบายใจ

นิ้วประสานกันแน่น- ท่าทางแห่งความยับยั้งชั่งใจ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่จริงใจ ตึงเครียด หรือวิตกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมือบีบกันด้วย ท่าทางนี้อีกเวอร์ชันหนึ่งก็คือ ข้อศอกบนโต๊ะ ฝ่ามือประสานกันและรองรับคางพวกเขาอาจไม่ซื่อสัตย์กับคุณโดยสิ้นเชิงและกำลังเตรียมที่จะเปิดเผยการ์ดที่จะกลายเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับคุณ มือซุกอยู่ในกระเป๋าหรือหลัง- ยังเป็นสัญญาณของความลับ

ท่าทางที่บ่งบอกถึงทัศนคติเชิงบวก:

• ปลดกระดุมแจ็คเก็ตหรือกระดุมด้านบนของเสื้อเชิ้ต
• ท่าทาง "หันหน้าเข้าหาคุณ"
• เปิดฝ่ามือ

ปลดกระดุมแล้วแน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือต้องไม่สับสนกับการจีบ ไม่เช่นนั้นคุณอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว ในบรรยากาศที่เป็นทางการไม่มากก็น้อย คนที่คุณกำลังคุยด้วยสามารถปลดกระดุมหรือถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกได้ สิ่งเดียวกัน - กระดุมด้านบนของเสื้อเชิ้ตในกรณีของผู้หญิง - ถอดผ้าคลุมไหล่หรือผ้าคลุมด้านนอกออกหากในขณะเดียวกันฝ่ายหญิง ยืดผมลอนบางทีเธออาจจะกำลังเจ้าชู้หรือเจ้าชู้กับคุณ ในผู้ชาย สิ่งนี้แสดงออกมาด้วยความปรารถนา ยืดเนคไท กระดุมข้อมือ หรือทำให้ผมเรียบตรงในทางกลับกันความปรารถนาที่จะห่อหุ้มตัวเองพูดถึงการสื่อสารแบบ "เย็นชา"

โพสท่าหันหน้าเข้าหาคุณ นั่งชิดขอบเก้าอี้มากขึ้น- หลักฐานแสดงความสนใจในการสนทนาด้วย ถ้าในเวลาเดียวกันคุณเห็นมือของบุคคลนั้นโดยเฉพาะฝ่ามือการสนทนาก็น่าพอใจและสบายใจสำหรับอีกฝ่าย การแสดงท่าทางที่ร่าเริงพร้อมฝ่ามือเปิด- สัญลักษณ์ของบุคคลที่มีนิสัยจริงใจในการสื่อสาร พวกเขาส่งสัญญาณในสิ่งเดียวกัน ฝ่ามือนอนอย่างอิสระบนสะโพก ที่วางแขน หรือบนโต๊ะ

พูดถึงเรื่องการคิด ถูดั้งจมูกหรือตาถ้าคู่สนทนา วางคางไว้บนมือเขาอาจจะกำลังตัดสินใจภายในบางอย่าง (แม้ว่าท่าทางนี้จะมาพร้อมกับความสนใจแบบเหม่อลอยและสีหน้าเบื่อหน่าย แต่การสนทนาก็ผิดพลาดไปอย่างชัดเจน)

ตัวบ่งชี้ที่สำคัญของการสื่อสารอาจเป็นได้ การจับมือกันโดยปกติแล้ว การจับมืออย่างแรงจะใช้ในการระบุบุคคลที่มั่นใจหรือต้องการถูกมองว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ ในทางกลับกัน การจับมืออย่างแผ่วเบาถือเป็นสัญญาณของการปฏิบัติตามหรือเจตจำนงที่อ่อนแอ แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือต้องใส่ใจว่าฝ่ามือของบุคคลนั้นโกหกอย่างไร หากเขายื่นมือออกถือเป็นการแสดงความรักต่อคุณ และถ้าเขาพยายามให้มือของเขานอนทับคุณระหว่างการจับมือ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามที่จะยึดตำแหน่งที่เหนือกว่า สิ่งนี้เห็นได้จากความปรารถนาที่จะสูงกว่าคุณ - นั่งบนเก้าอี้ที่สูงขึ้น ขึ้นบันไดเลื่อน วางตำแหน่งตัวเองในลักษณะที่คล้ายกันบนจุดยืนผู้ชมหรือในกลุ่มผู้ชม “แขวนคอ” ระหว่างการสนทนา

เมื่อรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับท่าทาง คุณสามารถใช้ท่าทางเหล่านี้เพื่อเอาชนะใจคนที่เหมาะสม สร้างภาพที่คุณต้องการ หรือหลีกเลี่ยงการบงการของผู้อื่น เราหวังว่าคุณจะโชคดี และอย่าลืมกดปุ่มและ

(อ้างอิงจากเนื้อหาจากหนังสือของ Alan Pease แปลโดย N. E. Kotlyar)

การแนะนำ

พวกเราเกือบทุกคนเคยเรียนภาษาต่างประเทศมาแล้ว อย่างไรก็ตามมีภาษาสากลอีกภาษาหนึ่งที่เข้าถึงได้และเข้าใจได้โดยสาธารณะซึ่งจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ไม่ค่อยมีใครรู้จัก - นี่คือภาษาของท่าทางการแสดงออกทางสีหน้าและการเคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์

นักจิตวิทยาพบว่าในกระบวนการสื่อสารระหว่างผู้คน 60 ถึง 80% ของข้อความถูกส่งผ่านวิธีการแสดงออกที่ไม่ใช่คำพูด และข้อมูลเพียง 20-40% เท่านั้นที่ถูกส่งผ่านทางวาจา

ลักษณะเฉพาะของภาษากายคือการแสดงออกถูกกำหนดโดยแรงกระตุ้นของจิตใต้สำนึกของเรา และการไม่มีความสามารถในการปลอมแปลงแรงกระตุ้นเหล่านี้ทำให้เราเชื่อถือภาษานี้มากกว่าวิธีการสื่อสารด้วยวาจาตามปกติ ภาษากายสามารถปลอมแปลงได้ แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ เนื่องจากในไม่ช้าร่างกายจะส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกับการกระทำที่มีสติโดยไม่สมัครใจ ฉันอยากจะทราบว่าเป็นเรื่องยากที่จะปลอมและเลียนแบบภาษากายเป็นเวลานาน แต่การเรียนรู้ที่จะใช้ท่าทางเชิงบวกและเปิดกว้างเพื่อสื่อสารกับผู้อื่นได้สำเร็จจะมีประโยชน์ และกำจัดท่าทางที่นำพา ความหมายเชิงลบเชิงลบ

น่าเสียดายที่ภายในกรอบของข้อความนี้ เราจะไม่สามารถพิจารณาท่าทางทั้งหมดและให้คำอธิบายที่เหมาะสมได้ เราจะให้ความสนใจเฉพาะท่าทางและการเคลื่อนไหวของร่างกายที่มักพบในชีวิตประจำวันและอาจเป็นประโยชน์เมื่อพูดคุยเรื่องสัญญาหรือพูดคุยกับผู้อื่น

ชุดของท่าทาง

เช่นเดียวกับในด้านเกษตรกรรมซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกแยะปัจจัยที่มีอิทธิพลเพียงประการเดียว ดังนั้นในการศึกษาภาษากายจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกแยะท่าทางเดียวและพิจารณาแยกจากท่าทางและสถานการณ์อื่นๆ ตัวอย่างเช่น การเกาหลังศีรษะอาจหมายถึงสิ่งต่างๆ มากมาย เช่น รังแค เหงื่อออก ความไม่มั่นคง การหลงลืม และการโกหก ขึ้นอยู่กับท่าทางอื่นๆ ที่มาพร้อมกับการเกานี้ เราสามารถสรุปและตีความได้อย่างถูกต้อง ในภาษาหนึ่ง เพื่อเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำ คุณต้องสร้างประโยค เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย คุณต้องเห็นท่าทางทั้งหมดเพื่อที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริง

ตัวอย่างเช่น ทัศนคติในการประเมินเชิงวิพากษ์วิจารณ์: ใช้นิ้วชี้ยกแก้มขึ้น ในขณะที่อีกนิ้วหนึ่งปิดปากและนิ้วหัวแม่มืออยู่ใต้คาง การยืนยันทัศนคติที่สำคัญครั้งต่อไปคือการไขว้ขาให้แน่น ตำแหน่งของเข็มวินาทีพาดลำตัวราวกับปกป้องมัน และเอียงศีรษะและคาง

หากบุคคลหลังจากที่คุณถามทัศนคติของเขาต่อสิ่งที่พูดไปแล้วเริ่มมั่นใจในข้อตกลงที่สมบูรณ์ของเขานั่นหมายความว่าเขากำลังโกหกหรือการสื่อสารด้วยวาจากับคุณไม่สอดคล้องกับท่าทางของเขา คุณจะพูดอะไร เช่น เกี่ยวกับนักการเมืองที่ยืนอยู่บนโพเดียมโดยเอาแขนพาดหน้าอก (ท่าป้องกัน) ก้มหน้าลง (ท่าวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่เป็นมิตร) และบอกผู้ชมว่าเขาเปิดกว้างและเป็นมิตรแค่ไหน สู่ความคิดของคนหนุ่มสาว?

บริบทที่ทำท่าทางมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าท่าทางทั้งหมด หากมีคนนั่งที่ป้ายรถเมล์ในฤดูหนาวโดยไขว่ห้าง แขนกอดอกแน่น และก้มศีรษะ เป็นไปได้มากว่านี่หมายความว่าเขาหนาว อย่างไรก็ตาม หากบุคคลในตำแหน่งเดียวกันทุกประการกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเจรจา ท่าทางของเขาควรจะตีความได้อย่างแน่นอนว่ามีทัศนคติเชิงลบหรือเชิงรับต่อสถานการณ์ปัจจุบัน

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตีความท่าทาง

หากบุคคลมีการจับมือที่อ่อนแอ สิ่งนี้มักจะบ่งบอกถึงความอ่อนแอในอุปนิสัยของเขา อย่างไรก็ตามหากบุคคลนั้นเป็นโรคข้ออักเสบ การจับมืออย่างอ่อนแรงจะช่วยปกป้องมือของเขาจากความเจ็บปวด นอกจากนี้ ผู้คนในอาชีพที่ต้องใช้นิ้วมือที่ละเอียดอ่อน เช่น ศิลปิน ศัลยแพทย์ นักดนตรี พยายามหลีกเลี่ยงการจับมือ และหากถูกบังคับ ให้ใช้การจับมืออย่างอ่อนโยน บางครั้งคนที่สวมเสื้อผ้าที่ไม่สบายตัวหรือคับแคบจะถูกจำกัดในการเคลื่อนไหว ซึ่งส่งผลต่อการแสดงออกทางภาษากายของพวกเขา กรณีเหล่านี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ควรนำมาพิจารณาด้วย

วิธีการ พูดโกหกโดยไม่เปิดเผยตัวเอง

ปัญหาของการโกหกคือจิตใต้สำนึกของเราทำงานโดยอัตโนมัติและเป็นอิสระจากเรา ดังนั้นภาษากายของเราจึงปล่อยเราออกไป เมื่อเราพูดโกหก แม้ว่าจะพยายามระงับการเคลื่อนไหวร่างกายทั้งหมดอย่างมีสติ ร่างกายก็ยังผลิตสัญญาณขนาดเล็กจำนวนมาก นี่อาจเป็นได้ทั้งความโค้งของกล้ามเนื้อใบหน้า การขยายหรือการหดตัวของรูม่านตา เหงื่อที่หน้าผาก แก้มแดง กระพริบตาเร็ว และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งส่งสัญญาณถึงการหลอกลวง

เพื่อไม่ให้ตัวเองเหินห่างจากคุณเมื่อพูดโกหก คุณต้องแน่ใจว่าไม่มีอิริยาบถใดมองเห็นได้ เมื่อคู่สนทนามีโอกาสเห็นคุณอย่างสมบูรณ์ หากห้องมีแสงสว่างเพียงพอก็อย่าพยายามโกหก ในทางตรงกันข้าม การนั่งที่โต๊ะโดยที่ศพถูกซ่อนไว้บางส่วนหรือคุยโทรศัพท์ จะง่ายกว่ามากในการซ่อนคำโกหก

โซนและดินแดน

อาณาเขตหมายถึงพื้นที่ที่บุคคลถือว่าเป็นของตนเองราวกับว่าพื้นที่นี้เป็นส่วนขยายของร่างกายของเขา เช่นเดียวกับสัตว์ต่างๆ บุคคลมีอาณาเขตของตนเอง มีซองจดหมายล้อมรอบร่างกาย และขนาดของมันขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของประชากรในสถานที่ที่บุคคลนี้อาศัยอยู่

ช่องว่างโซน

อาณาเขตอวกาศแบ่งออกเป็น 4 โซนตามอัตภาพ

โซนใกล้ชิด - 15-46 เซนติเมตร นี่คือพื้นที่หลัก และได้รับการดูแลโดยมนุษย์โดยเฉพาะด้วยความอิจฉา เฉพาะบุคคลที่คุณสัมผัสใกล้ชิดด้วยเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่โซนนี้ได้ ในโซนนี้ยังมีโซนย่อยที่มีรัศมี 15 เซนติเมตร ซึ่งสามารถทะลุผ่านการสัมผัสทางกายภาพเท่านั้น

โซนส่วนตัวอยู่ระหว่าง 46 ซม. ถึง 1.2 ม. ซึ่งเป็นระยะห่างที่มักจะแยกเราออกจากกันเมื่อเราอยู่ในงานปาร์ตี้ งานเลี้ยงรับรองอย่างเป็นทางการ ตอนเย็น และการประชุมที่เป็นมิตร

โซนโซเชียลจาก 1.2 ถึง 3.6 เมตร เรารักษาระยะห่างนี้จากคนแปลกหน้า เช่น ผู้มาเยี่ยมหรือคนงานที่กำลังซ่อมแซมบ้าน จากคนที่เราไม่ค่อยรู้จัก

พื้นที่ส่วนกลาง (มากกว่า 3.6 เมตร) เมื่อเราพูดกับคนกลุ่มใหญ่ จะสะดวกที่สุดที่จะยืนห่างจากผู้ฟังเท่านี้

การใช้พื้นที่โซนในทางปฏิบัติ

โดยปกติพื้นที่ใกล้ชิดจะถูกละเมิดด้วยเหตุผลสองประการ หาก “ผู้ฝ่าฝืน” คือคนที่เรารัก หรือหาก “ผู้ฝ่าฝืน” แสดงความรู้สึกไม่เป็นมิตร บุคคลค่อนข้างอดทนต่อการบุกรุกของคนแปลกหน้าในพื้นที่ส่วนบุคคลหรือทางสังคม ในขณะที่การบุกรุกในพื้นที่ใกล้ชิดทำให้เกิด "ภาวะตื่นตัว" ในเวลาเดียวกัน หัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้น อะดรีนาลีนถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด และไหลไปยังสมองและกล้ามเนื้อ ซึ่งหมายความว่าหากคุณสัมผัสแขนหรือกอดคนที่คุณเพิ่งพบด้วยท่าทีเป็นมิตร มันอาจทำให้พวกเขาโต้ตอบในทางลบ แม้ว่าพวกเขาจะยังยิ้มให้คุณก็ตาม ดังนั้น หากคุณต้องการให้ผู้คนรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ในบริษัทของคุณ จงรักษาระยะห่าง ตัวอย่างเช่น หากคุณได้งาน ในตอนแรกดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมงานของคุณจะปฏิบัติต่อคุณอย่างเย็นชา แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วพวกเขาจะรักษาระยะห่างทางสังคมก็ตาม อย่างไรก็ตาม เมื่อเพื่อนร่วมงานรู้จักคุณมากขึ้น คุณจะได้รับอนุญาตให้ย้ายภายในโซนส่วนตัวของคุณได้ ข้อยกเว้นของกฎที่ต้องปฏิบัติตามเขตระยะทางอย่างเคร่งครัดคือกรณีที่เขตพื้นที่ของบุคคลถูกกำหนดโดยสถานะทางสังคมของเขา ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการบริษัทและผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถเป็นหุ้นส่วนตกปลาได้ และในขณะที่ตกปลา พวกเขาจะข้ามโซนส่วนตัวและใกล้ชิดของกันและกัน ในที่ทำงานผู้จัดการจะรักษาผู้ใต้บังคับบัญชาให้ห่างจากโซนสังคมโดยปฏิบัติตามกฎการแบ่งชั้นทางสังคมที่ไม่ได้เขียนไว้

พลังปาล์ม

ตั้งแต่สมัยโบราณ ฝ่ามือที่เปิดกว้างมีความเกี่ยวข้องกับความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความทุ่มเท และความไว้วางใจ คำสาบานจะใช้ฝ่ามืออยู่เหนือหัวใจ และคำสาบานนั้นใช้โดยการยกฝ่ามือที่เปิดออก

วิธีที่ดีที่สุดในการค้นหาว่าบุคคลนั้นจริงใจและซื่อสัตย์กับคุณในขณะนี้หรือไม่คือการสังเกตตำแหน่งฝ่ามือของเขา ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนซื่อสัตย์กับคุณอย่างแท้จริง พวกเขาจะยื่นมือข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างให้คุณ ในระหว่างการสนทนาอย่างตรงไปตรงมา ฝ่ามือเปิดเต็มที่หรือบางส่วน เช่นเดียวกับท่าทางภาษากายอื่นๆ นี่เป็นท่าทางโดยไม่รู้ตัวโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะบอกคุณว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริงอยู่ในขณะนี้ หากมีคนพยายามซ่อนบางสิ่งบางอย่างในระหว่างการอธิบายเขาจะซ่อนมือไว้ในกระเป๋าหรือเอามือไขว้ไว้ สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถาม - หากคุณเปิดฝ่ามือไว้คุณสามารถโกหกได้และไม่มีใครสังเกตเห็น คำตอบคือท่าทางอื่นๆ ที่ผู้สังเกตมองเห็นได้ มีการสังเกตที่น่าสนใจว่าคนส่วนใหญ่ไม่สามารถโกหกได้หากฝ่ามือเปิดอยู่ ด้วยฝ่ามือที่เปิดกว้าง คุณสามารถทำให้คนอื่นโกหกน้อยลงได้

มีท่าทางคำสั่งพื้นฐานสามแบบ: ตำแหน่งฝ่ามือขึ้น ตำแหน่งฝ่ามือลง และตำแหน่งนิ้วชี้ ลองพิจารณาตัวอย่างที่คุณขอให้ย้ายกล่องไปที่มุมอื่นของห้อง เราจะใช้คำพูด น้ำเสียง และการแสดงออกทางสีหน้าที่เหมือนกัน

ตำแหน่งฝ่ามือที่เปิดออกนั้นเป็นท่าทางที่ไว้วางใจและไม่คุกคามชวนให้นึกถึงท่าทางของคนถามบนถนน ด้วยท่าทางนี้บุคคลนั้นจะไม่รู้สึกกดดันใด ๆ และภายใต้เงื่อนไขของการอยู่ใต้บังคับบัญชาเขาจะรับรู้ว่านี่เป็นคำขอจากคุณ

เมื่อฝ่ามือของคุณคว่ำลง ท่าทางของคุณจะแสดงท่าทางมีอำนาจทันที สิ่งนี้อาจสร้างความรู้สึกเกลียดชังในตัวบุคคลที่คุณกำลังพูดถึง หากส่งท่าทางนี้ไปยังเพื่อนร่วมงานของคุณ เขาอาจไม่ปฏิบัติตามคำขอนี้ราวกับว่าเขาทำโดยยกฝ่ามือขึ้น

การกำฝ่ามือของคุณให้เป็นกำปั้นโดยให้นิ้วชี้ของคุณขยายออก คุณกำลังบังคับให้บุคคลนั้นยอมจำนน หากคุณมีนิสัยชอบชี้ ลองเปลี่ยนท่าทางนี้ด้วยท่าฝ่ามือขึ้นหรือลง แล้วคุณจะพบว่าคุณจะประสบความสำเร็จในการสื่อสารกับผู้อื่นมากขึ้น

การจับมือกัน

นักวิจัยอ้างว่าการจับมือเป็นของที่ระลึกจากยุคชุมชนดั้งเดิม - ฝ่ามือที่เปิดออกแสดงให้เห็นว่าไม่มีอาวุธ ตั้งแต่นั้นมามีการเปลี่ยนแปลงมากมาย และตอนนี้มีการจับมือกันในเวลาทักทายหรืออำลา เราจะดูการจับมือประเภทต่างๆ

ประเภทของการจับมือกัน
ลักษณะเฉพาะ

การจับมือที่โดดเด่น
การจับมือแบบก้าวร้าวเพราะว่า มันทำให้บุคคลมีโอกาสเพียงเล็กน้อยในการสร้างความสัมพันธ์ของการเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน ท่าทางนี้เป็นเรื่องปกติของผู้ชายก้าวร้าวและครอบงำซึ่งมักจะเริ่มจับมือและใช้ท่าทางมือโดยคว่ำฝ่ามือลงเพื่อบังคับให้บุคคลนั้นเชื่อฟัง

วิธีจัดการกับการจับมือโดยมีอำนาจ “การปลดอาวุธ”

เมื่อคุณจับมือจับมือให้ก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า

ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าแล้วยืนไปทางซ้ายต่อหน้าบุคคลนั้น เคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวของพวกเขา

วางเท้าซ้ายไว้ด้านหลังขวาแล้วจับมือคู่ของคุณ

วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถจัดตำแหน่งมือของคุณและหมุนมือของบุคคลนั้นเป็นการจับมือที่สอดคล้อง สิ่งนี้จะช่วยให้คุณกลายเป็นเจ้าแห่งสถานการณ์ได้

อีกวิธีในการจัดการกับการจับมือที่โดดเด่นคือการจับมือของบุคคลนั้นจากด้านบนด้วยข้อมือแล้วเขย่า อย่างไรก็ตาม การจับมือนี้ควรใช้ด้วยความระมัดระวังบางประการ

การจับมือแบบล้อมรอบ (ถุงมือ)
ปกติแล้วนักการเมืองจะใช้ การจับมือกันครั้งนี้เป็นการเน้นย้ำว่าบุคคลนั้นมีความซื่อสัตย์และสามารถไว้วางใจได้ อย่างไรก็ตามการจับมือกันเมื่อพบกันอาจมีผลตรงกันข้าม หลังจากการจับมือ คู่สนทนาอาจปฏิบัติต่อคุณด้วยความไม่ไว้วางใจและระมัดระวัง การจับมือครั้งนี้ใช้ได้กับเพื่อนที่ดีเท่านั้น

การจับมือที่เป็นกลางและไร้อารมณ์
บ่งบอกถึงความไร้กระดูกสันหลังของบุคคล ควรหลีกเลี่ยงการจับมือนี้เพราะเกี่ยวข้องกับการสัมผัสบางสิ่งที่ไม่มีชีวิตชีวาและไม่มีชีวิตชีวา

เขย่ามือตรงโดยไม่งอ
มีลักษณะเป็นคนก้าวร้าว วัตถุประสงค์หลักของการจับมือกันคือเพื่อรักษาระยะห่างและป้องกันไม่ให้บุคคลนั้นเข้าไปในพื้นที่ใกล้ชิดของคุณ มักเกิดกับผู้ที่เติบโตในพื้นที่ชนบทซึ่งมีพื้นที่ใกล้ชิดที่กว้างกว่า ชาวบ้านจะโน้มตัวไปข้างหน้าหรือทรงตัวด้วยขาข้างเดียว

บีบปลายนิ้ว
บ่งบอกถึงความสงสัยในตนเอง เช่นเดียวกับในกรณีก่อนหน้านี้ จุดประสงค์ของการจับมือนี้คือเพื่อให้มือของคนรักอยู่ในระยะห่างที่สบาย

การจับมือที่ผู้ริเริ่มยื่นมือเข้าหาตัวเอง
แสดงถึงความสงสัยในตนเองเมื่อบุคคลรู้สึกปกติเฉพาะภายในเขตส่วนตัวของตนเอง หรือทัศนคติต่อชาติซึ่งมีลักษณะเป็นเขตใกล้ชิดที่แคบกว่า

การจับมือกันโดยใช้มือทั้งสองข้าง
แสดงถึงความไว้วางใจอย่างจริงใจหรือความรู้สึกเชิงลึก ในกรณีนี้ คุณควรใส่ใจกับตำแหน่งที่มือซ้ายวางไว้ หากมือซ้ายจับที่ข้อศอก จะเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกมากกว่าการจับข้อมือ หากวางมือบนไหล่ แสดงความรู้สึกมากกว่าเมื่อวางบนแขน โดยทั่วไปการคล้องข้อมือหรือไหล่จะทำได้เฉพาะระหว่างเพื่อนสนิทหรือญาติเท่านั้น

ท่าทางและการเคลื่อนไหวที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ

ท่าทาง
ลักษณะเฉพาะ

นั่งคร่อมเก้าอี้
บ่งบอกถึงความปรารถนาที่จะปกปิดตัวเองด้วยโล่ชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปแล้ว คนเหล่านี้เป็นคนประเภทที่โดดเด่นซึ่งพยายามควบคุมหรือครอบงำผู้คนหากพวกเขาเบื่อกับหัวข้อสนทนา ตามกฎแล้วนี่เป็นบุคคลที่ระมัดระวังมากและสามารถนั่งคร่อมเก้าอี้ได้ในทันที วิธีที่ง่ายที่สุดในการปลดอาวุธ "ผู้ขับขี่" คือการยืนหรือนั่งข้างหลัง ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกถึงความอ่อนแอของด้านหลังและเปลี่ยนตำแหน่งของเขาและมีความก้าวร้าวน้อยลง อย่างไรก็ตาม หากบุคคลนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน คุณก็ควรมีส่วนร่วมในการสนทนา ยืนบนเขาแล้วมองดูเขา ก้าวเข้าสู่ดินแดนส่วนตัวของเขา หากมีคนชอบนั่งคร่อมเก้าอี้มาหาคุณ ให้วางเขาบนเก้าอี้ที่มั่นคงและมีที่วางแขน ซึ่งจะทำให้เขาไม่สามารถเข้ารับตำแหน่งที่เขาชื่นชอบได้

รวบรวมผ้าสำลีที่ไม่มีอยู่จริง
ท่าทางนี้เป็นลักษณะที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นหรือทัศนคติของผู้อื่น แต่ไม่ใช่ความมุ่งมั่นที่จะแสดงความเห็น ในกรณีนี้บุคคลนั้นนั่งหันหน้าหนีจากคู่สนทนาแล้วมองพื้น นี่เป็นท่าทางการไม่เห็นด้วยที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หากคุณไม่แยแสต่อความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมทุกคน เมื่อสังเกตท่าทางดังกล่าว คุณสามารถหันไปหาบุคคลนี้พร้อมฝ่ามือเปิด “ฉันเห็นว่าคุณมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับปัญหานี้” ขณะเดียวกันก็เอนหลัง กางฝ่ามือออก แล้วรอคำตอบ หากมีคนเห็นด้วยกับคุณ แต่ยังคง "เก็บผ้าสำลี" ถามเขาโดยตรงเกี่ยวกับการคัดค้านที่เขาไม่กล้าพูด

ตำแหน่งหัวหน้า

ท่าทาง
ลักษณะเฉพาะ

พยักหน้า
วิธีง่ายๆ ในการระบุข้อโต้แย้งที่ซ่อนอยู่คือการดูว่าบุคคลนั้นใช้การส่ายหัวเชิงลบหรือไม่เมื่อแสดงข้อตกลงกับคุณด้วยวาจา

ตำแหน่งศีรษะตรง
ลักษณะของบุคคลที่เป็นกลางกับสิ่งที่ได้ยิน ศีรษะมักจะไม่เคลื่อนไหว โดยพยักหน้าเล็กน้อยเป็นครั้งคราว

ก้มศีรษะ
แสดงถึงความสนใจในสิ่งที่กำลังพูด หากคุณกำลังสนทนาและสังเกตการเอียงศีรษะไปด้านข้าง วางคางไว้บนมือและโน้มตัวไปข้างหน้า ข้อความของคุณก็จะดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง หากคุณต้องการเอาชนะใครสักคน เพียงแค่เอียงศีรษะไปด้านข้างแล้วพยักหน้าเป็นครั้งคราว

ก้มศีรษะลง
แสดงถึงทัศนคติเชิงลบและประณาม การเอียงศีรษะต่ำมักมาพร้อมกับท่าทางวิพากษ์วิจารณ์หลายอย่าง เพื่อที่จะเพิ่มความสนใจ คุณต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ผู้ฟังเงยหน้าขึ้น

วางมือไว้ด้านหลังศีรษะ
ท่าทางนี้เป็นการแสดงลักษณะของคนที่มีความมั่นใจในตนเองและมีความเหนือกว่าผู้อื่น ท่าทางนี้เป็นเรื่องปกติในหมู่คนรู้ทุกอย่าง และหลายๆ คนจะรู้สึกรำคาญเมื่อเห็นท่าทางนี้ ท่าทางนี้ยังสามารถใช้เป็นสัญญาณเน้นย้ำว่าบุคคลนั้น "ปักหลัก" ดินแดนนี้ หากบุคคลไขว้ขาเป็นรูปเลขสี่ นั่นหมายความว่าเขามีแนวโน้มที่จะถกเถียงและโต้เถียงกันเช่นกัน มีหลายวิธีในการโต้ตอบกับผู้คนโดยใช้ท่าทางนี้ หากคุณต้องการค้นหาเหตุผลว่าทำไมคนๆ หนึ่งถึงประพฤติตนเหนือกว่า ให้โน้มตัวไปข้างหน้าโดยเหยียดฝ่ามือออกแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว คุณก็รู้ คุณช่วยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหานี้ได้ไหม” จากนั้นนั่งลง ปล่อยฝ่ามือไว้และรอคำตอบ พยายามให้บุคคลนั้นเปลี่ยนตำแหน่ง ในการทำเช่นนี้คุณสามารถหยิบสิ่งของบางอย่างแล้วนำไปถาม - "คุณเห็นสิ่งนี้ไหม" คุณสามารถคัดลอกท่าทางของเขาได้ บ่อยครั้งเพื่อแสดงข้อตกลงกับคู่สนทนาของคุณ ก็เพียงพอแล้วที่จะพูดซ้ำท่าทางของเขา

ภาพ

คุณมักจะได้ยินวลีนี้ - ฉันอ่านมันในสายตาของฉัน นักวิจัยเชื่อว่าดวงตาส่งสัญญาณที่แม่นยำและเปิดกว้างที่สุดของสัญญาณการสื่อสารของมนุษย์ทั้งหมด เนื่องจากดวงตาครอบครองตำแหน่งศูนย์กลางในร่างกายมนุษย์ และรูม่านตามีพฤติกรรมที่เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ ในเวลากลางวัน รูม่านตาสามารถขยายและหดตัวได้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อการสนทนา หากบุคคลหนึ่งตื่นเต้น รูม่านตาของเขาจะขยายใหญ่ขึ้นสี่เท่าของขนาดปกติ อารมณ์โกรธและเศร้าหมองทำให้รูม่านตาหดตัว ส่งผลให้เกิด "ตางู" เมื่อคุณพูดคุยกับคนอื่นหรือเจรจา ให้มองเข้าไปในรูม่านตาของบุคคลนั้น แล้วนักเรียนจะบอกความจริงเกี่ยวกับความคิดของอีกฝ่ายให้คุณทราบ

หากบุคคลใดไม่ซื่อสัตย์หรือซ่อนบางสิ่ง ดวงตาของพวกเขาจะสบตาคุณน้อยกว่า 1/3 ของเวลา หากอีกฝ่ายสบตาคุณมากกว่า 2/3 ของเวลาในการสื่อสาร และรูม่านตาขยายออก นั่นหมายความว่าพวกเขาชอบคุณ หากรูม่านตาตีบ แสดงว่ามีทัศนคติเชิงลบต่อคุณ

แต่ไม่เพียงแต่ความยาวและความถี่ของการจ้องมองเท่านั้นที่มีความสำคัญ แต่ยังรวมถึงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของใบหน้าและร่างกายที่จ้องมองด้วยเนื่องจากสิ่งนี้ส่งผลต่อผลลัพธ์ของการเจรจา การสื่อสารกับผู้คนต้องใช้การฝึกฝนอย่างมากเพื่อใช้ภาษากายอย่างมีประสิทธิภาพและปรับปรุงวิธีสื่อสารกับผู้อื่น

ประเภทของรูปลักษณ์
ลักษณะเฉพาะ

ดูเป็นธุรกิจ
เมื่อทำการเจรจาทางธุรกิจ ลองจินตนาการว่ามีรูปสามเหลี่ยมบนหน้าผากของคู่สนทนาของคุณ การจ้องมองไปที่สามเหลี่ยมนี้จะทำให้คุณสร้างบรรยากาศที่จริงจัง และคู่สนทนาของคุณจะรู้สึกว่าคุณอยู่ในอารมณ์แบบธุรกิจ โดยมีเงื่อนไขว่าการจ้องมองของคุณไม่ต่ำกว่าสายตาของคู่สนทนา คุณจะสามารถควบคุมความคืบหน้าของการเจรจาได้ด้วยความช่วยเหลือจากการจ้องมองของคุณ

มุมมองทางสังคม
เมื่อการจ้องมองของคุณลดลงต่ำกว่าระดับสายตาของอีกฝ่าย มันจะสร้างบรรยากาศของการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การวิจัยพบว่าในระหว่างการสื่อสารทางสังคม คู่สนทนาจะพิจารณารูปสามเหลี่ยมทั่วไปด้วย เฉพาะในกรณีนี้เท่านั้นที่จะอยู่บนแนวตาและบริเวณปาก

เหลือบมองไปด้านข้าง
ใช้เพื่อสื่อถึงความสนใจหรือความเป็นปรปักษ์ หากมีการเลิกคิ้วเล็กน้อยหรือยิ้มพร้อมๆ กัน แสดงว่าคุณสนใจ หากมีการขมวดคิ้ว หน้าผากย่น หรือมุมปากคว่ำ แสดงว่าคุณมีทัศนคติที่น่าสงสัย ไม่เป็นมิตร หรือวิพากษ์วิจารณ์

เปลือกตาปิด
ท่าทางนี้เป็นจิตใต้สำนึกและเป็นความพยายามของบุคคลที่จะดึงคุณออกจากสายตาเพราะคุณเหนื่อย หรือไม่น่าสนใจ หรือเขารู้สึกว่าเหนือกว่าคุณ หากบุคคลหนึ่งเน้นย้ำถึงความเหนือกว่าของเขาเหนือคุณ เปลือกตาที่ปิดของเขาจะถูกรวมเข้ากับการเอียงศีรษะไปด้านหลังและการจ้องมองยาวๆ ที่เรียกว่าการมองลง หากคุณสังเกตเห็นการมองเช่นนี้จากคู่สนทนาของคุณ โปรดจำไว้ว่าพฤติกรรมของคุณก่อให้เกิดปฏิกิริยาเชิงลบและบางสิ่งบางอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหากคุณสนใจที่จะจบการสนทนาให้สำเร็จ

เรียบเรียงโดย I. Perov

ด้วยข้อยกเว้นที่หายาก เราแต่ละคนรู้สึกถึงความจำเป็นในการสื่อสาร นี่คือวิธีที่มนุษย์ได้รับการออกแบบ

ผู้คนแบ่งปันข้อมูลระหว่างกัน ร่วมกันพัฒนาแนวคิดใหม่ ทำความคุ้นเคย และเริ่มความสัมพันธ์ มีอารมณ์เชิงบวกและเชิงลบ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นผ่านการสื่อสาร

เนื่องจากกระบวนการนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษในทุกด้านของชีวิต เราจึงมักจะเสียใจมากเมื่อพวกเขาโกหกเรา และเราไม่สังเกตเห็นมัน อาจเป็นไปได้ว่าการเรียนรู้ที่จะรับรู้ถึงเรื่องโกหกเพื่อให้แน่นอนและอยู่เสมอคือความฝันสีน้ำเงินของมนุษยชาติ น่าเสียดายที่สิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หากเพียงเพราะผู้คนมักไม่สามารถแยกแยะแม้แต่สิ่งประดิษฐ์ของตนเองจากความเป็นจริงได้

อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติและเปิดหูของคุณไว้คุณไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์พิเศษด้วยซ้ำ - ในระหว่างการสนทนาก็เพียงพอที่จะให้ความสนใจกับสัญญาณทางอ้อมบางอย่างที่คู่สนทนาของคุณแสดงออกมาโดยไม่สมัครใจซึ่งสามารถยืนยันหรือหักล้างคำพูดของเขาได้ .

ตามกฎแล้วการโกหกนั้นไม่สะดวกสำหรับผู้ที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมา เขารู้สึกไม่สบาย กังวล กลัวว่าจะถูกเปิดเผย แม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายก็ตาม และเมื่อเราพูดถึงเรื่องร้ายแรงที่อาจส่งผลต่อชีวิตในอนาคตของบุคคลได้หากความจริงถูกเปิดเผยเฉพาะบุคคลที่ควบคุมตนเองได้ดีเท่านั้นที่สามารถประพฤติตนได้อย่างถูกต้องในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ในกรณีนี้ หากคุณรู้ว่าต้องมองหาอะไร คุณจะพบสัญญาณที่ชัดเจนที่บ่งบอกถึงความกังวลใจของบุคคล รวมถึงสถานที่ในเรื่องราวของเขาและคำตอบที่แสดงออกอย่างชัดเจนที่สุด มาดูสัญญาณเหล่านี้กัน

คำพูด

ในการสื่อสารของเรา คำพูดคิดเป็น 20-40% ของข้อมูลที่ส่งโดยตรง ซึ่งก็คือน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นข้อมูลอวัจนภาษา (นั่นคือ อวัจนภาษา) วิธีการถ่ายทอดได้รับการศึกษาโดยสาขาภาษาศาสตร์เช่น paralinguistics

หยุดชั่วคราว- สัญญาณของการหลอกลวงที่พบบ่อยที่สุด อาจยาวเกินไปหรือบ่อยเกินไป การปรากฏตัวของคำอุทาน - "um", "well", "uh" - ยังบ่งบอกว่าพวกเขาอาจกำลังโกหกคุณหรือไม่บอกคุณบางอย่าง

การเพิ่มโทนเสียง- สัญญาณที่เป็นไปได้ คำพูดจะดังขึ้นและเร็วขึ้น และบุคคลนั้นก็ประสบกับความตื่นเต้น เหตุผลอาจแตกต่างกัน - ความโกรธ ความยินดี ความกลัว แต่มันอาจจะเป็นเรื่องโกหกก็ได้

ข้อเท็จจริงที่ไร้ประโยชน์- เพื่อให้เรื่องราวน่าเชื่อ ผู้คนพยายามทำให้เรื่องราวสมมติของตนเต็มไปด้วยเหตุการณ์จริงที่อยู่ห่างไกลจากหัวข้อสนทนา ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคนที่คู่สนทนาของคุณพบ เช่น สิ่งที่เขาต้องซ่อนไว้ คุณจะได้ยินรายละเอียด เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของอาหาร สภาพอากาศที่ยอดเยี่ยม อารมณ์ที่เกิดจากเหตุการณ์บางอย่างในแต่ละวัน และเกี่ยวกับผู้คนสามารถพูดได้เฉพาะเมื่อผ่านไปเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งพวกเขาจะวาดพื้นหลังอันกว้างใหญ่ให้กับคุณอย่างชัดเจน แต่ตรงกลางภาพพวกเขาจะร่างเพียงภาพร่างที่พร่ามัวเท่านั้น

“เดาเอาเอง” ตอบ- คุณต้องแน่ใจว่าบุคคลนั้นตอบโดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขเขาและด้วยเหตุนี้จึงเป็นการกดดันเขา โปรดจำไว้ว่าคำถามที่ถามเป็นเพียงคำตอบทางอ้อมเท่านั้น
หากคุณถามว่า “วันนี้คุณดูทีวีหรือเปล่า” แล้วถูกถามว่า “คุณก็รู้ว่าฉันทำแบบนั้นไม่ได้” - จากนั้นคุณต้องเข้าใจว่านี่เป็นการหลีกเลี่ยงคำตอบโดยตรง แม้ว่าควรสังเกตว่าผู้คนสามารถตอบได้ด้วยวิธีนี้เพียงเพราะพวกเขารู้สึกขุ่นเคืองจากการขาดความมั่นใจในตนเองและไม่คิดว่าจำเป็นต้องตอบโดยตรง
อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคำตอบทางอ้อมคือเมื่อคุณถูกขอให้คิดสิ่งที่พูดด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้บอกโดยตรง เช่น คำถาม “คุณแน่ใจหรือว่าคุณสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้” อาจตามด้วยวลี “เพื่อนของฉันถือว่าฉันเป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยม!” จากนั้นเราสามารถสรุปได้ว่าบุคคลนั้นไม่มั่นใจในความสามารถของเขา แต่เขาไม่ต้องการยอมรับมัน

ตามที่ท่านถาม พวกเขาก็ตอบท่านการใช้วลีจากคำถามของคุณบ่อยครั้งและแม่นยำ รวมถึงการถามคำถามซ้ำๆ ก่อนบุคคลนั้นจะเริ่มตอบ อาจบ่งบอกถึงความไม่จริงใจ ในสถานการณ์เช่นนี้ คู่สนทนาของคุณไม่มีเวลาคิดว่าจะตอบอะไร ดังนั้นเขาจึงใช้คำพูดหรือคำพูดของคุณเองก่อนที่จะตอบเพื่อให้มีเวลาสร้างเวอร์ชันที่น่าเชื่อถือ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแทนคำตอบ- ให้ความสนใจกับคำตอบที่ "ตลก" คุณถามพวกเขาตอบคุณอย่างมีไหวพริบคุณชื่นชมมันหัวเราะและย้ายไปที่คำถามอื่นหรือคุณไม่สนใจคู่สนทนาที่ตลกคนนี้อีกต่อไป - เป็นสถานการณ์ทั่วไป แต่คุณต้องคิดให้ดี ถ้ามีคนหัวเราะเยาะแทนที่จะตอบตรงๆ บางทีเขาอาจจะตั้งใจทำก็ได้

พูดด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน- การไอบ่อยๆ การพยายามกระแอมในลำคอ คำพูดที่เปลี่ยนไปจากปกติเป็นเร็วขึ้นหรือช้าลงอย่างกะทันหันอาจหมายความว่าบุคคลนั้นรู้สึกกังวล หรืออาจกำลังโกหก นอกจากนี้ยังระบุได้จากการเปลี่ยนแปลงน้ำเสียงหรือน้ำเสียงของผู้พูดอย่างไม่มีเงื่อนไข

หากในระหว่างกระบวนการเล่าเรื่องหากบุคคลย้อนกลับไปในเนื้อเรื่องและเพิ่มบางสิ่งเข้าไป: เขาชี้แจงว่าลืมพูดถึงบางสิ่งเพิ่มรายละเอียดแสดงว่าเป็นเรื่องราวที่จริงใจ เป็นการยากที่จะจดจำเรื่องราวที่แต่งขึ้นทันทีเพิ่มไว้ตรงกลางแล้วคิดต่อจากจุดสิ้นสุด - มีความเป็นไปได้สูงที่จะหลงทางและสับสน

ร่างกาย

ก่อนอื่นคุณควรใส่ใจกับท่าทางของคู่สนทนา

“ท่าปิด” เป็นที่รู้จักกันดี - กอดอกและขา อย่างน้อยที่สุดพวกเขาบอกว่าคู่สนทนาไม่ค่อยมีแนวโน้มที่จะสื่อสารกับคุณ บุคคลอาจดูผ่อนคลาย แต่ความพยายามที่จะซ่อนมือ กอดอก หรือล็อกไว้บนเข่าทำให้เขาถอยออกไป ไม่ใช่ความจริงที่ว่าเขากำลังโกหกคุณ แต่เขาต้องการปิดบังบางอย่างจากคุณอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้มันหลุดลอยไป

มันเกิดขึ้นที่คนโกหกหดตัวลงราวกับว่าเขาพยายามใช้พื้นที่ให้น้อยที่สุด

อีกท่าทางหนึ่ง: หากบุคคลหนึ่งก้าวถอยหลังในระหว่างการสนทนา มีแนวโน้มว่าเขาเองก็ไม่เชื่อสิ่งที่เขากำลังบอกคุณ

มี "การแสดงท่าทางหลุด" ซึ่งเป็นข้อมูลรั่วไหลที่ไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่ว่าคนโกหกทุกคนจะสร้างมันขึ้นมา แต่ถ้ามันเกิดขึ้น มันก็เป็นสัญญาณที่เชื่อถือได้ถึงความตั้งใจของเขา

หากมีคนใช้มือสัมผัสใบหน้า: เกาจมูก ปิดปาก นี่เป็นสัญญาณว่าเขากำลังปิดตัวเองจากคุณโดยไม่รู้ตัวซึ่งเป็นอุปสรรคระหว่างคุณ

ท่าทางหลอกลวงที่พบบ่อยที่สุด:

	ยักไหล่โดยไม่สมัครใจพูดถึงความเฉยเมยว่าคนไม่สนใจ และถ้าเขากระตุกไหล่ข้างหนึ่งก็หมายความว่าเขากำลังนอนอยู่โดยมีความเป็นไปได้สูงมาก
	ขยี้ตา.เมื่อเด็กไม่ต้องการมองสิ่งใด เขาก็เอาฝ่ามือปิดตา ในผู้ใหญ่ท่าทางนี้คือกลายร่างเป็นการขยี้ตา ด้วยวิธีนี้ สมองจะพยายามปิดกั้นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์สำหรับเรา (การหลอกลวง ความสงสัย หรือการมองเห็นที่ไม่พึงประสงค์) สำหรับผู้ชายนี่เป็นท่าทางที่เด่นชัดกว่า - พวกเขาขยี้ตาราวกับว่ามีจุดเข้าตา สำหรับผู้หญิง ท่าทางนี้จะสังเกตเห็นได้น้อยกว่าและอาจผ่านการแก้ไขการแต่งหน้าได้ เนื่องจากผู้หญิงมักจะใช้นิ้วถูเปลือกตาล่างเบา ๆ แต่ที่นี่คุณควรระวัง - ทันใดนั้นก็มีจุดหรือขนตาเข้าไปจริงๆ!
	ป แตะที่จมูก (มักมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและเข้าใจยาก) ก็เป็นสัญญาณของการโกหกเช่นกัน ท่าทางนี้เรียกว่า "อาการพินอคคิโอ" จำเรื่องราวเกี่ยวกับพินอคคิโอที่จมูกของเขาเริ่มโตอย่างรวดเร็วเมื่อเขาโกหกได้ไหม? ในความเป็นจริงกระบวนการนี้เกิดขึ้นจริงในร่างกาย - สารพิเศษ catelochamines จะถูกปล่อยออกมาในร่างกายซึ่งนำไปสู่การระคายเคืองของเยื่อบุจมูกความดันก็เพิ่มขึ้นการไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้นและจมูกก็ขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่สิ่งนี้ไม่สังเกตเห็นได้ชัดเจน แต่เป็นที่สังเกตได้ว่าคู่สนทนาของคุณเริ่มเอื้อมมือไปที่จมูกและเกามันได้อย่างไร
	ใช้มือปิดปากหรือการไอกำปั้น ตามที่นักจิตวิทยาระบุว่า แสดงถึงความปรารถนาที่จะระงับคำพูดเท็จของตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้คำพูดเหล่านั้นหลุดออกไป
	การแปรงผ้าสำลีในจินตนาการออกจากเสื้อผ้า- คู่สนทนาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาได้ยิน เขาไม่ต้องการ (หรือไม่สามารถ) พูดออกมาดังๆ ได้ แต่ท่าทางนั้นหักหลังความคิดของเขา
	กำลังดึงปกเสื้อ มันเป็นท่าทางที่คุ้นเคยใช่ไหม? ราวกับว่ามันเริ่มอบอ้าวและหายใจลำบาก การหลอกลวงทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นและเหงื่อออกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้หลอกลวงกลัวที่จะถูกจับได้ว่าโกหก

ท่าทางหลอกลวงอื่นๆ ได้แก่:

ถูติ่งหูของคุณ
กลับมาหาลิงของเรากันเถอะ! นี่คือท่าทาง "ฉันไม่ได้ยินอะไรเลย" มักจะมาพร้อมกับการมองไปด้านข้างด้วย ท่าทางต่างๆ เช่น ถูใบหูส่วนล่าง เกาหลังใบหู แคะ (ขออภัย) ในหู หรือบิดเป็นท่อ

เกาคอ.
โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนจะใช้นิ้วชี้ของมือที่ใช้เขียน คนเรามักจะเกาคอวันละ 5 ครั้ง ท่าทางนี้หมายถึงความสงสัย นั่นคือถ้ามีคนบอกคุณประมาณว่า “ใช่ ใช่! ฉันเห็นด้วยกับคุณอย่างยิ่ง” พร้อมเอื้อมมือไปเกาคอซึ่งหมายความว่าในความเป็นจริงเขาไม่เห็นด้วยและสงสัย

นิ้วเข้าปาก.
ตัวละครที่โดดเด่นที่สุดที่มีนิ้วอยู่ในปากคือ Dr. Evil จากภาพยนตร์เกี่ยวกับ Austin Powers เขามักจะเอานิ้วก้อยอยู่ใกล้ปากเสมอ นี่เป็นความพยายามโดยไม่รู้ตัวของบุคคลที่จะกลับสู่สภาวะปลอดภัยซึ่งมักเกี่ยวข้องกับวัยทารกและการดูดจุกนมหลอกอันเดียวกัน ผู้ใหญ่ดูดซิการ์ ไปป์ แก้วน้ำ ปากกา หรือหมากฝรั่ง การสัมผัสปากส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวง แต่ก็บ่งชี้ด้วยว่าบุคคลนั้นจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติ บางทีเขาอาจจะโกหกเพราะกลัวว่าคุณไม่ชอบความจริง

ให้ความสนใจกับท่าทางเช่น นิ้วกลางขยาย- มันสามารถนอนบนเข่าหรือบุคคลนั้นเอามันไปสัมผัสใบหน้าของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ นี่เป็นท่าทางของความเป็นศัตรูและความก้าวร้าวที่ซ่อนเร้น: คู่สนทนาดูเหมือนจะส่งคุณลงนรก

คุณควรสังเกตด้วยว่าคู่สนทนา เปลี่ยนจากเท้าหนึ่งไปอีกเท้าหนึ่งหรือโดยทั่วไป ถอยหลังเล็กน้อยสิ่งนี้บ่งบอกถึงความปรารถนาที่จะจากไป ตีตัวออกห่างจากคุณ เพื่อไม่ให้บางสิ่งบางอย่างหายไป
เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจกับการเคลื่อนไหวถอยหลังเมื่อถามคำถาม ถ้า ศีรษะของผู้ตอบแบบสอบถามขยับไปด้านหลังหรือลงอย่างรวดเร็ว- นี่อาจเป็นความพยายามที่จะปิดด้วย

อารมณ์

พฤติกรรมของบุคคลจะแตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับว่าเขาพูดจริงหรือโกหก

หากมีการโกหกเกิดขึ้น อารมณ์ของบุคคลนั้นจะลึกซึ้งและเย้ายวนมากขึ้น การโกหกใด ๆ บ่งบอกถึงการมีอยู่ของหน้ากากบางอย่างที่บุคคลสวมตัวเองและสร้างพฤติกรรมที่เหมาะสม บ่อยครั้ง "หน้ากาก" และอารมณ์อื่นๆ ปะปนกัน ตัวอย่างเช่น การยิ้มเล็กน้อยเป็นหน้ากากแห่งความสุข หากไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้จริงๆ ก็จะผสมกับสัญญาณของความกลัว ความเศร้า ความรังเกียจ หรือความโกรธ ในกรณีของความสุขอย่างจริงใจ การจ้องมองของเราจะไม่เพียงเห็นรอยยิ้มเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อรอบดวงตาด้วย

ปฏิกิริยาที่ไม่ดี- ติดตามอารมณ์ของอีกฝ่ายในขณะที่บทสนทนาดำเนินไป หากบุคคลหนึ่งซ่อนบางสิ่งจากคุณ อารมณ์อาจถูกแสดงออกมาช้า ค้างอยู่บนใบหน้าของบุคคลนั้นเป็นเวลานานผิดปกติ แล้วจู่ๆ ก็หายไป ปรากฏขึ้นก่อนที่คุณจะจบวลี
สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะคนๆ หนึ่งคิดอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับบางสิ่งของตัวเอง ไม่รักษาหัวข้อสนทนาให้ดี และแสดงอารมณ์ที่เขาไม่ได้รู้สึกจริงๆ

การแสดงออกทางสีหน้าที่นาน 5-10 วินาทีมักจะเป็นการปลอม อารมณ์ที่แท้จริงส่วนใหญ่ปรากฏบนใบหน้าเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น มิฉะนั้นพวกเขาจะดูเหมือนเป็นการเยาะเย้ย ตัวอย่างเช่น ความประหลาดใจที่กินเวลานานกว่า 5 วินาทีในตัวบุคคลนั้นเป็นอารมณ์ที่ผิด
คำพูด ท่าทาง และการแสดงออกทางสีหน้าของบุคคลที่จริงใจประสานกัน หากมีใครตะโกน: "ฉันเบื่อคุณมาก!" และการแสดงออกทางสีหน้าด้วยความโกรธปรากฏขึ้นหลังจากคำพูดนั้นเท่านั้น ความโกรธนั้นน่าจะเป็นของปลอม

นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน Paul Ekman ศึกษาการแสดงออกทางสีหน้าของผู้คน และนับการเคลื่อนไหวใบหน้าอิสระทั้งหมด 46 ครั้ง อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าเมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว พวกเขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่แตกต่างกันได้ประมาณ 7,000 อารมณ์! สิ่งที่น่าสนใจคือกล้ามเนื้อจำนวนมากที่ขยับใบหน้าไม่ได้ถูกควบคุมโดยจิตสำนึก ซึ่งหมายความว่ารอยยิ้มปลอมจะแตกต่างจากรอยยิ้มจริงเล็กน้อยเสมอ

พฤติกรรมในระหว่างการยั่วยุ

หายใจเพิ่มขึ้น, แน่นหน้าอก, กลืนบ่อย, เหงื่อออกมาก - สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณของความรู้สึกรุนแรง เป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังโกหกคุณ การหน้าแดงเป็นสัญญาณของความอับอาย แต่คุณก็อาจรู้สึกเขินอายจากการโกหกได้เช่นกัน

คุณชอบกีฬาฮอกกี้หรือไม่?หากคุณพยายามเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน คนที่โกหกจะรู้สึกโล่งใจและสนับสนุนความคิดริเริ่มของคุณ เพราะเขาเข้าใจว่ายิ่งคุณคุยกับเขาน้อยเท่าไร โอกาสที่เขาจะ "ทำยุ่ง" และยอมปล่อยตัวเองก็น้อยลงเท่านั้น หากคู่สนทนาจริงใจปฏิกิริยาตามธรรมชาติของเขาจะเป็นความเข้าใจผิดถึงเหตุผลในการเปลี่ยนหัวข้อความไม่พอใจที่เรื่องราวของเขาไม่ได้ยินจนจบ เขาจะพยายามกลับไปสู่หัวข้อสนทนา

ฉันไม่ชอบพวกคุณ...หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความจริงของคำพูดของคู่สนทนา MirSovetov แนะนำให้แสดงโดยปริยายว่าคุณไม่เชื่อเรื่องราวของคู่สนทนา: หลังจากที่เขาตอบคำถามถัดไปแล้ว ให้หยุดชั่วคราว มองอย่างใกล้ชิด ด้วยความไม่ไว้วางใจ หากพวกเขาไม่ซื่อสัตย์กับคุณก็จะทำให้เกิดความลำบากใจและความไม่แน่นอน ถ้ามีคนพูดความจริง เขามักจะเริ่มหงุดหงิดและจ้องมองคุณ สามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้: ความลำบากใจหายไป, การประคบริมฝีปาก, คิ้วขมวดคิ้ว

การเคลื่อนไหวของดวงตา

จริงอยู่ที่ดวงตาเป็นกระจกแห่งจิตวิญญาณ บุคคลได้รับการออกแบบในลักษณะที่ดวงตามีส่วนร่วมในกระบวนการคิดอย่างแข็งขัน

พวกมันเข้ารับตำแหน่งขึ้นอยู่กับว่าสมองส่วนใดที่เกี่ยวข้องในขณะนี้ เมื่อรู้สิ่งนี้แล้ว เราก็สามารถสรุปได้ว่าสมองกำลังทำอะไรในบทสนทนาบ้าง เช่น คิดสิ่งใหม่หรือประมวลผลข้อมูลจริง

หากบุคคลหนึ่งต้องการปกป้องคำโกหกของเขาอย่างมั่นใจและโกหกอย่างมีสติ เขาจะพยายามสบตา เขามองเข้าไปในดวงตาของคุณอย่างมีจิตวิญญาณ นี่เป็นการรู้ว่าคุณเชื่อคำโกหกของเขาหรือไม่

และเมื่อบุคคลหนึ่งถูกทำให้ประหลาดใจและต้องการโกหกเพื่อให้ทุกคนลืมเรื่องนี้ เขาก็เปลี่ยนความสนใจของคุณทันที: เขาเข้าไปในห้องอื่น คาดว่าจะไปทำธุรกิจ หรือเริ่มผูกรองเท้า คัดแยกกระดาษ และพึมพำบางอย่างภายใต้เขา ลมหายใจ...

อย่างไรก็ตาม บางครั้งคนๆ หนึ่งก็มองตาด้วยความหวังว่าจะได้รับการสนับสนุน เขาอาจจะไม่โกหก แต่เขาไม่แน่ใจในความถูกต้องของเขาอย่างมาก

สังเกตการกระพริบ. เมื่อพวกเขาโกหก พวกเขามักจะกระพริบตาโดยไม่ตั้งใจ เพราะสำหรับหลาย ๆ คน การโกหกยังคงเป็น แต่นอกจากนี้ การกระพริบตาที่เพิ่มขึ้นอาจหมายความว่าหัวข้อสนทนาไม่เป็นที่พอใจสำหรับเขาและทำให้เกิดความเจ็บปวด และยิ่งคนกระพริบตาน้อยเท่าไรก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นในขณะนั้น

เมื่อถามคำถาม ให้ใส่ใจกับการเคลื่อนไหวของดวงตาในขณะที่บุคคลนั้นตอบเมื่อบุคคลพยายามจดจำรายละเอียดทั้งหมดจริงๆ และบอกคุณ พวกเขาจะมองไปทางขวา เมื่อบุคคลเกิดไอเดียขึ้นมา เขาจะจ้องมองไปทางซ้าย

โดยปกติเมื่อบุคคล จำ (ประดิษฐ์) เขาไม่เพียงมองไปด้านข้าง แต่มองลงมา (ขวาล่าง, ซ้ายล่าง)

ดูแผนภาพโดยนักจิตวิทยาด้านภาษาประสาทที่จะบอกคุณว่าการเคลื่อนไหวของดวงตาบ่งบอกถึงอะไร

ลองจินตนาการว่าภาพนี้แสดงใบหน้าของคู่สนทนาของคุณ นอกจากนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน เราจะตกลงที่จะเขียนเกี่ยวกับคุณเมื่อคุณดูที่ "ใบหน้าของคู่สนทนา" และในวงเล็บจะมีคำแนะนำเกี่ยวกับใบหน้าที่ปรากฎในแผนภาพ

คุณเห็นว่าดวงตาของอีกฝ่าย

• พวกเขากำลังดูอยู่ ไปทางซ้ายและขึ้น(บุคคลนั้นดูที่มุมขวาบน) ซึ่งบ่งบอกถึงโครงสร้างของภาพ
• ไปทางขวาและขึ้น(สำหรับเขานี่คือมุมซ้ายบน) - การเข้าถึงหน่วยความจำภาพ
• พวกเขากำลังดูอยู่ ซ้าย(ด้านขวาของคู่สนทนา) - มีเสียง
• ขวา(ด้านซ้ายสำหรับเขา) - พยายามจำสิ่งที่เขาได้ยิน
• ดวงตา ด้านล่างและซ้าย(มุมขวาล่าง) - ตรวจสอบความรู้สึกและความรู้สึก
• ด้านล่างและไปทางขวา(มุมซ้ายล่าง) - ไตร่ตรองสถานการณ์ พูดคุยกับตัวเอง
• ถ้าจะดู. โดยตรงจากนั้นบุคคลนั้นก็จะรับรู้ข้อมูล

ตัวอย่างเช่น หากคุณถามเจ้านายของคุณเกี่ยวกับวันที่เงินเดือนออก และในขณะที่ตอบ เขามองลงไปทางด้านขวาของญาติคุณ จากนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องนี้เป็นครั้งแรกและกำลังคิดคำตอบว่า "ทันที" โดยคิด และถ้าเขาหันไปทางขวาก็หมายความว่าเขากำลังพูดสิ่งที่ได้ยินจากผู้บังคับบัญชามาก่อน

ให้ความสนใจกับความแตกต่างนี้:หากคุณกำลังพูดคุยกับคนถนัดซ้าย ด้านซ้ายและด้านขวาจะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม สิ่งนี้ก็เป็นจริงเช่นกันสำหรับคนถนัดขวาซึ่งซีกซ้ายยังคงมีอำนาจเหนือซีกขวาเช่นที่เรียกว่า ฝ่ายซ้ายที่ได้รับการฝึกใหม่

มีความเห็นว่าการมองตาต่อตาโดยตรงเป็นสัญลักษณ์ของความจริงใจของบุคคล แต่ถ้าละสายตาก็จะบอกว่ามีคน "ซ่อน" ดวงตาของเขาและซ่อนบางสิ่งบางอย่าง ในความเป็นจริงนี่ไม่ใช่กรณี ในระหว่างการสนทนา บ่อยครั้งจำเป็นต้องละสายตาเพื่อมุ่งความสนใจไปที่ความคิด คิด หรือจดจำ
ขึ้นอยู่กับวัสดุจาก bskltd.ru, mirsovetov.ru

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ:

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์กที่บัฟฟาโลได้พัฒนาเครื่องจับเท็จที่มีเทคโนโลยีสูง โดยพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของดวงตา ระบบจะจดจำเมื่อบุคคลกำลังพูดความจริงและเมื่อเขาโกหก ตามที่นักวิจัยระบุว่าระบบของพวกเขาสามารถตรวจจับข้อความเท็จด้วยความแม่นยำมากกว่า 80%

ระบบใหม่ได้รับการทดสอบกับอาสาสมัคร ก่อนการทดลองจะเริ่มขึ้น พวกเขาจะถูกขอให้เดาว่าพวกเขาขโมยเช็คที่จ่ายให้กับพรรคการเมืองที่พวกเขาไม่ได้สนับสนุนหรือไม่ พนักงานสอบสวนนั่งข้างผู้ถูกถาม โดยถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้นก่อน แล้วจึงถามโดยตรงเกี่ยวกับ “การโจรกรรม”

ในเวลานี้โปรแกรมโดยใช้กล้องเว็บติดตามการละเมิดวิถีการเคลื่อนไหวของดวงตาความเร็วของการกระพริบตาและความถี่ที่ผู้เข้าร่วมในการทดลองเปลี่ยนการจ้องมอง เป็นผลให้ระบบสามารถตรวจจับการโกหกได้สำเร็จใน 82.2% ของคดี ในขณะที่นักสืบที่มีประสบการณ์อัตรานี้อยู่ที่ประมาณ 60%

วิธีรับรู้คำโกหกโดยการแสดงออกทางสีหน้าและท่าทาง:

ควรสังเกตว่าโดยธรรมชาติแล้วไม่มีบุคลิกที่เหมือนกันสองคน แต่ละคนมีความเป็นปัจเจกบุคคลในแบบของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีชุดสัญญาณสากลที่ตรวจจับการโกหกได้ ดังนั้นสัญญาณทั้งหมดจะต้องได้รับการวิเคราะห์อย่างรอบคอบในบริบทของสถานการณ์ปัจจุบันและให้ความสนใจทั้งน้ำเสียงและอารมณ์และอย่าลืมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ลิ้นโกหกได้ แต่ร่างกายโกหกไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ระวังและอย่าด่วนสรุปไม่ว่าคุณจะเป็นคนรอบรู้แค่ไหนก็ตาม เพราะแม้แต่เชอร์ล็อก โฮล์มส์ก็เคยสงสัยว่ามีหญิงสาวก่ออาชญากรรมร้ายแรง โดยเข้าใจผิดว่ามีท่าทางที่น่าอึดอัดใจของเธอเพื่อพยายามซ่อนความจริง ต่อมาปรากฎว่าหญิงสาวรู้สึกเขินอายเพราะจมูกที่ไม่มีแป้ง: o)

คุณคิดอย่างไร

แน่นอนว่าท่าทางและท่าทางให้ข้อมูลมากที่สุดเกี่ยวกับสถานะภายในของบุคคล แม้ว่าการจับมือกันสามารถแกล้งทำเป็นได้โดยใช้อารมณ์บางอย่างและการควบคุมสถานการณ์ แต่การควบคุมร่างกายของคุณเป็นเรื่องยากมาก ร่างกายมนุษย์ ท่าเดิน ท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า และละครใบ้ให้ข้อมูลที่มีค่าที่สุดเกี่ยวกับอุปนิสัยของบุคคล ใบหน้าของผู้คนแตกต่างกัน ร่างกาย การเดิน และการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็เช่นกัน

เป็นที่รู้กันว่าร่างกายของเราประกอบด้วยกระดูกมากกว่า 200 ชิ้น และกล้ามเนื้อมากกว่า 500 ชิ้น ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงประมาณ 1-1.5 ปี เด็กจะสื่อสารกับสภาพแวดล้อมภายนอกผ่านการเคลื่อนไหวร่างกาย แสดงออกด้วยกายพอใจและรังเกียจ ขอและปฏิเสธ ไม่สบายใจและสุขใจ ขอหรือเรียกร้องให้ให้อาหาร ดื่ม ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือผ้าอ้อม เรียกร้องความรัก กำลังใจ ความสนใจ และทุกสิ่งที่เขาอาศัยอยู่ด้วย ในเวลานี้เด็กสื่อสารกับโลกภายนอกผ่านการร้องไห้และยิ้ม การเคลื่อนไหวของแขน ขา และทั่วร่างกาย

ตามความจริงที่ว่าแต่ละการเคลื่อนไหวทำให้เกิดหรือในทางกลับกันไม่ก่อให้เกิดการตอบสนองจากผู้ใหญ่ การเคลื่อนไหว ท่าทาง ท่าทาง จะถูกจดจำและทำซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อสื่อสารกับโลกภายนอก เด็กก็จะเดินได้ดีขึ้นในภายหลัง ต่อมาเมื่อการก่อตัวของท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า ลักษณะนิสัย ก็สะท้อนให้เห็นในการก่อตัวของกล้ามเนื้อด้วย

กระดูกแต่ละชิ้นจากทั้งหมด 200 ชิ้นเชื่อมต่อกันด้วยกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออยู่ในสภาวะผ่อนคลายหรือตึงเครียด ระดับความตึงเครียดหรือการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อทำให้เกิดการเคลื่อนไหว การเดิน การแสดงออกทางสีหน้า และการแสดงละครใบ้ของผู้คนที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นตัวละครบางตัวจึงมีลักษณะเฉพาะด้วยท่าทางท่าทางการเดินการแสดงออกทางสีหน้าและละครใบ้

ตั้งแต่ทศวรรษที่ 70 จิตวิเคราะห์ได้พัฒนาแนวทางการรักษาผู้คนโดยรวมโดยการบรรเทาความตึงเครียดและความตึงของกล้ามเนื้อ ทิศทางนี้มาจากความจริงที่ว่าโดยการเปลี่ยนร่างกายของเรา เราก็สามารถเปลี่ยนอุปนิสัยของเราได้ ทิศทางนี้เรียกว่า “การวิเคราะห์พลังงานชีวภาพ” และ “การบำบัดพลังงานชีวภาพ” พลังงานชีวภาพวิเคราะห์ปัญหาทางจิตของผู้ป่วยผ่านโครงสร้างร่างกายและการเคลื่อนไหวของเขา ผ่านการคลายความตึงเครียดทางสรีรวิทยาในกล้ามเนื้อที่ถูกบีบอัดหรือเป็นตะคริว

ในกระบวนการเลี้ยงดูเด็ก ผู้ใหญ่ต้องการให้เขาปฏิบัติตามบรรทัดฐานของพฤติกรรมที่เป็นที่ยอมรับ ตั้งแต่วัฒนธรรมจนถึงสังคม ซึ่งกำหนดไว้ในสถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล โรงเรียน และสถานศึกษา เด็กคุ้นเคยกับการซ่อนความตั้งใจความรู้สึกความปรารถนาและการเคลื่อนไหวการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางของเขา การซ่อนความรู้สึกและความตั้งใจของเขาโดยยึดมั่นในบรรทัดฐานของพฤติกรรมที่พึงปรารถนาในสังคมบุคคลนั้นได้รับธรรมชาติที่สอง ดังนั้นจึงไม่ง่ายนักที่จะเข้าใจลักษณะของบุคคลเมื่อมองแวบแรกจากการแสดงออกภายนอก สัญญาณหนึ่งหรือสองสัญญาณ ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง การเคลื่อนไหว หรือองค์ประกอบของท่าทางบางอย่าง ไม่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับตัวละครได้ บุคคล.

ที่นี่เราต้องการการสำแดงที่ซับซ้อนทั้งหมดที่เชื่อมโยงถึงกันซึ่งทำให้เราสามารถตัดสินลักษณะของบุคคลได้อย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น เป็นการยากที่จะตัดสินด้วยรอยยิ้มว่าเกิดอะไรขึ้นในจิตวิญญาณของบุคคล รอยยิ้มอาจเป็นเรื่องจริงหรือ "ผ่านน้ำตา" เมื่อมี “รอยยิ้มเทียม” ของคนธรรมดาๆ ที่ดวงวิญญาณถูกแมวข่วน “ความเทียม” นี้สามารถรับรู้ได้ด้วยท่าทาง ท่าทาง น้ำเสียงสูงต่ำ แต่เมื่อนักแสดง นักแสดง หรือพนักงานบริการมืออาชีพยิ้ม ดังนั้นการที่จะเข้าใจรอยยิ้มนี้จึงจำเป็นต้องมีความรู้ทางวิชาชีพในด้านนี้

ความเป็นคู่ของธรรมชาติทำให้ยากต่อการเข้าใจลักษณะของบุคคล ไม่เพียงแต่ต่อคนรอบข้างเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวเขาเองด้วย มันเป็นการสำแดงของ "ธรรมชาติทวิ" ซึ่งมีอยู่ในเราแต่ละคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งซึ่งเป็นตัวกำหนดความยากลำบากในการจดจำตัวละคร ตัวอย่างเช่น คนใจดีและเชื่อถือได้บางครั้งต้องการทำตัวเข้มแข็ง ไม่สามารถเข้าถึงได้ และไม่สามารถเข้าถึงได้ และประพฤติตนตามนั้น

กลไกการชดเชยส่วนใหญ่มักทำงานในลักษณะเดียวกัน “นักเพาะกาย” นักเพาะกาย “นักสร้างร่างกาย” หลายคนชดเชยความอ่อนแอภายใน ความกลัว และการป้องกันตัวเองด้วยเปลือกนอกที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ความแข็งแกร่งและความกล้าหาญ ราวกับเน้นว่า: “ดูสิว่าฉันแข็งแกร่งแค่ไหน คุณไม่สามารถทำให้ฉันขุ่นเคืองได้” มีเพียงมืออาชีพที่มีประสบการณ์หรือนักวิจัยที่ช่างสงสัยและช่างสงสัยเท่านั้นที่ถามตัวเองว่าทำไมคนๆ หนึ่งถึงประพฤติเช่นนี้ อะไรเป็นสาเหตุของพฤติกรรมของเขา จึงจะสามารถแยกแยะจิตวิญญาณที่อ่อนโยนและอ่อนแอเบื้องหลังเปลือกนอกที่แข็งแกร่งและทำลายไม่ได้

เพื่อให้เข้าใจถึงอุปนิสัยของบุคคล ความคลุมเครือของท่าทาง ละครใบ้ และการแสดงออกทางสีหน้ามีความสำคัญอย่างยิ่ง การแสดงออกทางสีหน้าและละครใบ้ที่เหมือนกันอาจมีเหตุผลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และในทางกลับกัน ปรากฏการณ์ที่แตกต่างกันสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาและการเคลื่อนไหวแบบเดียวกันได้ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างการแสดงออกภายนอกของตัวละครจึงซับซ้อน แน่นอนว่ามีตัวบ่งชี้โดยตรงในท่าทางการเดินการแสดงออกทางสีหน้าและการเคลื่อนไหวของลักษณะบุคลิกภาพ แต่จะเป็นการดีกว่าถ้าอาการหนึ่งได้รับการยืนยันจากอีกหลายอย่าง หากคุณไม่รู้จักบุคคลนั้น สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าเขาอยู่ในสภาวะใด ไม่ว่าจะเป็นสภาวะปกติหรือชั่วคราว เขารู้สึกตื่นเต้นกับบางสิ่งบางอย่าง หรือกำลังประสบกับความเครียดอย่างรุนแรง ความเข้มแข็งของปรากฏการณ์ที่บุคคลได้รับผลกระทบก็มีความสำคัญเช่นกัน

เหตุใดแม้จะมีความคลุมเครือของการสำแดง แต่เราสามารถตัดสินสภาพของบุคคลด้วยสัญญาณภายนอกได้หรือไม่ เพราะทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมาย ประสบการณ์ภายในของเรา การเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณ ความรู้สึกที่เคลื่อนไหวใด ๆ ทำให้เกิดการตอบสนองในร่างกาย การแสดงออกทางสีหน้า การเดิน ท่าทางการเคลื่อนไหว ไม่มีสิ่งใดผ่านไปอย่างไร้ร่องรอยสำหรับร่างกาย ความตึงเครียดภายในทำให้เกิดปฏิกิริยาภายนอก - เป็นปฏิกิริยาที่เป็นลักษณะของประสบการณ์ทางจิตที่กำหนด

การสำแดงภายนอกของชีวิตภายในหลายอย่างถูกบันทึกและอ่านโดยเราอย่างต่อเนื่องในกระบวนการของชีวิต แต่กระบวนการนี้เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลผลในระดับจิตใต้สำนึกที่ไม่ใช่คำพูด หากไม่มีการรับรู้ ความเข้าใจ และการฝึกทักษะการอ่านภาษากาย การพูดข้อมูลนี้เป็นเรื่องยาก เพราะสมองของเราประมวลผลในระดับ "พอใจ - ไม่น่าพอใจ" "เหมาะสม - ไม่เหมาะ" "มั่นใจ - ไม่น่าเชื่อถือ" ".

เหล่านี้คือสถานการณ์ที่เราพูดว่า: “มีบางอย่างที่ฉันไม่ชอบเกี่ยวกับบุคคลนี้” “เขาลื่นหรือไม่เป็นที่พอใจ” เป็นต้น กล่าวคือ เราไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดปฏิกิริยาของเรา แต่ภายใน ข้อมูลได้รับการประมวลผลแล้ว จิตไร้สำนึกของเราบอกเราผ่านองค์ประกอบของพฤติกรรมที่ไม่ใช่คำพูดว่าบุคคลนี้ไม่พอใจเรา หรือในทางกลับกัน บุคคลนั้นยังไม่ได้บอกอะไรเราเลยแต่ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจแล้ว

เพื่อทำความเข้าใจภาษากาย การเคลื่อนไหวมือ ร่างกายมนุษย์ และการเลื่อนลิ้นโดยไม่รู้ตัว มีบทบาทสำคัญ ซึ่งให้หลักฐานที่หักล้างไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตภายใน สถานะของความจริงหรือความเท็จของข้อความ การกระทำ หรือความตั้งใจ สามารถเปรียบเทียบได้กับสัมผัสที่แทบจะสังเกตไม่เห็นในภาพบุคคล แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพบุคคลคล้ายกับภาพต้นฉบับ เช่น เครื่องปรุงรสที่เพิ่มรสชาติที่น่าดึงดูดให้กับอาหาร

ควรมองบุคคลอย่างไรจึงจะเข้าใจอุปนิสัยของเธอ? ขั้นแรก จำเป็นต้องระบุเกณฑ์หลายประการในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจภาษากาย เกณฑ์แรกคือความสมบูรณ์ของธรรมชาติ หากบางส่วนของร่างกายโดดเด่นจากพื้นหลังทั่วไป แสดงว่ามีปัญหาบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นี้

เช่น ถ้าเราเห็นใบหน้าไม่สมมาตร คือ มุมปากด้านหนึ่งอยู่สูงกว่าอีกมุมหนึ่ง หรือเวลาพูด ปากโค้งไปในทิศทางเดียว เราก็สังเกตได้ว่า เหตุผลและอารมณ์ของบุคคลนี้ขัดแย้งกันในแต่ละคน อื่น. กลไกหรือการเชื่อมต่อทางสรีรวิทยามีดังนี้ ดังที่คุณทราบ ซีกโลกด้านหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการคิดเชิงตรรกะ และอีกด้านหนึ่งรับผิดชอบด้านอารมณ์

เมื่อบุคคลต้องจัดการกับมโนธรรมของตนเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง เช่น สถานที่ทำงาน การได้รับผลประโยชน์บางอย่าง เป็นต้น มโนธรรมภายในของเขาย่อมทรมานเขาอยู่ตลอดเวลา และจิตใจของเขาชักชวนเขาว่าสิ่งนี้จำเป็น การต่อสู้ภายในดังกล่าวสะท้อนให้เห็นบนใบหน้า

หากเราเห็นการเดินที่ไม่เป็นธรรมชาติเมื่อขากระดูกเชิงกรานและหลังส่วนล่างเชื่อมต่อกันเป็นโครงสร้างแข็งตัวเดียวเราสามารถพูดได้ว่าบุคคลดังกล่าวมีปัญหาในขอบเขตทางเพศ ความจริงก็คือพลังงานที่สะสมในส่วนล่างของร่างกายโดยไม่พบทางออกทำให้เกิดความตึงเครียดอย่างรุนแรงซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดในกล้ามเนื้อบั้นท้ายและทำให้เกิดการเดินที่ไม่เป็นธรรมชาติ

เกณฑ์ที่สอง คือ ความเหมาะสมและไม่เหมาะสมของการเคลื่อนไหว ท่าทางในสถานการณ์ที่กำหนด ความตึงเครียด หรือการผ่อนคลาย ตัวอย่างเช่น มีการประชุมที่สำคัญเกิดขึ้น ผู้เข้าร่วมทุกคนมีความตึงเครียดและเอาใจใส่อย่างมาก และหนึ่งในนั้นก็เอนหลังหาว เห็นได้ชัดว่าในสถานการณ์เช่นนี้พฤติกรรมดังกล่าวไม่เหมาะสมอย่างชัดเจน หากนี่เป็นหนึ่งในผู้จัดการ พฤติกรรมของเขาทำให้เขาชัดเจนว่าการสนทนาต้องยุติลง ถ้าเขามีน้ำหนักเท่ากันกับอีกฝ่าย พฤติกรรมของเขาแสดงให้เห็นว่าบทสนทนาไม่สนใจเขาอีกต่อไป และทุกอย่างชัดเจนกับเขาแล้ว

เกณฑ์ถัดไปคือจังหวะของการเคลื่อนไหวซึ่งสามารถกำหนดลักษณะได้เร็ว, ช้า, สงบ, ระเบิด, เป็นจังหวะหรือในทางกลับกัน, จังหวะ, มอมแมม, แปรผัน, กระตุก ฯลฯ

การเคลื่อนไหวสามารถกว้าง เรียบ เป็นมุม มีแอมพลิจูดเล็ก โค้งมน กำหนดลักษณะทิศทาง - เดินหน้า-ถอยหลัง ขึ้น-ลง ด้านข้าง รวมถึงการขยายตัว การหดตัว ฯลฯ

ขอแนะนำให้อธิบายการเคลื่อนไหวของร่างกายแต่ละครั้งให้ถูกต้องที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อทำความเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร ยิ่งอธิบายอาการของร่างกายได้ครบถ้วนมากเท่าไร ความเข้าใจธรรมชาติของโลกภายในของบุคคลก็จะสมบูรณ์และถูกต้องมากขึ้นเท่านั้น

เกณฑ์สำคัญอีกประการหนึ่งในการทำความเข้าใจภาษากายคือแนวคิดเรื่องความตึงเครียด ที่นี่คุณต้องแยกแยะระหว่างสภาวะตึงเครียดและตึงเครียดของกล้ามเนื้อ . สภาวะตึงเครียดอาจเป็นแบบมีสติหรือหมดสติก็ได้ เช่น เรากำลังรดน้ำดอกไม้ บัวรดน้ำค่อนข้างหนัก และรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่งานนี้เกิดขึ้นในตัวเรา เริ่มจากกล้ามเนื้อแขน และปิดท้ายด้วยกล้ามเนื้อกระดูกสันหลังและขา

อีกตัวอย่างหนึ่ง: มีคนเดินไปตามถนนและทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดหรือระเบิดอย่างรุนแรง จากนั้นทั้งร่างกายก็เกร็งตึงโดยไม่รู้ตัวทันที เมื่อบุคคลเขียนบางสิ่งที่จริงจังและถี่ถ้วน ความตึงเครียดจะสะท้อนให้เห็นบนใบหน้าของเขา ทุกคนคงเคยเห็นวิธีที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เขียน: แขนของเขาเกร็ง ร่างกายของเขาก็เช่นกัน ความพยายามที่เขาทำนั้นมองเห็นได้ในกล้ามเนื้อใบหน้า เขาเขียนไม่เพียงแต่ด้วยมือและศีรษะเท่านั้น แต่ยังเขียนด้วย "ทั้งตัว"

สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความตึงเครียดคือการผ่อนคลาย ในช่วงสภาวะแห่งความสงบและผ่อนคลาย บุคคลจะรับรู้ถึงดนตรี งานศิลปะ และธรรมชาติอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น มีเพียงการผ่อนคลายเท่านั้นที่เขาสามารถพักจิตวิญญาณได้ ยิ่งเขาผ่อนคลายมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเปิดกว้างต่อการรับรู้ของผู้อื่นมากขึ้นเท่านั้น

และในทางกลับกัน ยิ่งตึงเครียดมากเท่าไรก็ยิ่งปิดมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งความตึงเครียดมากเท่าไร ระยะเวลาที่ทนได้ก็จะสั้นลงเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ความเครียดจากการแข่งขัน แม้กระทั่งนักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่ก็หมดแรงไปอย่างรวดเร็ว บุคคลไม่สามารถรักษาไฟฟ้าแรงสูงไว้เป็นเวลานานได้ ตัวอย่างจากโลกแห่งกีฬาแสดงให้เห็นว่านักกีฬาบางคนไม่สามารถควบคุมความตึงเครียดได้แม้ในช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึง "เหนื่อยหน่าย" ก่อนการแข่งขัน

เราพิจารณาแนวคิดเรื่องความตึงเครียดเพื่อทำความเข้าใจลักษณะนิสัยและสภาพของแต่ละบุคคล นั่นคือเราแนะนำผู้อ่านให้รู้จักกับคำสอนที่พลังงานและความตึงเครียดของกล้ามเนื้ออยู่ในระดับแนวหน้า นี่คือจิตวิเคราะห์ของ W. Reich และ A. Lowen

นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้มองเห็นเป้าหมายหลักในการบรรเทาความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ โดยการบรรเทาความตึงเครียดในกล้ามเนื้อพวกเขา "รักษา" ลักษณะของบุคคลเปลี่ยนลักษณะของเขาบรรเทาอาการโรคประสาทซึ่งจะช่วยฟื้นฟูข้อตกลงของบุคคลกับตัวเองซึ่งสูญเสียไปก่อนหน้านี้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพื่อให้เข้าใจสิ่งนี้ได้ดีขึ้น นี่คือข้อความที่ตัดตอนมาจากหนังสือ "ภาษากาย" ของ A. Lowen

“คนไข้ของฉันเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มาก ในช่วงแรกฉันรู้สึกประทับใจกับตำแหน่งศีรษะและความแข็งแรงของกรามของเธอ กรามนี้ทำให้ใบหน้าของเขามีสีหน้าเศร้าหมอง แน่นอนว่าด้วยกรามเช่นนี้ มีเพียงก้าวเดียวเท่านั้นจากการแสดงออกที่เฉียบขาดไปสู่ความเศร้าหมอง แต่ฉันมั่นใจในความประทับใจของตัวเอง

ผู้ป่วยทนทุกข์ทรมานจากการดำรงอยู่อย่างไม่มีความสุขทั้งในชีวิตส่วนตัวและในสภาพแวดล้อมของครอบครัว เธอเข้าใจคำพูดของฉันทันทีเกี่ยวกับความเศร้าโศกของตัวละครของเธอ เมื่อศีรษะของเธอก้มไปด้านข้างเล็กน้อยและยกไหล่ขึ้น ร่างของเธอแสดงท่าทียอมจำนน และใบหน้าของเธอ - ความทุกข์ทรมาน

ในการทำงานเกี่ยวกับตำแหน่งของร่างกาย ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละเซสชันเพื่อพยายามทำให้กรามของฉันอ่อนลงและคลายความตึงเครียดที่ด้านหลังศีรษะ แต่ทุกครั้งที่ฉันเข้าใกล้บริเวณเหล่านี้ เธอก็เริ่มร้องไห้เบาๆ แม้ว่าเธอจะสงบลงอย่างรวดเร็วและพร้อมจะลุกขึ้นยืนก็ตาม ข้าพเจ้ายืนหยัดในงานนี้ และหลายเดือนต่อมาข้าพเจ้าประหลาดใจอย่างยิ่งที่ไม่พบร่องรอยความเศร้าหมองบนใบหน้าของเธอ โครงสร้างตัวละครเริ่มลดลงเล็กน้อย แต่นั่นคือคุณลักษณะเดียวที่หายไป อย่างน้อยก็ในขณะนั้น”

เพื่อที่ผู้อ่านจะไม่รู้สึกว่านี่เป็นงานง่าย W. Reich เปรียบเทียบขั้นตอนการวิเคราะห์พลังงานชีวภาพและการแก้ไขระบบประสาทกับหินโม่ที่นักจิตวิเคราะห์ผ่านไป

A. Lowen เปรียบเทียบขั้นตอนของจิตวิเคราะห์และการวิเคราะห์พลังงานชีวภาพกับการไปสู่นรก ซึ่งเขาเขียนว่า: “เราแต่ละคนต้องเผชิญกับนรกของเราเองและผ่านมันไปจนจบเพื่อหาทางไปสวรรค์และบ้าน” และเขาเปรียบเทียบขั้นตอนนี้กับคำอธิบายของ Dante ใน The Divine Comedy โดยที่ Virgil ได้รับบทบาทเป็นนักจิตวิเคราะห์ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเคยประสบปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยของเขาและเอาชนะมันได้สำเร็จ และ Dante ได้รับบทบาทเป็นผู้ป่วย ความทุกข์ทรมานของมนุษย์ถูกพรรณนาในรูปแบบของนรก พวกมันเกิดจากแรงกระตุ้นทางประสาท และในไฟชำระ บุคคลนั้นก็จะหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่เป็นโรคประสาท เพื่อที่จะได้รับความสุขและความเพลิดเพลินของชีวิตในสวรรค์

จากสัญญาณอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะมองไม่เห็น สามารถระบุลักษณะเฉพาะต่อไปนี้ได้:

การขาดวินัยและความประมาทแสดงออกในท่าเดินที่หย่อนยาน ซึ่งเป็นท่านั่งที่ผ่อนคลายและเป็นอิสระ

ความไม่แน่นอนภายใน ความลำบากใจ ความกลัว จะแสดงออกด้วยท่าเดินปิด (เมื่อแขนและขาประสานกัน หรืออาจเป็นเพียงแขนหรือขาเท่านั้น) ท่าเดินที่สับเปลี่ยน นั่งบนขอบเก้าอี้ (พร้อมจะกระโดดขึ้น) , มือข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างในกระเป๋า, การเคลื่อนไหวของมือที่ปิดส่วนหนึ่งของใบหน้า, สีแดง, เสียงไม่ต่อเนื่อง, การค้นหาวัตถุด้วยมือ (เพื่อให้คุณสามารถหมุน, บิด, ถือบางสิ่งบางอย่าง);

ความไม่มั่นคงภายในยังระบุได้ด้วยท่าทางปิด หันหน้าหนี หันลำตัว ขา และแขนออกห่างจากคู่สนทนา ชะลอความเร็วของการเคลื่อนไหว หมดความสนใจในการสนทนา แสดงท่าขี้เกียจ แสดงท่าทีขี้เกียจ แตะนิ้วบนโต๊ะเป็นจังหวะ เปลี่ยนอิริยาบถไปทางไกลทำให้การแสดงท่าทางและการพูดช้าลง

ความกระวนกระวายใจภายใน, ความกังวลใจและความตึงเครียดทางประสาทถูกระบุโดยการเคลื่อนไหวของนิ้วเป็นจังหวะซึ่งมักจะมีแอมพลิจูดที่เล็กมาก, การรบกวนของการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ , การอยู่ไม่สุขบนเก้าอี้, การแตะนิ้วอย่างต่อเนื่อง, การหมุนของวัตถุต่าง ๆ ในมือ - นาฬิกา, ซองบุหรี่ แก้วน้ำ และอื่นๆ

การเดินช้าๆ และกว้างๆ อย่างจงใจสะท้อนถึงความปรารถนาที่จะอวดตัวเองและดึงดูดความสนใจ การเคลื่อนไหวร่างกายตามการแสดงละครและการเดินแบบ "ภูมิใจ" บ่งบอกถึงความภูมิใจในตนเองและการหลงตัวเองที่สูงเกินจริง

หากเราพิจารณารูปแบบของการเคลื่อนไหว เราจะสังเกตได้ว่าความตรงไปตรงมาและความยับยั้งชั่งใจในการเคลื่อนไหวนั้นเป็นลักษณะของความเยือกเย็น ความรอบคอบ และธรรมชาติของเผด็จการ การเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นระเบียบและกะทันหันบ่งบอกถึงความตื่นเต้น หงุดหงิด หงุดหงิด แข็ง ไม้ เหมือนหุ่นเชิด - เกี่ยวกับบุคลิกภาพที่ปิด แยก และยับยั้ง

ความกลมของการเคลื่อนไหวบ่งบอกถึงอารมณ์ที่หลากหลายและทัศนคติที่ไร้กังวลต่อโลก

49 กฎง่ายๆ

การแนะนำ

ภาษามือ

บุคคลไม่เพียงถ่ายทอดข้อมูลด้วยความช่วยเหลือของคำพูด (ด้วยวาจา) แต่ยังด้วยความช่วยเหลือของท่าทางการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางการจ้องมองการปรากฏตัวระยะห่างระหว่างการสนทนาการตกแต่ง - นั่นคือด้วยความช่วยเหลือของสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเราได้รับข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับบุคคลหนึ่งๆ (ประมาณ 80%) จากแหล่งข้อมูลที่ไม่ใช่คำพูด ในขณะที่คำพูดให้ข้อมูลแก่เราเพียง 20% ของข้อมูลทั้งหมด บ่อยครั้งที่ข้อมูลอวัจนภาษายังคง "อยู่เบื้องหลัง" การรับรู้ของเรา เพราะเราไม่รู้ว่าจะอ่านและตีความอย่างไร

เรามักจะไม่สังเกตเห็นสิ่งที่ชัดเจน: เราเชื่อคำพูดที่พูดอย่างเป็นทางการของข้อตกลง ในขณะที่บุคคลนั้นพยักหน้าในทางลบพยายามเตือนเรา - ฉันไม่เห็นด้วย เราไม่ใส่ใจกับความจริงที่ว่าคนที่ทักทายเราด้วยรอยยิ้มเอามือกอดอกซึ่งเป็นสัญญาณของท่าป้องกัน - “ฉันรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ”

หนังสือเล่มนี้มีไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้การอ่านภาษาท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง ฯลฯ สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคู่สนทนามากกว่าที่เขาเล่าเกี่ยวกับตัวเขาเอง สำหรับผู้ที่ต้องการถอดรหัสแรงจูงใจที่แท้จริง พฤติกรรมของบุคคลกำหนดอารมณ์ชั่วขณะของคู่สนทนา หากคุณกำลังเรียนรู้ที่จะควบคุมร่างกายของคุณโดยใช้เพียงเงาวาจาที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกและเตรียมคู่สนทนาของคุณให้มองโลกในแง่บวก หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคุณ ในการที่จะทำให้ร่างกายของคุณเป็นพันธมิตรและไม่ทรยศคุณต้องศึกษาตัวอักษรของท่าทางให้ดีลองจินตนาการว่าสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดแต่ละรายการหมายถึงอะไร เราเสนอหนังสือเล่มนี้ให้กับคุณเพื่อใช้ประโยชน์จากประสบการณ์อันมีค่าที่สุดที่ได้รับหลังจากอ่านมันต่อไป

ท่าทางของมนุษย์พูดว่าอย่างไร?

กฎ #1

วิธีจดจำท่าทางจากหมวด "ฉันกำลังคิด"

บุคคลผู้มีความคิดย่อมขาดจากความเป็นจริง เขาไม่ได้ยินหรือเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เพราะเขาอยู่ในโลกแห่งความคิดและจินตนาการของตนเอง ควรสังเกตว่า: เมื่อบุคคลคิดหรือเพ้อฝันอย่าเสียข้อโต้แย้งที่สำคัญเขาจะไม่รับรู้พวกเขาต่อไปจะไม่ได้ยินพวกเขา

ต้องจำไว้ว่าในคนที่มีความคิดลึก ๆ พื้นที่ที่กระตือรือร้นที่สุดของสมองคือดังนั้นเขาจึงพยายามมุ่งความสนใจไปที่มันราวกับเตือนว่า:“ อย่าเข้าไปยุ่ง - ฉันกำลังคิดอยู่ ” สำหรับผู้ที่จมอยู่กับความคิดและฟุ้งซ่านจากการสนทนา ท่าทางต่อไปนี้เป็นเรื่องปกติ: มือบนหน้าผากในตำแหน่งต่างๆ บุคคลสามารถถูขมับ เกาหลังศีรษะ ท่าทางประเภทนี้มีจุดประสงค์อื่น: บุคคลจึงพยายามเพิ่มประสิทธิภาพของสมอง ปรับ "อุปกรณ์ทางจิต" เพื่อแก้ไขปัญหาที่ยากลำบาก ดังนั้นการลูบและเกาทุกชนิด

นอกจากท่าทางแล้ว ท่าทางของบุคคลยังเผยให้เห็นถึงคนที่มีความคิดดีอีกด้วย จำเรื่อง “The Thinker” ของ Auguste Rodin: เขานั่งเอาแก้มวางบนมือ หากคู่สนทนาของคุณมีท่าทางเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าเขาจะเสียสมาธิจากการสนทนาของคุณและกำลังคิดถึงบางสิ่งบางอย่างของเขาเอง เพื่อให้แน่ใจในสมมติฐานของคุณ ให้ใส่ใจกับการจ้องมองของเขา คนที่อยู่ไกลแสนไกล - ในความฝันและจินตนาการ - มีลักษณะที่เรียกว่า "มองไปที่ไหน": ขาดหายไป, ไม่มีสมาธิ

ด้วยท่าทางของผู้คิด คุณสามารถประมาณได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ หากบุคคลเอนไปทางมือขวาหรือถูขมับขวาหมายความว่าสมองซีกซ้ายมีส่วนร่วมในการคิดของเขา (ตามกฎการกระจายข้ามของโซนอิทธิพลของสมอง) ซึ่งมีหน้าที่ในการ ความสามารถเชิงตรรกะและการวิเคราะห์ของบุคคล ดังนั้น ในขณะนี้บุคคลนั้นยุ่งอยู่กับการวิเคราะห์ เขาจึงเต็มไปด้วยคำถามที่ต้องใช้การคำนวณโดยละเอียด ในกรณีนี้ การจ้องมองของบุคคลสามารถมุ่งความสนใจไปที่จุดเดียวได้ หากบุคคลเอนมือซ้ายก็หมายความว่าสมองซีกขวามีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อด้านความรู้สึกของธรรมชาติของมนุษย์ บุคคลที่มีแนวโน้มว่าจะมีปรัชญา เพ้อฝัน ความคิดของเขาขาดความชัดเจน เป็นรูปธรรม และไม่ต้องการการวิเคราะห์ การจ้องมองไม่ได้มุ่งเน้นไปที่จุดใดจุดหนึ่ง แต่ในทางกลับกัน กลับคลุมเครือ มุ่งไปที่ไม่มีที่ไหนเลย

หากคุณสังเกตเห็นสัญญาณที่คล้ายกันในคู่สนทนาของคุณ อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะไม่ฟังคุณ แต่จมอยู่กับความคิดของเขาเอง เพื่อให้แน่ใจว่าเขารับรู้ข้อมูล คุณสามารถถามคำถามเขาได้ หากไม่มีคำตอบ ให้รู้ว่าคู่สนทนาของคุณกำลังครุ่นคิดอยู่ลึกๆ คุณต้องรอจนกว่าเขาจะตื่นจากความคิดหรือมีอิทธิพลต่อเขา: พูดอะไรบางอย่างดัง ๆ หรือแตะเขา

กฎข้อที่ 2

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันสนใจ”

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าคู่สนทนาสนใจคุณหรือไม่ บ่อยครั้งที่สัญญาณแสดงความสนใจด้วยวาจาเป็นเพียงจินตนาการ และด้วยความช่วยเหลือจากการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูดเท่านั้น คุณจึงจะเข้าใจว่าคู่สนทนาของคุณสนใจเพียงใด ในทางวาจา คู่สนทนาสามารถแสดงความสนใจได้โดยการถามคำถาม ชี้แจงรายละเอียด และขอให้พูดซ้ำ แต่อนิจจาไม่ใช่ตัวบ่งชี้ความสนใจ 100% คำถามอาจหมายถึงการไม่เต็มใจที่จะทำให้คุณขุ่นเคือง ความสุภาพที่เป็นทางการ แต่ไม่ใช่ความสนใจ

ตามกฎแล้วผู้สนใจมักจะแสดงท่าทางตระหนี่ บุคคลอาจมีสมาธิกับคู่สนทนาหรือข้อมูลที่น่าสนใจมากจนเขาพยายามไม่ส่งเสียงดังเพื่อไม่ให้พลาดหัวข้อสนทนา ความเงียบที่สมบูรณ์แบบในห้องเรียนหรือหอประชุมที่เด็กนักเรียนหรือนักเรียนสนใจสิ่งที่ครูกำลังพูดถึงนั้นไม่ใช่เรื่องไร้สาระ

แต่มีวิธีอื่นที่ไม่ใช่คำพูดในการพิจารณาความสนใจของคู่สนทนา ผู้ที่สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเข้าใกล้แหล่งข้อมูลมากขึ้น คุณสามารถสังเกตเห็นการเอียงของร่างกายไปทางลำโพง: ผู้ฟังพยายามเข้าใกล้เขามากขึ้น

มันเกิดขึ้นที่คน ๆ หนึ่งถูกพาตัวไปโดยสิ่งที่เกิดขึ้นจนเขาหยุดควบคุมร่างกายของเขา เขาอาจลืมปิดปากหรือลืมตาให้กว้าง ซึ่งเป็นสัญญาณบนใบหน้าที่บ่งบอกว่าบุคคลนั้นประหลาดใจ ประหลาดใจ และอยู่ในสถานะสนใจสูงสุด

หากคุณไม่พบ "อาการ" ใด ๆ ที่น่าสนใจในคู่สนทนาของคุณคุณควรเปลี่ยนกลวิธีอย่างเร่งด่วน - เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาเพิ่มอารมณ์ความรู้สึกของสิ่งที่กำลังพูดมิฉะนั้นข้อความของคุณจะไม่มีนัยสำคัญสำหรับคู่สนทนาของคุณ และจะไม่นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่คุณต้องการ

กฎข้อที่ 3

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันเคารพคุณ”

ความเคารพเป็นแง่มุมหนึ่งของความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่คุณต้องทำให้สำเร็จตลอดชีวิต อาจเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าความเคารพของบุคคลนั้นเป็นจริงหรือเท็จ พวกเขาจับมือคุณด้วยความปรารถนาที่จะทักทายคุณหรือเพราะประเพณีที่เป็นที่ยอมรับหรือไม่?

มีการแสดงความเคารพไม่มากนัก เพื่อพิจารณาว่าพวกเขาปฏิบัติต่อคุณอย่างไร ให้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายทักทายคุณอย่างไร การจับมือกันเป็นประเพณีที่เก่าแก่มาก ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เพียงแต่มีความหมายทางพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการที่ผู้คนมาพบกันโดยไม่มีเจตนาร้าย โดยไม่มีอาวุธ บัดนี้พิธีกรรมนี้ได้รับความหมายอื่นแล้ว คนที่ปฏิบัติต่อคุณด้วยความเคารพจะยื่นมือของเขาก่อนหรือพร้อมกับคุณ เขาไม่พยายามที่จะเอามือออกทันที การจับมือด้วยความเคารพควรใช้เวลานาน ควรยืดแขนออก และห้ามงอข้อศอกเด็ดขาด ดังนั้นบุคคลนั้นไม่ควรทำให้คุณไม่สะดวก ไม่ควรบังคับให้คุณติดต่อ ในทางกลับกัน เขาพยายามสร้างเงื่อนไขที่สะดวกสบายที่สุดให้กับคุณ

สิ่งต่อไปนี้ถือเป็นการแสดงความเคารพ: ผู้ชายจับมือกับผู้หญิงขณะที่เธอออกจากระบบขนส่งสาธารณะ นอกจากนี้ยังอาจดูเป็นทางการโดยธรรมชาติ เพียงแต่หมายความว่าบุคคลนั้นคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์มารยาทที่ดี หากนี่เป็นการแสดงความเคารพอย่างแท้จริง คนที่ยื่นมือควรมองมาที่คุณและพยายามจับมือคุณ

การก้มศีรษะเป็นการแสดงความเคารพ สังเกตว่าบุคคลนั้นเอียงศีรษะอย่างไร การโค้งคำนับด้วยความเคารพอาจมาพร้อมกับการลดเปลือกตาลง (ซึ่งมาจากประเพณีโบราณของการทักทายราชวงศ์ - พวกมันสง่างามและทรงพลังมากจนผู้คนไม่กล้ามองพวกเขาด้วยซ้ำจึงลดเปลือกตาลง)

ในประเทศตะวันตกบางประเทศ การกอดเป็นวิธีการแสดงความรักและความเคารพต่อบุคคลโดยไม่ใช้คำพูด แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างคนเหล่านี้ก็ตาม การกอดจะได้รับอนุญาตหลังการพบกันครั้งแรกหากผู้คนมีน้ำใจต่อกัน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วจะช่วยลดระยะห่างระหว่างผู้คนให้เหลือน้อยที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณกำลังปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของคุณและบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของเขา มีการติดต่อโดยตรงซึ่งหมายความว่า “ฉันเข้าใจคุณ ฉันยอมรับคุณ ฉันปฏิบัติต่อคุณด้วยความเคารพ” ตามกฎแล้วในประเทศของเรา การกอดนั้นยอมรับได้เฉพาะระหว่างเพื่อนสนิทและญาติเท่านั้น

กฎข้อที่ 4

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันสงสัย”

ท่าทาง ท่าทาง และการแสดงออกทางสีหน้าใดที่บ่งบอกว่าบุคคลนั้นมีข้อสงสัยในการตัดสินใจ? จะทราบได้อย่างไรว่าเขาไม่พร้อมที่จะประเมินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลาง? คุณสามารถคำนวณได้อย่างง่ายดายว่าคู่สนทนาของคุณมีแนวโน้มที่จะเห็นด้วยกับคุณและยอมรับมุมมองของคุณหรือไม่

สภาวะแห่งความสงสัยเป็นสภาวะสองเท่า มันมีข้อดีและข้อเสีย ในด้านหนึ่งบุคคลยังไม่ได้ปฏิเสธคุณยังไม่ได้ทำการตัดสินใจเชิงลบโดยสิ้นเชิงเขาไม่ได้บอกคุณว่า "ไม่" อย่างเผินๆ ในทางกลับกัน ข้อโต้แย้งของคุณไม่น่าเชื่อถือเพียงพอ

คนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจจะมีท่าทางและความคิดที่บ่งบอกว่าเขายังคงวิเคราะห์สถานการณ์และให้ความสนใจอย่างเต็มที่ เขาอาจแสดงความไม่ไว้วางใจ ถ้ามีคนสงสัยในข้อโต้แย้งที่คุณนำเสนอ เขาจะพยายามไม่สบตาคุณ การจ้องมองของเขาอาจเดินไปรอบๆ ห้อง เขาอาจมองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามดึงตัวเองออกจากข้อโต้แย้งของคุณ และคิดถึงข้อดีข้อเสียของข้อเสนอของคุณอย่างเป็นอิสระ ทิศทางที่อันตรายยิ่งกว่านั้นในการมองคือไปทางทางออก ซึ่งหมายความว่าเขามีแนวโน้มที่จะตอบเชิงลบและตั้งใจที่จะจากไปในอนาคตอันใกล้นี้

บุคคลที่สงสัยมีลักษณะเฉพาะคือการใช้นิ้ว การถู การเกา - ซ้ำซากจำเจ ท่าทางเหล่านี้มีความหมายดังต่อไปนี้ ประการแรก ท่าทางเหล่านี้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางจิต (บุคคลกำลังคิดถึงข้อโต้แย้งของคุณ) และประการที่สอง ท่าทางเหล่านี้มีเป้าหมายที่จะทำให้คุณเสียสมาธิและสร้างความสับสน คนที่อยู่ในสภาพสงสัยไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่คุณและการโต้แย้งของคุณ มีความกังวลใจและความยุ่งยากในการเคลื่อนไหวและท่าทางของเขา

นี่คือตัวอย่างบางส่วนของท่าทางดังกล่าว: การถูหรือเกาตา มุมปาก แสดงว่าบุคคลนั้นสงสัยว่าคุณโกหก และมีข้อโต้แย้งของคุณที่ขัดขวางได้

ท่าทางอีกอย่างที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าบุคคลนั้นตกอยู่ในความสงสัยคือการยักไหล่ บ่อยครั้งนี่คือการแสดงท่าทางโดยไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่นบุคคลอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคุณ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยักไหล่โดยไม่ได้ตั้งใจ - นี่เป็นสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดที่บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนในการตัดสินใจของเขา ความไม่ลงรอยกันในพฤติกรรมทางวาจาและอวัจนภาษาดังกล่าวบ่งบอกว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ แม้ว่าคู่สนทนาของคุณจะตัดสินใจในทางที่ไม่เป็นผลดีต่อคุณ คุณก็สามารถโน้มน้าวเขาได้ หากเขาเห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของคุณ แต่แสดงออกถึงความไม่แน่นอนและยักไหล่ นั่นแสดงว่าคุณต้องเสริมสร้างความมั่นใจของเขาในการตัดสินใจ ไม่อย่างนั้นคุยกับคนอื่นแล้วเขาจะเปลี่ยนใจ

กฎข้อที่ 5

วิธีจดจำท่าทาง "ฉันกำลังระวัง"

หากบุคคลหนึ่งรู้สึกว่าถูกคุกคามจากคุณ กลัวว่าคุณอาจโจมตีเขาหรือทำอะไรบางอย่างที่ไม่น่าพอใจสำหรับเขา เขาจะเริ่มดำเนินการป้องกันแบบอวัจนภาษาทันที สถานการณ์ของการคุกคามอาจไม่สะท้อนให้เห็นในคำพูดของเขาเลย แต่เขาเริ่มประพฤติแตกต่างออกไป คุณเพียงแค่ต้องมองดูเขาอย่างใกล้ชิดแล้วคุณจะเข้าใจว่าเขากลัวคุณ

บุคคลนั้นเริ่มใช้ท่าทางพิเศษที่มีความหมายดังต่อไปนี้: “หยุด หยุด. ฉันรู้สึกเหมือนมีการจับที่นี่ " หากบุคคลหนึ่งกอดอกเหนือหน้าอก ชี้ปลายนิ้วมือไปในทิศทางต่างๆ แล้วหันแขนและฝ่ามือที่เหยียดออกไปหาคุณ นี่จะเป็นสัญญาณว่าคุณควรหยุด แขนที่ยื่นออกไปมีความหมายอื่น: ก่อนอื่นสัญญาณนี้จะไม่อนุญาตให้คุณเข้าใกล้เพื่อบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของเขาบุคคลนั้นสร้างสิ่งกีดขวางระหว่างคุณโดยไม่รู้ตัวนอกจากนี้เขาพยายามปิดปากของคุณด้วยวิธีนี้ เขารู้สึกถึงภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของคุณ

คนที่ระแวดระวังนั้นมีรูปลักษณ์ที่พิเศษ: เขามองคุณอย่างว่างเปล่า เฝ้าดูทุกท่าทางของคุณ การเคลื่อนไหวโดยมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวที่จะไม่พลาดช่วงเวลาที่ "มีด" ปรากฏในมือของคุณ “มีด” นี้สามารถมีความหมายเชิงสัญลักษณ์: คุณสามารถโจมตีด้วยวาจา, แทงด้วยเรื่องตลกที่โหดร้ายหรือนำเสนอข่าวที่ไม่พึงประสงค์ นี่คือช่วงเวลาที่คู่สนทนาของคุณกำลังรอคุณอยู่ หากมีหลายคนมีส่วนร่วมในการสนทนาคู่สนทนาที่ระมัดระวังจะมองจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว

บุคคลที่รู้สึกว่าถูกคุกคามโดยคุณสามารถเตรียมเส้นทางหลบหนีล่วงหน้าได้ - เขามักจะสังเกตเห็นว่าประตูอยู่ที่ไหน เพื่อที่ว่าหากสมมติฐานของเขาได้รับการยืนยันและคุณสร้างภัยคุกคามต่อเขา เขาก็สามารถหาทางออกได้อย่างรวดเร็ว

สัญญาณดังกล่าวจะถูกทำให้เป็นกลางได้อย่างไร? เพื่อให้บุคคลสูญเสียความรู้สึกถูกคุกคาม คุณต้องทำให้เขาสงบลงและสร้างการติดต่อกับเขา ขั้นแรก พยายามเข้าใกล้เขาให้มากที่สุด แม้ว่าเขาจะปรารถนาจะถอยห่างก็ตาม ใช้อิทธิพลของการสัมผัส - สัมผัสเขา ลูบเขา คุณสามารถเอามือของเขาไปที่บริเวณปลายแขนได้ การเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่ควรรุนแรงหรือหยาบคาย ไม่เช่นนั้นเขาจะถือว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีในส่วนของคุณ พยายามพูดช้าๆ และดังพอให้อีกฝ่ายได้ยินคุณ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะคิดว่าคุณกำลังพยายามซ่อนบางอย่างจากพวกเขา หากคุณกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตรงข้ามกันคุณควรย้ายไปหาเขา หากคุณสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์เผชิญหน้าและบรรเทาความรู้สึกกดดันได้ คู่สนทนาของคุณจะสามารถผ่อนคลายและบทสนทนาของคุณจะสร้างสรรค์มากขึ้น

กฎข้อที่ 6

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันเต็มใจที่จะประนีประนอม”

การค้นหาการประนีประนอมไม่ใช่เรื่องง่ายในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาทในครอบครัว การสนทนาทางธุรกิจ หรือการอภิปรายเชิงวิชาการ ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งสำคัญคือต้องเห็นว่าคู่ต่อสู้ของคุณเต็มใจที่จะประนีประนอม คนอาจบอกว่าเขาจะไม่ถอยจากคำพูดของเขา แต่สัญญาณทางอวัจนภาษาอาจบ่งบอกถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม - บุคคลนั้นพร้อมที่จะยอม

หากคุณสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างคำพูดกับท่าทางของเขา นี่เป็นสัญญาณว่าคุณจะสามารถตัดสินใจจากเขาได้ตามที่คุณต้องการ มันสำคัญมากที่จะเห็นความไม่ลงรอยกันระหว่างคำกับเนื้อหาและตีความอย่างถูกต้อง หากคู่ต่อสู้ของคุณบอกว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคุณโดยสิ้นเชิงถือว่าคำพูดของคุณไร้สาระ แต่ในขณะนี้เขาผงกหัวขึ้นลงแสดงว่าเขาพร้อมที่จะยอมรับมุมมองของคุณและเป็นเพียงการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเองพยายาม บรรลุเงื่อนไขอันเอื้ออำนวยต่อตนเองมากขึ้น หากคุณสังเกตเห็นท่าทางดังกล่าวคุณไม่จำเป็นต้องยืนทำพิธียืนยันเงื่อนไขของคุณตรวจสอบให้แน่ใจว่าคู่สนทนาของคุณจะยอมรับไม่ช้าก็เร็ว

การไม่มีท่าทางก็เป็นท่าทางเช่นกัน หากเราไม่พบท่าทางเชิงลบใดๆ ในตัวบุคคล เช่น กอดอกหรือกอดอก เขาก็รู้สึกสบายใจที่จะสื่อสารกับคุณในระยะใกล้ ให้คุณเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของเขาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นยอมรับมุมมองของคุณ . เป็นไปได้มากว่าคุณได้ทำมากพอที่จะเอาชนะเขาให้อยู่เคียงข้างคุณแล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้เขาจะเห็นด้วยกับคุณ

บุคคลที่ตัดสินใจแล้วจะมีความสงบบนใบหน้าและท่าทาง ไม่มีการเคลื่อนไหวหรือท่าทางที่กวนใจ ใบหน้าแสดงถึงความสงบและความสามัคคี แม้ว่าเขาจะยืนกรานด้วยตัวเองหรือต่อต้านการโน้มน้าวใจของคุณ แต่ส่วนใหญ่แล้วนี่เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น

ในการอภิปรายในการโต้แย้งบุคคลที่มีแนวโน้มที่จะประนีประนอมจะมีพฤติกรรมที่ค่อนข้างโอ่อ่าเขาเข้าใจ: ข้อพิพาทคือการโต้แย้ง แต่เขาได้ตัดสินใจทุกอย่างเพื่อตัวเขาเองแล้ว เขาสามารถปกป้องมุมมองของเขาได้อย่างน่าเชื่อถือและมีความสงบภายใน แต่เขาเข้าใจว่าเขายังคงต้องหาวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับทั้งสองฝ่าย

ในการพิจารณาว่าคู่สนทนาของคุณโน้มตัวไปทางอะไร ให้ใส่ใจกับท่าทางการแจงนับที่ใช้ ซึ่งตามกฎแล้วไม่มีความหมายเชิงความหมายมากนัก แต่บางครั้งสามารถชี้แจงบางสิ่งได้ หากบุคคลชี้นำข้อโต้แย้งในทิศทางของคุณ นั่นหมายความว่า เขากำลังโน้มตัวไปทางตำแหน่งของคุณ หากการถ่ายโอนมุ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม (ดูเหมือนว่าเขาจะรวบรวมทุกสิ่งรอบตัวกวาดล้างทุกสิ่งที่ไม่ดี) แสดงว่าบุคคลนั้นกำลังมองหาผลประโยชน์เขามีความปรารถนาที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเจรจา

กฎข้อที่ 7

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันมักจะเชื่อใจความสัมพันธ์”

บุคคลไม่ได้มุ่งมั่นในความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจเสมอไป ตามกฎแล้วเขาไม่พยายามที่จะปล่อยให้คนเหล่านั้นที่ทำให้เขาสงสัยหรือเป็นศัตรูเข้าสู่วงในของเขา ด้วยสัญญาณอวัจนภาษา คุณสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าบุคคลนั้นมั่นใจในตัวคุณหรือไม่

เชื่อกันว่าหากบุคคลหนึ่งเข้ามาติดต่อกับคุณอย่างกระตือรือร้น นั่นหมายความว่าคุณได้รับความไว้วางใจในตัวเขาและเขาจะร่วมมือกับคุณ แต่ความช่างพูดของคู่สนทนาของคุณไม่ได้หมายความว่าคุณได้รับความเห็นอกเห็นใจจากเขาเสมอไป บางครั้งเพียงสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดเท่านั้นที่สามารถกำหนดทัศนคติที่แท้จริงต่อคุณได้

ท่าทางของบุคคลที่มีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจนั้นมุ่งตรงไปที่คู่สนทนา เขาจะส่งสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด ไม่ว่าจะเป็นท่าทางบอกรายการ ท่าทางของเขา นิ้วเท้ารองเท้าของเขาหันไปหาคุณในทิศทางของคุณ ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณว่าคุณได้ติดต่อกับเขาแล้วซึ่งสามารถเกิดผลได้ในอนาคต

คุณต้องใส่ใจกับระยะห่างระหว่างคุณ หากคู่สนทนาของคุณรักษาระยะห่างไม่เกิน 70 ซม. นั่นหมายความว่าเขารู้กฎมารยาทและไม่พยายามบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของคุณ ในทางกลับกัน หากเขาไม่ให้คุณเข้าไปในพื้นที่ของเขา เขาก็อาจจะไม่ได้ชอบคุณมากพอ หากระยะห่างลดลงเหลือ 50 ซม. หรือน้อยกว่า คุณสามารถชมเชยตัวเองที่มีเสน่ห์และน่าดึงดูดใจและพยายามเข้าหาคนๆ นั้น

หากในการพบกันครั้งแรกมีคนสามารถสัมผัสคุณได้อย่างง่ายดาย ตบไหล่ ผูกเน็คไทหรือผ้าพันคอให้ตรง คุณสามารถให้ 5 คะแนนสำหรับเสน่ห์และความมีเสน่ห์ของตัวเองได้อย่างปลอดภัย

การแสดงออกทางสีหน้าของบุคคลที่มั่นใจในตัวคุณนั้นช่างพึงพอใจอย่างยิ่ง คนที่เต็มใจที่จะไว้วางใจคุณมักจะยิ้มให้คุณ และยิ่งไปกว่านั้น หัวเราะอย่างเปิดเผยโดยไม่ระงับอารมณ์ของเขา เพราะเขาชอบคุณและไม่มีอะไรเลย ที่ต้องอับอายในบริษัทของคุณ

คนที่ได้รับความมั่นใจในตัวคุณสามารถเลียนแบบท่าทางของคุณได้ บ่อยครั้งสิ่งนี้เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวและไม่ได้ทำเพื่อให้คุณพอใจ แต่เพียงเพราะคุณอยากเป็นเหมือนคุณนิดหน่อย คุณยังสามารถทำการทดลองได้: ใช้ท่าทางคงที่เมื่อสื่อสารกับคนใหม่ เช่น การดีดนิ้ว หากในตอนท้ายของการสนทนาคู่สนทนาของคุณรับนิสัยของคุณก็หมายความว่าคุณประสบความสำเร็จในการรับมือกับงานของการเป็นที่ชื่นชอบและจัดการเพื่อสร้างความประทับใจที่ดีให้กับบุคคลนั้น

กฎข้อที่ 8

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันกำลังปกป้องตัวเอง”

ท่าทางการป้องกันค่อนข้างชัดเจนบ่งบอกว่าบุคคลนั้นรู้สึกกลัวคุณหรือรู้สึกผิดโดยไม่รู้ตัวหรือรู้ตัว เขาอยู่ในสถานการณ์ที่เขาจำเป็นต้องปกป้องตัวเองจากการโจมตีของคุณ สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดทั้งหมดจะบ่งบอกว่าเขาต้องการปิดกั้นความพยายามของคุณที่จะมีอิทธิพลต่อเขา

วิธีการป้องกันที่แพร่หลายและโดดเด่นที่สุดวิธีหนึ่งคือการกอดอกไว้เหนือหน้าอก สัญญาณนี้อาจบ่งบอกว่าบุคคลนั้นไม่ต้องการติดต่อ เขาเขินอาย และต้องการปกป้องตัวเองจากคุณ หมวดหมู่นี้รวมถึงท่าทางไขว้ขา - ดูเหมือนว่าบุคคลจะสูญเสียความรู้สึกได้รับการสนับสนุนใต้เท้าของเขา ท่าทางการป้องกันที่เป็นลักษณะคือร่างกายตั้งตรงร่างกายเอียงไปข้างหน้าเล็กน้อยศีรษะลดลงหน้าผากหันไปทางคู่สนทนาดวงตาลดลง บุคคลนั้นพยายามใช้หน้าผากของเขาเพื่อป้องกันตัวเองจากคำพูดของคุณ ท่านี้ช่วยสะท้อนความคิดเชิงลบ

เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจเกิดการโจมตีได้ บุคคลนั้นจะพยายามปกปิดบริเวณที่เจ็บปวดที่สุด ผู้ชายใช้ท่า "วอลล์ฟุตบอล" โดยจะปกปิดบริเวณขาหนีบ เพื่อป้องกันตนเองจากการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น คนอ่อนไหวที่ใส่ใจทุกวิถีทางพยายามปิดหน้าอกบริเวณหัวใจไม่ว่าจะด้วยการกอดอกหรือเอาฝ่ามือซ้ายปิดหัวใจก็ตาม

ผู้ที่มีการรับรู้ประเภทต่างๆ กันอาจมีวิธีการป้องกันที่แตกต่างกัน - คนที่มองเห็นได้สวมแว่นตา ปิดตาด้วยมือ แสร้งทำเป็นว่าดวงอาทิตย์ทำให้ตาพร่ามัว ผู้ที่ชอบฟังสามารถดึงหมวกปิดหู ยืดผมยาวให้ตรง หากไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่ง พวกเขาก็จัดการบางอย่างด้วยหู โดยปิดมัน คนที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายซึ่งรับรู้โลกผ่านความรู้สึกพยายามรักษาระยะห่างเพื่อไม่ให้สัมผัสคู่สนทนามักจะซ่อนมือไว้ในกระเป๋าซึ่งแสดงว่าพวกเขาไม่ต้องการรับรู้ข้อมูลที่คุณให้ คนที่รับรู้โลกด้วยกลิ่นสามารถยักย้ายโดยใช้ผ้าเช็ดหน้าได้ พวกเขาอาจมีอาการน้ำมูกไหลกะทันหันซึ่งเป็นปฏิกิริยาป้องกันโดยไม่สมัครใจ

บุคคลปกป้องตัวเองจากการโจมตีของคุณ สร้างอุปสรรคที่มองเห็นและมองไม่เห็นระหว่างคุณ ซึ่งอาจแสดงออกมาในรูปแบบของการสร้างกำแพงหรือเครื่องกั้น หากคุณนั่งอยู่ที่โต๊ะและเห็นว่าคู่สนทนาของคุณเริ่มสร้างบางสิ่งเช่นกองสิ่งของที่วางอยู่ใกล้ ๆ (ปากกา สมุดบันทึก) นี่หมายถึงบางสิ่งที่คล้ายกับ "กำแพงเมืองจีน" ที่กองพะเนินอยู่ในความสัมพันธ์ของคุณ กล่าวอีกนัยหนึ่งคู่สนทนาของคุณกำลังสร้างโครงสร้างบางอย่างที่จะทำหน้าที่ปกป้องคุณ บุคคลอื่นสามารถทำหน้าที่เป็นกำแพงได้ในขณะที่ปกป้องตัวเอง คู่สนทนาของคุณอาจจงใจแนะนำบุคคลที่สามเข้าสู่การสนทนาของคุณ ผู้ยืนดูเป็นเหมือนกำแพง เนื่องจากผู้ปกป้องหวังว่าคุณจะไม่โจมตีเขาต่อหน้าบุคคลที่สาม

กฎข้อที่ 9

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันรู้สึกอึดอัด”

เมื่อบุคคลรู้สึกเคอะเขิน ละอายใจในตัวเองและการกระทำของเขา เขาต้องการเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น - ไม่ให้ถูกสังเกต ไม่ถูกแตะต้อง และที่สำคัญที่สุด - ตกลงไปบนพื้น ความรู้สึกอึดอัดนั้นง่ายมากที่จะคำนวณด้วยวิธีการที่ไม่ใช่คำพูดทั้งชุดซึ่งคู่สนทนาของคุณสามารถพยายามปกปิดมันได้

ทันทีที่บุคคลหนึ่งรู้สึกว่าเขาละอายใจ เขาจะพยายามหันเหความสนใจของคุณไปจากตัวเองทันที เพื่อที่คุณจะได้ไม่สังเกตเห็นสัญญาณแห่งความละอายที่ชัดเจน เช่น หน้าแดงหรืออัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น เขาต้องการซื้อเวลาเพื่อกลับสู่ภาวะปกติ เพื่อซ่อนปฏิกิริยาของร่างกายที่ควบคุมไม่ได้และไม่ได้ตั้งใจ คู่สนทนาของคุณอาจคว้าสิ่งของกะทันหัน ลุกขึ้นยืนกะทันหัน เปลี่ยนตำแหน่ง เช่น พยายามสวมเสื้อแจ็คเก็ตที่ก่อนหน้านี้แขวนอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบ ในขณะที่รู้สึกละอายใจ บุคคลหนึ่งละสายตา หลับตาลง และจ้องมองไปที่วัตถุบางอย่าง ท่าทางและการเคลื่อนไหวของเขาจุกจิก

ให้เรานึกถึงตอนหนึ่งจากเรื่องราวของเชคอฟเรื่อง "กิ้งก่า" ทันทีที่หัวหน้าตำรวจ Ochumelov ทำผิดอีกครั้งและรู้สึกละอายใจกับคำพูดของเขา เขาก็พยายามหันเหความสนใจของคนรอบข้างทันที สร้างความสับสนให้พวกเขา ถอดและสวมเสื้อคลุมของเขาอีกครั้ง

หากบุคคลมีความรู้สึกละอายโดยกำเนิดหรือก่ออาชญากรรมร้ายแรงและแน่ใจว่าเขาจะไม่ได้รับการอภัย เขาก็จำเป็นต้องแต่งกายให้ไม่โดดเด่นเท่าที่จะเป็นไปได้ อันที่จริง นี่เป็นข้อผิดพลาดที่ค่อนข้างร้ายแรงในการใช้สัญญาณอวัจนภาษา หากคุณดูไม่โดดเด่น ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่ถูกสังเกตเห็น ในทางกลับกัน พวกเขาจะสังเกตเห็นคุณ แต่เพิกเฉย พวกเขาจะถือว่าไม่จำเป็นต้องคุยกับคุณ และคุณจะเหลือความรู้สึกละอายใจซึ่งอาจพัฒนาไปสู่อาการหวาดระแวงได้ ให้เรานึกถึงตอนหนึ่งจากนวนิยายเรื่อง Gone with the Wind: Scarlet ล่อลวงสามีเพื่อนของเธอในตอนแรกไม่อยากไปงานวันชื่อของเธอเลย แต่ Rhett Butler บังคับให้เธอทำ และเขาขอให้ฉันสวมชุดที่สว่างที่สุด สีม่วง-แดง เขาเชื่อว่านี่คือวิธีที่สการ์เล็ตสามารถสัมผัสถึงความขมขื่นของความรู้สึกผิดของเธอได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชุดนี้ช่วยชีวิตเธอได้ มันทำลายความกลัวที่เธอมีต่อเมลานีและแอชลีย์ เสื้อผ้าที่สดใสช่วยในการตระหนักรู้ในตนเอง เราเข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็นเรา เราสดใสมาก: คนเรามองอย่างไรก็รู้สึกอย่างไร การออกจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจด้วยการแต่งกายที่สดใสนั้นง่ายกว่าการสวมเสื้อผ้าที่สุขุมรอบคอบมาก

ความรู้สึกอึดอัดใจจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทันทีที่คนๆ หนึ่งตระหนักว่าคนอื่นสังเกตเห็นความอึดอัดใจของเขา ดังนั้นคนที่แสดงออกถึงความอึดอัดใจ เช่น หน้าแดงก็ดูเขินอายเป็นสองเท่า พวกเขาเข้าใจว่าพวกเขาไม่สามารถซ่อนความเขินอายได้ และพวกเขาก็สับสนมากขึ้นไปอีก ใช่แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะซ่อนปฏิกิริยาโดยไม่สมัครใจ แต่เมื่อรู้เกี่ยวกับความสามารถตามธรรมชาติของคุณในการเติมสีอย่างรวดเร็วคุณก็สามารถออกไปได้เสมอ ในช่วงเวลาดังกล่าว หลายคนเสียใจอย่างยิ่งที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกมหัศจรรย์และไม่มีหมวกล่องหน นักจิตวิทยากล่าวว่าวิธีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือการยอมรับว่าคุณเขินอาย: “โอ้ ฉันละอายใจมากที่มาสาย” “ฉันขอโทษจริงๆ แต่วันนี้ฉันไม่มีเงินสดด้วย” ฉัน คุณไม่สามารถจ่ายเงินให้ฉันที่โรงอาหารได้เหรอ? ทันทีที่คุณยอมรับ ความอึดอัดของคุณจะหายไป ทันทีที่คุณแสดงสถานะของคุณด้วยวาจา ความตึงเครียดภายในและความลำบากใจจะหายไปทันที

กฎข้อที่ 10

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันไม่เชื่อคุณ”

ท่าทางของความสงสัย ความไม่ไว้วางใจ และความไม่เชื่อในความจริงใจของคุณสามารถระบุได้ง่ายมาก ซึ่งแทบจะเป็นท่าทางของการปฏิเสธและการป้องกันเสมอ แม้ว่าบุคคลนั้นจะเห็นด้วยกับคุณด้วยวาจา แต่ท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า และท่าทางของเขาบ่งบอกถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม ไว้วางใจภาษาที่ไม่ใช่คำพูด มันจะเปิดเผยความคิดที่แท้จริงของบุคคลนั้นให้คุณเห็น

ท่าทางที่พบบ่อยที่สุดที่บ่งบอกถึงความไม่ไว้วางใจคือท่าทางการป้องกัน - กอดอก, ยกขา, บุคคลนั้นบอกว่าเขาไม่ต้องการรับรู้ข้อมูลที่มาจากคุณ บุคคลสามารถจัดการหูของเขาได้ - ในเชิงสัญลักษณ์เขาจะดึงเส้นบะหมี่ที่คุณเกาะไว้ออก

เขาอาจใช้ท่าทางห้ามและเตือนราวกับจะเข้าใจ: “ฉันเข้าใจว่าคุณโกหกฉัน ฉันไม่เชื่อคุณ” คู่สนทนาของคุณอาจบอกใบ้ให้คุณทราบโดยเอามือปิดปากราวกับว่า พูดว่า: “หุบปากซะ” “ท่าทางนี้มีหลากหลาย: บุคคลสามารถเการิมฝีปาก ปาก หูของเขาได้ การแสดงความไม่ไว้วางใจอีกประการหนึ่งคือการส่ายหัวในทางลบ แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยกับคุณ สนับสนุนมุมมองของคุณในระดับวาจา แต่เขาก็มีอย่างอื่นอยู่ในใจ

การแสดงออกทางสีหน้ายังเผยให้เห็นความสงสัยของคู่สนทนาของคุณด้วย ความไม่ไว้วางใจเขียนบนใบหน้า ชายคนนั้นปิดตาของเขา เขาอาจยิ้มอย่างไม่เชื่อหูหรือแค่ยิ้ม: มุมปากข้างหนึ่งยกขึ้น ส่วนอีกมุมหนึ่งลดต่ำลง รอยยิ้มเช่นนี้แสดงว่าพวกเขาไม่เชื่อคุณ สิ่งที่คุณพูดกับเขาดูเหมือนตลกสำหรับเขา

ความจริงที่ว่าการหลอกลวงของคุณถูกค้นพบแม้ว่าคุณจะไม่ถูกเปิดเผย แต่ก็ทำให้บุคคลนั้นรู้สึกเหนือกว่าคุณโดยไม่ใช้คำพูด สิ่งนี้สามารถแสดงออกได้ด้วยทัศนคติที่วางตัวเป็นพิเศษและไม่เต็มใจที่จะบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของคุณ - บุคคล "วรรณะต่ำ" ที่สามารถโกหกได้

บางคนมีการรับรู้โลกด้วยกลิ่นที่พัฒนาแล้ว คนประเภทนี้ไวต่อคำโกหกมาก พวกเขาสามารถแสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาได้เห็นผ่านการหลอกลวงโดยการทำจมูกบาน: “ฉันได้กลิ่นบางอย่างที่ไม่สะอาดที่นี่”

เมื่อคุณได้รับสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดและตีความอย่างถูกต้องแล้ว คุณจะต้องเปลี่ยนกลวิธี: เริ่มพูดความจริงหรือเปลี่ยนข้อโต้แย้งของคุณโดยใช้ข้อโต้แย้งที่หนักแน่นและน่าเชื่อถือมากขึ้น บางทีหลังจากนี้ตำแหน่งของคุณจะถูกมองว่าเป็นความจริง

กฎข้อที่ 11

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันกลัว”

คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความกลัว ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดร่มที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือการพูดในที่สาธารณะ พยายามทุกวิถีทางที่จะปกปิดความกลัวของเขา เขาเริ่มมีความกล้าหาญและพูดคุยเกี่ยวกับความไม่เกรงกลัวของเขา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะคำนวณความกลัวด้วยสัญญาณทางวาจา คุณจะสามารถระบุสถานะที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อคุณสามารถถอดรหัสสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดที่เขาส่งถึงคุณได้อย่างถูกต้อง

เมื่อเรากลัว เรามักจะรู้สึกละอายใจกับความกลัวของเรา หากบุคคลประสบกับความกลัว เขาจะพยายามประพฤติตัวอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็พยายามซ่อนความรู้สึกของเขา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผู้คนที่ประสบกับความกลัวจึงมีแผนการที่ไม่ใช่คำพูดมาตรฐานซึ่งใช้ได้ผลในเกือบทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น . ผู้คนที่ประสบกับความกลัวพยายามที่จะไม่ยอมแพ้ กลบความกลัว และให้กำลังใจ เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงใช้สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด

สัญญาณของความกลัวทางอวัจนภาษาเป็นหมวดหมู่พิเศษ พวกเขารวมกันเป็นหนึ่งด้วยความจริงที่ว่าบุคคลที่ตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความกลัวไม่สามารถควบคุมร่างกายของเขาได้และไม่มีอำนาจเหนือมัน เขาอาจจะสะดุ้งโดยไม่มีเหตุผลเมื่อได้ยินเสียงดัง หรือกระโดดถ้าคุณเข้าหาเขาเบาๆ แล้วดึงเขาจากด้านหลัง นี่บ่งบอกว่าบุคคลนั้นตึงเครียดและอาจกลัวบางสิ่งบางอย่าง

บุคคลพยายามทุกวิถีทางเพื่อระงับความรู้สึกกลัว ตัวอย่างเช่น คุณกำลังสอบ และจู่ๆ นักเรียนคนหนึ่งก็เริ่มพูดเสียงดังโดยไม่จำเป็น ซึ่งหมายความว่าเขากำลังประสบกับความกลัวอย่างรุนแรง กำลังพยายามรวบรวมสติและลดความกลัวของตัวเอง

คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่หวาดกลัวอาจเริ่มหัวเราะกะทันหัน ให้เราจำตอนหนึ่งจากนวนิยายเรื่อง "Crime and Punishment" โดย F.M. Raskolnikov พบกับนักสืบ Porfiry Petrovich เป็นครั้งแรกพยายามกระตุ้นเอฟเฟกต์การ์ตูนโดยบุกเข้าไปในออฟฟิศ หัวเราะอย่างร่าเริง หวังว่าจะโน้มน้าวผู้ตรวจสอบว่าเขาจะไปประชุมโดยไม่ต้องกลัว แต่ Porfiry Petrovich ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์เข้าใจดีว่าผู้ต้องสงสัยของเขากำลังปกปิดสภาพของเขาด้วยความช่วยเหลือจากความเฉยเมยและความไม่เกรงกลัวโอ้อวด

คนที่ประสบกับความกลัวอาจเริ่มผิวปาก ฮัมเพลง หรือร้องเพลงดังๆ นี่เป็นความพยายามประเภทหนึ่งในการคลายความตึงเครียด เมื่อมีคนเพิ่งเริ่มสำรวจอวกาศ นักบินทุกคนเข้าใจว่าการบินของเขาเป็นเหมือนเกมแห่งความตาย ก่อนการบิน เมื่อมีการถ่ายทำทุกย่างก้าวของนักบินอวกาศเพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นในภายหลัง - "ดูสิว่านักบินอวกาศโซเวียตกล้าหาญแค่ไหน" - ผู้ที่กำลังจะบินร้องเพลงเพื่อคลายความเครียดและลดความกลัว มีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่เข้าใจว่าการสร้างอาคารนี้ให้เสร็จนั้นยากเพียงใด พวกเขาดูกล้าหาญและไม่เกรงกลัว แต่จากสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด ริมฝีปากของพวกเขาสั่นไหว ดวงตาของพวกเขาหรี่ลง ผู้ที่อยู่ใกล้พวกเขาเดาสถานะที่แท้จริงของพวกเขา

กฎข้อที่ 12

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันกังวล”

ด้วยท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า และท่าทางของบุคคล คุณสามารถเข้าใจได้ง่ายว่าเขากังวล แม้ว่าเขาจะควบคุมคำพูดได้ แต่เขาพยายามรวบรวมสติและพูดอย่างสงบ แต่สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดอาจบ่งบอกว่าอาการของเขาไม่ปกติ

ท่าทางของบุคคลที่ประหม่ามากมักมีดังต่อไปนี้ การใช้นิ้วจับสิ่งแปลกปลอม การเกาทุกชนิด การลูบไล้ ยิ่งไปกว่านั้น บ่อยครั้งที่คนๆ หนึ่งเปลี่ยนท่าทางหนึ่งไปอีกท่าทางหนึ่งโดยพยายามซ่อนความกังวลใจของเขา แต่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด ซึ่งเป็นท่าทางที่หลากหลายที่เผยให้เห็นถึงสภาวะของความกังวลใจ

หากคุณสังเกตเห็นว่าคู่สนทนาของคุณเกามือหรือหน้าอยู่ตลอดเวลา นี่อาจหมายความว่าเขากังวลมาก อาการคันทั่วร่างกายเป็นปฏิกิริยาทางสรีรวิทยาโดยไม่สมัครใจของร่างกาย เมื่อเรากังวล เราจะรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ซึ่งอาจแสดงออกมาเป็นอาการคัน หนาวสั่น หรือในทางกลับกัน เป็นความรู้สึกอึดอัด บุคคลที่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดอาจมีความปรารถนาที่จะเปลื้องผ้าหรือแต่งตัวแม้ว่าสภาพอากาศจะไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม คุณไม่ควรพลาดสัญญาณอวัจนภาษา ในกรณีนี้ คุณต้องเข้าใจว่าเหตุใดบุคคลนั้นจึงรู้สึกกังวลเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณ

บุคคลที่อยู่ในสภาพประหม่าไม่สามารถมุ่งความสนใจไปที่วัตถุใดวัตถุหนึ่งได้เป็นเวลานาน เขามักจะมองไปรอบ ๆ ประเมินสถานการณ์ มองไปรอบ ๆ มองดูคนรอบข้าง มองไปรอบ ๆ พื้นที่ และไม่สามารถหาที่กำบังให้กับตัวเองได้ . และยิ่งไปกว่านั้น คุณไม่น่าจะสบตาเขาได้เลย ถ้าเขามองคุณคงไม่นานนัก

บุคคลในสถานการณ์เช่นการสอบหรือการสนทนาที่สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่การสนทนาไม่ค่อยน่าพอใจจะไม่เพียงพอเล็กน้อยและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หากเขามีนิสัยที่ไม่ดี คน ๆ หนึ่งก็เริ่มหันไปใช้นิสัยเหล่านั้นเพื่อคลายความเครียด ตัวอย่างเช่น ถ้าเขาสูบบุหรี่ เขาอาจจะเริ่มสูบบุหรี่ทีละมวนด้วยซ้ำ เขาอาจกัดเล็บหรือหมุนผมบนนิ้ว อะไรก็ได้ที่ทำให้จิตใจสงบลง เล็บที่ถูกกัดเป็นสัญญาณว่าคน ๆ หนึ่งรู้สึกกังวลอยู่ตลอดเวลาและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

สัญญาณที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งของความกังวลใจคืออาการวิตกกังวล ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายโดยไม่สมัครใจ เนื่องจากความตึงเครียดภายในที่รุนแรง กล้ามเนื้อของบุคคลจึงเกร็งก่อนแล้วจึงเริ่มหดตัว หากคุณสังเกตเห็นว่าเปลือกตาของคู่สนทนาของคุณกระตุกแสดงว่าเขาใกล้จะพังแล้ว เป็นการดีกว่าที่จะไม่โต้เถียงกับเขา ปฏิกิริยาที่ไม่สมัครใจอีกอย่างหนึ่งของร่างกายของเราคือเหงื่อ หากบุคคลหนึ่งมีเหงื่อออกมากเกินไปในสถานการณ์ของความเครียด ความกลัว และการโกหก เขาจะดูเหมือนนักวิ่งที่วิ่งแข่งข้ามประเทศเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร ซึ่งทั้งหมดเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ นอกจากนี้ยังมีอาการฝ่ามือ "เปียก" ด้วย: เมื่อพบกับคู่สนทนาของคุณคุณจะเข้าใจว่าเขากังวลถ้าหลังจากจับมือแล้วคุณรู้สึกว่ามือของเขาเปียก

การแสดงออกทางสีหน้าเผยให้เห็นคนที่วิตกกังวล: ใบหน้าของเขามักจะบิดเบี้ยวด้วยหน้าตาบูดบึ้งบางประเภทและในภาวะเครียดการแสดงออกทางสีหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องปกติ ตัวอย่างเช่น หากผู้สอบมีอารมณ์เชิงบวกและยิ้มเพื่อตอบสนองต่อคำพูดของนักเรียน ผู้สอบเองก็จะยิ้มออกมา แต่นี่เป็นรอยยิ้มประหม่าซึ่งผูกพันกับความปรารถนาที่จะโปรด หากผู้ตรวจสอบไม่มองนักเรียนเลย ใบหน้าของนักเรียนอาจเปลี่ยนสี: จากสีซีดเป็นสีแดง - นี่คือความกลัวและกลัวความล้มเหลวในเวลาเดียวกัน

หากคุณพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด คุณจะไม่สามารถปล่อยตัวเองออกไปโดยการฟื้นฟูสภาวะปกติได้ คุณจะควบคุมตัวเองได้อย่างไร ก่อนอื่น เริ่มควบคุมคำพูดของคุณ พยายามอย่าเบี่ยงเบนไปจากก้าวเฉลี่ย ในกรณีนี้ คุณจะสามารถฟื้นความสงบได้ หากสถานการณ์ไม่ปกติและเป็นเรื่องยากสำหรับคุณที่จะไม่แสดงอาการของคุณให้พยายามรับรู้ความรู้สึกของคุณโดยเร็วที่สุด - ตัวอย่างเช่นการลูบมือสามารถช่วยคุณได้คุณสามารถขอเวลานอกได้ เพื่อที่จะสงบสติอารมณ์

กฎข้อที่ 13

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันมีความสุข”

ในบทนี้เราจะพูดถึงไม่เพียงแต่เกี่ยวกับสภาวะสูงสุดของความสุขเท่านั้น - ความสุข แต่ยังเกี่ยวกับอารมณ์เชิงบวกโดยทั่วไป เกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านั้นเมื่อบุคคลประสบกับความสุข เมื่อเขามีความสุขกับโลกรอบตัวเขา และอยู่ในภาวะเชิงบวก อารมณ์. คุณจะตรวจสอบทัศนคติเชิงบวกของเขาโดยอาศัยสัญญาณอวัจนภาษาได้อย่างไร?

บุคคลสามารถเข้าสู่สภาวะแห่งความอิ่มเอมใจได้หลังจากที่เขาได้รับสิ่งที่แสวงหามานาน ดังนั้นคน ๆ หนึ่งจะรู้สึกมีความสุขถ้าเขาเรียนรู้เกี่ยวกับการตอบแทนของคนที่เขารัก ถ้าเขาเข้ามหาวิทยาลัยที่เขาใฝ่ฝัน และได้รับคำชมจากบุคคลที่เคารพนับถือ บ่อยครั้งบุคคลในรัฐนี้จะหมดหนทางและอ่อนแอเพราะเขาเป็นคนเปิดกว้าง สภาวะแห่งความสุขคือสภาวะของบุคคลเมื่อเขารับรู้โลกรอบตัวตามที่เป็นอยู่ บ่อยครั้งในสถานการณ์เช่นนี้ บุคคลไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนได้เลย

มันง่ายมากที่จะตัดสินด้วยการแสดงออกทางสีหน้าว่าคนๆ หนึ่งมีอารมณ์เชิงบวก ในกลุ่มคน บุคคลดังกล่าวสามารถระบุได้อย่างง่ายดายด้วยรอยยิ้มกว้าง "โดยไม่มีเหตุผล" - ดูเหมือนว่าเขาจะจำบางสิ่งบางอย่างได้: ความสุขคือ ระเบิดออกมาเขาไม่สามารถซ่อนความสุขนี้ได้

กฎข้อที่ 14

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันแน่ใจว่าฉันพูดถูก”

ความมั่นใจในตนเองไม่ใช่แค่สิ่งที่บุคคลพูดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีที่เขาพูดด้วย เขาใช้น้ำเสียงอะไร, ท่าทางอะไร, เขายืนอย่างไร, เดินอย่างไร, มองไปทางไหน - ทั้งหมดนี้บอกคุณได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคุณคือคนที่มั่นใจในความถูกต้องและความแข็งแกร่งของเขา คุณสามารถคำนวณความมั่นใจได้อย่างง่ายดายหากคุณหันไปใช้สัญลักษณ์ที่ไม่ใช่คำพูดเพื่อขอความช่วยเหลือ

คนที่มีความมั่นใจจะมีท่าทางที่สดใสและเป็นธรรมชาติ คุณสังเกตเห็นว่าคู่สนทนาของคุณมักจะจับมือของเขาที่บริเวณหน้าอก แต่ไม่ได้ข้ามพวกเขา - นี่เป็นหลักฐานยืนยันความมั่นใจของเขาความรู้สึกเหนือกว่า สัญญาณของความมั่นใจดังกล่าวอาจเป็นท่าทางการประสานมือ คุณจะไม่สังเกตเห็นความกังวลใจในท่าทางของบุคคลดังกล่าว หากบุคคลที่มั่นใจในตนเองใช้ท่าทางแจกแจง เขามักจะถูกกล่าวถึงต่อสาธารณะ นั่นคือคู่สนทนา แม้ว่ามันจะทำให้ดูเหมือนเป็นพลังงานที่ส่งออกไป แต่จริงๆ แล้วมันจะดึงพลังงานของคุณออกไปหากคุณเป็นคนที่อ่อนแอกว่า และถ้าคุณไม่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป คุณอาจต้องทนทุกข์ทรมานจากการสื่อสารกับคนเหล่านี้ พวกเขาอาจทำให้คุณหวาดกลัวด้วยความมั่นใจของพวกเขา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องระบุบุคคลดังกล่าวและสามารถต้านทานเขาได้

ท่าทางความมั่นใจในตนเองที่มีลักษณะเฉพาะคือการวางมือไว้ด้านหลังศีรษะ บางคนคิดว่ามันไม่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้คุณเปิดบริเวณหน้าอกได้เต็มที่เนื่องจากการยืดแขนสูงสุด แต่ยังเผยให้เห็นบริเวณรักแร้ซึ่งถือว่าค่อนข้างใกล้ชิด เป็นการดีกว่าที่จะไม่ใช้ท่าทางดังกล่าว ความมั่นใจประเภทนี้คล้ายกับความเย่อหยิ่ง

คนที่มีความมั่นใจพูดในลักษณะพิเศษและใช้ความสามารถด้านเสียงให้เกิดประโยชน์สูงสุด เสียงเป็นอาวุธหลักของเขา บุคคลสามารถควบคุมเสียงของเขา เพิ่มเสียงเมื่อจำเป็น ลดระดับลงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ตามกฎแล้วเสียงของเขาสม่ำเสมอและชัดเจน มีการหยุดชั่วคราวระหว่างคำพูดเล็กน้อย คำพูดก็เหมือนกับการตีกลอง: "ฉันยังแข็งแกร่งกว่า" คนที่มั่นใจในตัวเองน้อยกว่าจะทำได้ เริ่มสงสัยในชัยชนะของเขาอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะอยู่ในนั้นอย่างแน่นอนก็ตาม

คนที่มั่นใจมักจะแต่งตัวเรียบร้อย แต่เขาไม่ค่อยปล่อยตัวเกินพอดี ความเสแสร้ง - การระบาย โบว์ และริบบิ้น - ค่อนข้างเป็นข้อยกเว้นในตู้เสื้อผ้าของพวกเขา พวกเขาเข้มงวดในการแต่งกาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถสร้างความตกตะลึงได้ เช่น เปิดพื้นที่ใกล้ชิดเพื่อโน้มน้าวคู่สนทนา

คนเหล่านี้มีลักษณะการจ้องมองที่น่าเบื่อ พวกเขาสามารถทำให้คุณอยู่ในขอบเขตการมองเห็นโดยไม่ต้องละสายตาลงนานพอ เกมจ้องตาแบบนี้จำเป็นเพื่อดูว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน หากพวกเขาต้องการได้รับบางสิ่งบางอย่างจากคุณ ก็เหมือนกับว่าพวกเขาพยายามสะกดจิตคุณ พวกเขาจะไม่มีวันละสายตาไปจนกว่าจะหาทางเจอ ทันทีที่คุณสังเกตเห็นว่าคู่สนทนาของคุณพยายามโน้มน้าวคุณในลักษณะนี้ (เพื่อเจาะจิตวิญญาณของคุณ) คุณต้องต่อต้านอิทธิพลของเขาและสร้างอุปสรรคบางอย่าง คุณสามารถทิ้งคู่สนทนาไว้ครู่หนึ่งหรือสวมแว่นตาดำ

กฎข้อที่ 15

วิธีสังเกตท่าทางจากหมวด “ฉันถูกกดขี่”

คุณสามารถระบุบุคคลที่อยู่ในสภาพซึมเศร้าได้หากคุณใส่ใจกับว่าเขาใช้อวัจนภาษาอย่างไร สถานะของภาวะซึมเศร้าและความทุกข์สามารถกำหนดได้จากการใช้ท่าทางเชิงลบและปิด และไม่เต็มใจที่จะติดต่อกับผู้อื่น

คนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะใช้ท่าทางเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเขาขาดพลังงาน และการแสดงท่าทางต้องใช้พลังงานมาก ศีรษะจะหนักมากจากอารมณ์เชิงลบที่มีอยู่มากมาย ดังนั้นบุคคลจึงพยายามสนับสนุนมันในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้: สามารถวางบนฝ่ามือ เอียงไปด้านข้างหรือลดลงได้

หน้าตาของคนที่มีปัญหามักจะขาดไป เขาไม่สนใจคุณหรือเรื่องของคุณ เขามุ่งมั่นที่จะเข้ารับตำแหน่งร่างกายที่สบายที่สุด ความจริงก็คือบุคคลที่ทนทุกข์ทางจิตใจเข้าใจว่าในขณะนี้เขาไม่สามารถบรรลุความสามัคคีทางจิตวิญญาณได้ แต่เพื่อที่จะเพิ่มน้ำเสียงของเขา เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี เขาจึงพยายามแสวงหาความสะดวกสบายจากภายนอก ตัวอย่างเช่น หากคุณพบว่าเขานอนหลับอยู่ในท่าทารก (ขดตัว) นี่บ่งบอกถึงประสบการณ์ของเขาในระดับสูง ท่านี้ซึ่งสบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับบุคคลนั้น เป็นการระลึกถึงช่วงเวลาที่เงียบสงบและมีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา - ตอนที่เขาอยู่ในครรภ์ หากบุคคลหนึ่งกำลังนั่งหรือยืน เขาจะพยายามหาสิ่งรองรับ พิงบางสิ่งบางอย่าง เอนหลังบนเก้าอี้เพื่อรับตำแหน่งที่มั่นคง ดูเหมือนว่าปัญหาทั้งหมดของเขากดดันเขาอย่างมาก เขาก้มลงตามน้ำหนักตัวของเขาเอง เขาถูกกดลงกับพื้น ไหล่ของเขาตก

การแสดงออกทางสีหน้าของคนที่หดหู่เป็นพยานถึงสภาพของเขาอย่างชัดเจน: มุมปากของเขาลดลง, เปลือกตาของเขาปิดลงครึ่งหนึ่ง, มันยากสำหรับเขาที่จะเคลื่อนไหว, เขาพูดอย่างไม่เต็มใจอย่างยิ่งด้วยซ้ำ

กฎข้อที่ 16

วิธีจดจำท่าทางจากหมวดหมู่ “ฉันเบื่อ”

สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักให้ทันเวลาว่าคุณกำลังทำให้คู่สนทนาของคุณรู้สึกเบื่อหน่ายเพื่อที่จะขัดจังหวะการสนทนาหรือหันบทสนทนาไปในทิศทางอื่น หากคุณใส่ใจว่าพวกเขาฟังคุณอย่างไร เพื่อนของคุณมีสีหน้าแบบไหน ท่าทางที่เขาใช้ เขานั่งอย่างไร คุณจะตัดสินใจได้อย่างถูกต้องว่าเขาชอบสื่อสารกับคุณหรือไม่

หน้าตาเบื่อหน่าย ไร้อารมณ์ ท่าทางไม่แยแส ใบหน้ายาว กรามตก เปลือกตาตกเล็กน้อย ล้วนเป็นสัญญาณของความเบื่อหน่าย คุณสังเกตไหมว่าคู่สนทนาของคุณกำลังหาว? ดังนั้นคุณจึงสร้างความบันเทิงให้เขาได้ไม่ดีนัก ท่าทางดังกล่าวอาจปกปิดหรือยับยั้งได้ มีคนใช้มือปิดปาก - นี่เป็นหลักฐานว่าเขาหมดความอดทนและไม่สามารถฟังคุณได้อีกต่อไป

คนที่เบื่ออาจพยายามสร้างความบันเทิงให้ตัวเองเพื่อตื่นตัว สมมติว่าเขาคว้าสิ่งของที่อยู่ใกล้เคียงแต่โดยไม่จำเป็นเลย อย่างไรก็ตาม วัตถุเหล่านี้เป็นเพียงความบันเทิงเท่านั้น เขาสามารถสัมผัส บิดมัน โยนมันขึ้นมา หรือทำกิจวัตรอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ เพื่อนของคุณยังสามารถอ่านหนังสือหรือนิตยสารได้โดยไม่ต้องค้นหาสิ่งใดในนั้น เขาสามารถวาดบางสิ่งบางอย่างลงบนกระดาษได้ หากผู้ฟังเขียนตามคุณและทำอย่างละเอียดรวมถึงคำเกริ่นนำและไม่เงยหน้าขึ้นเลยนี่ก็เป็นสัญญาณเช่นกัน: เขาไม่ได้พยายามคิดถึงสิ่งที่คุณกำลังพูดถึงด้วยซ้ำ บันทึกเสียงเพื่อที่อย่างน้อยจะได้ครอบครองบางสิ่งบางอย่าง

คู่สนทนาของคุณอาจพยายามแสดงกิจกรรมทางวาจา - ถามคำถาม ยินยอม แต่นี่ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ความสนใจของเขาเสมอไป คุณจะเข้าใจว่าหัวข้อการสนทนานั้นไม่แยแสกับเขาด้วยคำพูดของเขาที่ช้าและน้ำเสียงที่ผ่อนคลายในน้ำเสียงของเขา

ความจริงที่ว่าบุคคลไม่สนุกกับ บริษัท ของคุณสามารถระบุได้จากความปรารถนาที่จะออกโดยแสดงออกมาโดยไม่ใช้คำพูด สิ่งนี้เห็นได้จากสัญญาณต่อไปนี้: คู่สนทนาของคุณมองไปที่ประตูตลอดเวลาร่างกายของเขาหันเท้าไปทางทางออก คนอาจแสดงท่าทางไม่สบายใจกับกระเป๋าเอกสารของเขา เล่นซอกับล็อค รูดและปลดซิป - ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณของความเบื่อหน่ายที่บ่งบอกถึงความพร้อมของเขาที่จะออกไปเมื่อใดก็ได้

เพื่อแสดงความตั้งใจที่จะออกไปเมื่อใดก็ได้ คู่สนทนาของคุณสามารถถอดแว่นตาและใส่ไว้ในเคสได้ ซึ่งหมายความว่าเขาได้ฟังคุณแล้ว ข้อโต้แย้งของคุณชัดเจน คุณควรสรุปการสนทนาหรือถามคำถามที่น่าสนใจกว่านี้

หากบุคคลรู้สึกเบื่อเขาจะพยายามรับตำแหน่งที่สบายที่สุดสำหรับเขาค่อยๆหาการสนับสนุนบางอย่างเขาผ่อนคลายและไม่ใส่ใจกับคำพูดของคุณ หากคู่สนทนาของคุณนั่งอยู่ หลักฐานที่บ่งบอกว่าเขาเบื่อก็คือการ "กระจาย" ไปทั่วโต๊ะ ท่าทางเป็นตัวบ่งชี้ระดับความสนใจ บุคคลที่อยู่ในท่าที่ผ่อนคลายจะไม่สามารถรับรู้ข้อมูลได้

จะตรวจจับผู้โกงด้วยสัญญาณอวัจนภาษาได้อย่างไร?

กฎข้อที่ 17

ระวังถ้าปากของเขาถูกปิด

การตรวจจับคำโกหกอาจเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้โกหกเป็นมืออาชีพ แต่ถ้าคุณใส่ใจต่อสัญญาณที่จิตใต้สำนึกของเขาให้อย่างมาก คุณจะรับมือกับงานได้อย่างง่ายดาย

คนโกหกไม่ว่าเขาจะพยายามซ่อนคำโกหกมากแค่ไหน แต่ก็ยังสามารถจดจำได้: เขาถูกทรยศต่อความแตกต่างระหว่างสัญญาณไมโครของจิตใต้สำนึกที่แสดงออกด้วยท่าทางและคำพูด

บุคคลถูกตั้งโปรแกรมไว้ว่าปฏิกิริยาของเขาต่อการโกหกจะเป็นเชิงลบเสมอ แม้ว่าจะเป็นเรื่องโกหกของเขาเองก็ตาม ไม่ได้เกิดขึ้นที่บุคคลนั้นโกหกในขณะที่ยังคงสงบสติอารมณ์อย่างสมบูรณ์ ขอให้เราจำสุภาษิตที่ว่า “เขาโกหกไม่กระพริบตา” “เขาโกหกและไม่หน้าแดง” แน่นอน ในกรณีนี้ เรากำลังพูดถึงคนที่เก่งกาจในการซ่อนคำโกหก ปิดบังนิยาย และรู้วิธีรับมือกับปฏิกิริยาที่ไม่สมัครใจของร่างกายพวกเขา แต่ถึงแม้ว่าเรากำลังเผชิญกับคนหลอกลวงที่มีประสบการณ์ แต่เขาไม่สามารถซ่อนสัญญาณของการโกหกได้ทั้งหมด

หากคู่สนทนาของคุณใช้ท่าทางที่เกี่ยวข้องกับการเอามือเข้ามาใกล้ใบหน้าของคุณ สิ่งนี้ควรแจ้งเตือนคุณ: บางทีเขาอาจมีบางอย่างในใจ อาจเป็นความสงสัย ความไม่แน่นอน ลางสังหรณ์ แต่บ่อยครั้งที่นี่คือการพูดเกินความจริงหรือเป็นการโกหกโดยสิ้นเชิง ท่าทางใดที่สามารถให้คู่สนทนาได้หากเขาโกหกอย่างชัดเจน?

เมื่อเราสังเกตหรือได้ยินคนอื่นโกหกหรือโกหก เราพยายามเอามือปิดปาก ตา หรือหู การป้องกันปากด้วยมือเป็นหนึ่งในท่าทางที่เปิดเผยซึ่งบ่งบอกถึงการโกหกอย่างชัดเจน มือปิดปากและนิ้วหัวแม่มือกดแก้มเพื่อส่งสัญญาณให้ระงับคำพูด บางคนพยายามไอปลอมเพื่อปิดบังท่าทางนี้ หากคู่สนทนาใช้ท่าทางดังกล่าวในขณะที่พูดแสดงว่าเขากำลังโกหก อย่างไรก็ตาม หากเขาใช้มือปิดปากในขณะที่คุณพูดและเขาฟัง นั่นหมายความว่าเขาเข้าใจว่าคุณกำลังโกหก

การสัมผัสจมูกเป็นรูปแบบที่ซ่อนเร้นของท่าทางก่อนหน้านี้ โดยอาจแสดงออกมาด้วยการสัมผัสเบาๆ หลายครั้งบนลักยิ้มใต้จมูก หรือแสดงออกมาด้วยการสัมผัสที่จมูกอย่างรวดเร็วและแทบจะมองไม่เห็นเพียงครั้งเดียว

ท่าทางนี้อธิบายได้ดังนี้ คนโกหกมีแรงกระตุ้นที่ปลายประสาทจมูก และอยากจะเกามันจริงๆ เมื่อคุณเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก คุณสามารถขอให้เขาพูดซ้ำหรือชี้แจงสิ่งที่เขาพูดได้ สิ่งนี้จะทำให้ผู้หลอกลวงปฏิเสธที่จะเล่นเกมอันชาญฉลาดของเขาต่อไป

ถ้าคนกระพริบตาบ่อยๆ แสดงว่าเขากำลังโกหก

กฎข้อที่ 18

จิตใต้สำนึกต่อต้านการโกหกอยู่เสมอ

แม้แต่ผู้หลอกลวงที่มีประสบการณ์ก็ไม่สามารถควบคุมจิตใต้สำนึกของเขาได้ มักจะเปิดเผยความเท็จ ดังนั้นคุณต้องใส่ใจอย่างยิ่งต่อสัญญาณขนาดเล็กของจิตใต้สำนึก

ให้ความสนใจกับด้านซ้ายของร่างกายมนุษย์ มันคือด้านซ้าย - มือซ้าย, ขาซ้าย, ครึ่งหน้าซ้าย - ที่เผยให้เห็นอารมณ์ที่แท้จริง สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ค่อนข้างง่าย ความจริงก็คืออารมณ์นั้นควบคุมได้ยากมากในกระบวนการหลอกลวง ถ้าคนๆ หนึ่งไม่จริงใจ เขาก็จะมีความตึงเครียดภายใน ซึ่งอาจชัดเจนหรือซ่อนไว้ก็ได้ แต่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มีสัญญาณที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้นของบุคคล แม้ว่าเขาจะพยายามทุกวิถีทางที่จะปกปิดมันก็ตาม

คุณควรมองหาสัญญาณดังกล่าวทางด้านซ้ายของร่างกายมนุษย์ ด้านขวาเป็นสัญญาณที่ควบคุมได้มากที่สุด เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นทางด้านขวาของเรามากขึ้น เช่น ถ้าเราสังเกตเห็นว่ามือขวาของเรามีพฤติกรรม พูดเบาๆ ไม่ใช่ "ถูกต้อง" เลย เผยให้เห็นความกังวลใจหรือการหลอกลวง เราก็สามารถบังคับมันให้สงบลงได้ แต่ซีกซ้ายของร่างกายเราไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างมีสติเสมอไป

การศึกษาล่าสุดได้อธิบายเรื่องนี้โดยกล่าวว่าด้านซ้ายและด้านขวาของร่างกายถูกควบคุมโดยสมองซีกโลกที่แตกต่างกัน ซีกซ้ายควบคุมกิจกรรมการพูดและกิจกรรมทางปัญญา ซีกขวาควบคุมกิจกรรมอารมณ์ จินตนาการ และประสาทสัมผัส การควบคุมการเชื่อมต่อข้าม: การทำงานของซีกซ้ายจะสะท้อนให้เห็นทางด้านขวาซึ่งมีการควบคุมมากกว่า ดังนั้นทุกสิ่งที่บุคคลพยายามแสดงให้ผู้อื่นเห็นจะแสดงที่ครึ่งขวาของร่างกายของเขา และสิ่งที่เขาสัมผัสจริงจะแสดงทางด้านซ้าย

ดังนั้นสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดใดที่สามารถให้คนหลอกลวงได้? หากคุณสังเกตเห็นว่ามือซ้ายของคู่สนทนาห้อยอยู่ผิดที่ อธิบายวงกลมหรือรูปอื่นๆ ในอากาศ และไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น นี่อาจหมายความว่าคู่สนทนาของคุณไม่จริงใจกับคุณมากเกินไปซึ่งเป็นมือซ้าย ดังนั้น ทรยศต่อเจ้าของ "ผู้แจ้ง" ที่คล้ายกันกับเจ้าของที่ไม่จริงใจทั้งหมดอาจเป็นขาซ้ายซึ่งแสดงให้เห็นตัวเลขเส้นและองค์ประกอบที่ไม่มีนัยสำคัญอื่น ๆ บนทรายหรือยางมะตอย

กฎข้อที่ 19

สบตา

คุณสามารถระบุได้ตลอดเวลาว่าคู่สนทนาของคุณจริงใจกับคุณหรือไม่หากคุณสบตาเขาตรงๆ หากคู่สนทนาของคุณซ่อนตาของเขา นี่เป็นสัญญาณแรกว่าคำพูดของเขามีการโกหก

มีความแตกต่างเล็กน้อยที่คุณต้องคำนึงถึงหากคุณต้องการนำคู่สนทนาของคุณไปที่น้ำสะอาด เมื่อวิเคราะห์การจ้องมองของคู่ของคุณ ให้สังเกตว่าเขาหันไปทางไหน คนหลอกลวงมีเป้าหมายเดียว - เขาต้องการให้คุณเชื่อเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ละสายตาลง แต่มองไปทางอื่น หากเขาต้องการ เขาสามารถมองคุณอีกครั้งเพื่อดูว่ากลอุบายของเขาได้ผลหรือไม่ หากคู่สนทนาของคุณหรี่ตาลง เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ในบริษัทของคุณ หากคู่สนทนาของคุณเงยหน้าขึ้นมอง นี่เป็นสัญญาณว่าเขากำลังคิดดีอยู่

หากคุณสงสัยในความจริงใจของคู่สนทนาของคุณและหลักฐานไม่เพียงพอ ให้ลองทำการทดลองเชิงสืบสวนเพื่อสร้างความจริง จ้องมองคู่สนทนาของคุณสักครู่ หากเขาจ้องมองคุณและไม่พยายามมองไปทางอื่น แสดงว่าเขาไม่ได้หลอกลวงคุณ หากเขาหลีกเลี่ยงการจ้องมองของคุณ และมองด้วยตาของเขาตลอดเวลาเพื่อหาที่ซ่อน เป็นไปได้มากว่าเขากำลังไม่จริงใจ

การสบตาคู่สนทนาตรงๆ เป็นเรื่องยากมาก คุณเองก็อาจรู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด และพยายามเบือนหน้าหนี หากคุณไม่สามารถสบตาได้ คุณก็สามารถใช้เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ได้: จ้องมองไปที่ปลายจมูกของคู่สนทนา ดูเหมือนว่าคุณกำลังมองเขาตรงไปในดวงตา ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถมองเห็นคนโกหกได้อย่างง่ายดาย โดยแน่นอนว่าตัวเขาเองไม่ได้เป็นเจ้าของเทคนิคดังกล่าวและไม่ได้พยายามหลอกลวงคุณ

บุคคลสามารถซ่อนคำโกหกได้ในอีกทางหนึ่ง เคล็ดลับที่รู้จักกันดีของคนโกหกที่มีประสบการณ์: เพื่อที่จะรักษาการจ้องมองของคู่สนทนาของคุณคุณจะต้องกระพริบตาอย่างแข็งขันบ่อยกว่าความต้องการทางสรีรวิทยาธรรมดา ๆ ด้วยวิธีนี้คุณสามารถทนต่อการจ้องมองได้นานและตั้งใจเท่าที่คุณต้องการแม้ว่ามโนธรรมของคุณจะไม่ชัดเจนก็ตาม ระวังการกะพริบที่ทำงานอยู่เช่นนี้

เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งที่คนหลอกลวงสามารถใช้ได้คือสิ่งที่เรียกว่า “การดูเจ้าเล่ห์” เขาจงใจหรี่ตาลงเพื่อสบตาคุณ ในเวลาเดียวกัน คนๆ หนึ่งอาจยิ้มอย่างมีเลศนัยและพยายามทำให้คุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับความจริงใจของเขา

กฎข้อที่ 20

มองหาอารมณ์ทางด้านซ้าย

บทนี้จะเน้นที่ด้านที่ถูกควบคุมน้อยที่สุดของใบหน้ามนุษย์ - ด้านซ้าย เราจะพูดถึงวิธีที่คุณสามารถระบุผู้หลอกลวงด้วยปฏิกิริยาทางใบหน้าได้

ศิลปินและช่างภาพทราบกันมานานแล้วว่าใบหน้าของมนุษย์นั้นไม่สมมาตร ทำให้ใบหน้าด้านซ้ายและขวาของเราสะท้อนอารมณ์ที่แตกต่างกัน ทางด้านซ้ายของใบหน้าเป็นการยากที่จะซ่อนความรู้สึก อารมณ์เชิงบวกจะสะท้อนให้เห็นอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้นทั้งสองด้านของใบหน้า ส่วนอารมณ์เชิงลบจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนที่ด้านซ้าย ความจริงใจของอารมณ์ของมนุษย์มักถูกระบุด้วยความสมมาตรในการแสดงความรู้สึกบนใบหน้า ยิ่งความเท็จรุนแรงเท่าไร การแสดงออกทางสีหน้าของซีกขวาและซีกซ้ายก็จะยิ่งแตกต่างกันมากขึ้นเท่านั้น กล่าวโดยสรุป หากใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งบิดเบี้ยวมากกว่าอีกด้านหนึ่ง แสดงว่าบุคคลนั้นกำลังโกหกอย่างแน่นอน

เมื่อคุณสงสัยว่าคู่สนทนาของคุณพูดจริงหรือไม่ ให้หันไปทางด้านซ้ายของใบหน้าเพื่อหาคำตอบ หากคุณสังเกตเห็นความไม่ลงรอยกันและความไม่ลงรอยกันในการแสดงออกทางสีหน้า นี่อาจเป็นหลักฐานของความไม่จริงใจของเขา ตัวอย่างเช่น คนๆ หนึ่งยิ้มให้คุณ แต่คุณสังเกตเห็นว่ามุมปากด้านซ้ายยกขึ้นน้อยกว่ามุมขวา ซึ่งเรียกว่ารอยยิ้มไม่สมมาตร นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความไม่จริงใจของคู่สนทนาของคุณ และเราเรียกรอยยิ้มนี้ว่ารอยยิ้ม มันมีความหมายพิเศษ: คู่ต่อสู้ของคุณแสดงให้คุณเห็นว่าคุณอยู่ในอำนาจของเขา และคุณไม่สามารถทำอะไรได้เลย

ตัวอย่างเช่น หากคิ้วข้างหนึ่งของคู่สนทนาของคุณเหยียดตรงและนอนราบโดยไม่แสดงอารมณ์ และในเวลานี้คิ้วอีกข้างหนึ่ง (โดยปกติจะเป็นด้านซ้าย) ยกขึ้นหรือลงมาที่ดั้งจมูก นี่อาจเป็นสัญญาณของ การหลอกลวงของคู่สนทนาของคุณ

บุคคลสามารถซ่อนใบหน้าด้านซ้ายโดยไม่รู้ตัวหรือรู้ตัวได้ สมมติว่าเขาหันขวามาหาคุณโดยเฉพาะในขณะที่ปกปิดด้านซ้ายที่ "ทรยศ" ทำเช่นนี้เพื่อที่คุณจะได้ไม่เข้าใจถึงการหลอกลวงจากปฏิกิริยาที่ไม่สมัครใจของเขา

มีความแตกต่างใบหน้าอีกหลายประการที่บ่งชี้ว่าบุคคลนั้นกำลังหลอกลวง สังเกตปลายจมูก: ปลายจมูกของคนโกหกสามารถขยับได้, ขยับจมูกไปด้านข้างได้

สังเกตว่ารอยยิ้มของคนๆ นั้นตรงกับการจ้องมองของเขาหรือไม่ หากคุณสังเกตเห็นว่าคน ๆ หนึ่งกำลังหัวเราะ แต่ดวงตาของเขาไม่หัวเราะ นี่อาจหมายถึงสิ่งเดียวเท่านั้น - คน ๆ นั้นกำลังซ่อนบางสิ่งจากคุณ

กฎข้อที่ 21

สังเกตปฏิกิริยาที่ไม่สมัครใจ

บุคคลสามารถดึงตัวเองเข้าหากันและเริ่มควบคุมร่างกายของตนเอง ตรวจสอบท่าทาง ท่าทาง และการแสดงออกทางสีหน้า อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาที่ไม่สมัครใจของร่างกายนั้นยากต่อการซ่อน พวกเขาคือคนที่สามารถละทิ้งการหลอกลวงได้ แม้ว่าต่อหน้าคุณจะเป็นคนโกหกที่มีประสบการณ์ก็ตาม

โดยปฏิกิริยาที่ไม่สมัครใจของร่างกาย ความจริงจึงแตกต่างจากนิยายในการทดสอบเครื่องจับเท็จ คุณเองก็สามารถกลายเป็นเครื่องตรวจจับที่แม่นยำไม่มากก็น้อยหากคุณเรียนรู้ที่จะสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่ไม่สมัครใจเหล่านี้ในระหว่างการสนทนา เครื่องตรวจจับจะจับความเบี่ยงเบนเล็กน้อยจากบรรทัดฐาน - การเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจ (โดยปกติจะเพิ่มความถี่) โดยกลั้นหายใจ การใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้ เป็นเรื่องง่ายมากที่จะตัดสินว่าบุคคลนั้นโกหกหรือพูดความจริง

จะตรวจสอบความจริงโดยไม่ใช้เครื่องจับเท็จได้อย่างไร? ปฏิกิริยาที่ไม่สมัครใจ ได้แก่ ใบหน้าแดงและซีด อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น และหายใจไม่สะดวก โซนชีพจรที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือหลอดเลือดดำที่แขน ข้อมือ และหลอดเลือดแดง หากชีพจรของบุคคลหนึ่งเร็วขึ้น สิ่งนี้สามารถกำหนดได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าเน็คไทของเขาเริ่มเต้นเป็นจังหวะ

บุคคลนั้นหน้าแดงหรือขาว และอาจหมายความว่าเขาไม่จริงใจกับคุณ ยิ่งกว่านั้นเมื่อบุคคลหนึ่งหน้าซีดแสดงว่าเป็นสัญญาณของความกลัว (กลัวที่จะถูกเปิดเผย) หากเขาหน้าแดง นี่ถือเป็นสัญญาณแห่งความละอายสำหรับการหลอกลวงของเขา คนที่ไม่โกหกบ่อยเกินไปสามารถเปลี่ยนผิวของเขาต่อหน้าต่อตาได้ - เขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือขาว

คนที่นอกใจอาจเริ่มสำลักกะทันหัน การหายใจของเขาเร็วขึ้นเนื่องจากขาดอากาศ คนโกหกมีลักษณะพิเศษคือการเคลื่อนไหวของลำคอเป็นพักๆ และการกลืนน้ำลายแบบสะท้อนกลับ หรือในทางกลับกัน จากความตื่นเต้นอย่างแรงก่อนที่จะสัมผัสได้ คอของเขาอาจแห้งและเขาจะขอเครื่องดื่ม ปฏิกิริยาโดยไม่สมัครใจเหล่านี้เป็นลักษณะของบุคคลที่ไม่มีทักษะในการหลอกลวงและเป็นกังวลมาก หากคู่สนทนาของคุณเป็นคนโกหกที่มีประสบการณ์การระบุตัวตนของเขาจะไม่ง่ายนัก ความวิตกกังวลของเขาจะน้อยลงมาก และปฏิกิริยาโดยสมัครใจของร่างกายจะมองไม่เห็นมากขึ้น ดังนั้นคุณจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อตรวจจับการหลอกลวง

ใครอยู่ตรงหน้าคุณ: หัวหน้าหรือเรื่อง?

กฎข้อที่ 22

มือแห่งอำนาจ

คนที่คุ้นเคยกับการจัดการจะใช้ท่าทางพิเศษ ด้วยความช่วยเหลือของสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด เขาบอกว่าเขารับผิดชอบที่นี่และจำเป็นต้องเชื่อฟัง การกระทำและท่าทางทั้งหมดของเขามุ่งเป้าไปที่การเป็นผู้นำ หากเขามีคู่ต่อสู้ที่อ่อนแออยู่ตรงหน้า เขาจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย เพื่อที่จะต่อต้านคู่ต่อสู้ดังกล่าว คุณต้องเชี่ยวชาญเทคนิคเพื่อต่อต้านอิทธิพลของเขา

บุคคลที่มุ่งมั่นที่จะยึดความเป็นผู้นำสามารถระบุได้ด้วยวิธีที่เขาทักทาย วิธีที่เขายื่นมือเพื่อทักทาย หากเขายื่นมือไปข้างหน้าจนมือของเขาอยู่ด้านบน นั่นหมายความว่าเขาคุ้นเคยกับการครอบงำและพยายามแสดงความแข็งแกร่งของเขา

จะต้านทานแรงกดดันจากคู่ต่อสู้ของคุณได้อย่างไร? คุณสามารถคว้ามือที่เสนอไว้แล้วเขย่าข้อมือได้ มีรูปแบบที่อ่อนโยนกว่าในการทำให้การแสดงอำนาจนี้เป็นกลาง คุณสามารถปิดมือเสิร์ฟด้วยมืออีกข้างหนึ่งได้

ในระหว่างการจับมือ การต่อสู้เพื่อความเป็นผู้นำยังคงดำเนินต่อไป ตรงนี้ใครถือมือนานกว่าจะชนะ ใครเอามือออกไปก่อนจะแพ้ คนที่คุ้นเคยกับการจัดการมี "ความตาย" - การจับมือที่แข็งแกร่งและยาวนานมาก

ท่าทางที่บุคคลที่ตั้งใจจะเป็นผู้นำมีความชัดเจน เข้มงวด และไม่มากเกินไป ความปรารถนาของเขาที่จะควบคุมผู้อื่นสามารถแสดงออกมาได้ด้วยท่าทางต่อไปนี้: มีสิ่งของอยู่ในมือและ "เจ้านาย" ใช้มันเป็นตัวชี้ นี่อาจเป็นปากกา แว่นตา หรือวัตถุอื่นๆ ที่คู่สนทนาของคุณสามารถจัดการและเน้นคำที่มีความหมายได้ เขาทำหน้าที่เป็นครู ผู้เชี่ยวชาญ อธิบายให้ผู้อื่นฟังว่าต้องทำอะไรและควรประพฤติตนอย่างไร

ความจริงที่ว่าคน ๆ หนึ่งรู้สึกเหนือกว่านั้นถูกระบุด้วยท่าทางที่มีคารมคมคาย - ยกนิ้วโป้งขึ้นที่หน้าอก สัญญาณสองประการนี้หมายถึงทัศนคติเชิงลบต่อคุณ และอีกด้านหนึ่งหมายถึงความรู้สึกเหนือกว่าคุณ คู่สนทนาที่รู้สึกว่าเขามีอำนาจเหนือกว่าคุณสามารถจับมือและหมุนนิ้วไปมาได้ หากมีคนยืนอยู่ ในขณะนี้เขาสามารถแกว่งส้นเท้าได้ - นี่เป็นตำแหน่งที่เหนือกว่า: คน ๆ หนึ่งมีความมั่นใจในทุกสิ่งที่เขาสามารถยอมให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มั่นคงและไม่มั่นคงเช่นเดียวกับตำแหน่งบนนิ้วเท้าของเขา หรือส้นเท้า

ท่าทางอีกอย่างที่สื่อถึงความมั่นใจมากเกินไปและความรู้สึกมีอำนาจเหนือคุณคือการวางมือไว้ด้านหลังและคว้าข้อมือ สัญลักษณ์ของความมั่นใจและความพึงพอใจในตนเองคือการใช้ท่าทาง "บ้าน" รวมถึงการวางมือไว้ด้านหลังศีรษะ มีหลายวิธีที่จะขจัดความเย่อหยิ่งของคู่สนทนาของคุณ คุณสามารถโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วถาม: “ฉันเข้าใจแล้ว คุณก็รู้เรื่องนี้” ถ้าไม่ได้ผล พยายามให้เขาเปลี่ยนท่าโพสที่เป็นกลางโดยเสนอดูภาพหรือภาพประกอบ ถามคู่สนทนาของคุณว่า “คุณเคยเห็นสิ่งนี้ไหม” สิ่งนี้จะทำให้เขาเปลี่ยนตำแหน่งและโน้มตัวเข้าหาคุณ

กฎข้อที่ 23

มองลงมา

คนที่รู้สึกว่าเหนือกว่าคู่สนทนามักจะดูถูกเขาด้วยสายตาที่พิเศษเสมอ เขาแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าของเขาด้วยความช่วยเหลือของการแสดงออกทางสีหน้าที่ซับซ้อนทั้งหมด

การมองจากด้านบนไม่เกี่ยวอะไรกับความแตกต่างของความสูงของคู่สนทนา คนที่ไม่สูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความมั่นใจในตนเองสูง สามารถมองคู่สนทนาที่สูง แต่มีความมั่นใจน้อยกว่าในแบบที่เจ้านายมองผู้ใต้บังคับบัญชา นี่คือมุมมองของคนที่มีความมั่นใจในตนเองซึ่งมีคุณสมบัติความเป็นผู้นำที่โดดเด่น ประสบความสำเร็จในชีวิตและอาจดำรงตำแหน่งสูงได้

เรามาดูกันว่าอะไรคือสิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของคนที่รู้คุณค่าของเขา ประการแรก เขาจะไม่มองคุณโดยลืมตากว้าง สำหรับเขาแล้ว คุณไม่ใช่นกคนสำคัญที่ต้องใส่ใจคุณ ดังนั้นตามกฎแล้วบุคคลที่รู้สึกว่าเหนือกว่าจะมองผ่านกรีดแคบของเปลือกตาที่ลดลงครึ่งหนึ่ง ด้วยรูปลักษณ์นี้เขาแสดงความดูถูกคู่สนทนาของเขาบางครั้งก็มีความหมายอื่น - ความสงสัยการประเมินความสามารถของคุณ

หากคุณไม่รู้จักผู้นำอย่างใกล้ชิด คุณก็ไม่น่าจะถูกมองจากพวกเขาเลย ก่อนอื่นคุณต้องได้รับความสนใจจากเขา ดึงดูดเขาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะศึกษาคุณ ประเมินคุณ มองคุณด้วยความสงสัย เพื่อสรุปว่าคุณเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายแค่ไหน

ใบหน้าของบุคคลที่มั่นใจในความสามารถของเขามักจะแสดงออกถึงการแสดงออกทางสีหน้าที่เป็นมาตรฐานเสมอ เขาอาจจะยิ้มให้คุณเมื่อคุณพบกัน แต่รอยยิ้มนี้มักจะมีลักษณะที่เป็นทางการ มันไม่ได้แสดงถึงความยินดีอย่างจริงใจของบุคคลเมื่อได้พบคุณ แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเหนือกว่า ความเย่อหยิ่ง ความซาบซึ้ง และความสงสัย เมื่อยิ้ม คู่สนทนาของคุณอาจเหยียดริมฝีปากของเขา แต่จะไม่ยกมุมปากขึ้น แต่จะเหยียดไปในทิศทางที่ต่างกันเท่านั้น

คนหยิ่งผยอง คุ้นเคยกับการจัดการ มีลักษณะหน้าตาเบื่อหน่าย ในขณะที่คุณกำลังระบุสาระสำคัญของคำขอของคุณหรือยื่นข้อเสนอบางอย่างกับเขา คู่สนทนาของคุณอาจแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่สนใจ - ในระหว่างการสนทนาเขาสามารถศึกษาสถานการณ์โดยรอบได้

กฎข้อที่ 24

การเดินที่รวดเร็ว

คนที่มีความมั่นใจในตัวเองมีลักษณะการเดินและท่าทางพิเศษ คุณสามารถระบุได้ทันทีว่าใครอยู่ตรงหน้าคุณ - เจ้านายหรือผู้ใต้บังคับบัญชาหากคุณใส่ใจกับสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดที่สำคัญเหล่านี้ซึ่งสามารถบอกเล่าเกี่ยวกับบุคคลได้มากมาย

ตัวละครมีอยู่ในการเดิน: บุคคลเดินไปตามวิธีที่เขาคุ้นเคยกับการแสดง ตัวอย่างเช่น เขาคุ้นเคยกับการเดินทางไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ซึ่งหมายความว่าเขาจะเดินอย่างร่าเริง รวดเร็ว โบกแขน แม้ว่าเขาจะแค่เดิน แต่เขาไม่น่าจะเดินช้าๆ เพราะเขาคุ้นเคยกับการทำทุกอย่างขณะวิ่ง เขาจึงไม่มีเวลาสำหรับการเดินช้าๆ ขั้นตอนของชายคนนี้ยาวมาก เขาเป็นคนใจร้อนอยู่เสมอ ไปสู่เป้าหมายและบรรลุเป้าหมายในสองขั้นตอน

คนที่คุ้นเคยกับการจัดการคนก็คุ้นเคยกับการจัดการร่างกายของตัวเองเช่นกัน เดินได้คล่อง ยืดหยุ่น ก้าวสม่ำเสมอ ทุกการเคลื่อนไหวมั่นใจและชัดเจน หากมีสิ่งกีดขวางเกิดขึ้นระหว่างทางของเขา - แอ่งน้ำโคลนเขาก็ไม่น่าจะข้ามสิ่งกีดขวางนี้ได้เว้นแต่จะเอาชนะได้อย่างแน่นอน เป็นไปได้มากว่าเขาจะกระโดดข้ามมันทำสิ่งเดียวกับที่เขามักจะทำกับความยากลำบาก - เอาชนะมัน

การเดินที่ช้าและลังเลบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เป็นไปได้มากว่าบุคคลนี้คุ้นเคยกับการเชื่อฟังเขาเดินอย่างระมัดระวังแขนของเขาเหยียดออกที่ด้านข้างของเขา เขาเลือกสถานที่ที่แห้งกว่า และหากเขาเจอแอ่งน้ำขนาดใหญ่บนยางมะตอย เขาก็จะพยายามหลีกเลี่ยงให้ไกลกว่านี้ เขามองไปรอบ ๆ ตลอดเวลา ทำสิ่งนี้จนติดเป็นนิสัยมากกว่าทำโดยไม่จำเป็น เขารู้สึกถึงอันตรายอยู่ตลอดเวลา ตามกฎแล้วคนดังกล่าวมีข้อบกพร่องด้านท่าทาง - พวกเขาอาจจะทำหลังค่อม การเดินนี้เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลที่มองหาวิธีง่ายๆ และมุ่งมั่นเพื่อชีวิตที่สงบและเจริญรุ่งเรือง

กฎข้อที่ 25

ทำหน้าไร้อารมณ์.

บุคคลจะพัฒนาความรู้สึกมั่นใจในตนเองเมื่อเขาประสบความสำเร็จในบางสิ่ง ตามกฎแล้ว คนที่มีความมั่นใจในตนเองมีประสบการณ์มาก ได้เห็นมามากและรู้มามาก ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงมีลักษณะสงบบนใบหน้า

ผู้จัดการที่มีประสบการณ์รู้ว่าภาษากายคืออะไร และการใช้สัญญาณของการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูดอาจเป็นอันตรายต่อเขาและเปิดเผยแรงจูงใจที่แท้จริงของเขา นั่นคือเหตุผลที่คนเหล่านี้ระมัดระวังอย่างยิ่งในการใช้สัญญาณใบหน้าที่พูดถึงประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขารู้วิธีควบคุมการแสดงออกทางสีหน้า และคุณแทบจะไม่สามารถเห็นภาพสะท้อนของอารมณ์ที่แท้จริงบนใบหน้าของพวกเขาได้

อาจเป็นเรื่องยากมากที่จะตัดสินว่าอะไรอยู่ในใจ พวกเขารู้สึกอย่างไร พวกเขาปฏิบัติต่อคุณอย่างไร ไม่ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นของคุณหรือไม่ พวกเขาจะยินยอมหรือไม่ แต่คุณยังสามารถเข้าใจแรงจูงใจที่แท้จริงสำหรับพฤติกรรมของคนลับๆ ได้หากคุณใส่ใจอย่างยิ่งต่อสัญญาณอวัจนภาษาทางใบหน้า

ให้ความสนใจกับการแสดงออกทางสีหน้า อารมณ์ที่ซ่อนอยู่ และปฏิกิริยาโดยไม่สมัครใจ ทำการทดลอง: ทดสอบบุคคล เสนอข้อเสนอที่ไม่เหมาะกับเขาและอาจทำให้เขาโกรธและดูว่าอารมณ์ใดสะท้อนให้เห็นบนใบหน้าของเขา เขาจะตอบสนองต่อข้อเสนอดังกล่าวอย่างไร? เขาจะแสดงความไม่ชอบออกมาอย่างไร? ตัวอย่างเช่น ความโกรธสามารถสะท้อนบนใบหน้าได้ด้วยวิธีต่อไปนี้: คนๆ หนึ่งจะสะดุ้งและขยับจมูก สิ่งเหล่านี้อาจเป็นปฏิกิริยาทางใบหน้าที่ละเอียดอ่อน แต่คุณควรสังเกตไว้กับตัวเอง จากนั้นพยายามทำให้ข้อเสนอของคุณอ่อนลงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เสนอสิ่งที่คู่สนทนาจะชอบในความเห็นของคุณ และดูว่าเขาแสดงอารมณ์เชิงบวกอย่างไร ความยินดีสามารถแสดงออกมาในรูปแบบของรอยยิ้มครึ่งหนึ่ง ดวงตาเป็นประกาย การเลิกคิ้ว หรืออื่นๆ ดังนั้นคุณจะได้เรียนรู้ที่จะกำหนดอารมณ์ของบุคคล อ่านความคิดของเขา และติดตามอารมณ์ของเขา เมื่อคุณยื่นข้อเสนอจริง คุณเพียงแค่ต้องสังเกตปฏิกิริยาของคู่สนทนาของคุณเพื่อพิจารณาความคิดเห็น: ไม่ว่าเขาจะแสดงปฏิกิริยาโดยไม่สมัครใจที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจหรือปฏิกิริยาที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจก็ตาม

กฎข้อที่ 26

ความสนใจ! ฉันพูด

คนที่คุ้นเคยกับการจัดการและประสบความสำเร็จในธุรกิจรู้วิธีใช้พรสวรรค์ในการพูดอย่างมืออาชีพไม่เพียงเพราะเขาแสดงความคิดของเขาอย่างถูกต้องและมีความสามารถเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขาจัดการกับเสียงของเขาอย่างชำนาญเพื่อโน้มน้าวคู่ต่อสู้ของเขา เสียงเป็นอาวุธหลักของผู้นำ

ตามกฎแล้วผู้นำจะมีน้ำเสียงที่ชัดเจน ในช่วงชีวิตของพวกเขา ผู้ที่มีคุณสมบัติความเป็นผู้นำมักจะต้องดึงดูดความสนใจของผู้อื่น พูดในที่สาธารณะ และพวกเขารู้วิธีการทำอย่างถูกต้อง ผู้นำสามารถควบคุมเสียงของเขาได้และมีพรสวรรค์ในการปราศรัยอย่างไม่ต้องสงสัย บางทีในอดีตเขาแสดงบนเวทีของโรงละครสมัครเล่นหรือนักเรียน KVN

เขารู้ว่าเมื่อใดควรขึ้นเสียงเพื่อให้ผู้อื่นได้ยิน และเมื่อใดควรพูดต่ำลงเล็กน้อยเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง หากบุคคลหนึ่งขึ้นเสียง แสดงว่าเขามีแนวโน้มที่จะควบคุมมากกว่าเชื่อฟัง

นอกจากนี้ผู้มีอำนาจมักจะพูดด้วยความเร็วเฉลี่ยเสมอ เขาไม่ได้เร่งจังหวะการพูดเพื่อหลอกคุณ แต่พูดในจังหวะที่สะดวกต่อการรับรู้ของคุณ เพราะเขามั่นใจในตัวเองในคำพูดของเขา และอยากให้คุณเชื่อเขา การก้าวช้าๆ ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับคนแบบนี้ พวกเขาไม่เคย "พึมพำ" พวกเขาวางสำเนียงและหยุดชั่วคราวอย่างถูกต้องตามที่จำเป็น ด้วยสัญญาณเหล่านี้ คุณสามารถแยกแยะผู้นำจากบุคคลที่คุ้นเคยกับการเชื่อฟังได้อย่างง่ายดาย

สัญญาณอวัจนภาษาของแรงดึงดูด (ความเห็นอกเห็นใจ)

กฎข้อที่ 27

มองหาความจริงในสายตาของคุณ

คุณสามารถเข้าใจได้ว่าคนอื่นชอบคุณด้วยการมองเข้าไปในดวงตาที่ชัดเจนของเขาให้มากขึ้น หากดวงตาเหล่านี้ชัดเจนจริงๆ คุณก็สามารถนับคู่สนทนาของคุณในหมู่แฟนๆ ของคุณได้อย่างปลอดภัย ในบทนี้เราจะพูดถึงวิธีการตัดสินโดยดูจากคุณว่ามีคนอื่นชอบคุณ

การแสดงความเห็นอกเห็นใจมีรูปแบบที่ซ่อนเร้นและเปิดกว้าง รูปแบบที่ซ่อนอยู่จะใช้เมื่อบุคคลกลัวว่าจะถูกคุณหลอกกลัวว่าเขาจะไม่ได้รับการตอบแทนจากคุณ แม้ว่าเขาจะกลัว แต่เขาก็ยังพยายามติดต่อคุณ พยายามอยู่ใกล้คุณและมองดูคุณ บ่อยครั้งมากหากบุคคลหนึ่งซ่อนความเห็นอกเห็นใจเขาก็จะมองไปยังวัตถุแห่งความรักอย่างซ่อนเร้นโดยไม่มีใครสังเกตเห็น หากดวงตาของคุณสบกันในเวลาใดก็ตาม เขาจะมองออกไปทันที

หากบุคคลแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคุณอย่างเปิดเผยคุณสามารถอ่านความสนใจความเคารพคำถาม:“ คุณรู้สึกอย่างไรกับฉัน” ในกรณีนี้ ดวงตาของบุคคลจะเบิกกว้าง รูม่านตามักจะขยายออก ไม่มีความเกลียดชังหรืออารมณ์เชิงลบอื่น ๆ ในการจ้องมองของเขา

มุมมองความเห็นอกเห็นใจของชายและหญิงมีความแตกต่างกันมาก ผู้หญิงมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ก่อให้เกิดศิลปะแห่ง "การถ่ายภาพด้วยตา" ตามกฎแล้วผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรกที่เริ่มเกมการจ้องมองที่ไร้เดียงสาซึ่งหากประสบความสำเร็จก็จะกลายเป็นความโรแมนติคในพายุหมุน มาดูกันว่าผู้หญิงและผู้ชายส่งสัญญาณแสดงความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันอย่างไร

สัญญาณแรงดึงดูดของผู้ชาย เพื่อที่จะตัดสินจากการจ้องมองของผู้ชายว่าเขาชอบคุณหรือไม่ ให้สังเกตว่าเขามองไปทางไหน ผู้ชายคนหนึ่งแสดงความเห็นอกเห็นใจตรวจสอบวัตถุตั้งแต่หัวจรดเท้า เริ่มต้นด้วยการสังเกตความน่าดึงดูดโดยทั่วไปของคุณจากนั้นเขาก็ขยับต่ำลงโดยจ้องมองไปที่หน้าอกและสะโพกหากคุณดูเหมือนจะเป็นเจ้าของรูปแบบที่มีความสุขซึ่งคู่ควรกับความสนใจของเขาหากผู้ชายเริ่มแสดงความสนใจในตัวคุณ ซึ่งแสดงได้จากการขยายรูม่านตาของเขาและความถี่ในการสบตาที่เพิ่มขึ้น

มุมมองของแรงดึงดูดของผู้หญิง สาวๆ ดูแตกต่างออกไป มีลักษณะพิเศษคือการมองไปด้านข้างอย่างแอบแฝง หากในเวลาเดียวกันพวกเขาพบกับการจ้องมองของวัตถุที่พวกเขาถอนหายใจ ตามกฎแล้วพวกเขาจะมองไปทางอื่นและหน้าแดง สำหรับเด็กผู้หญิงการจ้องมองผู้ชายถือว่าไม่ดีนักจึงพยายามแอบดูเป้าหมายในฝันในขณะที่เขาไม่ได้มอง เด็กสาวเริ่มสำรวจศักยภาพความงามของเธอจากล่างขึ้นบน ซึ่งทำให้เธอแตกต่างจากผู้ชาย ทิศทางนี้มีความหมายสองเท่า ในด้านหนึ่ง เธอรวบรวมความกล้าที่จะสบตาผู้ชายที่เธอชอบ และอีกด้านหนึ่ง สำหรับผู้หญิง ช่วงเวลาที่พึงประสงค์มากที่สุดคือช่วงเวลาที่ดวงตาทั้งสองสบกัน

กฎข้อที่ 28

ความเห็นอกเห็นใจซ่อนอยู่ในท่าทาง

การแสดงความเห็นอกเห็นใจมีความหลากหลายและน่าสนใจมาก แต่ละคนมีท่าทางเป็นของตัวเองด้วยความช่วยเหลือซึ่งเขาดึงดูดความสนใจของคนที่เขาชอบ

เราได้สังเกตแล้วว่าท่าทางแสดงความเห็นอกเห็นใจของชายและหญิงมีความแตกต่างกันมาก แน่นอนว่าสัญญาณอวัจนภาษาของผู้หญิงมีความหลากหลายและน่าสนใจมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ยังมีท่าทางสากลที่ตัวแทนของทั้งสองเพศใช้เพื่อแสดงหรือซ่อนความเห็นอกเห็นใจของพวกเขา

ตัวอย่างเช่นหากบุคคลสงสัยการตอบแทนของผู้ที่เขาเลือก ท่าทางของเขาจะถูกแสดงด้วยความระมัดระวัง หากผู้ใดแตะต้องผู้แอบชอบของตนโดยบังเอิญหรือจงใจ เขาจะถอนมือทันทีราวกับถูกไฟคลอก สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ: การซ่อนความเห็นอกเห็นใจและความเสน่หาคน ๆ หนึ่งกลัวที่จะติดต่อกับคนที่เขาชอบเพราะเขากลัวว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมสัญชาตญาณของเขาและจะยอมแพ้อย่างสมบูรณ์

ผู้ชายมักจะแสดงความเห็นอกเห็นใจในลักษณะต่อไปนี้ ขั้นแรกพวกเขาพยายามดึงดูดความสนใจของผู้หญิงที่พวกเขาชอบพวกเขาเริ่มทำตัวต่อหน้าเธอ: พวกเขาเรียบผม, ผูกเน็คไท, กระดุมข้อมือ, เสื้อเชิ้ต, ยืดคอเสื้อ, แจ็คเก็ต, ปัดสิ่งที่ไม่มีอยู่ออก เศษฝุ่นจากไหล่หรือรังแค

ผู้ชายสามารถใช้ท่าทางคารมคมคายต่อไปนี้: วางนิ้วหัวแม่มือไว้ด้านหลังเข็มขัดในบริเวณหน้าท้องเพื่อมุ่งความสนใจไปที่บริเวณอวัยวะเพศของเขา ยืนโดยให้มือวางบนสะโพก ร่างกายของคุณหันไปทางผู้หญิงโดยให้นิ้วเท้าชี้ไปทางเธอ

หญิงสาวพยายามแสดงให้ผู้ชายเห็นว่าเธอชอบเขาโดยใช้ท่าทางและท่าทางต่อไปนี้ เธออาจสัมผัสผมโดยไม่มีเหตุผล ปรับเสื้อผ้าหรือแต่งหน้าต่อหน้าคนที่เธอชอบ การแสดงความเห็นอกเห็นใจที่โดดเด่นประการหนึ่งคือท่าทางต่อไปนี้ ผู้หญิงหันข้อมือไปทางผู้ชายเพื่อแสดงผิวที่เรียบเนียนและละเอียดอ่อน (เช่น ขณะสูบบุหรี่เธอถือบุหรี่ในระดับคอหรือไหล่เผยให้เห็นข้อมือของเธอ ต่อชายที่เธอสนใจ) ขณะเดิน ผู้หญิงสามารถแกว่งสะโพกอย่างเปิดเผยเพื่อแสดงเสน่ห์ของเธอได้

หากการพบปะกับผู้ชายเกิดขึ้นในบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ เช่น ในบาร์หรือดิสโก้เธค ผู้หญิงคนนั้นก็อาจใช้ท่าทางที่เปิดเผยมาก เธอพยายามนั่งในลักษณะที่ขาของเธอมองเห็นได้กับคนที่เธอเลือก ในระหว่างการสนทนา เธอขยับรองเท้าของเธอ ไขว่ห้างเพื่อให้ขาทั้งสองข้างเรียงกันเป็นเส้นเดียว โดยเล็งไปที่วัตถุที่ผู้หญิงสนใจ หากฝ่ายชายอยู่ไม่ไกลจากผู้หญิงมากเกินไป ฝ่ายหลังก็จะพันเธออย่างช้าๆ ขาต่อหน้าต่อตาผู้ชายแล้วค่อย ๆ กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม โดยใช้มือลูบต้นขาเบา ๆ บ่อยครั้งในขณะที่ผู้หญิงพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

กฎข้อที่ 29

พวกเขายิ้มให้คุณหรือเปล่า? มันหมายความว่าพวกเขาชอบคุณ

การยิ้มไม่ใช่ตัวบ่งชี้ความเห็นอกเห็นใจ 100% เสมอไป รอยยิ้มอาจเป็นสัญญาณว่าคนๆ หนึ่งต้องการบางสิ่งจากคุณ เขาพยายามทำให้คุณพอใจแล้วใช้อิทธิพลของเขา จะแยกแยะรอยยิ้มแห่งความเห็นอกเห็นใจที่แท้จริงจากรอยยิ้มประเภทอื่นได้อย่างไร?

รอยยิ้มที่แสดงความเห็นอกเห็นใจไม่สามารถสับสนกับสิ่งใดได้ มีความสมมาตรเสมอ มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นเท่าๆ กัน ความเห็นอกเห็นใจอาจแสดงออกมาด้วยรอยยิ้มที่เปิดกว้าง (โดยเผยฟัน) หรือโดยการยิ้มแบบปิดอย่างเข้มงวดมากขึ้น หากมีคนโชว์ฟันให้คุณ แสดงว่าเขารู้สึกสงบเมื่ออยู่กับคุณ เขาไม่มีอะไรต้องปิดบัง หากรอยยิ้มจริงใจแสดงว่าการจ้องมองของบุคคลนั้นจริงใจสดใสเปล่งประกายรอยยิ้ม

หากคุณสังเกตเห็นความไม่สมดุลในรอยยิ้ม (มุมปากด้านหนึ่งอยู่ต่ำกว่าอีกมุมหนึ่งหรือมุมหนึ่งลดลงและอีกมุมหนึ่งยกขึ้น) นี่อาจเป็นสัญญาณของความไม่จริงใจในคู่สนทนาของคุณ หากดวงตาของเพื่อนของคุณไม่หัวเราะในขณะที่รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าแสดงว่าเขามีเจตนาเห็นแก่ตัวเขาต้องการหลอกลวงคุณ

ความจริงที่ว่าคนๆ หนึ่งปฏิบัติต่อคุณอย่างดี เห็นอกเห็นใจคุณ ไม่เพียงแต่ระบุด้วยรอยยิ้มเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเสียงหัวเราะด้วย หากมีคนหัวเราะต่อหน้าคุณ เขาจะปฏิบัติต่อคุณอย่างกรุณา ไม่อายที่จะเปิดเผยอารมณ์ให้คุณเห็น และเปิดใจกว้าง การเปิดกว้างของบุคคลเป็นสัญญาณของความเห็นอกเห็นใจ

รอยยิ้มอาจเป็นเรื่องน่าขัน โดยปกติจะเป็นรอยยิ้มที่คดเคี้ยว โดยเอียงศีรษะไปข้างหนึ่งและตาข้างหนึ่งอาจหรี่ตาลง รอยยิ้มเช่นนี้เป็นสัญลักษณ์ของความเห็นอกเห็นใจเช่นกัน นี่เป็นการประชดที่ดี คนๆ นี้ปฏิบัติต่อคุณอย่างดี แต่ในขณะนี้ คุณอาจดูตลก อย่าสับสนระหว่างรอยยิ้มประชดกับรอยยิ้มประชด นี่เป็นสัญญาณว่าคู่สนทนาของคุณไม่เคารพคุณและกำลังหัวเราะเยาะคุณอย่างเปิดเผย รอยยิ้มดังกล่าวจะมีความโค้งมากขึ้นและคน ๆ หนึ่งอาจมีอาการเหล่ซึ่งผิดปกติสำหรับเขา จำเป็นต้องแยกแยะรอยยิ้มที่เปิดกว้างออกจากรอยยิ้มซึ่งเป็นสัญญาณของความก้าวร้าวและการปฏิเสธที่ซ่อนอยู่ คุณสมบัติที่โดดเด่น: คน ๆ หนึ่งเผยฟันทั้งหมดของเขารวมถึงกรามล่างด้วย

มีอันตรายอีกอย่างหนึ่ง: คู่สนทนาของคุณอาจเลียนแบบรอยยิ้มของคุณโดยไม่รู้สึกเห็นใจคุณอย่างจริงใจ สิ่งนี้สามารถกำหนดได้ง่าย หากเพื่อนของคุณยิ้มเฉพาะเมื่อคุณยิ้ม นั่นหมายความว่าเขาพยายามหลอกคุณเพื่อใช้อารมณ์ดีของคุณเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เห็นแก่ตัวของเขาเอง

จำไว้ว่าการไม่มีรอยยิ้มไม่ได้บ่งชี้ว่าคุณขาดความเห็นอกเห็นใจ หากคู่สนทนาของคุณมองคุณอย่างเศร้าโศกไม่เคยยิ้มอย่ารีบเร่งที่จะกล่าวหาว่าเขาแสดงความเกลียดชังในทันทีอาจเป็นไปได้ว่าเขาเพียงซ่อนทัศนคติที่จริงใจต่อคุณหรือเขาเป็นเพียงคนที่ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส

กฎข้อที่ 30

“และเขาพูดเหมือนร้องเพลง”

คุณสามารถระบุได้อย่างง่ายดายว่าคู่สนทนาของคุณชอบคุณหรือไม่หากคุณตั้งใจฟังวิธีที่เขาพูด บ่อยครั้งที่ทัศนคติที่แท้จริงต่อบุคคลนั้นถูกเปิดเผยด้วยเสียง

ผู้หญิงได้พัฒนามาตรฐานในการแสดงความเห็นอกเห็นใจโดยใช้เสียงของตน หากเธอชอบผู้ชาย เธอก็เปลี่ยนเสียงที่เป็นธรรมชาติและธรรมดาของเธอ เริ่มพูดต่ำลง บางครั้งก็แหบแห้งด้วยซ้ำ นี่เป็นสัญญาณของแรงดึงดูดทางเพศต่อคู่รักของคุณ จังหวะการพูดช้าพอที่ผู้ชายจะสามารถรับรู้ข้อมูลได้ นอกจากนี้ยังเป็นสัญญาณประเภทหนึ่งที่ส่งไปยังความใคร่ของผู้ชาย ซึ่งเป็นการสะกดจิตด้วยวาจา: “ให้ความสนใจว่าฉันสวยแค่ไหน ” บ่อยครั้งที่เสียงของผู้หญิงมีน้ำเสียงที่ไพเราะ เธอพูดราวกับกำลังร้องเพลง หากหญิงสาวเขินอายที่จะแสดงทัศนคติที่แท้จริงต่อผู้ชายกลัวที่จะถูกปฏิเสธเสียงของเธอนั้นมีน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง: เสียงของเธออาจสั่นไหวจังหวะการพูดจะเร็วมากในระหว่างการสนทนาเธออาจถูกทรมาน โดยการกระตุกในลำคอโดยไม่สมัครใจซึ่งในตัวมันเองเป็นสัญญาณของความตื่นเต้นอย่างมาก นอกจากนี้ เด็กผู้หญิงอาจพยายาม (โดยเปล่าประโยชน์) เพื่อควบคุมเสียงของเธอ

ผู้ชายแสดงความปรารถนาที่จะพิชิตหญิงสาวแตกต่างออกไปเล็กน้อย เสียงของพวกเขาในการสนทนากับผู้หญิงที่พวกเขาชอบนั้นคล้ายกับเสียงร้องของผู้ชายในการต่อสู้เพื่อผู้หญิงไม่ว่ามันจะฟังดูเหยียดหยามแค่ไหนก็ตาม สัญชาตญาณของสัตว์ตื่นขึ้นในมนุษย์ สิ่งนี้แสดงออกมาด้วยเสียงของเขา พวกเขาส่งเสียงร้องซึ่งหมายความว่า: "นี่คือเหยื่อของฉัน" เมื่อพิจารณาถึงคู่แข่งที่มีศักยภาพ เขาจะค่อนข้างรุนแรงและบางทีอาจหยาบคายในการจัดการด้วยซ้ำ ส่วนบทสนทนากับคนที่เขาตั้งใจจะมอบหัวใจให้ เรามีสิทธิ์เปรียบเทียบเสียงผู้ชายกับบทเพลงได้ เขาเริ่มใช้ความสามารถในการร้องที่ฉลาดที่สุดและพยายามแสดงตนด้วยความรุ่งโรจน์ หากเขาเป็นเจ้าของเครื่องดนตรีและร้องเพลงได้ดี เขาจะหาโอกาสแสดงความสามารถของเขาอย่างแน่นอน เสียงของเขานุ่มนวลนุ่มนวลคล้ายกับเสียงของเครื่องดนตรีที่ไม่เคยมีมาก่อนและแปลกประหลาดฟังดูอ่อนโยนและไพเราะมาก

สัญญาณอวัจนภาษาของความก้าวร้าว

กฎข้อที่ 31

จะ "อยู่ในกำมือ"

การระบุตัวบุคคลที่ก้าวร้าวโดยอิงจากสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดเป็นสิ่งสำคัญมาก ด้วยความก้าวร้าว เราจะเข้าใจไม่เพียงแต่ผลกระทบโดยตรงของการใช้กำลังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทัศนคติเชิงลบและการมุ่งเน้นไปที่การเผชิญหน้าด้วย

ท่าทางก้าวร้าวหลักคือการกำมือแน่น หากมือของคู่สนทนาของคุณเหยียดออกที่ตะเข็บในขณะที่ทั้งคู่กำหมัดแน่นแสดงว่านี่เป็นสัญญาณของการปฏิเสธที่เพิ่มขึ้นในตัวบุคคล เขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ หากหมัดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับหน้าอก นี่เป็นปัจจัยที่น่าตกใจ บุคคลนั้นตั้งท่าต่อสู้เตรียมพร้อมที่จะเตะและเหลือเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่จะแสดงอาการก้าวร้าว หากหมัดของคู่สนทนาของคุณเริ่ม "คัน" - เขาถูนิ้วของมือข้างหนึ่งด้วยมืออีกข้างหนึ่งกำหมัดแน่น แล้วเขาก็มีทัศนคติเชิงลบต่อคุณเช่นกัน

หากคู่สนทนาของคุณเอาแขนโอบไหล่ นี่ถือเป็นสัญญาณของความก้าวร้าวที่ถูกกักขัง ซึ่งหมายความว่าบุคคลนั้นพร้อมที่จะรีบเข้าสู่การต่อสู้ แต่พยายามควบคุมตัวเอง หากคุณไม่ได้ตั้งใจที่จะต่อสู้กับเขา เมื่อเห็นท่าทางดังกล่าวคุณต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การเจรจาต่อรอง: เปลี่ยนหัวข้อเปลี่ยนน้ำเสียง

ท่าทางที่เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลที่ก้าวร้าวต่อคุณคือการวางมือไว้ด้านหลังแล้วคว้าข้อมือ อันนี้โหดร้ายเนื่องจากคู่สนทนามองไม่เห็น ถ้ามีคนเอามือไปด้านหลังก็ดูเหมือนว่าเขากำลังซ่อนอะไรบางอย่างจากคุณบางทีนี่อาจเป็นอาวุธสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง แต่ถึงแม้จะไม่มีอาวุธ ท่าทางนี้ในตัวเองก็เป็นอันตรายมากและหมายความว่าบุคคลนั้นมีเจตนาไม่ดีอย่างชัดเจน

เพื่อให้อารมณ์ก้าวร้าวของคู่สนทนาของคุณราบรื่นขึ้น คุณสามารถใช้วิธีที่ไม่ใช้คำพูดต่อไปนี้ ประการแรก พยายามลดระยะห่างระหว่างคุณ ใช้อิทธิพลทางการสัมผัส - สัมผัสบุคคลนั้น โปรดจำไว้ว่าการกระทำและการเคลื่อนไหวทั้งหมดของคุณจะต้องช้ามากเพื่อที่คู่สนทนาของคุณจะไม่ถูกโจมตีในส่วนของคุณ โปรดจำไว้ว่าหากเขาก้าวร้าว "โดยไม่มีเงื่อนไข" นั่นคือวางแผนการต่อสู้ล่วงหน้าโดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรมของคุณ ก็ไม่มีทางช่วยคุณได้ คุณควรคิดถึงวิธีขัดจังหวะการสนทนาและไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อให้โอกาสเขาระบายความก้าวร้าวที่มีต่อคนอื่น

กฎข้อที่ 32

ท่าทางของการสู้รบ

บุคคลที่ก้าวร้าวนั้นมีท่าทางท่าทางและการเดินที่พิเศษ สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดเหล่านี้จะสามารถเปิดเผยเจ้าของคู่ต่อสู้ได้ งานของคุณคือสามารถถอดรหัสพวกมันได้

ท่าทางของนักรบสามารถบ่งบอกถึงทัศนคติที่ก้าวร้าวของบุคคล: บุคคลกางขาของเขาให้กว้างเพื่อให้รู้สึกมั่นใจ เพื่อให้มีที่รองรับอยู่ใต้เท้าของเขา ร่างกายของเขาเอียงไปข้างหน้าเล็กน้อย ตามกฎแล้ว เขาจะพยายามปกปิดบางส่วนของร่างกายในกรณีที่คุณเริ่มโจมตีก่อน พื้นที่เหล่านี้เป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยงมากที่สุดสำหรับบุคคล สำหรับผู้ชายนี่คือบริเวณขาหนีบ จมูก กราม ในผู้หญิง (แม้ว่าการแสดงความก้าวร้าวในหมู่ผู้หญิงจะไม่เป็นที่นิยม แต่ก็ยังเป็นไปได้) - นี่คือบริเวณหน้าอกและใบหน้า

การเดินที่ก้าวร้าวนั้นสดใสมาก - คน ๆ หนึ่งเดินได้กว้างมากบางครั้งก็กระโดดเพื่อไปถึงเป้าหมายอย่างรวดเร็วในขณะที่โบกแขนอย่างแข็งขันบางครั้งเขาก็เริ่มวิ่งได้ - นี่เป็นสัญญาณของความตึงเครียดในระดับสูง

หากคุณสงสัยว่าคู่สนทนาของคุณมีเจตนาไม่ดี คุณควรใส่ใจกับท่าทางของเขา หากคุณสงสัยถูกต้อง คู่สนทนาของคุณไม่ได้ยืนตัวตรงยืดตัวจนเต็มความสูง เขาลุกขึ้นนั่งเล็กน้อยกดหัวลงบนไหล่ - เขาเติบโตไปบนพื้นกะทัดรัดและตอนนี้ก็สะดวกสำหรับเขาที่จะโจมตี หากคุณกำลังนั่งคู่สนทนาของคุณสามารถเหยียดคอไปข้างหน้าแล้วเหวี่ยงไหล่ไปด้านหลัง ยิ่งไปกว่านั้น ศีรษะของเขาจะเอียงเล็กน้อยเพื่อให้หน้าผากของเขาหันเข้าหาคุณ ซึ่งเป็นส่วนที่แข็งที่สุดของศีรษะและพร้อมที่จะรับการโจมตีของคุณ

กฎข้อที่ 33

รูปลักษณ์ของนักล่า

หากบุคคลไม่พยายามซ่อนอารมณ์ด้านลบ การแสดงออกทางสีหน้าก็จะตรวจพบได้ง่ายมาก สะท้อนอารมณ์ได้ค่อนข้างชัดเจน จะทราบได้อย่างไรว่าคู่สนทนาของคุณก้าวร้าว?

ความก้าวร้าวเป็นปฏิกิริยาการป้องกันของร่างกาย บุคคลเริ่มแสดงความก้าวร้าวทันทีที่เขาตระหนักว่าเขาด้อยกว่าคุณมากในบางสิ่ง นี่อาจเป็นผลจากความโกรธ ความเกลียดชัง ความอิจฉา บางทีคู่สนทนาของคุณอาจอ่อนแอกว่าคุณในด้านศิลปะการขโมยไม่มีความสามารถในการโน้มน้าวใจเข้าใจความด้อยทางสติปัญญาของเขาดังนั้นในกรณีที่ไม่มีข้อโต้แย้งอื่น ๆ เขามีความปรารถนาที่จะเอาชนะคุณในแบบที่มีให้เขา - ด้วย ความช่วยเหลือจากกำลัง

การแสดงออกทางสีหน้าของความก้าวร้าวนั้นกระฉับกระเฉงมาก - คิ้วเหล่านี้ขยับไปทางดั้งจมูก จมูกบาน โหนกแก้มที่โยกเยก บางครั้งกัดฟัน ริมฝีปากบีบแน่นมาก นี่เป็นสัญญาณบนใบหน้าว่าคู่สนทนาของคุณก้าวร้าวมาก สัญญาณใบหน้าเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนบนใบหน้าทั้งหมดพร้อมกัน ส่วนใหญ่มักมีสัญญาณหนึ่งหรือสองสัญญาณ หากคุณสังเกตเห็นสัญญาณข้างต้นอย่างน้อยหนึ่งสัญญาณบนใบหน้าคู่สนทนาของคุณ ให้ระวัง - เขาไม่พอใจคุณมากนัก

ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการจ้องมองของคุณ การจ้องมองของผู้ก้าวร้าวบอกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าของพร้อมที่จะฉีกคู่ต่อสู้เป็นชิ้น ๆ นี่เป็นการจ้องมองที่หนักหน่วงและเฉียบแหลมมาก เป็นการที่นักล่ามองเหยื่อและเตรียมที่จะโจมตี

กฎข้อที่ 34

ดวลวาจา

ทัศนคติที่ก้าวร้าวของบุคคลนั้นสามารถกำหนดได้จากวิธีที่เขาพูดกับคุณ คำพูดของเขาเหมือนการฟาด: เสียงที่คมชัดและชัดเจนซึ่งระหว่างนั้นมีการหยุดค่อนข้างนาน การไม่เต็มใจที่จะร่วมสนทนากับคุณอาจแสดงถึงความก้าวร้าวที่ซ่อนอยู่

ถ้าคนๆ หนึ่งก้าวร้าว เขามักจะเพิ่มระดับเสียงของเขา และเขาทำสิ่งนี้โดยไม่รู้ตัวเพื่อยั่วยุคุณให้กระทำการที่เป็นประโยชน์ต่อเขาหรือข่มขู่คุณ บางทีคู่ต่อสู้ของคุณอาจไม่มีความสามารถในการโต้เถียงด้วยวาจาดังนั้นเขาจึงพยายามอธิบายมุมมองของเขาด้วยวิธีอื่นนั่นคือเขาไม่ใช้พลังของคำพูด แต่ใช้ระดับเสียงของเขา

เขาพยายามอธิบายมุมมองของเขา "อย่างชาญฉลาด" อย่างช้าๆ ตามกฎแล้วเขาล้มเหลวในการทำเช่นนี้ ในความเป็นจริงเขากำลังยั่วยุคุณโดยพยายามอย่างที่พวกเขาพูดว่า "เข้าหาคุณ": "ฉันอธิบายเรื่องนี้ไม่ชัดเจนหรือเปล่า" ทั้งหมดนี้ทำเพื่อทำให้คู่สนทนาหวาดกลัวและได้รับความได้เปรียบก่อนการต่อสู้ เขาจะพยายามยั่วยุโดยใช้น้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยาม หัวเราะเบา ๆ และยิ้มแย้ม

คนที่ก้าวร้าวมีลักษณะเฉพาะคือลดเสียงต่ำ การใช้น้ำเสียงต่ำ น้ำเสียง และบางครั้งก็เสียงแหบ การเปลี่ยนแปลงเสียงดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อทำให้คู่สนทนากลัวด้วย

บางครั้งความก้าวร้าวไม่มีเวลาที่จะบานปลายไปสู่การต่อสู้และบุคคลนั้นก็หยุดกรีดร้อง คนที่กลั้นความก้าวร้าวอยู่ในภาวะตึงเครียดสูง หากคุณไม่เคยให้เหตุผลแก่เขาในการใช้กำลัง การกระทำนี้จะไม่ลดความตึงเครียดของเขา และเขายังคงต้องการการปล่อยตัว บ่อยครั้งการเผยแพร่นี้เกิดขึ้นในรูปแบบของเสียงกรีดร้อง นี่เป็นรูปแบบการระบายความก้าวร้าวแบบไม่ใช้คำพูดด้วย หากเขากรีดร้อง เขาก็ไม่น่าจะใช้กำลังกับคุณ เขาไม่มีแรงที่จะต่อสู้ ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นการดีกว่าสำหรับคุณที่จะรอจนกว่าความโกรธของเขาจะบรรเทาลงและสงบลง

คุณสามารถพยายามคลายความตึงเครียดของคู่สนทนาโดยใช้สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด ใช้พลังเสียงของคุณเพื่อทำให้เขาสงบลง และกลบเกลื่อนเขา ควรพูดช้าๆ เบาๆ อย่างเสน่หา ราวกับจะกล่อมเขา เพื่อกล่อมความระแวดระวังของเขา คุณสามารถพูดอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ เช่น ยืนกรานในความคิดเห็นของคุณ ซึ่งทำให้เขาไม่สมดุล แต่ขึ้นอยู่กับสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด เขาควรอ่านข้อความต่อไปนี้: “อย่ากลัวฉันเลย ฉันเป็นเพื่อนคุณ ใจเย็นๆ ไม่ต้องกังวล. เป็นเพื่อนกับฉันดีกว่า - ทำกำไรได้มากกว่า” หากคุณสามารถใช้ความสามารถในการพูดได้อย่างถูกต้อง คู่สนทนาที่ก้าวร้าวของคุณจะยอมจำนนต่อคุณ ลดความกระตือรือร้นของเขา และความก้าวร้าวของเขาจะหายไปหรือหันไปในทิศทางอื่น

จะใช้ความรู้ภาษาอวัจนภาษาในทางปฏิบัติได้อย่างไร?

กฎข้อที่ 35

จะซ่อนการหลอกลวงได้อย่างไร?

คุณสามารถซ่อนคำโกหกและโน้มน้าวคู่สนทนาของคุณว่าคุณจริงใจกับเขาหากคุณเรียนรู้ที่จะควบคุมร่างกายของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกท่าทางและการแสดงออกทางสีหน้าที่จะไม่ให้ข้อมูลใหม่แก่คู่สนทนานอกเหนือจากสิ่งที่คุณให้ด้วยวาจาจากนั้นคุณจะเชี่ยวชาญศิลปะแห่งการจัดการ

ใส่ใจกับท่าทางที่คุณใช้ในชีวิตประจำวัน - พวกเขาคือผู้ทรยศหลักของคุณ พวกเขาทรยศต่อความคิดและความรู้สึกของคุณ เกือบทุกคนจะเข้าใจการหลอกลวงของคุณหากคุณเอามือปิดปากและซ่อนตา แม้แต่เด็กก็ยังรู้สัญญาณอันสดใสของการโกหกเหล่านี้ ดังนั้นควรระวัง - อย่าทำอะไรที่อาจเปิดเผยการหลอกลวงของคุณ เพื่อไม่ให้ตัวเองหลงทาง คุณต้องสังเกตมือ ร่างกาย และการแสดงออกทางสีหน้าของคุณอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามกฎ: ห้ามเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น ในตอนแรก มันจะยากมากที่จะทำโดยไม่ต้องใช้มือ เพราะเราคุ้นเคยกับการช่วยเหลือตัวเองโดยไม่ใช้คำพูดในกระบวนการพูดมากจนยากจะกำจัดนิสัยนี้ออกไป แต่คุณต้องบังคับตัวเองไม่เช่นนั้นคุณจะถูกค้นพบ

เป็นเรื่องยากที่จะเลิกเรียนรู้การแสดงท่าทางและการเปลี่ยนแปลงสีหน้า แต่ตามความเป็นจริงแล้ว การเรียนรู้ที่จะซ่อนปฏิกิริยาโดยไม่สมัครใจของร่างกายคุณนั้นยากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งรวมถึงการกลั้นหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น และร่างกายสั่น มีเทคนิคที่ช่วยให้คุณซ่อนสัญญาณของการหลอกลวงเหล่านี้ได้

คุณต้องฝึกร่างกายของคุณเพื่อที่จะไม่หักหลังการหลอกลวงของคุณ ขอให้คนที่คุณรักหรือเพื่อนของคุณทำการทดสอบเครื่องจับเท็จที่บ้าน คู่ของคุณควรอยู่ใกล้คุณมากและติดตามชีพจรด้วยมือของพวกเขาบนข้อมือของคุณ ปล่อยให้เขาควบคุมคุณในทุกสิ่ง ติดตามการหายใจ การเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกทางสีหน้า จากนั้นเขาจะถามคำถามคุณ คำถามสองหรือสามข้อแรกควรเป็นคำถามพื้นฐานที่สุด เช่น “อาหารจานโปรดของคุณคืออะไร” “คุณเป็นคนสนุกสนานหรือนกฮูก?” ซึ่งคุณสามารถตอบได้โดยไม่ยาก แต่คำถามต่อมาเป็นคำถามที่ยั่วยุ เช่น “คุณเคยโกหกเพื่อนของคุณหรือเปล่า?” คุณไม่น่าจะตอบคำถามนี้โดยไม่เปลี่ยนหน้า คุณต้องไม่ทราบรายการคำถาม มิฉะนั้นการทดสอบจะสูญเสียความหมาย ทำการทดลองต่อไปจนกว่าคู่สนทนาของคุณจะหยุดสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในสภาพของคุณ คุณสามารถฝึกได้นานพอจนกว่าคุณจะเรียนรู้ที่จะควบคุมร่างกายของคุณ คุณอาจไม่สามารถหลอกเครื่องจับเท็จตัวจริงได้ แต่คุณจะสามารถซ่อนการหลอกลวงของคุณจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้

กฎข้อที่ 36

วิธีป้องกันตัวเองจากการถูกโจมตีจากผู้อื่น

คุณสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกโจมตีจากผู้อื่นได้โดยใช้ท่าทางป้องกันแบบอวัจนภาษา ทันทีที่คุณรู้สึกถึงภัยคุกคามจากผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการบงการ ความก้าวร้าว อารมณ์เชิงลบ คุณต้องดำเนินการ

ในการขับไล่การโจมตีจากผู้บงการหรือบุคคลที่ก้าวร้าว ก่อนอื่นคุณต้องรักษาระยะห่างและอย่าปล่อยให้บุคคลอันตรายเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของคุณ คุณสามารถรักษาความเป็นอิสระและหลีกเลี่ยงอิทธิพลของเขาได้หากคุณจากไปทันเวลาหรือจัดการได้ ให้เขาอยู่ห่างจากคุณ สมมติว่าเมื่อพบกับบุคคลหนึ่งคาดว่าจะทักทายคุณและบุกรุกพื้นที่ของคุณ และคุณแน่ใจว่าเขามีเจตนาไม่ดี เช่น เขาตัดสินใจที่จะหลอกลวงหรือชิงไหวชิงพริบคุณ คุณควรหลบการกอดหรือจูบในทางที่เป็นไปได้ อย่าปล่อยให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าไปในโซนส่วนตัวของคุณ

อย่าให้บุคคลที่มีเจตนาไม่ดีทำความคุ้นเคยโดยไม่ใช้คำพูด เช่น ตบไหล่ หรือตบแก้ม พยายามหลีกเลี่ยงการติดต่อประเภทนี้ คุณสามารถยอมรับสัญญาณความสนใจจากเขาได้ แต่ทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเขา

หากคุณรู้สึกว่ามีภัยคุกคามมาจากบุคคลหนึ่ง คุณควรเบือนหน้าไปทางอื่นและมุ่งสายตาไปที่วัตถุอื่น ความจริงก็คือการสบตาบุคคลดังกล่าวเป็นเวลานานนั้นอันตรายมากเพราะผู้บงการที่มีประสบการณ์สามารถสะกดจิตคุณและโน้มน้าวให้คุณทำบางสิ่งที่ขัดกับความประสงค์ของคุณ ดังนั้นพยายามเบือนหน้าไปทางอื่นและอย่ามองคู่สนทนาของคุณอย่างใกล้ชิด

คุณสามารถบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจจะเชื่อฟังเขาและไม่อยากคุยกับเขานานและตรงไปตรงมา ในการทำเช่นนี้ คุณสามารถใช้ท่าทางปิด: กอดอกหรือใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ คุณสามารถทำให้คู่สนทนาทราบได้อย่างชัดเจนว่าคุณไม่กระตือรือร้นที่จะสนทนาต่อโดยดูนาฬิกาอยู่ตลอดเวลา

กฎข้อที่ 37

วิธีสร้างความประทับใจในที่ประชุม

อย่างที่พวกเขาพูด เราจะพบคุณตามเสื้อผ้าของคุณและจะพบคุณตามความคิดของคุณ ก่อนที่คุณจะเริ่มพูด คุณกำลังถูกประเมินแล้ว คุณสามารถได้รับความไว้วางใจจากคู่สนทนาของคุณหากคุณเรียนรู้ที่จะใช้วิธีที่ไม่ใช้คำพูดซึ่งสามารถบอกแต่สิ่งดีๆ เกี่ยวกับคุณได้

หากต้องการสร้างความประทับใจ โปรดจำกฎบางประการไว้ กฎข้อแรก รูปร่างหน้าตา : เรียบร้อย มีความละเอียดรอบคอบ ไม่โอ้อวดจนเกินไป หากคุณสงสัยว่าควรเลือกสไตล์ใด ให้เลือกตัวเลือกแบบคลาสสิก - นี่เป็นตัวเลือกที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับเครื่องประดับ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้สไตล์ของคุณมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของคุณ

คุณสามารถซ้อมการแสดงตนหน้ากระจกได้ - ฝึกการเดินและทักทาย คุณต้องการสร้างความประทับใจหรือไม่? เรียนรู้ที่จะเดินอย่างถูกต้อง ก่อนหน้านี้ เพื่อให้การเดินและท่าทางของพวกเขาสวยงาม เด็กผู้หญิงจึงสวมเหยือกน้ำบนศีรษะ ปัจจุบันประเพณีนี้ล้าสมัยไปแล้ว แต่เทคนิคที่คล้ายกันนี้สามารถใช้ได้ไม่เพียง แต่สำหรับเด็กผู้หญิงและผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวแทนของเพศที่แข็งแกร่งกว่าด้วย วางหนังสือหลายเล่มไว้บนหัวแล้วเดินไปรอบๆ เพื่อไม่ให้หนังสือเหล่านี้หล่นลงมา คุณควรบรรลุผลดังต่อไปนี้: เมื่อเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ไม่มีหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งหลุดออกจากหัวของคุณ คุณสามารถค่อยๆเพิ่มภาระได้

การเดินของผู้หญิงคือบุคลิกของเธอ สามารถบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าของได้มากมาย ตัวอย่างเช่น การกระดิกสะโพกอย่างแข็งขันบ่งบอกว่าผู้หญิงคนนั้นขี้เล่นเกินไปและพยายามดึงดูดความสนใจของผู้ชาย หากเด็กผู้หญิงเดินเหมือนทหารดีบุกที่แน่วแน่ เธอมีแนวโน้มว่าจะไม่เป็นมิตรและไร้ความกรุณา การเดินของผู้หญิงควรนุ่มนวลและราบรื่นโดยมี "ความเป็นพลาสติกเสือดำก่อนกระโดด" หากการเดินของคุณไม่ดีพอคุณควรแก้ไข วิธีการของมาริลิน มอนโรเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว และผู้ชายหลายคนก็เสียศีรษะจากการเดินของเธอ โปรดจำไว้ว่ามันเป็นส้นเท้าที่ทำให้ผู้หญิงเป็นผู้หญิง หากคุณไม่สวมรองเท้าส้นสูงก็ถึงเวลาเริ่มต้นแล้ว มีตำนานเล่าว่ามาริลิน มอนโรใส่ส้นรองเท้าข้างหนึ่งของเธอซึ่งอยู่ต่ำกว่าอีกข้างเล็กน้อยเล็กน้อย ดังนั้นด้วยความไม่สะดวกนี้ เธอจึงต้องเดินช้าๆ และโยกสะโพกได้อย่างราบรื่น

ผู้ชายควรมีความมั่นใจในการเดิน ก้าวยาวๆ แต่ต้องไม่แกว่งแขน ขอแนะนำให้ยืนหยัดอย่างมั่นคงเพื่อสร้างความประทับใจให้กับคนที่มีความมั่นใจซึ่งรู้คุณค่าของเขาและผู้ที่สามารถพึ่งพาได้

พิธีทักทายก็มีความสำคัญเช่นกันเมื่อสร้างความประทับใจแรกพบ เมื่อพบกัน คุณต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และบรรทัดฐานของมารยาท เช่น หากคุณกำลังจะไปประชุมทางธุรกิจ ไม่ควรกอดเพื่อนเมื่อพบปะหรือจูบเขา แก้ม ในกรณีเช่นนี้ ควรจับมืออย่างสงบ การจับมือเป็นพิธีทักทายมาตรฐานที่ผู้หญิงสามารถใช้ได้ในการประชุมทางธุรกิจด้วย การจับมือไม่ควรสั้นเกินไป แต่ไม่ควรมีเป้าหมายในการคว้าตำแหน่งผู้นำซึ่งบางคนจงใจจับมือคู่ของตนไว้นานเกินไปซึ่งถือเป็นมารยาทที่ไม่ดี การจูบที่แก้มเป็นคำทักทายที่สามารถใช้ได้เมื่อเพื่อนสองคนพบกันหรือออกเดทครั้งแรกกับผู้ชาย ให้จูบนี้เป็นเพียงการสัมผัสเบาๆ ผู้หญิงบางคนจูบอากาศเพื่อไม่ให้เครื่องสำอางเสียหายและทำให้คู่สนทนาเปื้อน แต่นี่ถือเป็นสัญญาณของการไม่เคารพและรูปแบบที่ไม่ดี หากคุณมีลิปสติกสีแดงสดบนริมฝีปาก คุณสามารถเตือนหรือเสนอกระดาษทิชชู่แบบใช้แล้วทิ้งเพื่อเช็ดรอยเปื้อนได้

หากคุณปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้ให้พิจารณาว่าชัยชนะอยู่ในกระเป๋าของคุณพวกเขาจะจริงจังกับคุณมากขึ้นทันทีและถือว่าคุณเป็นคนที่น่ารื่นรมย์ทุกประการ

กฎข้อที่ 38

พูดอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในที่สาธารณะ?

การแสดงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมากถือเป็นงานที่มีความรับผิดชอบสูง เพื่อให้ประสบความสำเร็จในงานที่ยากลำบากเช่นนี้ คุณไม่เพียงต้องเตรียมคำพูดของคุณให้ดีเท่านั้น แต่ยังต้องคิดด้วยว่าคุณจะใช้สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดอะไรบ้าง

เมื่อเตรียมพูดในที่สาธารณะ คุณต้องจำกฎหลักไว้ - ไม่มีอะไรในตัวคุณที่จะทำให้คุณหงุดหงิด เมื่อเลือกเสื้อผ้าสำหรับการแสดงคุณควรให้ความสำคัญกับสไตล์คลาสสิกจากสีและเฉดสีที่หลากหลายให้เลือกสีดำและสีขาวซึ่งในอีกด้านหนึ่งมีความสว่างและเห็นได้ชัดเจนและอีกด้านหนึ่งไม่ทำให้ระคายเคืองตา . การแต่งกายของคุณไม่ควรหยาบคาย ฉูดฉาด หรือน่าตกใจ ปล่อยให้มันดึงดูดความสนใจของผู้ชมเพียงพอเพื่อให้คุณมองเห็นได้ชัดเจนเพื่อไม่ให้กลมกลืนกับพื้นหลัง เสื้อผ้าของคุณไม่ควรดูแปลกตาหรือสะดุดตาจนเกินไป ไม่เช่นนั้นผู้ฟังจะยุ่งกับการดูเครื่องแต่งกายและไม่ฟังคำพูดของคุณตลอดสุนทรพจน์

คุณจะเลือกสถานที่ที่สะดวกสำหรับการนำเสนอของคุณ แน่นอนว่าหากนี่เป็นงานที่จัดขึ้น ผู้จัดงานก็จะทำสิ่งนี้ให้กับคุณ แต่หากฝูงชนเป็นการพบปะหรือรวมตัวกันอย่างกะทันหัน คุณควรดูแลจุดยืนที่ดีที่สุด คุณสามารถปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ โต๊ะ หรือระดับความสูงใดก็ได้ คุณต้องเป็นหัวหน้าและไหล่เหนือใครๆ เพื่อให้สาธารณชนรู้สึกว่าคุณมีข้อได้เปรียบบางอย่าง คุณต้องมองเห็นได้จากทุกด้านเพื่อที่คุณจะได้ใช้คลังแสงทั้งหมดในการโน้มน้าวผู้ชมโดยไม่ใช้คำพูด

คุณต้องเชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการดึงดูดความสนใจ วิธีการทำเช่นนี้? เป็นการดีที่สุดที่จะใช้วิธีที่ไม่ใช้คำพูด ท่าทางของคุณควรคล้ายคลึงกับท่าทางของนักแสดงบนเวทีใหญ่ ท่าทางต่อไปนี้มักใช้ในการพูดในงานสาธารณะ

คุณสามารถกางแขนออกได้ราวกับจะเปิดแขน ท่าทางนี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์: “ฉันเป็นผู้อุปถัมภ์ของคุณ หากคุณมีปัญหาใด ๆ ฉันจะแก้ไขพวกเขา” หากต้องการเรียกความสนใจจากผู้ฟัง ให้ยกมือขึ้นค้างไว้จนกว่าจะเงียบลง ท่าทางนี้หมายถึง: "เงียบ! ฉันจะพูด” นี่เป็นท่าทางที่สดใสและมีคารมคมคายมากซึ่งสามารถใช้ได้ไม่เพียง แต่ในช่วงเริ่มต้นของคำพูดเท่านั้น แต่ยังใช้ในช่วงกลางได้อีกด้วยหากคุณรู้สึกว่าความสนใจกระจัดกระจาย ท่าทางที่คุณใช้ควรจะสว่าง ใหญ่ และสังเกตเห็นได้ชัดเจน กิริยาเล็กๆ น้อยๆ ในการพูดในที่สาธารณะจะดูน่าเบื่อและไม่มีใครเห็น หากคุณกำลังจะใช้ท่าทางในการลงประกาศ คุณควรยกมือขึ้นให้อยู่ในระดับหน้า กางนิ้วออกให้กว้างแล้วขดนิ้ว จากนั้นใช้มืออีกข้างแกว่งครั้งใหญ่

เรียนรู้การใช้ข้อมูลเสียงของคุณ มีความเห็นว่าสำหรับคนจำนวนมากคุณควรพูดเสียงดังเสมอ ที่จริงแล้ว คุณไม่ควรหันไปใช้เสียงดังเสมอไป เพราะจะทำให้คุณเหนื่อยเร็ว เพียงแค่พูดให้ชัดเจนและหยุดเพื่อให้คำพูดของคุณชัดเจน ในกรณีพิเศษ คุณสามารถเปลี่ยนไปใช้เสียงกระซิบได้ ผู้ฟังจะคิดว่าคุณกำลังสื่อสารบางสิ่งที่สำคัญ และเปิดเผยความลับบางอย่าง และจะเริ่มฟัง

กฎข้อที่ 39

จะดึงดูดความสนใจในกลุ่มได้อย่างไร?

การได้รับความสนใจในกลุ่มนั้นยากกว่าการได้รับความสนใจจากผู้ชมจำนวนมาก ประการแรก ด้วยการดึงดูดผู้ชม คุณจะดึงดูดคนจำนวนมากโดยการดึงดูดความสนใจในกลุ่ม คุณจะดึงดูดความสนใจของบุคคลที่แตกต่างกัน โดยแต่ละคนมีมุมมองของตนเอง

ในการดึงดูดความสนใจในกลุ่ม คุณต้องใช้ท่าทางพิเศษและใกล้ชิดโดยมุ่งเป้าไปที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชมจำนวนมาก เมื่อสื่อสารเป็นกลุ่มเล็กๆ อย่าตะโกนหรือโบกแขนเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจ เราเปรียบเทียบพฤติกรรมของผู้แสดงในที่สาธารณะกับพฤติกรรมของนักแสดง การแสดงเป็นกลุ่มก็เหมือนกับการแสดงบนเวทีเล็กๆ ที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริง

หากคุณวางแผนที่จะพูดบางสิ่งที่สำคัญกับสมาชิกกลุ่ม ก่อนอื่นคุณต้องจัดระเบียบกลุ่มในลักษณะที่ทุกคนจะได้ยินและมองเห็นได้ หากกลุ่มกระจัดกระจาย ท่านอาจพาทุกคนมาเป็นวงกลมหรือนั่งรอบโต๊ะ วิธีนี้จะทำให้คุณสามารถรวมความสามัคคีรอบตัวคุณได้

เมื่อสื่อสารกับผู้ฟังจำนวนมาก แน่นอนว่าคุณจะไม่เห็นทุกคนมารวมตัวกัน แต่ถ้ามีกลุ่มเล็ก ๆ อยู่ข้างหน้าคุณ คุณควรให้ความสนใจกับผู้เข้าร่วมแต่ละคนตามลำดับ ดูสมาชิกกลุ่มคนหนึ่งก่อน จากนั้นจึงดูอีกคนหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่มีใครรู้สึกว่าขาดความสนใจของคุณ การสบตาจะช่วยให้คุณรู้สึกถึงแต่ละคนและสังเกตปฏิกิริยาต่อคำพูดของคุณ หากคุณมองจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง คุณจะมีทั้งกลุ่มอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณ นอกจากนี้ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มจะรู้สึกว่าคุณกำลังพูดเพื่อเขาโดยเฉพาะ

คุณสามารถเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับคนที่เงียบ?

กฎข้อที่ 40

ตัวละครอยู่ในท่าเดิน

การเดินเป็นโหงวเฮ้งของร่างกายตามความเห็นของบัลซัค ด้วยการเดินของบุคคล คุณสามารถกำหนดได้ไม่เพียงแต่เพศและอายุเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอารมณ์ อุปนิสัย และการเข้าสังคมด้วย จะทราบความหมายของการเดินได้อย่างไร?

เริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด - ด้วยการเดินของคนที่มีความมั่นใจ หากบุคคลเดินเรียบตรงและรวดเร็วฝีเท้าของเขาเร็วแสดงว่าเจ้าของการเดินนั้นมั่นใจ หากบุคคลหนึ่งขยับเท้าแขนของเขาห้อยออกนอกก้าวศีรษะของเขาลดลงรู้สึกเหมือนกำลังถูกประหารชีวิตหรือแบกภาระหนักนี่บ่งบอกถึงความผิดปกติของความรู้สึกซึมเศร้าลึก ๆ บางทีบุคคลนั้นอาจอยู่ในสภาวะ ของวิกฤติหรือเขากำลังเผชิญกับการประชุมที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น หากคุณสังเกตเห็นว่ามีคนกำลังเดินไปประชุมกับคุณ กระทืบเท้า นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าเขาไม่เต็มใจที่จะพบคุณ เขาจึงทำสิ่งนี้โดยไม่จำเป็น

การเดินแบบกระเด้ง (ดูเหมือนคนจะลุกขึ้นยืน) อาจมีความหมายสองเท่า อันดับแรก. ความหมายโดยตรงของการเดินดังกล่าวคือความสุขอารมณ์ที่ไม่ขุ่นมัวเหตุการณ์ที่สนุกสนานเกิดขึ้นในชีวิตของบุคคลเขามีความสุขและร่าเริงร่าเริงและคิดบวก ความหมายที่สองซ่อนเร้นมากขึ้น: คน ๆ หนึ่งจงใจพยายามที่จะร่าเริงและไร้กังวลแม้ว่าในความเป็นจริงเขารู้สึกหดหู่ใจกับบางสิ่งก็ตาม การคำนวณความสุขในจินตนาการนั้นง่ายมาก เพียงใส่ใจกับการแสดงออกทางสีหน้าและท่าทาง

ถ้าคนไม่เหยียดเข่า เดินงอครึ่งขา นี่อาจเป็นหลักฐานถึงอายุที่น่านับถือและความเจ็บปวดในข้อต่อ แต่ถ้าเจ้าของท่าเดินดังกล่าวยังเด็กอยู่ ลักษณะนี้แสดงว่าเขาไม่แน่ใจ ตัวเองถอนตัวและสงสัย

หากบุคคลเหวี่ยงขาไปด้านข้างอย่างแรง มือของเขาอาจวางอยู่ในกระเป๋าเสื้อหรือพยุงตัวขึ้นข้าง ท่าทางของเขาจะคล้ายกับตัวอักษร "F" นี่อาจเป็นสัญญาณของความมั่นใจในตนเองมากเกินไปหรือความประมาท ขาดงาน หรือเกียจคร้านอยู่ตลอดเวลา เขาก้าวไปในลักษณะนี้เพราะเขาไม่มีที่ที่จะรีบเร่ง เขาไม่มีภาระกับความรับผิดชอบใดๆ

คนที่ระมัดระวังบ่อยครั้งมากเมื่อเดิน ขั้นแรกให้เหยียบส้นเท้าแล้วกลิ้งไปที่นิ้วเท้าเบา ๆ คุณจะไม่เห็นเขาพักเท้าเลย เขาระมัดระวังในทุกสิ่งรวมทั้งการเดินของเขาด้วย

หากมีคนกระแทกเท้าอย่างแรงขณะเดินนั่นหมายความว่าเขาต้องการดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้างให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขารู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญมากอยากจะประกาศการปรากฏตัวของเขาเสียงดัง

การเดินของผู้หญิงควรพูดคุยแยกกัน โดยวิธีที่ผู้หญิงเคลื่อนไหว คุณสามารถกำหนดเป้าหมายทัศนคติชีวิตของเธอได้ หากผู้หญิงเดินช้าๆ ก้าวเล็กๆ โยกสะโพกเบาๆ แสดงว่าเธออยู่ในอารมณ์ที่ต้องการหาเพื่อน เป้าหมายของเธอคือการดึงดูดผู้ชายที่อยู่รอบข้าง

หากผู้หญิงเดินอย่างมั่นใจ เตะส้นเท้า สะโพกขยับอย่างรุนแรง นั่นบ่งบอกถึงอารมณ์ในการสื่อสารทางธุรกิจของเธอ นี่คือนักธุรกิจหญิงที่มั่นคงและไม่น่าจะละทิ้งหลักการของเธอไปง่ายๆ

ผู้หญิงเปลี่ยนจากขาข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งซึ่งหมายความว่าเธอไม่ได้เรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือที่สำคัญที่สุดของผู้หญิงนั่นคือการเดิน ผู้หญิงคนนี้คุ้นเคยกับการทำงานบ้าน ชะตากรรมของเธอคือบ้าน ชีวิต ครอบครัว บางทีเธออาจเป็นแม่ของลูกหลายคน

หากผู้หญิงคุกเข่า เดินเร็ว แกว่งแขนอย่างแรง โดยแทบไม่ต้องโยกสะโพก นี่ถือเป็นสัญญาณของการปลดปล่อย ด้วยท่าเดินของเธอ เธอพยายามทำตัวให้ดูเหมือนผู้ชาย เธอไม่สนใจความสนใจของเพศที่แข็งแกร่งเลย

กฎข้อที่ 41

การงอตัวเป็นสัญญาณของความสงสัย

ในบทนี้เราจะพูดถึงความสัมพันธ์: ท่าทาง - ตัวละครของบุคคล ท่าทาง - อารมณ์ของบุคคล มีความคิดเห็นที่ค่อนข้างแพร่หลายว่าท่าทางที่เที่ยงตรงเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความมั่นใจในตนเองในระดับที่เพียงพอ และในทางกลับกัน การก้มตัวเป็นสัญญาณของความไม่แน่นอนจนถึงจุดที่น่าสงสัย

ท่าทางที่ดีได้รับการพัฒนาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่โครงกระดูกที่สร้างขึ้นอย่างถูกต้องในวัยเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของความมั่นใจในตนเองในความสามารถของคุณว่าคุณจะบรรลุเป้าหมาย การนั่งหลังค่อมบ่งบอกว่าคุณเป็นมนุษย์ ซับซ้อน และไม่มั่นใจในตัวเอง เขาพยายามปิดตัวเองออกจากโลกด้วยท่าอิดโรย - นี่คือท่าป้องกัน

ท่าทางที่ดีไม่เพียงแต่สะท้อนถึงอุปนิสัยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอารมณ์ชั่วขณะหนึ่งซึ่งเป็นอารมณ์ที่ปะทุออกมาชั่วขณะด้วย คุณอาจสังเกตเห็นว่าทันทีที่คุณบอกข่าวดีแก่ใครก็ตาม ไหล่ของเขาเหยียดตรงทันที เขาจะยืดหลังของเขาให้ตรงเพื่อที่จะปรากฏตัวต่อหน้าชาวโลกด้วยความรุ่งโรจน์ของเขา และเราจะเห็นภาพที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงหากเราบอกข่าวอันไม่พึงประสงค์แก่บุคคล: เขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทันทีจึงพยายามซ่อนตัวจากปัญหา

หากบุคคลคุ้นเคยกับการยืนและเดินโดยบิดตัวเล็กน้อย ไหล่ข้างหนึ่งลดลง อีกข้างหนึ่งยกขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณของความไม่มั่นคง บางทีเขาอาจไม่มีหลักการที่ชัดเจน เขาเป็นสองหน้าและมีแนวโน้มที่จะโกหก เขาอาจจะมีลักษณะเป็นตัวตลก ความปรารถนาที่จะซ่อนธรรมชาติที่แท้จริงของเขา หรือเน้นย้ำถึงความแตกต่างของเขา ความไม่สมดุลของร่างกายเป็นหลักฐานว่าคู่สนทนาของคุณไม่ใช่คนที่จริงใจอย่างสมบูรณ์ เขาคุ้นเคยกับการโกหก หากบุคคลหนึ่งยื่นหน้าอกไปข้างหน้า นี่อาจหมายถึงการหลงตัวเองมากเกินไป ความมั่นใจในตนเอง และความภาคภูมิใจ ดูเหมือนว่าบุคคลนั้นจะอวดคุณธรรมของเขา หากครึ่งหลังของร่างกายถอยกลับ และครึ่งบนโน้มตัวไปข้างหน้า สิ่งนี้บ่งบอกถึงความอยากรู้อยากเห็นของบุคคล ความปรารถนาของเขาที่จะเป็นคนแรกที่รู้ทุกสิ่ง

กฎข้อที่ 42

ล็อคพื้นที่ส่วนตัวของคุณไว้

เขาอาจมีความตั้งใจที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระยะทางที่บุคคลสามารถสื่อสารได้อย่างสบายใจ ถ้าคนๆ หนึ่งคุ้นเคยกับการสื่อสารกับคุณในระยะไกล นั่นหมายความว่าเขาไม่ค่อยสบายใจเมื่ออยู่ในบริษัทของคุณ แต่ถ้าเขาเข้ามาใกล้เกินไป บางทีเขาอาจมีเจตนาไม่ดี

การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนมีหลายด้าน โซนไกลของการปฏิสัมพันธ์คือโซนตั้งแต่ 1 เมตรถึง 70 ซม. โซนของการสัมผัสใกล้ชิดคือ 70–50 ซม. ของระยะห่างระหว่างผู้คนคือการสัมผัสใกล้ชิด

หากบุคคลรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ห่างจากคุณ โดยจะต้องอยู่ห่างจากคุณไม่เกิน 70 ซม. เสมอ และเมื่อใดก็ตามที่คุณพยายามลดระยะห่างนี้ เขาจะพยายามถอยห่างหรือขัดจังหวะการสนทนา - เขาไม่อยากสนทนาอย่างเป็นความลับกับสวามี . เป็นไปได้มากว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับคุณ บางทีเขาอาจจะไม่ชอบคุยกับคุณ

หากบุคคลเข้ารับตำแหน่งจากคุณตั้งแต่ 70 ถึง 50 ซม. โปรดทราบว่านี่คือโซนปฏิสัมพันธ์ที่สะดวกสบายที่สุด ช่วยให้คู่สนทนาสามารถรับรู้ซึ่งกันและกันได้ดีโดยไม่ละเมิดโซนส่วนตัว สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าคู่สนทนาของคุณรู้กฎและบรรทัดฐานของมารยาทนอกจากนี้เขาปฏิบัติต่อคุณอย่างดีเขาค่อนข้างสบายใจกับคุณ แม้ว่าบุคคลนี้จะไม่โน้มเอียงไปทางคุณมากจนบุกรุกพื้นที่ใกล้ชิดของคุณและยอมให้คุณเข้าไปในของเขา แต่เขาชอบที่จะรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยซึ่งเป็นที่ยอมรับตามบรรทัดฐานของความเหมาะสม

หากมีคนพยายามละเมิดโซนส่วนตัวของคุณ คุณควรระวัง - เขาอาจมีเจตนาไม่ดี แน่นอนว่าหากบุคคลนี้เป็นเพื่อนสนิทหรือญาติของคุณการกระทำของเขาก็ไม่มีอะไรน่าตำหนิ เรามักจะทักทายผู้คนที่อยู่ใกล้เราด้วยการบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวด้วยการจูบหรือกอด

แต่หากบุคคลนั้นไม่เป็นที่รู้จักสำหรับคุณและพยายามจะละเมิดโซนส่วนตัวของคุณทันที นี่เป็นสัญญาณที่น่าตกใจ บางทีเขาอาจต้องการใช้ความไว้วางใจของคุณเพื่อบงการคุณ ในกรณีเช่นนี้ควรดำเนินการทันที หากคุณสังเกตเห็นว่าคนที่คุณไม่รู้จักมากนักกำลังพยายามลดระยะห่างระหว่างคุณให้น้อยกว่า 50 ซม. ในระหว่างการสื่อสาร คุณควรทำทุกอย่างเพื่อป้องกันสิ่งนี้ ออกไปโดยไม่อธิบายเหตุผลหรือพยายามสร้างสิ่งกีดขวางระหว่างคุณเพื่อไม่ให้คู่สนทนาที่ล่วงล้ำเข้ามาใกล้คุณมากเกินไป เช่น ยืนอยู่หลังรั้ว ปิดประตู ใช้ความช่วยเหลือจากบุคคลที่สามซึ่งสามารถ กลายเป็นสิ่งกีดขวางเชิงสัญลักษณ์

แหล่งข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับคู่สนทนาของคุณคือสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดอีกประการหนึ่ง - ตำแหน่งของเขาในอวกาศ สัญญาณอวัจนภาษานี้บ่งบอกถึงความตั้งใจของคู่สนทนา ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดสำหรับคนสองคนในระหว่างการสนทนาคือการอยู่ตรงข้ามกัน หากคนรักของคุณพยายามเปลี่ยนตำแหน่งนี้ พยายามยืนขึ้นหรือนั่งตะแคง นี่อาจบ่งบอกว่าอีกฝ่ายต้องการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคุณมากขึ้น เพื่อเป็นคนใกล้ชิดกับคุณมากขึ้น แต่ระวังถ้ามีคนเปลี่ยนตำแหน่งพยายามจะละสายตาจากสายตาของคุณ คู่สนทนาของคุณอาจจงใจนั่งข้างคุณเพื่อที่คุณไม่สามารถควบคุมเขาและติดตามปฏิกิริยาโดยไม่สมัครใจของเขาได้

มีความหมายอื่นในการเปลี่ยนตำแหน่งของคู่สนทนาของคุณ สมมติว่าเกิดความตึงเครียดในระหว่างการสนทนามีความขัดแย้งเกิดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการพัฒนาคู่สนทนาของคุณจงใจนั่งข้างคุณเพื่อลบการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายที่มองเห็นได้ซึ่งแสดงออกมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าคุณเป็น อยู่ฝั่งตรงข้ามของเครื่องกีดขวาง นั่งหรือยืนตรงข้ามกัน การนั่งข้างคุณหรือยืนข้างคุณจะทำให้บุคคลพยายามลดความขัดแย้งลงจนเหลืออะไร นี่เป็นสัญญาณว่าเขาพร้อมที่จะประนีประนอม

กฎข้อที่ 43

เสียงหัวเราะช่วยให้คุณเข้าใจผู้คน

เสียงหัวเราะมีหน้ากากมากมาย คนๆ หนึ่งหัวเราะเพื่อคลายความตึงเครียด เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากใครบางคน เพื่อเอาใจใครบางคน เพื่อที่จะไม่กลัว การจะเข้าใจความหลากหลายนั้น คุณจำเป็นต้องรู้ลักษณะของเสียงหัวเราะแต่ละประเภทก่อน เรามาดูกันว่าเสียงหัวเราะของมนุษย์หมายถึงอะไร

เสียงหัวเราะก็เหมือนกับรอยยิ้มที่สดใส เปิดกว้าง หรือปิดบังไว้ได้ แต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่โดดเด่นของตัวเอง เมื่อหัวเราะอย่างเปิดเผย ฟันจะเผยออกมา บางครั้งก็ฟันไม่หลุด หากคู่สนทนาของคุณหัวเราะต่อหน้าคุณในลักษณะที่อธิบายไว้ข้างต้น คุณสามารถแสดงความยินดีกับตัวเองได้ คุณเป็นคู่สนทนาที่มีเสน่ห์มาก คู่ของคุณรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ในบริษัทของคุณ เขามีความโน้มเอียงต่อคุณและมีความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจได้

หากใน บริษัท ของคุณมีคนหัวเราะด้วยเสียงหัวเราะโดยไม่เปิดริมฝีปากพยายามกลั้นเสียงหัวเราะในขณะที่กระแสลมไหลผ่านจมูกผลกระทบของเสียงหัวเราะทางจมูกจะเกิดขึ้นซึ่งฟังดูไม่น่าพอใจนัก นี่เป็นสัญญาณว่าบุคคลนั้นไม่สบายใจเมื่ออยู่ในบริษัทของคุณ เขายังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยตัวตน บางทีคุณอาจยังไม่รู้จักกันมากพอ หรือบางทีคุณอาจไม่มีพรสวรรค์ที่จะได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น

หากใครคนหนึ่งเริ่มกลั้นเสียงหัวเราะ แสดงว่าเขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะติดต่อกับคุณ บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณว่าคู่สนทนาของคุณเป็นคนส่วนตัวโดยธรรมชาติ ไม่คุ้นเคยกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น และไม่ต้องการแสดงความรู้สึกของเขาออกมาทั้งหมด

หากเสียงหัวเราะของบุคคลหนึ่งคล้ายกับการหัวเราะคิกคัก แสดงว่าเจ้าของเป็นคนลึกลับและอาจเป็นคนหลอกลวง เขาจะไม่บอกความจริงทั้งหมดแก่คุณแม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องโกหกก็ตาม

หากมีคนหัวเราะอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะตลกหรือไม่ก็ตามพยายามที่จะดูร่าเริงและหน้าด้านบางทีเสียงหัวเราะอาจเป็นหน้ากากที่ช่วยให้เขาต่อสู้กับความซับซ้อนมากมาย เสียงหัวเราะเป็นการป้องกันชนิดหนึ่ง หากคนเราหัวเราะหรือเยาะเย้ยทุกสิ่งทุกอย่าง นี่ไม่จำเป็นต้องเป็นสัญญาณของนิสัยร่าเริง แต่เป็นเพียงความปรารถนาที่จะซ่อนข้อบกพร่อง ความโกรธ ความอิจฉา และอารมณ์เชิงลบเท่านั้น

ถ้าคนๆ หนึ่งหัวเราะด้วยเสียงหัวเราะลึกๆ (เสียงหัวเราะของคนร้ายในการ์ตูน) นี่ถือเป็นสัญญาณของความเหนือกว่า บางทีบุคคลนั้นอาจมีเจตนาไม่ดีนัก เสียงหัวเราะเช่นนั้นอาจทำให้ตกใจได้ แต่เป็นไปได้มากว่าคู่สนทนาของคุณต้องการทำให้คุณหัวเราะด้วยเสียงหัวเราะเพราะเขาไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ เขาไม่เป็นอันตรายต่อคุณ

ถ้าคนๆ หนึ่งหัวเราะผิดที่ ซึ่งบ่อยครั้งที่มันไม่ตลกเลย นี่เป็นสัญญาณว่าคนตรงหน้าคุณเป็นคนอารมณ์ดีและมักจะวิตกกังวล บางทีคู่สนทนาของคุณจวนจะมีอาการทางประสาทแมวกำลังเกาวิญญาณของเขาและด้วยวิธีนี้เขาจึงพยายามบรรเทาความตึงเครียด เจ้าของอาการประหม่า เฉียบคม คล้ายเสียงหัวเราะ จึงต้องระวัง หากพูดตลกไม่ดีหรือพูดจาไม่ถูกใจนักก็อาจทนไม่ไหวและพังทลายลง การหัวเราะอาจทำให้ฮิสทีเรียเกิดขึ้นได้

กฎข้อที่ 44

คุณสามารถบอกอะไรเกี่ยวกับบุคคลจากสไตล์การสูบบุหรี่ของเขาได้บ้าง?

วิธีการสูบบุหรี่คือภาษาชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวอักษรที่ผู้เขียนโค้ดที่มีประสบการณ์สามารถคำนวณอารมณ์ ความคิด และการตัดสินใจของผู้สูบบุหรี่ได้ ท่าทางของผู้สูบบุหรี่แต่ละคนนั้นเป็นของแต่ละคน แต่มีวิธีสากลในการแสดงออกในลักษณะของการสูบบุหรี่

ขึ้นอยู่กับทิศทางที่ผู้สูบบุหรี่เป่าควันเราสามารถสรุปเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาได้ หากควันพุ่งลงมาแสดงว่าคู่สนทนาของคุณได้ตัดสินใจเชิงลบเขาตั้งใจที่จะปฏิเสธคุณ หากเจ็ตสูงขึ้น ความละเอียดของมันก็จะเป็นบวก หากควันหันไปทางด้านข้าง เป็นไปได้ว่าคู่สนทนาของคุณยังอยู่ระหว่างการยิงสองครั้ง เขายังไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

โดยวิธีการที่บุคคลถือบุหรี่เราสามารถกำหนดอารมณ์และความตั้งใจของเขาได้ ผู้สูบบุหรี่ถือบุหรี่โดยกำหมัดแน่นซึ่งหมายความว่าเขาอารมณ์ไม่ดีเขาพยายามซ่อนอารมณ์จากคู่สนทนาเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดเผยความคิดที่แท้จริงของเขาบางทีเขาอาจจะทำอะไรบางอย่าง หากบุหรี่อยู่ระหว่างนิ้วกลางและนิ้วชี้ที่ยื่นออกมา นี่เป็นสัญญาณว่าคู่สนทนาของคุณมั่นใจในทุกสิ่ง มีอารมณ์ที่จะติดต่อ และการสนทนากับเขาอาจมีประสิทธิผล หากผู้หญิงถือบุหรี่โดยหันข้อมือไปทางผู้ชาย นี่อาจเป็นสัญญาณของการจีบ ในลักษณะนี้เธอกำลังจีบผู้ชาย

ลักษณะสำคัญมากของผู้สูบบุหรี่คือเขาสูบบุหรี่ได้เร็วแค่ไหน หากเขาสูบบุหรี่เร็วมากในขณะที่สูดควันบุหรี่เข้าไปแรงๆ แสดงว่าเขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบกระตือรือร้น ทำทุกอย่างขณะวิ่ง รีบร้อนอยู่เสมอ เขามักจะดำเนินการอย่างรวดเร็ว ถ้าคนๆ หนึ่งสูบบุหรี่ช้าๆ นี่เป็นสัญญาณว่าเขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในจังหวะที่ไม่เร่งรีบ เขามีเวลาหนึ่งหรือสองนาทีเสมอที่จะหยุดก่อนที่จะตัดสินใจเลือกและคิด คนนี้เป็นนักคิด: เขาคิดและวิเคราะห์มาก บุคคลนั้นมีความสมดุลทางอารมณ์ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับวิชาชีพที่มีความคิดสร้างสรรค์ โดยที่กระบวนการสำคัญอย่างหนึ่งคือกระบวนการคิด

หากบุคคลหนึ่งสูบบุหรี่และหลับตา แสดงว่าบุคคลนั้นจมอยู่กับความคิดอันลึกซึ้งและจดจ่ออยู่กับความคิดของเขา เป็นการดีกว่าที่จะไม่รบกวนเขาด้วยคำถาม

หากบุคคลหนึ่งปล่อยควันออกมาเป็นสายน้ำบาง ๆ นี่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของเขาหรืออาจเป็นอารมณ์ เขาคุ้นเคยกับการตัดสินใจที่สำคัญและรู้ว่าภาระความรับผิดชอบคืออะไร หากบุคคลหนึ่งเป่าควันบุหรี่ออกไปอย่างราบรื่นและทำให้ควันดังขึ้น เขาจะเป็นคนเศร้าโศก มีความคิดรอบคอบ นุ่มนวล และนิสัยเด็ดขาดน้อยลง

กฎข้อที่ 45

ขาดรสนิยมในการแต่งตัว - ความปรารถนาที่จะโดดเด่นหรือไม่เคารพผู้อื่น?

ความเรียบร้อยในรูปลักษณ์ของคู่สนทนาของคุณบ่งบอกถึงอะไร? นี่อาจเป็นสัญญาณว่าเขาต้องการเปรียบเทียบในทางที่ดีกับคนอื่น หรือบ่งบอกถึงทัศนคติที่ดีต่อผู้อื่น ความปรารถนาที่จะได้รับการชื่นชม

ในทางหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกเป็นการสะท้อนอารมณ์ของบุคคล โดยรูปลักษณ์ภายนอก เราสามารถกำหนดได้ว่าบุคคลนั้นเป็นอย่างไรและปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร หากผู้สูงวัยชอบเสื้อผ้าสไตล์วัยรุ่นที่ไม่เป็นทางการ นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขายังไม่เป็นผู้ใหญ่ บางทีนี่อาจเป็นวิธีป้องกันตนเองจากการถูกโจมตีของผู้อื่นจากการถูกประณาม: “ฉันยังเด็กเกินไป ดังนั้นอย่าตัดสินฉันจากความผิดพลาดของฉัน” ความปรารถนาที่จะยังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ ยังไม่บรรลุนิติภาวะในรูปแบบการแต่งกาย บ่งชี้ว่าบุคคลไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของเขาอย่างอิสระ

หากบุคคลชอบแต่งกายที่สดใสและเสแสร้งนี่เป็นหลักฐานว่าเขามุ่งมั่นที่จะเป็นที่สังเกตได้ในหมู่ผู้คนสีเทาและน่าเบื่อหน่ายเขาต้องการให้ความพยายามของเขาได้รับการชื่นชม บางทีเขาพยายามที่จะรับตำแหน่งผู้นำ เสื้อผ้าดังกล่าวยังสามารถใช้เป็นเครื่องปกป้องจากผู้อื่นได้เนื่องจากบุคคลสามารถซ่อนตัวตนที่แท้จริงของตนเองไว้เบื้องหลังได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อข้อมูลส่วนบุคคลและอุปนิสัยของบุคคลไม่เป็นไปตามความคาดหวังเขาสวมหน้ากากซ่อนความขี้ขลาดและความสุภาพเรียบร้อยตามธรรมชาติไว้เบื้องหลังเสื้อผ้าที่สดใส บางครั้งเทคนิคนี้ก็ใช้ได้ผลและคนที่ขี้อายและไม่มั่นใจในตัวเองก็กลายเป็นผู้ใหญ่ และเป็นคนที่เข้มแข็งมาก

สไตล์สปอร์ตคือความปรารถนาที่จะดูเหมือนเป็นคนมั่นใจและประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดายและง่ายดายที่สุด ในด้านหนึ่ง เสื้อผ้าให้ความมั่นใจ และในทางกลับกัน เสื้อผ้าก็ต้องใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย ชุดกีฬาไม่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ทุกคนสามารถสวมใส่ได้ง่ายและสบาย แต่ถ้าสไตล์สปอร์ตครอบงำในตู้เสื้อผ้าของคุณ ความประทับใจที่ไม่ดีอาจเกิดขึ้นกับคุณได้ คุณจะถูกมองว่าเป็นคนเกียจคร้านที่ต้องการทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นจนถึงขีด จำกัด

เสื้อผ้าสไตล์คลาสสิกเป็นตัวเลือกที่สะดวกสบายและเหมาะสมที่สุดสำหรับทุกโอกาส ใส่ได้ทุกสถานการณ์แน่นอนและไม่ทำให้ใครหงุดหงิด คุณไม่ต้องการที่จะดูดีกว่าที่เป็นอยู่ คุณไม่ยอมรับความไม่เพียงพอของคุณเองโดยประกาศด้วยรูปลักษณ์ของคุณว่าคุณไม่สามารถทำงานที่ยากลำบากได้ พวกเขาจะให้ความสำคัญกับคุณอย่างจริงจัง พวกเขาจะไม่สนใจว่าคุณแต่งตัวอย่างไร แต่ใส่ใจกับคุณสมบัติส่วนตัวของคุณ คุณจะสนใจผู้อื่นในฐานะบุคคล ไม่ใช่ในฐานะนางแบบที่สวมชุดโอต์กูตูร์ใหม่ล่าสุด

หากมีความประมาทเลินเล่อในเสื้อผ้าของคุณ นั่นอาจเป็นการแสดงความเคารพต่อแฟชั่น เป็นการแสดงออกถึงโลกทัศน์ของคุณ แต่อย่างแรกเลย มันเป็นสัญญาณของการไม่เคารพผู้อื่น หากคุณไม่ใส่ใจกับรูปร่างหน้าตาของคุณมากพอ แสดงว่าคุณกำลังพยายามขีดฆ่ารากฐานและกฎเกณฑ์ทั้งหมดที่ประดิษฐ์ขึ้นต่อหน้าคุณ หากคุณหวังที่จะเอาชนะทุกคนด้วยความฟุ่มเฟือยด้วยการแต่งตัวแบบสบาย ๆ และทำให้คนรอบข้างตกใจแสดงว่าสิ่งนี้ไม่เหมาะสมและถูกต้องเสมอไปเมื่อเทียบกับผู้อื่น โปรดจำไว้ว่าเสื้อผ้าที่น่าตกใจนั้นเป็นที่ยอมรับได้เมื่อพวกเขารู้จักคุณอยู่แล้ว คุณเป็นคนดังที่มีความคิดเห็นบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว อนุญาตให้แสดงตัวเลขทางธุรกิจได้ทุกอย่าง การตกตะลึงเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ของพวกเขา ไม่เช่นนั้นความสนใจในตัวพวกเขาจะหายไป หากคุณไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนประเภทนี้ ห้ามเข้าร่วมการประชุมทางธุรกิจหรืองานปาร์ตี้ที่มีคนรู้จักคุณน้อยคนโดยแต่งกายขัดต่อกฎที่กำหนดไว้ คุณเสี่ยงที่จะใช้เวลาทั้งเย็นตามลำพัง ซึ่งจะทำให้คู่สนทนาของคุณกลัว

ไม่แนะนำให้อวดรู้มากเกินไป หากคุณแต่งตัวเรียบร้อยเกินไป โดยสวมชุดสูททางการที่มีกระดุมติดกระดุมด้านบน อาจทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวได้ สิ่งนี้บ่งบอกถึงการขาดความเป็นปัจเจกบุคคล เมื่อเลือกสไตล์คลาสสิก พยายามนำวิสัยทัศน์ของคุณมาสู่ชุดสูทแบบคลาสสิก: เพื่อเน้นความเป็นตัวตนของคุณ คุณสามารถใช้นาฬิกา แว่นตา หรือเครื่องประดับแฟชั่นอื่น ๆ รองเท้าส้นสูง แล้วคุณจะสร้างความประทับใจ

กฎข้อที่ 46

แหวน ต่างหู เข็มกลัด - เคล็ดลับที่ดีที่สุด

บ่อยครั้งที่เราไม่ใส่ใจกับเครื่องประดับที่บุคคลนั้นสวมใส่ และการทำเช่นนี้ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ความสามารถในการเลือกเครื่องประดับที่เหมาะกับเครื่องแต่งกายของคุณไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงรสนิยมเท่านั้น เครื่องประดับสามารถบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าของได้มากมาย สิ่งสำคัญคือการสามารถอ่าน "เคล็ดลับ" ที่บุคคลนั้นสวมใส่ได้

บุคคลเมื่อเลือกเครื่องประดับจะแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง หากการเลือกเสื้อผ้า สไตล์ และสีอาจบ่งบอกถึงความชอบของมนุษย์ไม่มากเท่ากับการแสวงหาแฟชั่น การเลือกเครื่องประดับก็ถือเป็นช่วงเวลาเฉพาะตัว บุคคลมักเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของเขา

เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกคนมุ่งมั่นที่จะสวมใส่เครื่องประดับด้วยหินที่เหมาะกับตนเองที่สุด หินแต่ละก้อนมีคุณสมบัติเฉพาะตัวและเหมาะกับบุคคลที่มีคุณสมบัติบางอย่าง นี่เป็นเพียงจดหมายโต้ตอบแบบ "ตัวละครหิน" บางส่วนเท่านั้น

หากคุณสังเกตเห็นความหลงใหลในเครื่องประดับมุกของคู่สนทนาของคุณ นี่อาจบ่งบอกว่าเขามุ่งมั่นเพื่อความบริสุทธิ์ ความเป็นผู้หญิง และไร้เดียงสา นี่เป็นหินแห่งความรู้เช่นกัน เป็นไปได้ว่าคู่สนทนาของคุณเป็นปัญญาชนที่ "ซ่อนเร้น" คุณสังเกตเห็นว่าเพื่อนของคุณมีจี้มรกตห้อยอยู่บนหน้าอกของเขา จงตั้งใจฟังให้ดี นี่คือหินแห่งความซื่อสัตย์ ตามตำนาน มันพังทลายลงในระหว่างการล่วงประเวณี ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตามบุคคลนี้ยังคงซื่อสัตย์ต่อประเพณีและรากฐานของเขา เชื่อกันว่าหินช่วยเฉพาะบุคคลที่มีจิตสำนึกที่ชัดเจนเท่านั้น มันขัดขวางการหลอกลวงและหน้าซื่อใจคดในการดำเนินการตามแผนของเขา เราสังเกตเห็นเข็มกลัดที่มีทับทิมอยู่บนหน้าอกการตกแต่งนี้ไม่สามารถพิสูจน์ถึงคุณธรรมได้ ทับทิมนำความแข็งแกร่งมาสู่บุคคลใดก็ตาม ตามกฎแล้วทุกคนที่หันไปขอความช่วยเหลือ โนวาสควรระมัดระวังเพราะหากบุคคลมีเจตนาไม่ดีก็อาจหมายความว่าเขาจะประสบความสำเร็จ อความารีนเป็นหินสำหรับคู่รัก หากคู่สนทนาของคุณมีเครื่องประดับด้วยหินก้อนนี้ เป็นไปได้มากว่าหัวใจของเขาจะไม่เป็นอิสระ เพชรเป็นเครื่องรางที่ดีมาก หากคู่ของคุณมีหินเช่นนี้ บางทีเขาอาจจะพยายามปกป้องตัวเองจากการถูกโจมตีของผู้อื่น เขากลัวว่าเขาจะขุ่นเคือง หากใครชอบโกเมนก็แสดงว่าเขาคำนึงถึงสุขภาพของตัวเอง มันเป็นหินแห่งสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เทอร์ควอยซ์เป็นหินที่มีความกระฉับกระเฉงมาก เชื่อกันว่าสวมใส่โดยผู้ที่มีความมั่นใจและมุ่งมั่นในชัยชนะ

เครื่องประดับที่มีอยู่มากมายบ่งบอกว่าคู่สนทนาของคุณต้องการโดดเด่น เขามีบุคลิกที่แข็งแกร่งหรือขาดไป และพยายามชดเชยช่องว่างนี้ด้วยเครื่องประดับ หากไม่มีเครื่องประดับเลยแสดงว่าบุคคลนั้นขาดความเป็นปัจเจกไม่ทราบวิธีเลือกเครื่องประดับให้ตัวเองเขาไม่มีหน้า

กฎข้อที่ 47

กลิ่นน้ำหอมเผยให้เห็นอารมณ์ของบุคคล

คุณอาจสังเกตเห็นว่าแต่ละคนเลือกกลิ่นตามรสนิยมของตัวเอง การเลือกน้ำหอมเป็นทางเลือกเฉพาะบุคคลที่สามารถบอกเล่าเกี่ยวกับบุคคลได้มากมาย หากคุณมีประสาทสัมผัสกลิ่นที่ดีและสามารถแยกกลิ่นหนึ่งออกจากอีกกลิ่นหนึ่งได้ คุณสามารถใช้คำแนะนำของเราและกำหนดลักษณะของบุคคลด้วยน้ำหอมของเขาได้

มีความเห็นว่าน้ำหอมถูกเลือกเพื่อทำให้ผู้อื่นพอใจเพื่อทำให้กลิ่นของตัวเองสูงส่ง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนพอใจ ดังนั้นเมื่อเลือกน้ำหอมบุคคลจะถูกชี้นำโดยรสนิยมของเขาเอง คุณไม่สามารถใส่กลิ่นที่คุณไม่ชอบได้แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะชอบก็ตาม ดังนั้นการเลือกกลิ่นจึงถือเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคลของคุณ

หากบุคคลชอบกลิ่นหอมที่สดชื่น แต่เงียบสงบ (ว่านหางจระเข้ ลมทะเล ผลไม้สด - มะนาวหรือแอปเปิ้ล) นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนเก็บตัว ปิดตัวจากผู้อื่น และไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจกับคนแรกที่เขาพบ . สื่อสารกับคนแปลกหน้าอย่างระมัดระวังและหวาดกลัว เขาไม่เคยเปิดใจในทันที ทางเลือกนี้บ่งบอกว่าบุคคลนั้นเศร้าโศกหรือเป็นคนเฉื่อยชา

หากใครชอบกลิ่นหอมที่สดใสและคมชัด แสดงว่านี่คือสัญญาณของอารมณ์ความรู้สึกสูง ผู้ที่ต้องการให้ใครเห็นกลิ่นหอมที่เข้มข้นและสดใสพวกเขาพยายามแสดงออกในทุกสิ่งรวมถึงกลิ่นที่แรงมากและบางครั้งก็น่ารังเกียจ ตัวเลือกนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่เจ้าอารมณ์ - ผู้คนมีแนวโน้มที่จะอารมณ์แปรปรวนกะทันหัน แต่ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างมีอิสระในการติดต่อ

กฎข้อที่ 48

ผู้ชายที่ใส่แว่นเป็นเหตุให้คิด

หากคนสวมแว่นตาสิ่งนี้สามารถบอกนิสัยของเขาได้มากมาย ตามกฎแล้วการเลือกแว่นตาและจัดการมันไม่ใช่การกระทำแบบสุ่ม แต่เป็นสัญญาณอวัจนภาษาที่บอกอะไรมากมายเกี่ยวกับบุคคลหากคุณเรียนรู้ที่จะถอดรหัสพวกเขา

หากบุคคลสวมแว่นตาที่มีเลนส์สีโดยไม่มีลมหรือแสงแดด สิ่งนี้อาจบ่งบอกถึงความซ่อนเร้นในธรรมชาติของเขา ความกลัวผู้อื่น เขาพยายามซ่อนตาเพราะเขารู้สึกอึดอัดที่จะคุยกับคุณ

บางครั้งคนเราใส่แว่นตาแทนคอนแทคเลนส์เพื่อให้ดูฉลาดขึ้นและมีเกียรติมากขึ้น หากบุคคลเชื่อว่ารูปร่างหน้าตาไม่เหมาะสมพอที่จะบรรลุเป้าหมาย หรือเขาไม่มั่นใจในคุณสมบัติทางปัญญาหรือความเป็นผู้นำ เขาจะใช้วิธีการอื่นเพื่อให้ได้รับความเคารพจากผู้อื่น รวมถึงการสวมแว่นตาสร้างภาพลักษณ์ที่น่านับถือ และคนที่ประสบความสำเร็จ

แว่นตายังเป็นวิธีแสดงทัศนคติของคุณต่อผู้อื่นเกี่ยวกับบทสนทนา และด้วยความช่วยเหลือของแว่นตา คุณสามารถค้นหาความตั้งใจของคู่สนทนาได้ หากบุคคลถอดแว่นตาและเช็ดเลนส์อย่างต่อเนื่องนี่เป็นสัญญาณว่าเขากำลังถ่วงเวลา บางทีเขาอาจจะกำลังพยายามคิดทบทวนข้อเสนอของคุณ เพื่อหาข้อโต้แย้งเพื่อโน้มน้าวคุณ หากเขาถอดแว่นตาแล้วใส่กล่องหรือใส่ถุงอย่างตั้งใจแสดงว่าเขาตั้งใจจะจากไปในอนาคตอันใกล้นี้เพราะเขาเข้าใจทุกอย่างด้วยตัวเองแล้วและไม่มีประโยชน์ที่จะสนทนาต่อไป .

หากมีคนถอดแว่นตาออกและแทะปลายแว่นตาแสดงว่าเขาอยู่ในภาวะคิดกำลังพิจารณาข้อเสนอของคุณบางทีในขณะนี้เขาอาจไม่ฟังคุณ หากเขาเล่นกับแว่นตาและขยับแว่นตาจากมือหนึ่งไปอีกมือหนึ่งอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นหลักฐานว่าเขารู้สึกอึดอัดและพยายามหาหัวข้อสำหรับการสนทนา คนที่เคยควบคุมผู้อื่นมักจะใช้แว่นตาเป็นตัวชี้และชี้ไปที่วัตถุหรือเพียงแค่โบกมือไปมา หากใครคนหนึ่งวาดวงกลมหรือรูปทรงอื่นๆ ด้วยแว่นตา นี่เป็นสัญญาณว่าเขาเบื่อคุณแล้วและถึงเวลาที่จะจบการสนทนา

หากมีคนสวมแว่นตาเมื่อพบคุณ นี่ไม่ใช่ท่าทางที่มีไหวพริบมากนัก ยังสามารถจัดได้ว่าเป็นท่าทางที่ไม่ดีที่แสดงออกถึงการดูถูกและดูหมิ่นด้วยซ้ำ ด้วยวิธีนี้บุคคลนั้นจะทำให้คุณรู้ว่าเขาจะศึกษาคุณอย่างละเอียดถี่ถ้วน ท่าทางดังกล่าวได้รับอนุญาตเฉพาะในกรณีที่เจ้าของแว่นตามีอายุมากเท่านั้น นี่เป็นสัญญาณของความไม่ไว้วางใจ: “ฉันไม่ไว้ใจคุณ ดังนั้นฉันจะจับตาดูคุณอย่างระมัดระวังเพื่อจับคุณในการหลอกลวง”

กฎข้อที่ 49

สายรุ้ง 7 สี - คน 7 ประเภท

นักจิตวิทยาบางคนกล่าวว่าการเลือกสีมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับลักษณะนิสัยพื้นฐานของบุคคล แท้จริงแล้วสีสะท้อนโลกภายในของเราและส่งผลต่ออารมณ์ของเรา - พวกมันให้พลังงานและความสุขแก่ชีวิตหรือในทางกลับกัน หดหู่ ระคายเคืองและทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับความเป็นอยู่ที่ดีของเราว่าเราจะใช้สีอะไรล้อมรอบตัวเรา นักวิทยาศาสตร์และนักจิตวิทยาได้สร้างทฤษฎีขึ้นมาหลายทฤษฎีว่าสีมีอิทธิพลต่อบุคคลอย่างไร และสีต่างๆ สอดคล้องกับบุคคลบางประเภทอย่างไร แต่เราก็ยังเชื่อมั่นว่าเนื่องจากความเป็นเอกลักษณ์ของเราแต่ละคน การเชื่อสัญชาตญาณของเราจึงมีวัตถุประสงค์มากกว่าเสมอ อย่างไรก็ตาม เรามาดูกันว่าเวอร์ชันทางวิทยาศาสตร์ตรงกับความรู้สึกของคุณอย่างไร

หากคุณสังเกตเห็นความชื่นชอบของคู่สนทนาในเรื่องเบอร์กันดีและสีแดงเข้มแสดงว่าบุคคลนี้ค่อนข้างมั่นใจในตัวเองมีความหลงใหลและเรื่องเพศที่ซ่อนเร้น หากคู่สนทนาของคุณชอบสีแดง นั่นหมายความว่าเขามีความทะเยอทะยานและแสดงสิ่งนี้ให้ผู้อื่นเห็นอย่างชัดเจน เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผยว่าเขามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำ แน่นอนว่าเสื้อผ้าไม่สามารถช่วยเขาได้หากเขาไม่มีคุณสมบัติในการเป็นผู้นำ หากเพื่อนของคุณเป็นผู้สนับสนุนเสื้อผ้าสีส้มอย่างกระตือรือร้น เป็นไปได้มากว่าเขาเป็นคนที่ลงมือทำ: เขามุ่งมั่นเพื่อชัยชนะไม่ใช่ด้วยกลอุบาย แต่พร้อมที่จะลงมือทำจริงเพื่อให้บรรลุความสำเร็จ

หากคู่สนทนาของคุณชอบเสื้อผ้าโทนสีเหลืองแสดงว่าเขาฉลาด นอกจากนี้ยังหมายความว่าเขาเป็นผู้นำในการใช้ชีวิตและมีบุคลิกที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย ผู้สนับสนุนสีเขียวเป็นคนที่ระมัดระวังมาก พวกเขาอยู่ในประเภทของผู้คิดไตร่ตรองและนักคิด แต่ไม่ใช่ผู้ที่กระทำ หากสีโปรดของคู่ของคุณคือสีน้ำเงิน นี่ถือเป็นสัญญาณของความคิดสร้างสรรค์และความอ่อนไหว มีช่องว่างระหว่างคนที่ชอบเฉดสีฟ้าและความเป็นจริง เขาอาศัยอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ หากเฉดสีน้ำเงินเข้มคือสีน้ำเงินเข้มและสีม่วง แสดงว่าคู่สนทนาของคุณมีความเป็นอิสระและมีจิตใจที่ไม่ธรรมดา ผู้ชื่นชอบสีม่วงมีสัญชาตญาณที่พัฒนาขึ้นมาก

สีดำ สีเทา และสีขาวหลุดออกมาจากสเปกตรัมสีรุ้งทั้ง 7 สี แต่เราจะพูดถึงผู้สนับสนุนสีเหล่านี้ด้วย หากเสื้อผ้าสีดำปรากฏในตู้เสื้อผ้าเป็นครั้งคราวอาจหมายความว่าบุคคลนั้นพยายามควบคุมตัวเองเขามีความคิดเห็นที่แข็งแกร่งและมีจุดยืนที่มั่นคง หากสีดำเป็นสีเด่น อาจบ่งบอกถึงความปรารถนาของบุคคลหนึ่งที่จะซ่อนตัวจากผู้อื่น ความปรารถนาของเขาที่จะหนีจากผู้อื่น การขาดความมั่นใจในตนเอง สีเทาเป็นสีของคนที่มีความรับผิดชอบสูงและถูกต้อง หากคู่สนทนาของคุณชอบคนผิวขาวนี่เป็นสัญญาณว่านี่คือบุคคลที่มุ่งมั่นเพื่อความยุติธรรม หากมีสีขาวมากเกินไป นี่อาจเป็นสัญญาณของความด้อยกว่าของตนเองหรือความรู้สึกเจ็บปวดที่เหนือกว่าผู้อื่น

บทสรุป

มนุษยชาติสร้างภาษาสังเคราะห์พิเศษเพื่อให้ผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติสามารถสื่อสารกันได้ จริงๆ แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์อะไรเลย แค่หันไปหาธรรมชาติของร่างกายเรา: ด้วยความช่วยเหลือของภาษามือ คุณสามารถอธิบายให้ชาวต่างชาติฟังได้อย่างง่ายดายว่าจัตุรัสแดงอยู่ที่ไหน เพียงแค่ชี้ไปอีกด้านหนึ่งหรือถาม คนที่พูดภาษาต่างประเทศเป็นเวลาเท่าใด ภาษามือเป็นวิธีการสื่อสารที่เป็นสากล

เราอาศัยอยู่ในโลกของสัญญาณที่เข้ารหัส สัญญาณที่ถอดรหัสไม่ได้ และสัญลักษณ์ที่เราส่งให้กันด้วยความหวังว่าอย่างน้อยจะมีใครสักคนเข้าใจเราอย่างถูกต้อง แต่ตามกฎแล้ว สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น ผู้คนไม่สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ ประการแรก เพราะพวกเขาหลงใหลในตัวเอง ความคิดของพวกเขามากเกินไป และไม่สนใจผู้อื่น มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เข้าใจผิดและไม่สามารถติดต่อได้: ผู้คนยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะอ่านภาษาของสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด การอ่านสัญลักษณ์ที่ไม่ใช่คำพูดเป็นศาสตร์ทั้งหมดที่คุณต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ท้ายที่สุดแล้ว ท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า และท่าทางเป็นของแต่ละคน ในหนังสือเล่มนี้ เราพยายามพูดถึงสัญญาณที่นักวิทยาศาสตร์สามารถถอดรหัสได้ เกี่ยวกับสัญญาณสากลที่เราใช้ในการแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด เบื้องหลังยังเหลืออีกเท่าไหร่? นับไม่ได้ แม้ว่าเราจะต้องการก็ตาม เราไม่สามารถครอบคลุมความแตกต่างและรายละเอียดทั้งหมดของการสื่อสารทางอวัจนภาษากับคุณได้ ไม่ใช่เพราะเราทำการวิจัยคุณภาพต่ำ แต่เป็นเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจถึงความใหญ่โตนี้ มีตัวชี้นำอวัจนภาษามากเกินไปสำหรับทั้งหมดที่จะรวมไว้ในหนังสือเล่มเดียว ในการทำเช่นนี้คุณจะต้องรวบรวมสารานุกรมซึ่งเป็นพจนานุกรมของสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดซึ่งจะไม่ด้อยกว่าและบางทีอาจมีมากกว่าจำนวนซึ่งเป็นพจนานุกรมอธิบายเวอร์ชันที่สมบูรณ์ที่สุด